ตอนที่ 170. ปลาหมอตายเพราะปาก
โจโฉยึดเมืองกิจิ๋วได้แล้ว หวังจะครองใจชาวเมืองและต้องการสร้างภาพพจน์ให้ชาวเมืองเห็นว่ามีความสัตย์ซื่อและมีน้ำใจโอบอ้อมอารีต่ออาณาประชาราษฎร จึงกำชับทหารทั้งปวงมิให้เบียดเบียนทำร้ายราษฎร ห้ามตั้งบ่อนเถื่อน ห้ามค้ายาเสพติด และห้ามรับจ้างทวงหนี้โดยเด็ดขาด มิฉะนั้นจะลงโทษถึงประหารชีวิต
โจโฉตระหนักดีว่าอ้วนเสี้ยวครองอำนาจหัวเมืองฝ่ายเหนือมาเป็นเวลานาน แม้อ้วนเสี้ยวจะตายแล้วแต่เทือกเถาเหล่ากอและผู้ที่จงรักภักดียังมีอยู่เป็นจำนวนมาก ดังนั้นเพื่อป้องกันมิให้ผู้คนในตระกูลอ้วนคิดอ่านแข็งข้อในภายหน้า จึงคิดผูกใจผู้คนตระกูลอ้วนให้แน่นหนาขึ้น และสั่งให้ตั้งการพิธีเคารพป้ายวิญญาณของอ้วนเสี้ยว
วันรุ่งขึ้นโจโฉได้ไปทำพิธีบวงสรวงคารวะป้ายวิญญาณของอ้วนเสี้ยวที่ศาลาบรรพชนของตระกูลอ้วน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบริเวณจวนของเจ้าเมือง และให้นางเล่าซือภรรยาม่ายของอ้วนเสี้ยว ตลอดจนญาติพี่น้องที่อยู่ในเมืองเข้าร่วมพิธีด้วย
เจ้าหน้าที่การพิธีได้แต่งเครื่องคาวหวานบวงสรวงสังเวยบูชาป้ายวิญญาณของอ้วนเสี้ยวเสร็จแล้วจึงเชิญโจโฉให้จุดธูปเทียนกระทำพิธี
พอจุดธูปจุดเทียนปักที่กระถางธูปและเชิงเทียนหน้าป้ายวิญญาณของอ้วนเสี้ยวเสร็จแล้ว โจโฉได้ร้องไห้คร่ำครวญเป็นอันมาก ราวกับว่าสูญเสียญาติผู้ใหญ่อันเป็นที่เคารพรัก แล้วคุกเข่าลงร้องไห้ต่อไปอีก
บรรดานายทหารที่ติดตามโจโฉไปในการพิธีซึ่งอาจจะตระเตรียมการกันไว้ก่อนได้เข้ามาพยุงตัวโจโฉให้ลุกขึ้นแล้วถามขึ้นว่าท่านอัครมหาเสนาบดีกับอ้วนเสี้ยวขับเคี่ยวกรำศึกกันมาเป็นเป็นเวลาช้านาน เหตุไฉนท่านจึงร้องไห้คร่ำครวญถึงเพียงนี้
โจโฉได้ทีจึงกล่าวว่า “เมื่อครั้งตั๋งโต๊ะตั้งตัวเป็นมหาอุปราชนั้น เรากับอ้วนเสี้ยวแลสิบเจ็ดหัวเมืองยกกองทัพไปตั้งอยู่นอกด่านกิสุยก๋วน จะกำจัดตั๋งโต๊ะเสีย อ้วนเสี้ยวจึงลอบถามเราว่าแม้ทำสงครามพ่ายแพ้ตั๋งโต๊ะแล้ว จะไปตั้งซ่องสุมทหารอยู่ตำบลใด จึงจะได้คิดการต่อไป เราจึงถามอ้วนเสี้ยวว่าตัวท่านจะไปอยู่แห่งใดเล่า อ้วนเสี้ยวบอกเราว่าจะมาอยู่หัวเมืองฝ่ายเหนือนี้ ด้วยมีที่ทางกว้างขวางทั้งเสบียงอาหารก็บริบูรณ์ แลทหารก็ชำนาญในการศึกจะได้คิดการใหญ่ต่อไป เราจึงว่าตัวเรานี้ไม่เลือก ถ้าที่ใดตำบลใดเห็นคนทั้งปวงจะเป็นใจด้วยเรา เราก็จะอยู่คิดการที่นั้น ถึงอ้วนเสี้ยวกับเราเป็นคู่ทำศึกขับเคี่ยวกันก็ดี แต่ได้เป็นเพื่อนกันมาแต่ก่อน เราจึงร้องไห้รักเพราะเหตุฉะนี้”
เนื้อหาที่โจโฉตอบให้ได้ยินถึงผู้คนทั้งปวงก็คือการรำลึกถึงความเป็นเพื่อนกับอ้วนเสี้ยวที่เคยร่วมคิดอ่านกำจัดตั๋งโต๊ะศัตรูราชสมบัติในครั้งก่อน แต่ความจริงส่วนนี้เป็นเพียงเปลือกกระพี้ที่ห่อหุ้มแก่นแท้ของเรื่องไว้อย่างแยบยล
แก่นแท้ของเรื่องก็คือแนวคิดในการตั้งตัวขึ้นเป็นใหญ่ ซึ่งโจโฉได้เผยให้เห็นว่าอ้วนเสี้ยวนั้นถือเอาพื้นที่ดินแดนเป็นสำคัญ แล้วเลือกเอาภาคเหนือซึ่งมีดินแดนกว้างใหญ่ เสบียงอาหารบริบูรณ์และทหารชาญศึกเป็นถิ่นตั้งตัว แต่ตัวโจโฉนั้นไม่เห็นความสำคัญของอาณาเขตดินแดนและความสมบูรณ์ของเสบียงอาหาร แต่ถือเอาความสำคัญที่น้ำใจคนว่าพร้อมใจร่วมกันเป็นหลัก ว่าที่ใดก็ตามถ้าหากผู้คนพร้อมใจกันแล้ว ที่นั่นก็จะใช้เป็นที่ตั้งตัว แนวคิดในการตั้งตัวของอ้วนเสี้ยวและโจโฉต่างกันดังนี้ แม้โจโฉจะมิได้ระบุยืนยันว่าแนวคิดอย่างไหนถูกต้อง แต่ก็มีนัยที่เห็นได้ประการเดียวเท่านั้นว่าโจโฉยึดถือเอาแนวคิดความพร้อมเพรียง ร่วมจิตร่วมใจของผู้คนเป็นหลัก ซึ่งสอดคล้องกับหลักธรรมในการบริหารบ้านเมืองดังที่ได้จารึกไว้ในตราแผ่นดินที่ว่า “การใหญ่ของแผ่นดินจักสำเร็จได้ด้วยความสามัคคี”
ผู้คนทั้งปวงในที่นั้นฟังคำโจโฉแล้วเห็นว่าโจโฉนี้มิได้มีน้ำใจผูกพยาบาทกับอ้วนเสี้ยวซึ่งถึงแม้จะขับเคี่ยวทำสงครามกันมาเป็นเวลาช้านาน หากรำลึกถึงความเป็นเพื่อนแต่หนหลังเป็นที่ตั้ง กลายเป็นว่าการขับเคี่ยวทำสงครามแก่กันนั้นเป็นความผิดของอ้วนเสี้ยวแต่ฝ่ายเดียว ดังนั้นจึงพากันสรรเสริญน้ำใจโจโฉเป็นอันมาก ว่าเป็นคนมีน้ำใจโอบอ้อมอารี ไม่ผูกอาฆาตพยาบาท
โจโฉเห็นคนทั้งปวงสรรเสริญน้ำใจตัวก็กระหยิ่มยิ้มย่อง สั่งทหารให้จัดแจงเงินทองข้าวของมีค่ามอบแก่นางเล่าซือเป็นอันมาก
เสร็จจากการพิธีแล้ว โจโฉได้นำทหารตรงไปที่ศาลาว่าการเมืองกิจิ๋ว แต่งหมายประกาศส่งไปปิดตามหัวเมืองที่ขึ้นต่อเมืองกิจิ๋วทุกหัวเมืองเป็นใจความว่า “บรรดาหัวเมืองฝ่ายเหนือนี้อาณาประชาราษฎรได้ความเดือดร้อนเพราะมีการศึกมาหลายปีแล้ว ในปีนี้อย่าได้เรียกเอาส่วยสาอากรเลย”
โจโฉได้นำนโยบายภาษีอากรมาใช้ในทางการเมืองเป็นครั้งแรกในเรื่องสามก๊ก หวังเอาการบรรเทาความเดือดร้อนของราษฎรเป็นเครื่องครองใจคนมิให้กระด้างกระเดื่องเพื่อจะได้สิ้นกังวลการสงครามทางภาคเหนือ แล้วจะได้ตั้งหน้าตั้งตาปราบหัวเมืองภาคใต้และภาคตะวันตกอีกต่อไป
โจโฉแม้เป็นคนในยุคโบราณแต่ก็น่านับถือ เพราะที่คิดกับที่ทำในเรื่องภาษีอากรครั้งนี้ตรงกัน ต่างจากพรรคการเมืองในยุคเกือบสองพันปีต่อมาที่ใช้นโยบายภาษีอากรหลอกลวงราษฎร คือในขณะที่แถลงให้ประชาชนทราบว่าได้กำหนดนโยบายว่าจะลดภาษีให้แก่ราษฎรที่มีรายได้ต่ำกว่าปีละเจ็ดหมื่นบาทนั้น แต่ความจริงกลับเป็นการเพิ่มภาระภาษีแก่ประชาชน เพราะแต่ก่อนมาผู้ที่มีเงินได้ปีละไม่เกินหนึ่งแสนบาทได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี ดังนั้นนโยบายใหม่ที่ว่าลดภาษีอากรนั้นเนื้อแท้ก็คือเป็นการเพิ่มภาระภาษี เพราะคนที่มีเงินได้เกินเจ็ดหมื่นบาทต่อปีต้องเสียภาษี ในขณะที่แต่ก่อนมาต้องมีรายได้เกินหนึ่งแสนบาทจึงต้องเสียภาษี
ทางด้านเขาฮิวหลังจากโจโฉยึดเมืองกิจิ๋วได้แล้วก็มีน้ำใจกำเริบขึ้นเป็นลำดับ ด้วยคิดว่าการยึดเมืองกิจิ๋วได้นี้เป็นเพราะผลงานความคิดแลสติปัญญาตัว ดังนั้นในแต่ละวันจึงพาทหารคนสนิทตระเวนไปตรวจตามในเมือง แล้วคุยโวโอ้อวดว่าการยึดเมืองกิจิ๋วได้ในครั้งนี้เป็นเพราะผลงานความคิดแลสติปัญญาที่คิดอ่านให้โจโฉดำเนินการ
เช้าวันหนึ่งในขณะที่เขาฮิวพาทหารคนสนิทไปเที่ยวเดินคุยโวโอ้อวดตามสภากาแฟต่าง ๆ ภายในเมือง ได้พบกับเคาทูขี่ม้านำทหารออกตรวจตราความเรียบร้อยตามหน้าที่ หลังจากทักทายกันตามธรรมเนียมแล้ว เขาฮิวได้โอ่ว่าบรรดาทหารทั้งปวงรวมทั้งตัวท่านได้มีโอกาสเข้ามาขี่ม้าอยู่ในเมืองกิจิ๋วครั้งนี้ก็เพราะตัวเราได้คิดอ่านวางแผนอุบายการศึก
เคาทูได้ยินดังนั้นก็ไม่พอใจ ตอบกลับไปว่าท่านจะกล่าวเช่นนี้ได้อย่างไร ตัวเราเป็นทหารทำศึกมิได้เห็นแก่ชีวิต แลความยากลำบาก “สู้เอากายฝ่าเข้าสู้อาวุธจึงได้เมือง เหตุใดมึงจึงบังอาจอวดตัวว่าได้เพราะความคิดของมึง”
เขาฮิวได้ยินเคาทูว่าดังนั้นก็โกรธ เพราะนับแต่ยึดเมืองกิจิ๋วได้แล้วยังไม่มีใครกล้าคัดค้านสิ่งที่คุยโวโอ้อวดไว้ จึงตอบเคาทูว่า “ตัวมึงมีฝีมือก็จริง แต่กูคิดอ่านให้มึงจึงได้ทำตาม อุปมาเหมือนกูเป็นนายได้ใช้มึง”
เคาทูได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกว่าถูกหมิ่นประมาทอย่างร้ายแรง ไฟแห่งโทสะกระพือโหม ชักกระบี่ฟันคอเขาฮิวหลุดออกจากบ่าในที่นั้น พอเขาฮิวตายเคาทูก็ได้สติยั้งคิด ลุแก่โทษจึงลงจากหลังม้า ฉวยเอาศีรษะของเขาฮิวหิ้วเข้าไปหาโจโฉแล้วรายงานความที่ได้โต้เถียงกันนั้นให้โจโฉทราบ
โจโฉเองคงมีใจหมั่นไส้และไม่พอใจเขาฮิวมาตั้งแต่ครั้งที่เขาฮิวชักม้าขึ้นมาขี่เคียงคู่ในวันก่อนแล้ว เห็นดังนั้นจึงว่า “เขาฮิวนั้นเป็นเพื่อนกับเรามาแต่ก่อน ซึ่งพูดจาทั้งนี้เป็นทางสัพยอก เหตุใดตัวจึงบังอาจฆ่าเขาฮิวเสียนั้นไม่ควร”
แต่โจโฉก็มิได้ลงโทษเคาทู เพียงแต่ให้คาดโทษไว้เท่านั้น จึงพอที่จะเห็นได้ว่าน้ำใจแท้ของโจโฉคงจะต้องการกำจัดเขาฮิวอยู่เหมือนกัน แต่แสร้งกล่าวถึงความเป็นเพื่อนแล้วตำหนิเคาทูว่าไม่ควร เพียงเพื่อให้พ้นจากคำครหาเท่านั้น
เขาฮิวผู้มีสติปัญญาจึงตายเแบบปลาหมอ เช่นเดียวกับการตายของยีเอ๋ง คือตายเพราะปาก ที่มีปากแล้วสักแต่พูด โดยไม่พินิจพิจารณาไตร่ตรองว่าเป็นการควรพูดหรือไม่ แม้หากควรพูดแล้วสมควรพูดอย่างไร สมควรพูดในกาลใด และในที่แห่งใด พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสถึงหลักการพูดว่าจะต้องพูดความจริง พูดในสิ่งที่เป็นประโยชน์ พูดถูกกาละ และพูดในโอกาสอันสมควรจะพูด แต่เพราะเขาฮิวสักแต่พูดเพราะมีปาก ไม่พูดจาโดยธรรม ดังนั้นจึงถึงแม้จะมีสติปัญญามากก็ต้องตายเป็นผีหัวขาดอยู่ข้างถนนนั่นเอง
โจโฉได้ตั้งเกลี้ยกล่อมแม่ทัพนายกองและราษฎรเมืองกิจิ๋วและหัวเมืองขึ้นทั้งปวงจนบ้านเมืองสงบราบคาบ จึงให้ติดตามหาผู้มีสติปัญญาเข้ามารับราชการเพิ่มเติม
บรรดาขุนนางเมืองกิจิ๋วได้เสนอให้โจโฉเชิญซุนตำ อดีตที่ปรึกษาของอ้วนเสี้ยวกลับเข้ารับราชการ โจโฉสงสัยจึงถามว่าซุนตำนี้เป็นใคร
บรรดาขุนนางเมืองกิจิ๋วได้แจ้งว่าซุนตำผู้นี้เป็นขุนนางเก่าเมืองกิจิ๋ว ตำแหน่งที่ปรึกษาของอ้วนเสี้ยว มีสติปัญญาเป็นอันมาก แต่เป็นคนพูดตรง ถือเอาการของบ้านเมืองเป็นสำคัญ ดังนั้นความเห็นของซุนตำที่เสนอให้อ้วนเสี้ยวสร้างความเป็นปึกแผ่นในภาคเหนือแล้วค่อยขยายอิทธิพลลงใต้จึงไม่ต้องด้วยความคิดของอ้วนเสี้ยวและที่ปรึกษาคนอื่น อ้วนเสี้ยวไม่พอใจซุนตำจึงไม่เชิญเข้าปรึกษาข้อราชการตามปกติ ซุนตำน้อยใจจึงลาป่วยอยู่กับบ้านจนถึงทุกวันนี้
โจโฉได้ฟังก็มีความยินดีจึงสั่งทหารให้ไปเชิญซุนตำเข้ามาพบ แล้วเกลี้ยกล่อมตั้งให้เป็นที่ปรึกษาดังเดิม ซุนตำเป็นที่ปรึกษาแล้วได้เสนอแก่โจโฉว่าอันทะเบียนราษฎร์ของเมืองกิจิ๋วซึ่งมีบัญชีประชากรอยู่ถึงสามสิบหมื่นนั้น แม้มีจำนวนมากก็จริง แต่ก็จริงอยู่เฉพาะในบัญชีเท่านั้น เพราะผู้คนกลัวภัยสงคราม ต่างอพยพหลบภัยไปอยู่เมืองอื่น ดังนั้นจึงมีจำนวนจริงน้อยกว่าตามที่ปรากฏในทะเบียนราษฎร์
โจโฉจึงว่าจะทำประการใดอาณาประชาราษฎรจึงจะกลับมาทำมาหากินตามปกติดังเดิม
ซุนตำตอบว่าหัวเมืองฝ่ายเหนือติดพันการศึกสงครามมาหลายปี แม้บัดนี้อ้วนถำ อ้วนชงก็ยังคงทำศึกต่อกันอยู่ อาณาประชาราษฎรได้รับความเดือดร้อนไม่สร่างสิ้น แตกกระสานซ่านเซ็นบ้านแตกสาแหรกขาดโดยทั่วไป ขอให้ท่านปราบปรามอ้วนชง อ้วนถำ สร้างสันติสุขขึ้นในบ้านเมืองอีกครั้งหนึ่ง ราษฎรทั้งปวงเห็นภัยสงครามสิ้นแล้วคงจะอพยพกลับมาทำมาหากินได้ดังเดิม
โจโฉได้ฟังก็เห็นด้วย จึงสั่งทหารให้ปิดประกาศตามหัวเมืองทั้งปวงที่ขึ้นต่อเมืองกิจิ๋วว่าบัดนี้บ้านเมืองเป็นปกติแล้ว ขอให้ทุกคนกลับถิ่นฐานเดิมแล้วตั้งหน้าทำมาหากินให้ได้รับความเป็นสุขถ้วนหน้ากัน ในขณะที่อีกด้านหนึ่งก็ให้หน่วยสอดแนมติดตามความเคลื่อนไหวของอ้วนชงและอ้วนถำ
ราษฎรเมืองกิจิ๋วเห็นดังนั้นก็มีความยินดี กิตติศัพท์แพร่หลายออกไปอย่างกว้างขวาง พวกที่อพยพหลบภัยต่างอพยพกลับแล้วตั้งหน้าทำมาหากินตามปกติสุข
ทางฝ่ายอ้วนถำซึ่งยึดเมืองเพงง้วนก๋วนไว้เป็นฐานนั้น ได้อาศัยช่วงโอกาสที่โจโฉทำศึกขับเคี่ยวกับเมืองกิจิ๋วยกกองทัพไปตีเมืองกำเหลง เมืองฮันเบ๋ง เมืองปุดไฮและเมืองโฮกั้น ยึดหัวเมืองทั้งสี่นี้ไว้ในอำนาจได้สำเร็จ ได้กวาดต้อนเกลี้ยกล่อมทหารจากสี่เมืองนี้เข้ามาสังกัดในกองทัพได้เป็นจำนวนมาก กองทัพของอ้วนถำจึงเติบใหญ่ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
อ้วนถำยึดหัวเมืองทั้งสี่ได้แล้วยังผูกใจเจ็บแค้นอ้วนชงผู้น้อง พอได้ข่าวว่าอ้วนชงหนีโจโฉไปตั้งหลักอยู่ในป่าก็ส่งทหารออกติดตาม แต่ปรากฏว่าอ้วนชงได้พาทหารหนีไปอาศัยอยู่กับอ้วนฮีผู้พี่ ณ เมืองอิวจิ๋ว
อ้วนถำพอทราบความดั่งนั้นก็เกรงใจอ้วนฮี จึงไม่ติดตามอ้วนชงอีกต่อไป แล้วให้ทหารที่ออกติดตามอ้วนชงนั้นยกกลับเข้าเมืองเพงง้วนก๋วน
ครั้นอ้วนถำทราบข่าวว่าโจโฉยึดเมืองกิจิ๋วได้แล้ว เกรงว่าญาติพี่น้องและผู้คนในตระกูลอ้วนจะได้ความยากลำบากจึงเรียกบรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองมาปรึกษาว่าจะยกกองทัพไปตีเมืองกิจิ๋ว.
โจโฉตระหนักดีว่าอ้วนเสี้ยวครองอำนาจหัวเมืองฝ่ายเหนือมาเป็นเวลานาน แม้อ้วนเสี้ยวจะตายแล้วแต่เทือกเถาเหล่ากอและผู้ที่จงรักภักดียังมีอยู่เป็นจำนวนมาก ดังนั้นเพื่อป้องกันมิให้ผู้คนในตระกูลอ้วนคิดอ่านแข็งข้อในภายหน้า จึงคิดผูกใจผู้คนตระกูลอ้วนให้แน่นหนาขึ้น และสั่งให้ตั้งการพิธีเคารพป้ายวิญญาณของอ้วนเสี้ยว
วันรุ่งขึ้นโจโฉได้ไปทำพิธีบวงสรวงคารวะป้ายวิญญาณของอ้วนเสี้ยวที่ศาลาบรรพชนของตระกูลอ้วน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบริเวณจวนของเจ้าเมือง และให้นางเล่าซือภรรยาม่ายของอ้วนเสี้ยว ตลอดจนญาติพี่น้องที่อยู่ในเมืองเข้าร่วมพิธีด้วย
เจ้าหน้าที่การพิธีได้แต่งเครื่องคาวหวานบวงสรวงสังเวยบูชาป้ายวิญญาณของอ้วนเสี้ยวเสร็จแล้วจึงเชิญโจโฉให้จุดธูปเทียนกระทำพิธี
พอจุดธูปจุดเทียนปักที่กระถางธูปและเชิงเทียนหน้าป้ายวิญญาณของอ้วนเสี้ยวเสร็จแล้ว โจโฉได้ร้องไห้คร่ำครวญเป็นอันมาก ราวกับว่าสูญเสียญาติผู้ใหญ่อันเป็นที่เคารพรัก แล้วคุกเข่าลงร้องไห้ต่อไปอีก
บรรดานายทหารที่ติดตามโจโฉไปในการพิธีซึ่งอาจจะตระเตรียมการกันไว้ก่อนได้เข้ามาพยุงตัวโจโฉให้ลุกขึ้นแล้วถามขึ้นว่าท่านอัครมหาเสนาบดีกับอ้วนเสี้ยวขับเคี่ยวกรำศึกกันมาเป็นเป็นเวลาช้านาน เหตุไฉนท่านจึงร้องไห้คร่ำครวญถึงเพียงนี้
โจโฉได้ทีจึงกล่าวว่า “เมื่อครั้งตั๋งโต๊ะตั้งตัวเป็นมหาอุปราชนั้น เรากับอ้วนเสี้ยวแลสิบเจ็ดหัวเมืองยกกองทัพไปตั้งอยู่นอกด่านกิสุยก๋วน จะกำจัดตั๋งโต๊ะเสีย อ้วนเสี้ยวจึงลอบถามเราว่าแม้ทำสงครามพ่ายแพ้ตั๋งโต๊ะแล้ว จะไปตั้งซ่องสุมทหารอยู่ตำบลใด จึงจะได้คิดการต่อไป เราจึงถามอ้วนเสี้ยวว่าตัวท่านจะไปอยู่แห่งใดเล่า อ้วนเสี้ยวบอกเราว่าจะมาอยู่หัวเมืองฝ่ายเหนือนี้ ด้วยมีที่ทางกว้างขวางทั้งเสบียงอาหารก็บริบูรณ์ แลทหารก็ชำนาญในการศึกจะได้คิดการใหญ่ต่อไป เราจึงว่าตัวเรานี้ไม่เลือก ถ้าที่ใดตำบลใดเห็นคนทั้งปวงจะเป็นใจด้วยเรา เราก็จะอยู่คิดการที่นั้น ถึงอ้วนเสี้ยวกับเราเป็นคู่ทำศึกขับเคี่ยวกันก็ดี แต่ได้เป็นเพื่อนกันมาแต่ก่อน เราจึงร้องไห้รักเพราะเหตุฉะนี้”
เนื้อหาที่โจโฉตอบให้ได้ยินถึงผู้คนทั้งปวงก็คือการรำลึกถึงความเป็นเพื่อนกับอ้วนเสี้ยวที่เคยร่วมคิดอ่านกำจัดตั๋งโต๊ะศัตรูราชสมบัติในครั้งก่อน แต่ความจริงส่วนนี้เป็นเพียงเปลือกกระพี้ที่ห่อหุ้มแก่นแท้ของเรื่องไว้อย่างแยบยล
แก่นแท้ของเรื่องก็คือแนวคิดในการตั้งตัวขึ้นเป็นใหญ่ ซึ่งโจโฉได้เผยให้เห็นว่าอ้วนเสี้ยวนั้นถือเอาพื้นที่ดินแดนเป็นสำคัญ แล้วเลือกเอาภาคเหนือซึ่งมีดินแดนกว้างใหญ่ เสบียงอาหารบริบูรณ์และทหารชาญศึกเป็นถิ่นตั้งตัว แต่ตัวโจโฉนั้นไม่เห็นความสำคัญของอาณาเขตดินแดนและความสมบูรณ์ของเสบียงอาหาร แต่ถือเอาความสำคัญที่น้ำใจคนว่าพร้อมใจร่วมกันเป็นหลัก ว่าที่ใดก็ตามถ้าหากผู้คนพร้อมใจกันแล้ว ที่นั่นก็จะใช้เป็นที่ตั้งตัว แนวคิดในการตั้งตัวของอ้วนเสี้ยวและโจโฉต่างกันดังนี้ แม้โจโฉจะมิได้ระบุยืนยันว่าแนวคิดอย่างไหนถูกต้อง แต่ก็มีนัยที่เห็นได้ประการเดียวเท่านั้นว่าโจโฉยึดถือเอาแนวคิดความพร้อมเพรียง ร่วมจิตร่วมใจของผู้คนเป็นหลัก ซึ่งสอดคล้องกับหลักธรรมในการบริหารบ้านเมืองดังที่ได้จารึกไว้ในตราแผ่นดินที่ว่า “การใหญ่ของแผ่นดินจักสำเร็จได้ด้วยความสามัคคี”
ผู้คนทั้งปวงในที่นั้นฟังคำโจโฉแล้วเห็นว่าโจโฉนี้มิได้มีน้ำใจผูกพยาบาทกับอ้วนเสี้ยวซึ่งถึงแม้จะขับเคี่ยวทำสงครามกันมาเป็นเวลาช้านาน หากรำลึกถึงความเป็นเพื่อนแต่หนหลังเป็นที่ตั้ง กลายเป็นว่าการขับเคี่ยวทำสงครามแก่กันนั้นเป็นความผิดของอ้วนเสี้ยวแต่ฝ่ายเดียว ดังนั้นจึงพากันสรรเสริญน้ำใจโจโฉเป็นอันมาก ว่าเป็นคนมีน้ำใจโอบอ้อมอารี ไม่ผูกอาฆาตพยาบาท
โจโฉเห็นคนทั้งปวงสรรเสริญน้ำใจตัวก็กระหยิ่มยิ้มย่อง สั่งทหารให้จัดแจงเงินทองข้าวของมีค่ามอบแก่นางเล่าซือเป็นอันมาก
เสร็จจากการพิธีแล้ว โจโฉได้นำทหารตรงไปที่ศาลาว่าการเมืองกิจิ๋ว แต่งหมายประกาศส่งไปปิดตามหัวเมืองที่ขึ้นต่อเมืองกิจิ๋วทุกหัวเมืองเป็นใจความว่า “บรรดาหัวเมืองฝ่ายเหนือนี้อาณาประชาราษฎรได้ความเดือดร้อนเพราะมีการศึกมาหลายปีแล้ว ในปีนี้อย่าได้เรียกเอาส่วยสาอากรเลย”
โจโฉได้นำนโยบายภาษีอากรมาใช้ในทางการเมืองเป็นครั้งแรกในเรื่องสามก๊ก หวังเอาการบรรเทาความเดือดร้อนของราษฎรเป็นเครื่องครองใจคนมิให้กระด้างกระเดื่องเพื่อจะได้สิ้นกังวลการสงครามทางภาคเหนือ แล้วจะได้ตั้งหน้าตั้งตาปราบหัวเมืองภาคใต้และภาคตะวันตกอีกต่อไป
โจโฉแม้เป็นคนในยุคโบราณแต่ก็น่านับถือ เพราะที่คิดกับที่ทำในเรื่องภาษีอากรครั้งนี้ตรงกัน ต่างจากพรรคการเมืองในยุคเกือบสองพันปีต่อมาที่ใช้นโยบายภาษีอากรหลอกลวงราษฎร คือในขณะที่แถลงให้ประชาชนทราบว่าได้กำหนดนโยบายว่าจะลดภาษีให้แก่ราษฎรที่มีรายได้ต่ำกว่าปีละเจ็ดหมื่นบาทนั้น แต่ความจริงกลับเป็นการเพิ่มภาระภาษีแก่ประชาชน เพราะแต่ก่อนมาผู้ที่มีเงินได้ปีละไม่เกินหนึ่งแสนบาทได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี ดังนั้นนโยบายใหม่ที่ว่าลดภาษีอากรนั้นเนื้อแท้ก็คือเป็นการเพิ่มภาระภาษี เพราะคนที่มีเงินได้เกินเจ็ดหมื่นบาทต่อปีต้องเสียภาษี ในขณะที่แต่ก่อนมาต้องมีรายได้เกินหนึ่งแสนบาทจึงต้องเสียภาษี
ทางด้านเขาฮิวหลังจากโจโฉยึดเมืองกิจิ๋วได้แล้วก็มีน้ำใจกำเริบขึ้นเป็นลำดับ ด้วยคิดว่าการยึดเมืองกิจิ๋วได้นี้เป็นเพราะผลงานความคิดแลสติปัญญาตัว ดังนั้นในแต่ละวันจึงพาทหารคนสนิทตระเวนไปตรวจตามในเมือง แล้วคุยโวโอ้อวดว่าการยึดเมืองกิจิ๋วได้ในครั้งนี้เป็นเพราะผลงานความคิดแลสติปัญญาที่คิดอ่านให้โจโฉดำเนินการ
เช้าวันหนึ่งในขณะที่เขาฮิวพาทหารคนสนิทไปเที่ยวเดินคุยโวโอ้อวดตามสภากาแฟต่าง ๆ ภายในเมือง ได้พบกับเคาทูขี่ม้านำทหารออกตรวจตราความเรียบร้อยตามหน้าที่ หลังจากทักทายกันตามธรรมเนียมแล้ว เขาฮิวได้โอ่ว่าบรรดาทหารทั้งปวงรวมทั้งตัวท่านได้มีโอกาสเข้ามาขี่ม้าอยู่ในเมืองกิจิ๋วครั้งนี้ก็เพราะตัวเราได้คิดอ่านวางแผนอุบายการศึก
เคาทูได้ยินดังนั้นก็ไม่พอใจ ตอบกลับไปว่าท่านจะกล่าวเช่นนี้ได้อย่างไร ตัวเราเป็นทหารทำศึกมิได้เห็นแก่ชีวิต แลความยากลำบาก “สู้เอากายฝ่าเข้าสู้อาวุธจึงได้เมือง เหตุใดมึงจึงบังอาจอวดตัวว่าได้เพราะความคิดของมึง”
เขาฮิวได้ยินเคาทูว่าดังนั้นก็โกรธ เพราะนับแต่ยึดเมืองกิจิ๋วได้แล้วยังไม่มีใครกล้าคัดค้านสิ่งที่คุยโวโอ้อวดไว้ จึงตอบเคาทูว่า “ตัวมึงมีฝีมือก็จริง แต่กูคิดอ่านให้มึงจึงได้ทำตาม อุปมาเหมือนกูเป็นนายได้ใช้มึง”
เคาทูได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกว่าถูกหมิ่นประมาทอย่างร้ายแรง ไฟแห่งโทสะกระพือโหม ชักกระบี่ฟันคอเขาฮิวหลุดออกจากบ่าในที่นั้น พอเขาฮิวตายเคาทูก็ได้สติยั้งคิด ลุแก่โทษจึงลงจากหลังม้า ฉวยเอาศีรษะของเขาฮิวหิ้วเข้าไปหาโจโฉแล้วรายงานความที่ได้โต้เถียงกันนั้นให้โจโฉทราบ
โจโฉเองคงมีใจหมั่นไส้และไม่พอใจเขาฮิวมาตั้งแต่ครั้งที่เขาฮิวชักม้าขึ้นมาขี่เคียงคู่ในวันก่อนแล้ว เห็นดังนั้นจึงว่า “เขาฮิวนั้นเป็นเพื่อนกับเรามาแต่ก่อน ซึ่งพูดจาทั้งนี้เป็นทางสัพยอก เหตุใดตัวจึงบังอาจฆ่าเขาฮิวเสียนั้นไม่ควร”
แต่โจโฉก็มิได้ลงโทษเคาทู เพียงแต่ให้คาดโทษไว้เท่านั้น จึงพอที่จะเห็นได้ว่าน้ำใจแท้ของโจโฉคงจะต้องการกำจัดเขาฮิวอยู่เหมือนกัน แต่แสร้งกล่าวถึงความเป็นเพื่อนแล้วตำหนิเคาทูว่าไม่ควร เพียงเพื่อให้พ้นจากคำครหาเท่านั้น
เขาฮิวผู้มีสติปัญญาจึงตายเแบบปลาหมอ เช่นเดียวกับการตายของยีเอ๋ง คือตายเพราะปาก ที่มีปากแล้วสักแต่พูด โดยไม่พินิจพิจารณาไตร่ตรองว่าเป็นการควรพูดหรือไม่ แม้หากควรพูดแล้วสมควรพูดอย่างไร สมควรพูดในกาลใด และในที่แห่งใด พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสถึงหลักการพูดว่าจะต้องพูดความจริง พูดในสิ่งที่เป็นประโยชน์ พูดถูกกาละ และพูดในโอกาสอันสมควรจะพูด แต่เพราะเขาฮิวสักแต่พูดเพราะมีปาก ไม่พูดจาโดยธรรม ดังนั้นจึงถึงแม้จะมีสติปัญญามากก็ต้องตายเป็นผีหัวขาดอยู่ข้างถนนนั่นเอง
โจโฉได้ตั้งเกลี้ยกล่อมแม่ทัพนายกองและราษฎรเมืองกิจิ๋วและหัวเมืองขึ้นทั้งปวงจนบ้านเมืองสงบราบคาบ จึงให้ติดตามหาผู้มีสติปัญญาเข้ามารับราชการเพิ่มเติม
บรรดาขุนนางเมืองกิจิ๋วได้เสนอให้โจโฉเชิญซุนตำ อดีตที่ปรึกษาของอ้วนเสี้ยวกลับเข้ารับราชการ โจโฉสงสัยจึงถามว่าซุนตำนี้เป็นใคร
บรรดาขุนนางเมืองกิจิ๋วได้แจ้งว่าซุนตำผู้นี้เป็นขุนนางเก่าเมืองกิจิ๋ว ตำแหน่งที่ปรึกษาของอ้วนเสี้ยว มีสติปัญญาเป็นอันมาก แต่เป็นคนพูดตรง ถือเอาการของบ้านเมืองเป็นสำคัญ ดังนั้นความเห็นของซุนตำที่เสนอให้อ้วนเสี้ยวสร้างความเป็นปึกแผ่นในภาคเหนือแล้วค่อยขยายอิทธิพลลงใต้จึงไม่ต้องด้วยความคิดของอ้วนเสี้ยวและที่ปรึกษาคนอื่น อ้วนเสี้ยวไม่พอใจซุนตำจึงไม่เชิญเข้าปรึกษาข้อราชการตามปกติ ซุนตำน้อยใจจึงลาป่วยอยู่กับบ้านจนถึงทุกวันนี้
โจโฉได้ฟังก็มีความยินดีจึงสั่งทหารให้ไปเชิญซุนตำเข้ามาพบ แล้วเกลี้ยกล่อมตั้งให้เป็นที่ปรึกษาดังเดิม ซุนตำเป็นที่ปรึกษาแล้วได้เสนอแก่โจโฉว่าอันทะเบียนราษฎร์ของเมืองกิจิ๋วซึ่งมีบัญชีประชากรอยู่ถึงสามสิบหมื่นนั้น แม้มีจำนวนมากก็จริง แต่ก็จริงอยู่เฉพาะในบัญชีเท่านั้น เพราะผู้คนกลัวภัยสงคราม ต่างอพยพหลบภัยไปอยู่เมืองอื่น ดังนั้นจึงมีจำนวนจริงน้อยกว่าตามที่ปรากฏในทะเบียนราษฎร์
โจโฉจึงว่าจะทำประการใดอาณาประชาราษฎรจึงจะกลับมาทำมาหากินตามปกติดังเดิม
ซุนตำตอบว่าหัวเมืองฝ่ายเหนือติดพันการศึกสงครามมาหลายปี แม้บัดนี้อ้วนถำ อ้วนชงก็ยังคงทำศึกต่อกันอยู่ อาณาประชาราษฎรได้รับความเดือดร้อนไม่สร่างสิ้น แตกกระสานซ่านเซ็นบ้านแตกสาแหรกขาดโดยทั่วไป ขอให้ท่านปราบปรามอ้วนชง อ้วนถำ สร้างสันติสุขขึ้นในบ้านเมืองอีกครั้งหนึ่ง ราษฎรทั้งปวงเห็นภัยสงครามสิ้นแล้วคงจะอพยพกลับมาทำมาหากินได้ดังเดิม
โจโฉได้ฟังก็เห็นด้วย จึงสั่งทหารให้ปิดประกาศตามหัวเมืองทั้งปวงที่ขึ้นต่อเมืองกิจิ๋วว่าบัดนี้บ้านเมืองเป็นปกติแล้ว ขอให้ทุกคนกลับถิ่นฐานเดิมแล้วตั้งหน้าทำมาหากินให้ได้รับความเป็นสุขถ้วนหน้ากัน ในขณะที่อีกด้านหนึ่งก็ให้หน่วยสอดแนมติดตามความเคลื่อนไหวของอ้วนชงและอ้วนถำ
ราษฎรเมืองกิจิ๋วเห็นดังนั้นก็มีความยินดี กิตติศัพท์แพร่หลายออกไปอย่างกว้างขวาง พวกที่อพยพหลบภัยต่างอพยพกลับแล้วตั้งหน้าทำมาหากินตามปกติสุข
ทางฝ่ายอ้วนถำซึ่งยึดเมืองเพงง้วนก๋วนไว้เป็นฐานนั้น ได้อาศัยช่วงโอกาสที่โจโฉทำศึกขับเคี่ยวกับเมืองกิจิ๋วยกกองทัพไปตีเมืองกำเหลง เมืองฮันเบ๋ง เมืองปุดไฮและเมืองโฮกั้น ยึดหัวเมืองทั้งสี่นี้ไว้ในอำนาจได้สำเร็จ ได้กวาดต้อนเกลี้ยกล่อมทหารจากสี่เมืองนี้เข้ามาสังกัดในกองทัพได้เป็นจำนวนมาก กองทัพของอ้วนถำจึงเติบใหญ่ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
อ้วนถำยึดหัวเมืองทั้งสี่ได้แล้วยังผูกใจเจ็บแค้นอ้วนชงผู้น้อง พอได้ข่าวว่าอ้วนชงหนีโจโฉไปตั้งหลักอยู่ในป่าก็ส่งทหารออกติดตาม แต่ปรากฏว่าอ้วนชงได้พาทหารหนีไปอาศัยอยู่กับอ้วนฮีผู้พี่ ณ เมืองอิวจิ๋ว
อ้วนถำพอทราบความดั่งนั้นก็เกรงใจอ้วนฮี จึงไม่ติดตามอ้วนชงอีกต่อไป แล้วให้ทหารที่ออกติดตามอ้วนชงนั้นยกกลับเข้าเมืองเพงง้วนก๋วน
ครั้นอ้วนถำทราบข่าวว่าโจโฉยึดเมืองกิจิ๋วได้แล้ว เกรงว่าญาติพี่น้องและผู้คนในตระกูลอ้วนจะได้ความยากลำบากจึงเรียกบรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองมาปรึกษาว่าจะยกกองทัพไปตีเมืองกิจิ๋ว.