ตอนที่ 172. ตายเพราะแผนเสี่ยงตาย
ซินเบ้งขุนนางเมืองกิจิ๋ว ข้าเก่าของอ้วนเสี้ยวปฏิเสธไม่ยอมรับอำนาจวาสนาที่โจโฉหยิบยื่นให้เพราะมีใจภักดีกตัญญูต่อตระกูลอ้วน ปฏิเสธไม่ยอมอยู่รับราชการร่วมกับผู้เป็นน้องชายตามข้อเสนอที่ให้พี่น้องได้อยู่ร่วมกัน เพราะถือเอาคุณธรรมที่ข้าต้องภักดีต่อเจ้า บ่าวต้องภักดีต่อนายเป็นสำคัญ แต่กลับต้องตายอย่างน่าอนาถเพราะความไม่รู้ค่าแห่งคุณธรรมของอ้วนถำบุตรถ่อยของอ้วนเสี้ยว
พอซินเบ้งตายแล้วอ้วนถำจึงปรึกษาด้วยกัวเต๋าว่าจะรับมือกับกองทัพโจโฉในครั้งนี้ประการใด
กัวเต๋าเห็นเหตุการณ์มาถึงขั้นนี้ก็สุดแสนจะเหนื่อยหน่าย จึงตัดพ้อต่อว่าอ้วนถำว่าเมื่อครั้งก่อนยามโอกาสเอื้อให้ ข้าพเจ้าได้เสนอความเห็นให้ท่านอ่อนน้อมสวามิภักดิ์ด้วยโจโฉแต่ท่านไม่เชื่อฟัง บัดนี้ถูกกองทัพโจโฉล้อมไว้ทั้งสี่ด้านสิ้นหนทางแล้ว ขอสวามิภักดิ์เขาก็ไม่ยอมรับ แม้หากคิดต่อสู้ก็ย่อมยากเอาชัยชนะได้เพราะข้าศึกฮึกห้าวเหิมหาญ แต่ฝ่ายเรานั้นกลับอ่อนล้าเสียขวัญ คิดประหวั่นแต่จะแพ้พ่าย
กระนั้นกัวเต๋ายังคงมีใจรักภักดีต่อตระกูลอ้วน แม้ถึงคราวอับจนสิ้นหนทางแล้วก็ไม่คิดทอดทิ้งท้อถอย แต่เพราะสิ้นปัญญาแก้ไขจึงเสนอให้เสี่ยงตาย แล้วว่ากับอ้วนถำว่า “บัดนี้ตัวเราก็เข้าอยู่ที่แคบขัดสน เหมือนหนึ่งคนไข้หนัก หมอคาดวันตายอยู่แล้ว จำจะคิดอ่านเอายาทั้งปวงประสมกันเข้าวางดูอีกครั้งหนึ่ง แม้พอชอบโรคก็จะคลาย หาไม่ก็จะตาย”
แล้วเสนอว่าขอให้อ้วนถำเกณฑ์ทั้งทหารและพลเรือนทั้งเมืองลำพี้ยกไปรบด้วยโจโฉโดยให้ชาวเมืองเป็นกองหน้า ให้อ้วนถำคุมทหารเป็นกองทัพหลวง หากเทพยดายังเป็นใจก็คงจะเอาชนะหรือหนีเอาตัวรอดได้
แผนการความคิดของกัวเต๋าในครั้งนี้ถ้าอุปมาดั่งพ่อครัวปรุงอาหารก็อุปมาได้ว่าเป็นการแกงจับฉ่าย เอาเนื้อและผักทุกอย่างเท่าที่มีอยู่มาผสมปนเปกันแล้วปรุงขึ้น จะกินได้หรือไม่ได้หาได้สนใจไม่ นี่คือการเสี่ยงตาย ซึ่งมีกฎธรรมชาติของการเสี่ยงตายอยู่ว่าย่อมมีผลคือความตายอยู่เบื้องหน้า หนทางที่จะรอดตายไปได้มีทางเดียวเท่านั้นคือสวรรค์บันดาลให้เป็นไป
อ้วนถำสิ้นคิดอับจนปัญญาอยู่แล้ว ไม่เห็นแผนการอื่นใดดีกว่านี้จึงจำใจยอมรับเอาแผนของกัวเต๋า สั่งให้เกณฑ์พลเรือนทั้งเมืองตั้งขบวนเป็นกองหน้าแล้วให้ทหารเป็นกองหลวงเตรียมพร้อมไว้ พอกินข้าวมื้อเย็นเสร็จก็สั่งทหารให้ทำลายเครื่องครัวเสียทั้งสิ้น แล้วให้พลเรือนและทหารทั้งปวงรีบพักผ่อนหลับนอนแต่หัวค่ำ
พอท้องฟ้าเริ่มสาง แสงอาทิตย์ยังไม่ทันทอทาบฟากฟ้าเบื้องบูรพา อ้วนถำสั่งให้เปิดประตูเมืองทั้งสี่ด้านแล้วให้จัดขบวนของชาวเมืองเป็นสี่กอง ยกออกจากประตูเมืองโดยกำลังทหารทั้งปวงนั้นก็ให้จัดเป็นสี่กองยกตามไป
อ้วนถำสั่งให้ขบวนทัพผสมพลเรือนทหารบุกเข้าโจมตีค่ายโจโฉพร้อมกันทั้งสี่ด้าน ทางฝ่ายโจโฉเมื่อทราบข่าวว่าถูกกองทัพอ้วนถำยกมาโจมตี ไม่รู้ความว่าเป็นกองทัพของคนสิ้นคิดและเป็นกองกำลังผสมของทหารและพลเรือน จึงให้ทหารทุกค่ายต่อสู้ป้องกันค่ายไว้เป็นสามารถ
ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันจนถึงตะวันเที่ยง บาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก โจโฉเห็นดังนั้นจึงพาทหารขึ้นไปที่เนินเขา เห็นกองทัพของอ้วนถำเป็นเพียงกองทัพผสมทหารพลเรือน ไม่มีสิ่งใดที่น่าเกรงกลัวอีกต่อไป จึงสั่งให้พลกลองลั่นกลองรบเป็นสัญญาณเร่งเผด็จศึก
เหล่าทหารของกองทัพโจโฉได้ยินสัญญาณให้รุกรบเข้าโจมตีข้าศึก ต่างฮึกห้าวเหิมหาญเพราะเชื่อมั่นในการบัญชาการสงครามของโจโฉว่าคงเห็นจุดอ่อนของกองทัพข้าศึกแลเห็นชัยชนะเบื้องหน้าแล้วจึงเร่งเร้าให้เข้าโจมตีเอาชัย จึงพากันรุกรบฆ่าฟันทหารและพลเรือนในกองทัพผสมของอ้วนถำบาดเจ็บล้มตายลงเป็นจำนวนมาก
กองทัพของอ้วนถำต้านทานกำลังทหารของโจโฉไม่ได้จึงพากันแตกหนี โจหองได้ขับม้าตรงเข้าไปที่ม้าของอ้วนถำ ทั้งสองฝ่ายได้ต่อสู้กันราวสิบเพลง โจหองใช้ง้าวฟันถูกอ้วนถำหลายแห่งจนตกลงจากหลังม้าถึงแก่ความตาย
กัวเต๋าเห็นดังนั้นก็ตกใจ รีบชักม้าจะหนีกลับเข้าเมือง งักจิ้นเห็นดังนั้นจึงขับม้าไล่ตามไป พอได้ระยะเกาทัณฑ์งักจิ้นจึงเอาเกาทัณฑ์ขึ้นพาดสายยิงไปที่กัวเต๋าถูกกัวเต๋าพลัดลงจากหลังม้าตกไปในคูเมืองถึงแก่ความตาย
โจโฉเห็นดังนั้นจึงสั่งให้ทหารตัดศีรษะของอ้วนถำเสียบที่ปลายทวนแล้วออกไปป่าวประกาศให้ชาวเมืองลำพี้ได้รับรู้ทั่วกันว่าอ้วนถำเป็นกบฏ ถูกกองทัพจากเมืองหลวงสังหารแล้ว หากผู้ใดร้องไห้อาลัยรักอ้วนถำจะถือว่าร่วมการกบฏด้วย และจะลงโทษประหารชีวิต ป่าวประกาศทั่วทั้งเมืองแล้ว โจโฉจึงสั่งให้เอาศีรษะอ้วนถำไปเสียบประจานไว้ที่ประตูเมืองด้านทิศเหนือ
จากนั้นโจโฉจึงยกทหารเข้าไปในเมือง จัดแจงการปกครองจนสงบราบคาบเป็นปกติ
ในขณะที่โจโฉจัดแจงภายในเมืองอยู่นั้น ทหารสอดแนมได้เข้ามารายงานว่าบัดนี้มีกองทัพยกมาเป็นอันมาก มุ่งหน้ามาทางเมืองลำพี้ แต่ไม่รู้ว่าเป็นกองทัพของผู้ใด
โจโฉได้ทราบรายงานดังนั้นจึงสั่งให้จัดทหารยกออกจากเมืองเตรียมรับมือกับกองทัพของผู้มาใหม่
ครู่หนึ่งก็เห็นกองทหารยกมาเป็นอันมาก ทหารตัวนายขี่ม้าตรงเข้ามาสองคน พอเข้ามาระยะใกล้ก็ลงจากหลังม้า ถอดเกราะ วางอาวุธ เดินตรงมาที่ข้างหน้าโจโฉแล้วคุกเข่าลงคารวะ
โจโฉจึงถามว่าท่านทั้งสองเป็นทหารของเมืองใด เหตุไฉนจึงยกมาที่นี่ นายทหารทั้งสองคนนั้นได้ตอบว่าตัวข้าพเจ้าชื่อเตียวเหียน และเตียวหลำ เป็นนายทหารของอ้วนฮีซึ่งเป็นบุตรของอ้วนเสี้ยว ได้ทราบว่าท่านอัครมหาเสนาบดีมีน้ำใจโอบอ้อมอารีต่อทหารแลราษฎรทั้งปวงจึงมีจิตศรัทธาใคร่สวามิภักดิ์เข้ารับราชการด้วยท่าน ปรึกษาพร้อมกันแล้วจึงยกมาที่เมืองลำพี้นี้
โจโฉได้ฟังแล้วมีความยินดี รับเอากองทหารของเตียวเหียนและเตียวหลำเข้าเป็นทหารในสังกัดของกองทัพเมืองหลวง และแต่งตั้งให้เตียวเหียนและเตียว หลำเป็นนายทหาร รับผิดชอบบัญชาการกองทหารที่พามานั้น
โจโฉรับสวามิภักดิ์สองนายทหารเก่าของอ้วนฮีไม่ทันนาน เตียวเอี๋ยนซึ่งเป็นแกนนำท้องถิ่นคนหนึ่งของกลุ่มโจรโพกผ้าเหลืองมาแต่เดิมและบัดนี้แตกกระสานซ่านเซ็นตั้งตัวไม่ติดได้ทราบความที่โจโฉกรีฑาทัพปราบปรามหัวเมืองภาคเหนือ จึงพาพรรคพวกสิบหมื่นมาขอเข้าทำราชการด้วยโจโฉ
โจโฉรับสวามิภักดิ์ไว้ด้วยความยินดี และเนื่องจากเตียวเอี๋ยนมีไพร่พลเป็นจำนวนมากจึงตั้งให้เตียวเอี๋ยนเป็นนายทหารมีตำแหน่งที่พระยา ชื่อว่า “เจ้าพระยาปราบหัวเมืองฝ่ายเหนือ”
ในขณะที่โจโฉปรับปรุงกองทัพรับเอาทหารใหม่ที่เข้าสวามิภักดิ์เข้าสังกัดกรมกองอยู่นั้น ทหารรักษาการณ์หน้าประตูเมืองด้านทิศเหนือได้เข้ามารายงานว่าบัดนี้มีคนฝ่าฝืนคำสั่งที่ห้ามร้องไห้อาลัยรักอ้วนถำ และยังคงร้องไห้คร่ำครวญอยู่ที่ศีรษะอ้วนถำซึ่งเสียบประจานไว้นั้น
โจโฉได้ฟังรายงานแล้วก็โกรธ สั่งทหารให้จับตัวผู้ฝ่าฝืนคำสั่งเข้ามาพบ โจโฉเห็นนักโทษมีลักษณะผิดจากชาวบ้านสามัญ เพราะบุคลิกท่าทางคล้ายกับเป็นขุนนางก็สงสัยจึงถามว่าท่านเป็นใคร ไฉนจึงฝ่าฝืนคำสั่งเรามาร้องไห้อาลัยรักอ้วนถำอยู่ดังนี้
นักโทษนั้นจึงว่าข้าพเจ้าชื่ออองสิ้ว เป็นขุนนางเก่าเมืองกิจิ๋ว มีหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของอ้วนถำ หลังอ้วนเสี้ยวสิ้นบุญแล้วลูกหลานทะเลาะเบาะแว้งแย่งอำนาจกัน ข้าพเจ้าได้พยายามเกลี้ยกล่อมให้ประนีประนอมปรองดองไว้ จะได้ตั้งตัวรักษาหัวเมืองฝ่ายเหนือให้เป็นสมบัติของตระกูลอ้วนสืบไป แต่หามีใครเชื่อฟังข้าพเจ้าไม่ คงตั้งหน้าวิวาทบาดหมางทำลายล้างกันเอง จนเสียเมืองและตัวตายฉะนี้
แล้วว่าข้าพเจ้าเป็นข้าเก่า เมื่อสิ้นบุญนายก็คิดถึงคุณอาลัยรักจึงมาร้องไห้อยู่ดังนี้
โจโฉจึงถามว่าเราได้ออกคำสั่งห้ามมิให้ผู้ใดมาร้องไห้อาลัยรักแก่อ้วนถำผู้เป็นกบฏต่อแผ่นดิน เจ้าทราบความตามคำสั่งของเราหรือหาไม่
อองสิ้วยอมรับตามความเป็นจริงว่าได้ทราบคำสั่งอยู่ก่อนแล้ว
โจโฉได้ฟังดังนั้นจึงถามขึ้นด้วยเสียงขุ่นว่าก็แลเมื่อเจ้าทราบคำสั่งของเราแล้ว ไฉนไม่กลัวตาย กล้าฝ่าฝืนคำสั่งมาร่ำไห้อีกเล่า
อองสิ้วจึงว่า “แต่ก่อนนั้นข้าพเจ้ามีความสุขมากก็เพราะอ้วนถำเลี้ยงดู บัดนี้อ้วนถำถึงแก่ความตาย ครั้นนิ่งเสียก็เหมือนหนึ่งคนหากตัญญูต่อนายไม่ ซึ่งจะเป็นคนอยู่ไปนั้นผู้ใดจะสรรเสริญนับถือว่าเป็นคน จึงได้มาร้องไห้รักเพราะคิดถึงคุณอ้วนถำ ถึงมาตรว่าท่านจะฆ่าข้าพเจ้าเสียด้วยโทษละเมิดนี้ก็ตาม แต่ขอให้ข้าพเจ้าได้แต่งการศพอ้วนถำเถิดก็จะก้มหน้าตายตามนายไป”
โจโฉได้ฟังดังนั้นจึงนึกขึ้นแต่ในใจว่า หัวเมืองฝ่ายเหนือนี้มีผู้มีคุณธรรม น้ำใจสัตย์ซื่อ จงรักภักดีต่อเจ้านายเป็นอันมาก หากแม้นว่าอ้วนเสี้ยวและบุตรหลานสมานฉันท์กันเป็นปกติและเอาใจใส่ทำนุบำรุงขุนนางที่ปรึกษาข้าราชการ รับฟังความคิดอ่านตามควรแล้ว ใครเลยจะรุกรานหัวเมืองฝ่ายเหนือได้ และไหนเลยเราจะยึดเมืองกิจิ๋วได้
โจโฉคิดดังนี้น้ำใจก็คล้อยมาเห็นแก่ความภักดีของอองสิ้ว จึงสั่งให้แต่งการศพของอ้วนถำตามอย่างธรรมเนียม แล้วนำไปฝังไว้ที่สุสานตระกูลอ้วน
สำหรับอองสิ้วนั้นโจโฉเห็นว่าเป็นข้าภักดีเจ้า บ่าวภักดีนาย มีน้ำใจซื่อสัตย์กตัญญู ไม่กลัวแก่ความตาย จึงชักชวนเอาตัวไว้ใช้ในราชการ อองสิ้วเห็นโจโฉไม่เอาโทษ ทั้งบุญเจ้านายก็สิ้นแล้ว จึงตกลงทำราชการกับโจโฉแต่บัดนั้น โจโฉจึงแต่งตั้งให้อองสิ้วเป็นขุนนางประจำกระทรวงการคลัง
โจโฉแม้จะเปี่ยมด้วยเล่ห์เพทุบายในการศึกสงคราม แต่ในการบริหารราชการแผ่นดินนั้นยังคงยึดมั่นที่จะรักษาความเป็นปึกแผ่นของบ้านเมือง และรักษาระบอบการปกครองให้เป็นไปโดยเรียบร้อยและเป็นประโยชน์แก่บ้านเมือง จึงสรรหาเลือกคนที่มีความซื่อสัตย์ภักดีไว้เป็นขุนนางโดยเฉพาะขุนนางในกระทรวงการคลังอันควรที่คนชั้นหลังจะได้ถือเป็นแบบอย่าง แต่กระนั้นแทนที่คนชั้นหลังจะถือเอาแบบอย่างที่ดีงามคิดสรรผู้มีสติปัญญาความสามารถและสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน กลับถือเอาแบบอย่างของจิตใจที่ชั่วช้าเลวทรามมาเป็นหลัก เอาสมัครพรรคพวกที่มือเปื้อนไปด้วยโคลนและมลทินจากการโกงกินสถาบันการเงินจนล่มจมเข้ามาทำราชการ ดูแลการเงินการคลังของแผ่นดิน ดังนี้วินาศภัยของบ้านเมืองจึงเป็นเรื่องที่ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้
วันหนึ่งโจโฉจึงให้หาอองสิ้วเข้ามาปรึกษาว่าบัดนี้อ้วนถำก็ตายแล้ว เหลือแต่อ้วนชงซึ่งหนีไปอยู่กับอ้วนฮี ณ เมืองอิวจิ๋ว ในฐานะที่ท่านเป็นผู้รู้สายสนกลในมาแต่ก่อน จงคิดอ่านแผนการว่าจะทำประการใดจึงจะได้ตัวอ้วนชงและอ้วนฮี แผ่นดินภาคเหนือจะได้เป็นสุข
อองสิ้วได้ฟังดังนั้นจึงว่า “มหาอุปราชก็มีคุณแก่ข้าพเจ้า ถ้าเป็นการอื่นมีมาข้าพเจ้าจะคิดอ่านสนองคุณท่านตามสติปัญญา ซึ่งจะให้ข้าพเจ้าคิดจับตัวอ้วนชงซึ่งเป็นพี่น้องของนายนั้นจนอยู่ ตามแต่ท่านจะโปรด”
อองสิ้วแม้วันนี้จะยอมตัวเข้ารับราชการกับโจโฉแล้วแต่น้ำใจยังคงยึดมั่นกตัญญูต่อตระกูลอ้วน ปฏิเสธไม่ยอมเสนอแผนการใด ๆ ที่จะทำลายล้างอ้วนชงและอ้วนฮีซึ่งเป็นพี่น้องของอ้วนถำด้วยเห็นว่าเป็นพี่น้องของนายตัว แต่ยังคงยืนยันว่าหากเป็นการอื่นที่ไม่เสื่อมเสียแก่ความกตัญญูแล้วก็เต็มใจที่จะทำการตามกำลังสติปัญญา
โจโฉได้ยินคำอ่องสิ้วดังนั้นก็นึกสรรเสริญอองสิ้วว่าคนผู้นี้ช่างมีน้ำใจกตัญญู ผิดกับขุนนางอื่นของอ้วนเสี้ยวที่แปรพักตร์เข้าด้วยเราแล้ว กล้าคิดอ่านทำลายล้างนายตัวหาเหมือนกับอองสิ้วไม่ จึงไม่คิดที่จะบังคับฝืนน้ำใจของอองสิ้วในเรื่องนี้อีกต่อไป.
พอซินเบ้งตายแล้วอ้วนถำจึงปรึกษาด้วยกัวเต๋าว่าจะรับมือกับกองทัพโจโฉในครั้งนี้ประการใด
กัวเต๋าเห็นเหตุการณ์มาถึงขั้นนี้ก็สุดแสนจะเหนื่อยหน่าย จึงตัดพ้อต่อว่าอ้วนถำว่าเมื่อครั้งก่อนยามโอกาสเอื้อให้ ข้าพเจ้าได้เสนอความเห็นให้ท่านอ่อนน้อมสวามิภักดิ์ด้วยโจโฉแต่ท่านไม่เชื่อฟัง บัดนี้ถูกกองทัพโจโฉล้อมไว้ทั้งสี่ด้านสิ้นหนทางแล้ว ขอสวามิภักดิ์เขาก็ไม่ยอมรับ แม้หากคิดต่อสู้ก็ย่อมยากเอาชัยชนะได้เพราะข้าศึกฮึกห้าวเหิมหาญ แต่ฝ่ายเรานั้นกลับอ่อนล้าเสียขวัญ คิดประหวั่นแต่จะแพ้พ่าย
กระนั้นกัวเต๋ายังคงมีใจรักภักดีต่อตระกูลอ้วน แม้ถึงคราวอับจนสิ้นหนทางแล้วก็ไม่คิดทอดทิ้งท้อถอย แต่เพราะสิ้นปัญญาแก้ไขจึงเสนอให้เสี่ยงตาย แล้วว่ากับอ้วนถำว่า “บัดนี้ตัวเราก็เข้าอยู่ที่แคบขัดสน เหมือนหนึ่งคนไข้หนัก หมอคาดวันตายอยู่แล้ว จำจะคิดอ่านเอายาทั้งปวงประสมกันเข้าวางดูอีกครั้งหนึ่ง แม้พอชอบโรคก็จะคลาย หาไม่ก็จะตาย”
แล้วเสนอว่าขอให้อ้วนถำเกณฑ์ทั้งทหารและพลเรือนทั้งเมืองลำพี้ยกไปรบด้วยโจโฉโดยให้ชาวเมืองเป็นกองหน้า ให้อ้วนถำคุมทหารเป็นกองทัพหลวง หากเทพยดายังเป็นใจก็คงจะเอาชนะหรือหนีเอาตัวรอดได้
แผนการความคิดของกัวเต๋าในครั้งนี้ถ้าอุปมาดั่งพ่อครัวปรุงอาหารก็อุปมาได้ว่าเป็นการแกงจับฉ่าย เอาเนื้อและผักทุกอย่างเท่าที่มีอยู่มาผสมปนเปกันแล้วปรุงขึ้น จะกินได้หรือไม่ได้หาได้สนใจไม่ นี่คือการเสี่ยงตาย ซึ่งมีกฎธรรมชาติของการเสี่ยงตายอยู่ว่าย่อมมีผลคือความตายอยู่เบื้องหน้า หนทางที่จะรอดตายไปได้มีทางเดียวเท่านั้นคือสวรรค์บันดาลให้เป็นไป
อ้วนถำสิ้นคิดอับจนปัญญาอยู่แล้ว ไม่เห็นแผนการอื่นใดดีกว่านี้จึงจำใจยอมรับเอาแผนของกัวเต๋า สั่งให้เกณฑ์พลเรือนทั้งเมืองตั้งขบวนเป็นกองหน้าแล้วให้ทหารเป็นกองหลวงเตรียมพร้อมไว้ พอกินข้าวมื้อเย็นเสร็จก็สั่งทหารให้ทำลายเครื่องครัวเสียทั้งสิ้น แล้วให้พลเรือนและทหารทั้งปวงรีบพักผ่อนหลับนอนแต่หัวค่ำ
พอท้องฟ้าเริ่มสาง แสงอาทิตย์ยังไม่ทันทอทาบฟากฟ้าเบื้องบูรพา อ้วนถำสั่งให้เปิดประตูเมืองทั้งสี่ด้านแล้วให้จัดขบวนของชาวเมืองเป็นสี่กอง ยกออกจากประตูเมืองโดยกำลังทหารทั้งปวงนั้นก็ให้จัดเป็นสี่กองยกตามไป
อ้วนถำสั่งให้ขบวนทัพผสมพลเรือนทหารบุกเข้าโจมตีค่ายโจโฉพร้อมกันทั้งสี่ด้าน ทางฝ่ายโจโฉเมื่อทราบข่าวว่าถูกกองทัพอ้วนถำยกมาโจมตี ไม่รู้ความว่าเป็นกองทัพของคนสิ้นคิดและเป็นกองกำลังผสมของทหารและพลเรือน จึงให้ทหารทุกค่ายต่อสู้ป้องกันค่ายไว้เป็นสามารถ
ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันจนถึงตะวันเที่ยง บาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก โจโฉเห็นดังนั้นจึงพาทหารขึ้นไปที่เนินเขา เห็นกองทัพของอ้วนถำเป็นเพียงกองทัพผสมทหารพลเรือน ไม่มีสิ่งใดที่น่าเกรงกลัวอีกต่อไป จึงสั่งให้พลกลองลั่นกลองรบเป็นสัญญาณเร่งเผด็จศึก
เหล่าทหารของกองทัพโจโฉได้ยินสัญญาณให้รุกรบเข้าโจมตีข้าศึก ต่างฮึกห้าวเหิมหาญเพราะเชื่อมั่นในการบัญชาการสงครามของโจโฉว่าคงเห็นจุดอ่อนของกองทัพข้าศึกแลเห็นชัยชนะเบื้องหน้าแล้วจึงเร่งเร้าให้เข้าโจมตีเอาชัย จึงพากันรุกรบฆ่าฟันทหารและพลเรือนในกองทัพผสมของอ้วนถำบาดเจ็บล้มตายลงเป็นจำนวนมาก
กองทัพของอ้วนถำต้านทานกำลังทหารของโจโฉไม่ได้จึงพากันแตกหนี โจหองได้ขับม้าตรงเข้าไปที่ม้าของอ้วนถำ ทั้งสองฝ่ายได้ต่อสู้กันราวสิบเพลง โจหองใช้ง้าวฟันถูกอ้วนถำหลายแห่งจนตกลงจากหลังม้าถึงแก่ความตาย
กัวเต๋าเห็นดังนั้นก็ตกใจ รีบชักม้าจะหนีกลับเข้าเมือง งักจิ้นเห็นดังนั้นจึงขับม้าไล่ตามไป พอได้ระยะเกาทัณฑ์งักจิ้นจึงเอาเกาทัณฑ์ขึ้นพาดสายยิงไปที่กัวเต๋าถูกกัวเต๋าพลัดลงจากหลังม้าตกไปในคูเมืองถึงแก่ความตาย
โจโฉเห็นดังนั้นจึงสั่งให้ทหารตัดศีรษะของอ้วนถำเสียบที่ปลายทวนแล้วออกไปป่าวประกาศให้ชาวเมืองลำพี้ได้รับรู้ทั่วกันว่าอ้วนถำเป็นกบฏ ถูกกองทัพจากเมืองหลวงสังหารแล้ว หากผู้ใดร้องไห้อาลัยรักอ้วนถำจะถือว่าร่วมการกบฏด้วย และจะลงโทษประหารชีวิต ป่าวประกาศทั่วทั้งเมืองแล้ว โจโฉจึงสั่งให้เอาศีรษะอ้วนถำไปเสียบประจานไว้ที่ประตูเมืองด้านทิศเหนือ
จากนั้นโจโฉจึงยกทหารเข้าไปในเมือง จัดแจงการปกครองจนสงบราบคาบเป็นปกติ
ในขณะที่โจโฉจัดแจงภายในเมืองอยู่นั้น ทหารสอดแนมได้เข้ามารายงานว่าบัดนี้มีกองทัพยกมาเป็นอันมาก มุ่งหน้ามาทางเมืองลำพี้ แต่ไม่รู้ว่าเป็นกองทัพของผู้ใด
โจโฉได้ทราบรายงานดังนั้นจึงสั่งให้จัดทหารยกออกจากเมืองเตรียมรับมือกับกองทัพของผู้มาใหม่
ครู่หนึ่งก็เห็นกองทหารยกมาเป็นอันมาก ทหารตัวนายขี่ม้าตรงเข้ามาสองคน พอเข้ามาระยะใกล้ก็ลงจากหลังม้า ถอดเกราะ วางอาวุธ เดินตรงมาที่ข้างหน้าโจโฉแล้วคุกเข่าลงคารวะ
โจโฉจึงถามว่าท่านทั้งสองเป็นทหารของเมืองใด เหตุไฉนจึงยกมาที่นี่ นายทหารทั้งสองคนนั้นได้ตอบว่าตัวข้าพเจ้าชื่อเตียวเหียน และเตียวหลำ เป็นนายทหารของอ้วนฮีซึ่งเป็นบุตรของอ้วนเสี้ยว ได้ทราบว่าท่านอัครมหาเสนาบดีมีน้ำใจโอบอ้อมอารีต่อทหารแลราษฎรทั้งปวงจึงมีจิตศรัทธาใคร่สวามิภักดิ์เข้ารับราชการด้วยท่าน ปรึกษาพร้อมกันแล้วจึงยกมาที่เมืองลำพี้นี้
โจโฉได้ฟังแล้วมีความยินดี รับเอากองทหารของเตียวเหียนและเตียวหลำเข้าเป็นทหารในสังกัดของกองทัพเมืองหลวง และแต่งตั้งให้เตียวเหียนและเตียว หลำเป็นนายทหาร รับผิดชอบบัญชาการกองทหารที่พามานั้น
โจโฉรับสวามิภักดิ์สองนายทหารเก่าของอ้วนฮีไม่ทันนาน เตียวเอี๋ยนซึ่งเป็นแกนนำท้องถิ่นคนหนึ่งของกลุ่มโจรโพกผ้าเหลืองมาแต่เดิมและบัดนี้แตกกระสานซ่านเซ็นตั้งตัวไม่ติดได้ทราบความที่โจโฉกรีฑาทัพปราบปรามหัวเมืองภาคเหนือ จึงพาพรรคพวกสิบหมื่นมาขอเข้าทำราชการด้วยโจโฉ
โจโฉรับสวามิภักดิ์ไว้ด้วยความยินดี และเนื่องจากเตียวเอี๋ยนมีไพร่พลเป็นจำนวนมากจึงตั้งให้เตียวเอี๋ยนเป็นนายทหารมีตำแหน่งที่พระยา ชื่อว่า “เจ้าพระยาปราบหัวเมืองฝ่ายเหนือ”
ในขณะที่โจโฉปรับปรุงกองทัพรับเอาทหารใหม่ที่เข้าสวามิภักดิ์เข้าสังกัดกรมกองอยู่นั้น ทหารรักษาการณ์หน้าประตูเมืองด้านทิศเหนือได้เข้ามารายงานว่าบัดนี้มีคนฝ่าฝืนคำสั่งที่ห้ามร้องไห้อาลัยรักอ้วนถำ และยังคงร้องไห้คร่ำครวญอยู่ที่ศีรษะอ้วนถำซึ่งเสียบประจานไว้นั้น
โจโฉได้ฟังรายงานแล้วก็โกรธ สั่งทหารให้จับตัวผู้ฝ่าฝืนคำสั่งเข้ามาพบ โจโฉเห็นนักโทษมีลักษณะผิดจากชาวบ้านสามัญ เพราะบุคลิกท่าทางคล้ายกับเป็นขุนนางก็สงสัยจึงถามว่าท่านเป็นใคร ไฉนจึงฝ่าฝืนคำสั่งเรามาร้องไห้อาลัยรักอ้วนถำอยู่ดังนี้
นักโทษนั้นจึงว่าข้าพเจ้าชื่ออองสิ้ว เป็นขุนนางเก่าเมืองกิจิ๋ว มีหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของอ้วนถำ หลังอ้วนเสี้ยวสิ้นบุญแล้วลูกหลานทะเลาะเบาะแว้งแย่งอำนาจกัน ข้าพเจ้าได้พยายามเกลี้ยกล่อมให้ประนีประนอมปรองดองไว้ จะได้ตั้งตัวรักษาหัวเมืองฝ่ายเหนือให้เป็นสมบัติของตระกูลอ้วนสืบไป แต่หามีใครเชื่อฟังข้าพเจ้าไม่ คงตั้งหน้าวิวาทบาดหมางทำลายล้างกันเอง จนเสียเมืองและตัวตายฉะนี้
แล้วว่าข้าพเจ้าเป็นข้าเก่า เมื่อสิ้นบุญนายก็คิดถึงคุณอาลัยรักจึงมาร้องไห้อยู่ดังนี้
โจโฉจึงถามว่าเราได้ออกคำสั่งห้ามมิให้ผู้ใดมาร้องไห้อาลัยรักแก่อ้วนถำผู้เป็นกบฏต่อแผ่นดิน เจ้าทราบความตามคำสั่งของเราหรือหาไม่
อองสิ้วยอมรับตามความเป็นจริงว่าได้ทราบคำสั่งอยู่ก่อนแล้ว
โจโฉได้ฟังดังนั้นจึงถามขึ้นด้วยเสียงขุ่นว่าก็แลเมื่อเจ้าทราบคำสั่งของเราแล้ว ไฉนไม่กลัวตาย กล้าฝ่าฝืนคำสั่งมาร่ำไห้อีกเล่า
อองสิ้วจึงว่า “แต่ก่อนนั้นข้าพเจ้ามีความสุขมากก็เพราะอ้วนถำเลี้ยงดู บัดนี้อ้วนถำถึงแก่ความตาย ครั้นนิ่งเสียก็เหมือนหนึ่งคนหากตัญญูต่อนายไม่ ซึ่งจะเป็นคนอยู่ไปนั้นผู้ใดจะสรรเสริญนับถือว่าเป็นคน จึงได้มาร้องไห้รักเพราะคิดถึงคุณอ้วนถำ ถึงมาตรว่าท่านจะฆ่าข้าพเจ้าเสียด้วยโทษละเมิดนี้ก็ตาม แต่ขอให้ข้าพเจ้าได้แต่งการศพอ้วนถำเถิดก็จะก้มหน้าตายตามนายไป”
โจโฉได้ฟังดังนั้นจึงนึกขึ้นแต่ในใจว่า หัวเมืองฝ่ายเหนือนี้มีผู้มีคุณธรรม น้ำใจสัตย์ซื่อ จงรักภักดีต่อเจ้านายเป็นอันมาก หากแม้นว่าอ้วนเสี้ยวและบุตรหลานสมานฉันท์กันเป็นปกติและเอาใจใส่ทำนุบำรุงขุนนางที่ปรึกษาข้าราชการ รับฟังความคิดอ่านตามควรแล้ว ใครเลยจะรุกรานหัวเมืองฝ่ายเหนือได้ และไหนเลยเราจะยึดเมืองกิจิ๋วได้
โจโฉคิดดังนี้น้ำใจก็คล้อยมาเห็นแก่ความภักดีของอองสิ้ว จึงสั่งให้แต่งการศพของอ้วนถำตามอย่างธรรมเนียม แล้วนำไปฝังไว้ที่สุสานตระกูลอ้วน
สำหรับอองสิ้วนั้นโจโฉเห็นว่าเป็นข้าภักดีเจ้า บ่าวภักดีนาย มีน้ำใจซื่อสัตย์กตัญญู ไม่กลัวแก่ความตาย จึงชักชวนเอาตัวไว้ใช้ในราชการ อองสิ้วเห็นโจโฉไม่เอาโทษ ทั้งบุญเจ้านายก็สิ้นแล้ว จึงตกลงทำราชการกับโจโฉแต่บัดนั้น โจโฉจึงแต่งตั้งให้อองสิ้วเป็นขุนนางประจำกระทรวงการคลัง
โจโฉแม้จะเปี่ยมด้วยเล่ห์เพทุบายในการศึกสงคราม แต่ในการบริหารราชการแผ่นดินนั้นยังคงยึดมั่นที่จะรักษาความเป็นปึกแผ่นของบ้านเมือง และรักษาระบอบการปกครองให้เป็นไปโดยเรียบร้อยและเป็นประโยชน์แก่บ้านเมือง จึงสรรหาเลือกคนที่มีความซื่อสัตย์ภักดีไว้เป็นขุนนางโดยเฉพาะขุนนางในกระทรวงการคลังอันควรที่คนชั้นหลังจะได้ถือเป็นแบบอย่าง แต่กระนั้นแทนที่คนชั้นหลังจะถือเอาแบบอย่างที่ดีงามคิดสรรผู้มีสติปัญญาความสามารถและสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน กลับถือเอาแบบอย่างของจิตใจที่ชั่วช้าเลวทรามมาเป็นหลัก เอาสมัครพรรคพวกที่มือเปื้อนไปด้วยโคลนและมลทินจากการโกงกินสถาบันการเงินจนล่มจมเข้ามาทำราชการ ดูแลการเงินการคลังของแผ่นดิน ดังนี้วินาศภัยของบ้านเมืองจึงเป็นเรื่องที่ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้
วันหนึ่งโจโฉจึงให้หาอองสิ้วเข้ามาปรึกษาว่าบัดนี้อ้วนถำก็ตายแล้ว เหลือแต่อ้วนชงซึ่งหนีไปอยู่กับอ้วนฮี ณ เมืองอิวจิ๋ว ในฐานะที่ท่านเป็นผู้รู้สายสนกลในมาแต่ก่อน จงคิดอ่านแผนการว่าจะทำประการใดจึงจะได้ตัวอ้วนชงและอ้วนฮี แผ่นดินภาคเหนือจะได้เป็นสุข
อองสิ้วได้ฟังดังนั้นจึงว่า “มหาอุปราชก็มีคุณแก่ข้าพเจ้า ถ้าเป็นการอื่นมีมาข้าพเจ้าจะคิดอ่านสนองคุณท่านตามสติปัญญา ซึ่งจะให้ข้าพเจ้าคิดจับตัวอ้วนชงซึ่งเป็นพี่น้องของนายนั้นจนอยู่ ตามแต่ท่านจะโปรด”
อองสิ้วแม้วันนี้จะยอมตัวเข้ารับราชการกับโจโฉแล้วแต่น้ำใจยังคงยึดมั่นกตัญญูต่อตระกูลอ้วน ปฏิเสธไม่ยอมเสนอแผนการใด ๆ ที่จะทำลายล้างอ้วนชงและอ้วนฮีซึ่งเป็นพี่น้องของอ้วนถำด้วยเห็นว่าเป็นพี่น้องของนายตัว แต่ยังคงยืนยันว่าหากเป็นการอื่นที่ไม่เสื่อมเสียแก่ความกตัญญูแล้วก็เต็มใจที่จะทำการตามกำลังสติปัญญา
โจโฉได้ยินคำอ่องสิ้วดังนั้นก็นึกสรรเสริญอองสิ้วว่าคนผู้นี้ช่างมีน้ำใจกตัญญู ผิดกับขุนนางอื่นของอ้วนเสี้ยวที่แปรพักตร์เข้าด้วยเราแล้ว กล้าคิดอ่านทำลายล้างนายตัวหาเหมือนกับอองสิ้วไม่ จึงไม่คิดที่จะบังคับฝืนน้ำใจของอองสิ้วในเรื่องนี้อีกต่อไป.