สามก๊ก ฉบับนักบริหาร:บทที่ 17 ความเป็นจอมคนของเล่าปี่
ทัพของเล่าปี่ปะทะกับทัพอ้วนสุด ที่มีกิเหลงเป็นแม่ทัพที่เมืองอุไถ ทั้งสองฝ่ายสู้รบกัน กิเหลงขึ้นม้าถือทวนหนัก 50 ชั่งเข้ารบกับเล่าปี่ กวนอูจึงขับม้ารำง้าวรบกับกิเหลงได้ 30 เพลงมิได้แพ้ชนะกัน กิเหลงสิ้นกำลังก่อนร้องบอกกวนอูขอหยุดพักรบก่อน กวนอูชักม้ากลับ
ส่วนกิเหลงพอกลับถึงค่ายกลับสั่งให้ซุนเจ้งทหารรองออกรบ ซุนเจ้งด่าว่าสบประมาทกวนอู กวนอูไม่ฟังเสียงหรือตอบโต้ ขับม้าเข้ารบกับซุนเจ้งเพียงหนึ่งเพลง เหงื่อยังมิทันออก กวนอูใช้ง้าวฟันถูกซุนเจ้งตกม้าตาย เล่าปี่คุมทหารเข้ารบหักเอาค่ายกิเหลงได้ ฆ่าฟันทหารของกิเหลงล้มตายลงเป็นจำนวนมาก จนกิเหลงต้องพาทหารถอยไปตั้งหลักอยู่ริมแม่น้ำซัวหยิน ทั้งสองฝ่ายทำศึกตัดพันกันอีกหลายครั้ง
ฝ่ายเตียวหุยรับมอบหมายจากเล่าปี่ให้รักษาเมืองชีจิ๋ว คนเราไม่เคยเป็นใหญ่มาก่อน เมื่อมีอำนาจก็อดที่จะกร่างในอำนาจมิได้ เตียวหุยมอบให้ตันเต๋งว่าราชการฝ่ายพลเรือน ตัวเองว่าการฝ่ายทหาร อยู่มาวันหนึ่งเตียวหุยที่อดสุรามาหลายเพลา จึงสั่งให้แต่งโต๊ะแล้วเชิญขุนนางฝ่ายทหารมาพร้อมกัน แจ้งว่าเล่าปี่กำชับให้เราอย่าได้เสพย์สุรา วันนี้ขอดื่มให้สนุกสักวัน สืบไปท่านทั้งหลายอย่าได้แตะสุราอีกเป็นอันขาด ว่าแล้วก็รินสุรายกจอกคำนับชวนให้ขุนนางทั้งปวงดื่ม
ขุนนางชื่อโจป้ามิได้รับจอกสุรา บอกเตียวหุยว่าข้าพเจ้าสาบานกับเทพยดาว่าจะไม่ดื่มสุรา แต่เตียวหุยคาดคั้นให้โจป้าดื่มสุราให้ได้ พอตึง ๆ หน้าเตียวหุยจึงโกรธตวาดโจป้าว่าตัวเองเป็นผู้น้อยกว่าเรา บังอาจขัดไม่เสพย์สุรามิเกรงใจเรา จึงสั่งคนใช้เอาตัวโจป้าจะไปโบยตีหนึ่งร้อยครั้ง
ตันเต๋งเห็นเหตุการณ์วุ่นวายจึงปรามเตียวหุย เตือนให้นึกถึงคำสั่งของเล่าปี่ เตียวหุยตอบว่า เราได้แบ่งให้ท่านว่าราชการด้านพลเรือน ตัวเราบังคับบัญชาฝ่ายทหาร แลโจป้าเป็นทหาร ท่านอย่าได้มาก้าวก่าย ฝ่ายคนใช้จะดึงตัวโจป้าไปโบย
โจป้าจึงอ้อนวอนเตียวหุยให้ยกโทษ ถ้าแม้นไม่เห็นแก่หน้าข้าพเจ้า ก็ขอให้เห็นแก่หน้าบุตรเขยข้าพเจ้าบ้าง เตียวหุยถามว่า ใครคือบุตรเขยของท่าน โจป้าตอบว่าลิโป้ แค่นั้นเองเตียวหุยสติแตก เพราะเกลียดลิโป้ชนิดเข้ากระดูกดำเป็นทุนอยู่แล้ว จึงบอกว่าที่เราทำนี้เพียงหวังแค่หยอกเล่น แต่เจ้าเอาชื่อไอ้ลิโป้มาข่มขู่ นึกว่าเราจะเกรงกลัวหรือ เราจะให้ตีเจ้าจริง ๆ ให้กระทบไปถึงไอ้ลิโป้ลูกเขย ดูทีรึว่าจะมีอะไรหรือเปล่า
ว่าแล้วเตียวหุยจึงสั่งให้คนใช้เอาตัวโจป้าไปตีได้ประมาณห้าสิบที ขุนนางทั้งปวงก็เข้าไปขอ เตียวหุยจนใจจึงยอมให้งดการโบยตี โจป้าพาตัวที่บอบช้ำกลับบ้าน คิดแค้นเตียวหุยจึงทำหนังสือให้คนถือไปถึงลิโป้ที่เมืองเสียวพ่าย เล่าเหตุการณ์เตียวหุยเสพย์สุราเมาและสั่งโบยตี แล้วยังกล่าวด่าว่าหยาบช้ามาถึงลิโป้ด้วย ขอให้คุมกำลังทหารมายึดเมืองชีจิ๋วในเวลาค่ำคืนวันนี้เห็นจะได้เมืองโดยง่าย ด้วยเตียวหุยยังเมาสุรามิได้สร่าง
ลิโป้แจ้งเนื้อความในหนังสือโจป้า จึงปรึกษาตันก๋ง ตันก๋งจึงว่าเตียวหุยทำหยาบช้านัก เสียวพ่ายเป็นเมืองเล็กเกินไปสำหรับท่าน บัดนี้ได้โอกาสดีแล้ว ควรยกไปตีเอาเมืองชีจิ๋ว จะได้ตั้งหลักสำหรับคิดการใหญ่ต่อไป ลิโป้เห็นชอบด้วย โดยมิได้คิดถึงบุญคุณของเล่าปี่ที่ให้อุปการะตน
ลิโป้ยกทัพไปถึงหน้าประตูเมือง โจป้าคอยทีอยู่สั่งทหารเปิดรับกองกำลังลิโป้เข้าเมืองชีจิ๋ว ฝ่ายทหารเตียวหุยเห็นลิโป้คุมทหารเข้าเมืองก็ตกใจ ตรงเข้าไปปลุกเตียวหุยที่ยังมึนเมาสุราอยู่ เตียวหุยตกใจตื่นฉวยได้ทวนขึ้นม้า แต่รู้ตัวว่ายังเมาสุราอยู่กำลังน้อยสู้ลิโป้ไม่ได้ จึงทิ้งครอบครัวของเล่าปี่ไว้เบื้องหลัง พาทหารสนิท 18 คนหนีออกจากเมือง
ลิโป้เห็นว่าเตียวหุยมีฝีมือจึงมิได้ออกติดตาม ครั้นยึดเมืองชีจิ๋วได้ลิโป้สั่งเกณฑ์ทหารกองร้อยอยู่รักษาครอบครัวเล่าปี่มิให้ผู้ใดทำอันตรายได้ แต่โจป้าพ่อตาลิโป้ยังแค้นเตียวหุยมิหาย คุมทหารประมาณหนึ่งร้อยตามไป เข้าปะทะเตียวหุยแต่ฝีมือขุนนางทหารผู้น้อยอย่างโจป้าห่างชั้น เลยถูกเตียวหุยใช้ทวนแทงตกม้าตายที่ริมแม่น้ำแห่งหนึ่ง
เตียวหุยซมซานฝ่าสายฝนเดินทางไปถึงเมืองอุไถ เล่าความจริงให้เล่าปี่ บรรดาทหารต่างตกใจเป็นห่วงครอบครัวที่ตกค้างอยู่ในเมืองชีจิ๋ว กวนอูถามว่าแล้วอาซ้อทั้งสองของพี่ใหญ่อยู่ที่ไหน เตียวหุยสะอื้นไห้ตอบว่าอยู่ในเมืองชีจิ๋ว กวนอูระงับอารมณ์มิได้จึงว่า เจ้าเสียเมืองขีจิ๋ว มิหนำซ้ำยังทิ้งครอบครัวพี่เราฉะนี้ตัวจะคิดประการใด
เตียวหุยมิได้ตอบคำ แต่รู้สึกอัปยศแก่ทหารและคนทั้งปวง จึงชักกระบี่ออกมาจะเชือดคอตาย เล่าปี่ตกใจวิ่งเข้ากอดเตียวหุยแล้วแย่งกระบี่จากมือ พลางกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า ปราชญ์โบราณท่านว่า พี่น้องเหมือนแขนขา ลูกเมียเหมือนเสื้อผ้า เสื้อผ้าขาดยังพอเย็บได้ แขนขาขาดไม่อาจต่อได้ เราสามคนร่วมน้ำสาบาน มิได้เกิดพร้อมกัน แต่ขอตายวันเดียวกัน ซึ่งเสียเมืองชีจิ๋วและภรรยาเราไปทั้งนี้เป็นแต่ของนอกกาย จะฆ่าตัวตายเสียนั้นใช่ว่าจะทำให้ทุกอย่างกลับคืนมาหาได้ไม่ ถ้าชีวิตยังมีอยู่จะได้คิดอ่านทำการสืบไป จะมาตายเสียเปล่า ๆ ไม่เข้าการ แล้วเล่าปี่ก็ร้องไห้ กวนอู เตียวหุยก็พลอยร้องไห้ไปด้วย
เล่าปี่เห็นทหารกับคนทั้งปวงเป็นทุกข์ ก็พูดปลอบเอาน้ำใจว่า คนเราเกิดมาเป็นมนุษย์ ถ้าเสียทีก็อย่าเป็นทุกข์มาก ถึงจะได้ทีก็อย่าได้ยินดีจนเกินควร อันเมืองชีจิ๋วก็หาใช่สมบัติของเรามาแต่ก่อน อีกทั้งเชื่อแน่ว่าลิโป้ไม่ทำอันตรายแก่ครอบครัวของพี่
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้เราเห็นคุณสมบัติของความเป็นจอมคนในตัวเล่าปี่ได้อย่างชัดเจน เล่าปี่เป็นคนที่มีความคิดมองไปข้างหน้าได้อย่างกว้างไกล มีการตัดสินใจที่เฉียบไว เห็นได้ตั้งแต่ตอนที่ลิโป้เข้ามาพึ่งบุญหนแรกที่ชีจิ๋ว เล่าปี่เสนอมอบเมืองชีจิ๋วให้ลิโป้ทันทีที่พบหน้า เพราะเล็งเห็นประโยชน์ของลิโป้ในขณะที่ผู้อื่นยังมองไม่เห็น
แม้ว่าลึก ๆ เล่าปี่จะไม่ชอบลิโป้ที่เป็นคนมิรู้คุณคน แต่การสร้างบารมีด้วยการแผ่เมตตา เล่าปี่เชื่อว่าจะต้องได้ผลตอบแทนคืนมาไม่มากก็น้อย การรู้จักระงับอารมณ์ไม่วู่วามโกรธเคืองเตียวหุยที่ทำเสียงานจนเสียเมืองชีจิ๋ว อีกทั้งยังทอดทิ้งกำฮูหยินกับบิฮูหยินสองภรรยาของตนไว้เบื้องหลัง
แต่เล่าปี่ข่มใจข่มอารมณ์จนสามารถชนะใจกวนอู เตียวหุยกับผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาทุกหมู่เหล่าอย่างชนิดที่สามารถพลีชีพให้เจ้านายอย่างเล่าปี่ได้ โดยเปรียบพี่น้องเหมือนแขนขา ลูกเมียเหมือนเสื้อผ้า ขาดก็ยังเย็บปะติดได้ แต่พี่น้องเหมือนแขนขา ขาดแล้วหาที่ไหนมาต่ออีกไม่ได้
ลีลาความเป็นผู้นำจอมคนของเล่าปี่ เห็นได้ชัดจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างน่าประทับใจเล่าปี่แปรสถานการณ์วิกฤติสุดขีดให้กลายเป็นโอกาสในการเอาชนะใจผู้คนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาแม้ว่าภายในใจจะเป็นห่วงภรรยาทั้งสองอย่างสุดจิต แต่ก็เก็บซ่อนระงับอารมณ์นิ่งไว้ สิ่งที่ผู้นำอย่างเล่าปี่แสดงออกนอกจากชนะใจทหารหาญในกองทัพแล้ว กิติศัพท์แห่งความเป็นผู้นำที่แฝงไว้ด้วยเมตตาธรรมของเล่าปี่ยังกระจายไปทั่วแว่นแคว้น ราษฎรต่างให้ความเคารพนับถือรักใคร่เล่าปี่มากขึ้นเป็นทวีคูณ
ส่วนกิเหลงพอกลับถึงค่ายกลับสั่งให้ซุนเจ้งทหารรองออกรบ ซุนเจ้งด่าว่าสบประมาทกวนอู กวนอูไม่ฟังเสียงหรือตอบโต้ ขับม้าเข้ารบกับซุนเจ้งเพียงหนึ่งเพลง เหงื่อยังมิทันออก กวนอูใช้ง้าวฟันถูกซุนเจ้งตกม้าตาย เล่าปี่คุมทหารเข้ารบหักเอาค่ายกิเหลงได้ ฆ่าฟันทหารของกิเหลงล้มตายลงเป็นจำนวนมาก จนกิเหลงต้องพาทหารถอยไปตั้งหลักอยู่ริมแม่น้ำซัวหยิน ทั้งสองฝ่ายทำศึกตัดพันกันอีกหลายครั้ง
ฝ่ายเตียวหุยรับมอบหมายจากเล่าปี่ให้รักษาเมืองชีจิ๋ว คนเราไม่เคยเป็นใหญ่มาก่อน เมื่อมีอำนาจก็อดที่จะกร่างในอำนาจมิได้ เตียวหุยมอบให้ตันเต๋งว่าราชการฝ่ายพลเรือน ตัวเองว่าการฝ่ายทหาร อยู่มาวันหนึ่งเตียวหุยที่อดสุรามาหลายเพลา จึงสั่งให้แต่งโต๊ะแล้วเชิญขุนนางฝ่ายทหารมาพร้อมกัน แจ้งว่าเล่าปี่กำชับให้เราอย่าได้เสพย์สุรา วันนี้ขอดื่มให้สนุกสักวัน สืบไปท่านทั้งหลายอย่าได้แตะสุราอีกเป็นอันขาด ว่าแล้วก็รินสุรายกจอกคำนับชวนให้ขุนนางทั้งปวงดื่ม
ขุนนางชื่อโจป้ามิได้รับจอกสุรา บอกเตียวหุยว่าข้าพเจ้าสาบานกับเทพยดาว่าจะไม่ดื่มสุรา แต่เตียวหุยคาดคั้นให้โจป้าดื่มสุราให้ได้ พอตึง ๆ หน้าเตียวหุยจึงโกรธตวาดโจป้าว่าตัวเองเป็นผู้น้อยกว่าเรา บังอาจขัดไม่เสพย์สุรามิเกรงใจเรา จึงสั่งคนใช้เอาตัวโจป้าจะไปโบยตีหนึ่งร้อยครั้ง
ตันเต๋งเห็นเหตุการณ์วุ่นวายจึงปรามเตียวหุย เตือนให้นึกถึงคำสั่งของเล่าปี่ เตียวหุยตอบว่า เราได้แบ่งให้ท่านว่าราชการด้านพลเรือน ตัวเราบังคับบัญชาฝ่ายทหาร แลโจป้าเป็นทหาร ท่านอย่าได้มาก้าวก่าย ฝ่ายคนใช้จะดึงตัวโจป้าไปโบย
โจป้าจึงอ้อนวอนเตียวหุยให้ยกโทษ ถ้าแม้นไม่เห็นแก่หน้าข้าพเจ้า ก็ขอให้เห็นแก่หน้าบุตรเขยข้าพเจ้าบ้าง เตียวหุยถามว่า ใครคือบุตรเขยของท่าน โจป้าตอบว่าลิโป้ แค่นั้นเองเตียวหุยสติแตก เพราะเกลียดลิโป้ชนิดเข้ากระดูกดำเป็นทุนอยู่แล้ว จึงบอกว่าที่เราทำนี้เพียงหวังแค่หยอกเล่น แต่เจ้าเอาชื่อไอ้ลิโป้มาข่มขู่ นึกว่าเราจะเกรงกลัวหรือ เราจะให้ตีเจ้าจริง ๆ ให้กระทบไปถึงไอ้ลิโป้ลูกเขย ดูทีรึว่าจะมีอะไรหรือเปล่า
ว่าแล้วเตียวหุยจึงสั่งให้คนใช้เอาตัวโจป้าไปตีได้ประมาณห้าสิบที ขุนนางทั้งปวงก็เข้าไปขอ เตียวหุยจนใจจึงยอมให้งดการโบยตี โจป้าพาตัวที่บอบช้ำกลับบ้าน คิดแค้นเตียวหุยจึงทำหนังสือให้คนถือไปถึงลิโป้ที่เมืองเสียวพ่าย เล่าเหตุการณ์เตียวหุยเสพย์สุราเมาและสั่งโบยตี แล้วยังกล่าวด่าว่าหยาบช้ามาถึงลิโป้ด้วย ขอให้คุมกำลังทหารมายึดเมืองชีจิ๋วในเวลาค่ำคืนวันนี้เห็นจะได้เมืองโดยง่าย ด้วยเตียวหุยยังเมาสุรามิได้สร่าง
ลิโป้แจ้งเนื้อความในหนังสือโจป้า จึงปรึกษาตันก๋ง ตันก๋งจึงว่าเตียวหุยทำหยาบช้านัก เสียวพ่ายเป็นเมืองเล็กเกินไปสำหรับท่าน บัดนี้ได้โอกาสดีแล้ว ควรยกไปตีเอาเมืองชีจิ๋ว จะได้ตั้งหลักสำหรับคิดการใหญ่ต่อไป ลิโป้เห็นชอบด้วย โดยมิได้คิดถึงบุญคุณของเล่าปี่ที่ให้อุปการะตน
ลิโป้ยกทัพไปถึงหน้าประตูเมือง โจป้าคอยทีอยู่สั่งทหารเปิดรับกองกำลังลิโป้เข้าเมืองชีจิ๋ว ฝ่ายทหารเตียวหุยเห็นลิโป้คุมทหารเข้าเมืองก็ตกใจ ตรงเข้าไปปลุกเตียวหุยที่ยังมึนเมาสุราอยู่ เตียวหุยตกใจตื่นฉวยได้ทวนขึ้นม้า แต่รู้ตัวว่ายังเมาสุราอยู่กำลังน้อยสู้ลิโป้ไม่ได้ จึงทิ้งครอบครัวของเล่าปี่ไว้เบื้องหลัง พาทหารสนิท 18 คนหนีออกจากเมือง
ลิโป้เห็นว่าเตียวหุยมีฝีมือจึงมิได้ออกติดตาม ครั้นยึดเมืองชีจิ๋วได้ลิโป้สั่งเกณฑ์ทหารกองร้อยอยู่รักษาครอบครัวเล่าปี่มิให้ผู้ใดทำอันตรายได้ แต่โจป้าพ่อตาลิโป้ยังแค้นเตียวหุยมิหาย คุมทหารประมาณหนึ่งร้อยตามไป เข้าปะทะเตียวหุยแต่ฝีมือขุนนางทหารผู้น้อยอย่างโจป้าห่างชั้น เลยถูกเตียวหุยใช้ทวนแทงตกม้าตายที่ริมแม่น้ำแห่งหนึ่ง
เตียวหุยซมซานฝ่าสายฝนเดินทางไปถึงเมืองอุไถ เล่าความจริงให้เล่าปี่ บรรดาทหารต่างตกใจเป็นห่วงครอบครัวที่ตกค้างอยู่ในเมืองชีจิ๋ว กวนอูถามว่าแล้วอาซ้อทั้งสองของพี่ใหญ่อยู่ที่ไหน เตียวหุยสะอื้นไห้ตอบว่าอยู่ในเมืองชีจิ๋ว กวนอูระงับอารมณ์มิได้จึงว่า เจ้าเสียเมืองขีจิ๋ว มิหนำซ้ำยังทิ้งครอบครัวพี่เราฉะนี้ตัวจะคิดประการใด
เตียวหุยมิได้ตอบคำ แต่รู้สึกอัปยศแก่ทหารและคนทั้งปวง จึงชักกระบี่ออกมาจะเชือดคอตาย เล่าปี่ตกใจวิ่งเข้ากอดเตียวหุยแล้วแย่งกระบี่จากมือ พลางกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า ปราชญ์โบราณท่านว่า พี่น้องเหมือนแขนขา ลูกเมียเหมือนเสื้อผ้า เสื้อผ้าขาดยังพอเย็บได้ แขนขาขาดไม่อาจต่อได้ เราสามคนร่วมน้ำสาบาน มิได้เกิดพร้อมกัน แต่ขอตายวันเดียวกัน ซึ่งเสียเมืองชีจิ๋วและภรรยาเราไปทั้งนี้เป็นแต่ของนอกกาย จะฆ่าตัวตายเสียนั้นใช่ว่าจะทำให้ทุกอย่างกลับคืนมาหาได้ไม่ ถ้าชีวิตยังมีอยู่จะได้คิดอ่านทำการสืบไป จะมาตายเสียเปล่า ๆ ไม่เข้าการ แล้วเล่าปี่ก็ร้องไห้ กวนอู เตียวหุยก็พลอยร้องไห้ไปด้วย
เล่าปี่เห็นทหารกับคนทั้งปวงเป็นทุกข์ ก็พูดปลอบเอาน้ำใจว่า คนเราเกิดมาเป็นมนุษย์ ถ้าเสียทีก็อย่าเป็นทุกข์มาก ถึงจะได้ทีก็อย่าได้ยินดีจนเกินควร อันเมืองชีจิ๋วก็หาใช่สมบัติของเรามาแต่ก่อน อีกทั้งเชื่อแน่ว่าลิโป้ไม่ทำอันตรายแก่ครอบครัวของพี่
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้เราเห็นคุณสมบัติของความเป็นจอมคนในตัวเล่าปี่ได้อย่างชัดเจน เล่าปี่เป็นคนที่มีความคิดมองไปข้างหน้าได้อย่างกว้างไกล มีการตัดสินใจที่เฉียบไว เห็นได้ตั้งแต่ตอนที่ลิโป้เข้ามาพึ่งบุญหนแรกที่ชีจิ๋ว เล่าปี่เสนอมอบเมืองชีจิ๋วให้ลิโป้ทันทีที่พบหน้า เพราะเล็งเห็นประโยชน์ของลิโป้ในขณะที่ผู้อื่นยังมองไม่เห็น
แม้ว่าลึก ๆ เล่าปี่จะไม่ชอบลิโป้ที่เป็นคนมิรู้คุณคน แต่การสร้างบารมีด้วยการแผ่เมตตา เล่าปี่เชื่อว่าจะต้องได้ผลตอบแทนคืนมาไม่มากก็น้อย การรู้จักระงับอารมณ์ไม่วู่วามโกรธเคืองเตียวหุยที่ทำเสียงานจนเสียเมืองชีจิ๋ว อีกทั้งยังทอดทิ้งกำฮูหยินกับบิฮูหยินสองภรรยาของตนไว้เบื้องหลัง
แต่เล่าปี่ข่มใจข่มอารมณ์จนสามารถชนะใจกวนอู เตียวหุยกับผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาทุกหมู่เหล่าอย่างชนิดที่สามารถพลีชีพให้เจ้านายอย่างเล่าปี่ได้ โดยเปรียบพี่น้องเหมือนแขนขา ลูกเมียเหมือนเสื้อผ้า ขาดก็ยังเย็บปะติดได้ แต่พี่น้องเหมือนแขนขา ขาดแล้วหาที่ไหนมาต่ออีกไม่ได้
ลีลาความเป็นผู้นำจอมคนของเล่าปี่ เห็นได้ชัดจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างน่าประทับใจเล่าปี่แปรสถานการณ์วิกฤติสุดขีดให้กลายเป็นโอกาสในการเอาชนะใจผู้คนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาแม้ว่าภายในใจจะเป็นห่วงภรรยาทั้งสองอย่างสุดจิต แต่ก็เก็บซ่อนระงับอารมณ์นิ่งไว้ สิ่งที่ผู้นำอย่างเล่าปี่แสดงออกนอกจากชนะใจทหารหาญในกองทัพแล้ว กิติศัพท์แห่งความเป็นผู้นำที่แฝงไว้ด้วยเมตตาธรรมของเล่าปี่ยังกระจายไปทั่วแว่นแคว้น ราษฎรต่างให้ความเคารพนับถือรักใคร่เล่าปี่มากขึ้นเป็นทวีคูณ