ตอนที่ 173. ผู้ถือคติ "รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี"

 อ่องสิ้วยืนหยัดมั่นคงในความจงรักภักดีต่อตระกูลอ้วน ไม่ยอมช่วยคิดอ่านวางแผนจับกุมตัวอ้วนชงและอ้วนฮีแก่โจโฉโดยอ้างว่าเป็นพี่น้องของนาย หากกระทำเช่นนั้นแล้วย่อมได้ชื่อว่าเป็นคนอกตัญญูไม่รู้คุณนาย โจโฉแม้ว่าจะไม่สมความปรารถนาในการขอร้องให้อ่องสิ้วช่วยเหลือในเรื่องนี้ แต่กลับชื่นชมในคุณธรรมของอ่องสิ้ว และไม่ขืนใจบังคับอ่องสิ้วอีกต่อไป

            โจโฉผิดหวังจากอ่องสิ้วจึงเรียกบรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองเข้ามาปรึกษาว่าจะทำประการใดจึงจะจับตัวอ้วนชงและอ้วนฮีได้ ในขณะนั้นโจโฉเหลือบไปเห็นกุยแกมีใบหน้าซีดเซียวและไออยู่ตลอดเวลา จึงถามขึ้นว่ากุยแกท่านไม่สบาย เหตุใดจึงไม่พักผ่อนให้หายป่วยเสียก่อน

            กุยแกจึงว่าอาการป่วยของข้าพเจ้าเป็นโรคเก่า บัดนี้ผิดอากาศจึงกำเริบขึ้น แต่คงไม่หนักเท่าใดนัก แล้วว่าท่านอัครมหาเสนาบดีกรำศึกภาคเหนือมาเป็นเวลาช้านาน บัดนี้จวนเจียนจะราบคาบแล้ว เหลืออยู่ก็แต่อ้วนชงและอ้วนฮีเท่านั้น จึงชอบที่จะมานะบากบั่นทำการให้สำเร็จในครั้งนี้ ข้าพเจ้าขอให้ท่านแต่งทหารของอ้วนเสี้ยวที่เข้ามารับราชการอยู่ด้วยท่านคุมทหารยกไปปราบปรามอ้วนชงและอ้วนฮี การคงสำเร็จดังประสงค์ เพราะคนเหล่านี้ย่อมรู้จักตื้นลึกหนาบางการข้างในของอ้วนชงและอ้วนฮีดีกว่าคนอื่น ทั้งพยายามที่จะแสดงผลงานความชอบให้ปรากฏ

            โจโฉได้ฟังดังนั้นจึงสั่งทหารให้ไปเชิญนายทหารเก่าของเมืองกิจิ๋วหกนายคือ เตียวเหียน เตียวหลำ ลิกอง ลิเชียง ม้าเอี๋ยน และเตียวคีเข้ามาพบ

            ครั้นนายทหารทั้งหกคนเข้ามาพบแล้ว โจโฉจึงสั่งให้จัดทหารเป็นสามกอง ให้เตียวเหียนกับเตียวหลำคุมทหารกองหนึ่ง ลิกองและลิเชียงคุมทหารกองหนึ่ง ส่วนม้าเอี๋ยนและเตียวคีให้คุมทหารอีกกองหนึ่ง ให้ทหารทั้งสามกองยกไปเมืองอิวจิ๋วพร้อมกัน กำชับให้จับตัวอ้วนชงและอ้วนฮีให้จงได้

            นายทหารทั้งหกคนรับคำสั่งแล้วเคลื่อนกำลังตรงไปเมืองอิวจิ๋ว

            พอทหารทั้งสามกองยกไปแล้ว โจโฉจึงสั่งให้เตียวเอี๋ยน อดีตหัวหน้ากองโจรโพกผ้าเหลืองที่เพิ่งเข้าสวามิภักดิ์ กับลิเตียนและงักจิ้นคุมทหารอีกกองหนึ่งยกไปเมืองเป๊งจิ๋ว กำชับให้จับโกกันให้จงได้ ทหารกองนี้รับคำสั่งแล้วจึงเคลื่อนกำลังตรงไปเมืองเป๊งจิ๋ว 

            ทางฝ่ายอ้วนฮีและอ้วนชงพอทราบข่าวศึกก็ปรึกษากันสองพี่น้องว่าจะรับมือกับกองทัพของโจโฉครั้งนี้ประการใด แต่ในที่สุดก็เห็นว่าตัวเมืองเล็ก ทหารก็น้อย และขวัญเสีย คงจะไม่สามารถตั้งรับกองทัพของโจโฉอยู่ที่เมืองอิวจิ๋วได้ จำเป็นจะต้องหนีออกจากเมืองอิวจิ๋วเอาตัวรอดไว้ก่อน

            ครั้นปรึกษากันว่าจะหนีไปที่ใดจึงจะปลอดภัย ก็เห็นว่าเมืองเลียวไสซึ่งขึ้นแก่เมืองอิวจิ๋วนั้นมีโฮห้วนเป็นเจ้าเมือง ตระกูลอ้วนเคยทำนุบำรุงเจ้าเมืองผู้นี้มาแต่ก่อน พอจะพึ่งพาอาศัยเฉพาะหน้าได้ สองพี่น้องเห็นต้องกันดังนี้จึงพาทหารหนีออกจากเมืองอิวจิ๋วจะไปอาศัยอยู่กับโฮห้วนที่เมืองเลียวไส

            ทางด้านเมืองเลียวไสนั้น โฮห้วนผู้เป็นเจ้าเมืองแม้เป็นข้าเก่าเต่าเลี้ยงของตระกูลอ้วนมาแต่ก่อน แต่เป็นคนขี้ขลาด คิดแต่จะเอาตัวรอด พอทราบข่าวว่าเมืองกิจิ๋วเสียแก่โจโฉ และโจโฉได้เคลื่อนทัพเพื่อปราบปรามหัวเมืองฝ่ายเหนือให้ราบคาบก็กลัวว่าจะเป็นอันตราย คิดเอาใจออกหากจากตระกูลอ้วน แปรพักตร์ไปเข้ากับโจโฉ

            โฮห้วนตรองความอยู่แต่ผู้เดียวก็หวั่นเกรงว่าหากทำการแต่ลำพังตัว พรรคพวกเก่าจำนวนมากยังมีน้ำใจภักดีต่อตระกูลอ้วนอยู่ จะคิดอ่านขัดขวางหรือทำร้ายให้การที่คิดไว้เสียทีไป จำจะต้องฟังความจากพรรคพวกเสียก่อนว่ามีความเห็นเป็นประการใด

            ดังนั้นโฮห้วนจึงเชิญบรรดาแม่ทัพนายกองและขุนนางเมืองเลียวไสมากินโต๊ะที่จวนเจ้าเมือง สั่งให้เตรียมสุราอาหารอย่างเต็มที่เพื่อเลี้ยงดูบรรดาแม่ทัพนายกองและขุนนางเหล่านั้น แต่เพราะใจหวั่นว่าจะมีคนคัดค้าน โฮห้วนจึงวางอำนาจถือกระบี่เข้ามาในห้องจัดเลี้ยงแล้ววางกระบี่ไว้บนโต๊ะ จากนั้นจึงปรารภว่าบัดนี้เมืองกิจิ๋วเสียแก่โจโฉแล้ว กองทัพของเมืองหลวงเข้มแข็ง ทำการภายใต้รับสั่งของพระเจ้าเหี้ยนเต้ แม้ใครต้านทานก็จะต้องหาว่าเป็นกบฏต่อแผ่นดิน บัดนี้โจโฉกำลังนำทัพปราบปรามหัวเมืองภาคเหนือให้สงบราบคาบ เราเห็นว่าจะต้านทานกองทัพของเมืองหลวงไม่ได้ เห็นแก่อาณาประชาราษฎรจะได้ความเดือดร้อนจึงคิดอ่านจะชวนพวกท่านเพื่อยอมขึ้นต่อโจโฉเสียโดยดี ทุกคนก็จะมีความสุขสืบไป

            พอสิ้นคำโฮห้วนบรรยากาศที่กำลังกินโต๊ะกันอยู่ก็เงียบกริบเพราะทุกคนคาดไม่ถึงว่าโฮห้วนจะคิดอ่านเนรคุณแปรพักตร์จากตระกูลอ้วนไปเข้าด้วยโจโฉ ในทันใดนั้นบรรยากาศแห่งความเงียบก็ถูกทำลายลง ปรากฏเป็นฮันหองขุนนางฝ่ายทหารของเมืองเลียวไสซึ่งจงรักภักดีต่อตระกูลอ้วนมั่นคงอยู่ ได้ลุกขึ้นยืนแล้วหยิบกระบี่ของโฮห้วนที่วางอยู่บนโต๊ะขว้างลงที่พื้น  แล้วว่าอ้วนเสี้ยวเจ้านายเราได้เลี้ยงดูทำนุบำรุงพวกเราเป็นสุขมาช้านาน ยังหาได้มีโอกาสทดแทนคุณให้คุ้มกับข้าวแดงแกงร้อนที่ได้รับพระคุณไม่ บัดนี้อ้วนเสี้ยวนายเราตายไปไม่ทันนาน ลูกหลานได้รับความเดือดร้อน ชอบที่พวกเราจะต้องอาสาเจ้าจนตัวตาย อาสานายโดยไม่คิดแก่ชีวิต ตามแบบอย่างของวีรชนในอดีต แต่นี่ไม่ทันไรกลับคิดทรยศกบฏต่อนายจะไปเข้าด้วยศัตรู ตัวเรานี้ไม่เห็นด้วยอย่างเด็ดขาด

            บรรดาขุนนางและแม่ทัพนายกองได้ยินเจ้าเมืองและนายทหารใหญ่โต้เถียงกันดังนี้ก็พากันเงียบกริบ โฮห้วนเห็นดังนั้นก็เข้าใจว่าบรรดาคนเหล่านั้นเห็นชอบกับความเห็นของตัว จึงว่าความคิดอ่านของเราทั้งนี้ตั้งอยู่บนประโยชน์และความสุขของราษฎร มิให้ตกตายเพราะกองทัพของโจโฉ และแม้หากเข้าด้วยโจโฉแล้วอำนาจวาสนาทั้งปวงของพวกเราก็จะยังคงอยู่ ไม่แตกต่างอันใดกับที่เป็นอยู่ในขณะนี้ จะว่าเราเนรคุณย่อมไม่ชอบ เพราะอ้วนเสี้ยวนายเราก็ตายแล้ว ลูกหลานตระกูลอ้วนก็วิวาททำสงครามแก่กัน ไม่รู้ข้างใดผิด ข้างใดถูก และไม่รู้ว่าจะเข้าข้างลูกคนใด เหตุนี้เราจึงคิดอ่านให้เข้ากับโจโฉซึ่งคนทั้งปวงก็เห็นชอบกับความคิดของเรา คงมีแต่ตัวเท่านั้นที่ขัดขวางอยู่

            แล้วว่าก็แลเมื่อตัวเป็นเสียงข้างน้อย จึงชอบที่จะคล้อยตามความเห็นของพวกเราซึ่งเป็นข้างมาก มิฉะนั้นก็จงไปอยู่เสียที่อื่น จะได้ไม่เสียไมตรีที่มีมาแต่ก่อน

            โฮห้วนทิ้งความภักดีกตัญญูต่อเจ้านายเก่า แต่กลับอ้างลัทธิประชาธิปไตยเอาเสียงข้างมากลากไปเพื่อให้ฮันหองยอมตามความเห็นของตัว  ในขณะที่เสียงข้างมากที่อ้างนั้นเป็นเพียงสากกะเบือเพราะไม่มีสติปัญญาไร้ความคิดความเห็นจึงเงียบอยู่เหมือนเป่าสาก การรู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดีของโฮห้วนครั้งนี้หมิ่นเหม่ท้าทายต่อคุณธรรม และเป็นเครื่องเตือนใจผู้เป็นใหญ่ทั้งปวงที่จะเลี้ยงดูใช้สอยผู้คนว่าหากใช้คนจำพวกรู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดีดังนี้แล้ว ผลบั้นปลายจะเป็นฉันใด

            ความจริงคติ “รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี” ที่สุนทรภู่อัครมหากวีของไทยเอามาใส่ปากพระฤาษีสอนสุดสาครในวรรณคดีเรื่องพระอภัยมณีว่า “รู้สิ่งใดไม่สู้รู้วิชา รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี” นั้น เป็นการสอนเยาวชนและผู้คนทั้งปวงให้เป็นคนเห็นแก่ตัว และเพราะเหตุที่สั่งสอนอบรมมาดั่งนี้ บ้านเมืองจึงมีแต่คนคิดเอาตัวรอด ทอดทิ้งไม่ปกปักษ์รักษาประโยชน์ของบ้านเมือง จนในที่สุดผลกระทบก็ย้อนกลับมาทำให้ทุกคนต้องผจญอยู่กับชะตากรรม

            ฮันหองได้ฟังดังนั้นเหลียวไปดูทั้งห้องจัดเลี้ยงเห็นทุกผู้คนก้มหน้าเงียบอยู่ก็เสียใจที่คนเหล่านั้นรักตัวกลัวตาย ติดยึดในอำนาจวาสนา ทอดทิ้งคุณธรรม คิดว่าขืนเสวนาอยู่กับคนพวกนี้ก็จะได้ชื่อว่าเป็นคนอกตัญญู จึงยืนยันในความเห็นเดิมที่ไม่ยอมเข้าด้วยโจโฉ แต่เพื่อไม่ให้เสียไมตรีที่เคยมีมาฮันหองจึงถือกระบี่เดินออกมาเสียจากห้องจัดเลี้ยงนั้น

            ทางฝ่ายอ้วนฮีและอ้วนชงเมื่อยกทหารมาใกล้เขตเมืองเลียวไสก็ให้ปลงทัพไว้แล้วส่งกองสอดแนมเข้าไปสอดแนมข่าวสารข้างในเมืองว่ามีข่าวคราวประการใด พอหน่วยสอดแนมได้ข่าวคราวความขัดแย้งระหว่างเจ้าเมืองกับฮันหองจึงนำความมารายงานให้อ้วนฮีและอ้วนชงทราบว่าบัดนี้เจ้าเมืองเลียวไสได้แปรพักตร์คิดอ่านจะเข้าด้วยโจโฉ ส่วนฮันหองขุนนางฝ่ายทหารผู้ภักดีไม่เห็นด้วยแต่เป็นเสียงข้างน้อยจึงหนีออกจากเมืองไป

            อ้วนฮีและอ้วนชงได้ทราบรายงานดังนั้นจึงปรึกษากันว่าเมื่อสถานการณ์เป็นดังนี้ก็จะยกเข้าไปอาศัยอยู่ในเมืองเลียวไสไม่ได้ และถ้าตั้งทัพไว้ที่เดิมก็เกรงว่าข้างในเมืองทราบข่าวแล้วจะยกทหารออกมาทำร้าย ดังนั้นพอค่ำลงอ้วนฮีและอ้วนชงจึงพาทหารลอบยกไปทางด้านตะวันตกเพื่อให้ปลอดภัยจากการติดตามไล่ล่าของทหารเมืองเลียวไสเสียชั้นหนึ่งก่อน ส่วนจะไปอาศัยเมืองใดนั้นค่อยคิดอ่านต่อไป

            ฝ่ายกองทัพของโจโฉที่ให้นายทัพหกคนคุมทหารเป็นสามกองยกไปจับอ้วนฮีและอ้วนชงที่เมืองอิวจิ๋วนั้น เมื่อเคลื่อนทัพเข้าเขตเมืองอิวจิ๋วก็ทราบข่าวว่าอ้วนชงและอ้วนฮีพาทหารหนีออกจากเมืองจะไปอาศัยอยู่ที่เมืองเลียวไส จึงเคลื่อนกองทัพตรงไปเมืองเลียวไส

            พอกองทหารทั้งสามกองยกไปใกล้เขตแดนเมืองเลียวไส ข้างในเมืองก็ทราบข่าว โฮห้วนเจ้าเมืองจึงนำบรรดาขุนนางและกรมการเมืองต่าง ๆ ออกไปต้อนรับกองทัพของฝ่ายโจโฉที่นอกเมือง แล้วขอเข้าสวามิภักดิ์ด้วยกองทัพของโจโฉ

            เตียวเหียนผู้บังคับบัญชากองทหารกองหนึ่งในจำนวนทั้งสามกองเห็นดังนั้นจึงว่าพวกเราเป็นนายทหาร รับคำสั่งให้มาจับตัวอ้วนชงและอ้วนฮี ซึ่งเราได้กิตติศัพท์ว่าหนีมาอยู่ที่เมืองเลียวไส ความจริงเท็จเป็นประการใด จงว่ามาแต่โดยจริง

            โฮห้วนจึงว่าอ้วนฮีและอ้วนชงไม่เคยยกมาอาศัยที่เมืองเลียวไส และบัดนี้ไม่ทราบว่าอยู่แห่งหนตำบลใด

            นายทหารทั้งหกนายเมื่อไม่ทราบข่าวคราวของอ้วนฮีและอ้วนชงว่าหลบหนีไปอยู่แห่งหนตำบลใดก็จนใจ ไม่รู้ว่าจะติดตามจับกุมได้อย่างไร จึงพากันยกกองทัพกลับและพาโฮห้วนไปในกองทัพเพื่อไปพบโจโฉพร้อมกัน

            นายทหารทั้งหกนายรายงานความทั้งปวงแล้วพาตัวโฮห้วนเข้าพบโจโฉ    โจโฉทราบความและเห็นดังนั้นก็มีความยินดี แล้วแต่งตั้งโฮห้วนเป็นเจ้าเมืองเลียวไสตามเดิม แต่ตัวนั้นให้ปฏิบัติหน้าที่ราชการประจำอยู่ในกองทัพ

            ในขณะนั้นทหารสื่อสารจากกองทัพของเตียวเอี๋ยนซึ่งยกไปตีเมืองเป๊งจิ๋วได้มาขอพบโจโฉ และรายงานว่าบัดนี้กองทัพซึ่งยกไปตีเมืองเป๊งจิ๋วนั้นปรากฏว่าโกกันเจ้าเมืองเป๊งจิ๋วทราบข่าวศึกแล้วได้ยกทหารออกมาตั้งค่ายรับศึกอยู่ที่ด่านโฮกวน ทั้งสองฝ่ายได้รบพุ่งกันหลายครั้งหลายหนแต่ยังไม่แพ้ชนะแก่กัน จึงนำความมารายงานให้ทราบไว้ชั้นหนึ่งก่อน

            โจโฉได้ทราบรายงานแล้วเห็นว่าหากปล่อยให้ทั้งสองฝ่ายรบกันอยู่ดังนี้มิรู้วันแพ้ชนะ การศึกก็จะยืดเยื้อไม่มีกำหนด จึงสั่งให้เคลื่อนกองทัพออกจากเมืองลำพี้ยกไปด่านโฮกวนเพื่อหนุนช่วยกองทัพของเตียวเอี๋ยน งักจิ้น และลิเตียนเผด็จศึกเมืองเป๊งจิ๋วต่อไป

            ฝ่ายเตียวเอี๋ยน งักจิ้น และลิเตียน ซึ่งคุมทัพยกมารบกับโกกัน พอทราบข่าวว่าโจโฉยกกองทัพหนุนมาช่วยจึงพากันไปต้อนรับ แล้วรายงานความศึกทั้งปวงให้โจโฉทราบ

            โจโฉทราบความแล้วสั่งให้บรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองไปประชุมที่ค่ายบัญชาการของกองทัพเตียวเอี๋ยน แล้วปรึกษาว่าข้าศึกชำนาญภูมิประเทศและตั้งรับมั่นคงอยู่ดังนี้ จะทำประการใดจึงจะเอาชัยชนะศึกครั้งนี้

            เตียวเอี๋ยน งักจิ้นและลิเตียน ซึ่งคุมทัพยกมารบกับโกกันอยู่ก่อน ได้เสนอว่าท่านอัครมหาเสนาบดีจะปรารมภ์ไปไยกับกองทัพเมืองเป๊งจิ๋วเพียงเท่านี้ เพราะข้าศึกมีกำลังน้อยกว่ากองทัพของฝ่ายเรา และไม่ชำนาญการศึก หากรบพุ่งกันต่อไปคงสามารถเอาชัยชนะจับตัวโกกันได้ หรือมิฉะนั้นฝ่ายโกกันคงจะมีน้ำใจย่อท้อ แล้วขอเข้าสวามิภักดิ์แต่โดยดี.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร