ตอนที่ 17. สิ้นบุญตระกูล “โฮ”
ในชีวิตของคนเรานั้น ย่อมต้องกระทำในสิ่งที่ถูกต้อง และย่อมต้องมีสิ่งที่กระทำความผิดพลาด ผู้มีปัญญาจึงพึงเล็งการให้แม่นยำ ทำการแต่ในสิ่งที่ถูกต้อง หลีกเลี่ยงกระทำความผิดพลาด หรือแม้หากจะต้องเสี่ยงผิดเสี่ยงถูกตามสถานการณ์ ก็จำต้องให้โอกาสเสี่ยงถูกมากกว่าโอกาสที่จะเสี่ยงผิด
การกระทำที่ผิดพลาด หากไม่ใช่เรื่องสำคัญนักย่อมอยู่ในวิสัยที่จะแก้ไขให้กลับคืนดีได้ หรือแม้หากแก้ไขไม่ได้ก็ยังพอทนรับกับผลร้ายที่เกิดขึ้น ชีวิตคนเราย่อมเป็นเช่นนี้
แต่ทว่าหากความผิดพลาดที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องร้ายแรง ถึงระดับที่โบราณว่า “พลาดตาเดียว แพ้ทั้งกระดาน” แล้ว ย่อมสูญสิ้นซึ่งโอกาสที่จะแก้ไขให้กลับฟื้นคืนดีได้ เว้นแต่จะมีปาฏิหาริย์เฉพาะครั้ง เฉพาะคน และเฉพาะเรื่องเท่านั้น
ความคิดของโฮจิ๋นและอ้วนเสี้ยวที่แอบอ้างหมายรับสั่งให้กองทัพหัวเมืองยกเข้าเมืองหลวงเพื่อจับสิบขันทีฆ่าเสียนั้น หาใช่เป็นเรื่องผิดเล็กน้อยไม่ หากเป็นเรื่องผิดระดับที่ “พลาดตาเดียว แพ้ทั้งกระดาน” นั่นเอง
มิหนำยังซ้ำด้วยความประมาท ที่กระทำการใหญ่อันเป็นเรื่องลับแล้วไปจัดเลี้ยงโต๊ะ เชิญขุนนางมาร่วมงานเป็นการเอิกเกริก ความเคลื่อนไหวเหล่านี้จึงทราบไปถึงสิบขันที ซึ่งติดตามสถานการณ์ ระแวดระวังตนอยู่อย่างใกล้ชิด
ฝ่ายสิบขันทีได้ทราบข่าวตั๋งโต๊ะยกกองทัพมาตั้งอยู่นอกกำแพงพระนคร ก็อ่านเหตุการณ์ได้ว่าการทั้งนี้เกิดจากโฮจิ๋นวางแผนแอบอ้างรับสั่งของฮ่องเต้ให้เคลื่อนทัพ หัวเมืองเข้าเมืองหลวง เพื่อยืมมือกองทัพหัวเมืองฆ่าพวกตนเสีย ทั้งได้ข่าวโฮจิ๋นจัดงานเลี้ยงโต๊ะเชิญขุนนางไปปรึกษาเรื่องให้กองทัพตั๋งโต๊ะเคลื่อนเข้าเมืองหลวง เพื่อสังหารพวกตน จนขุนนางที่ซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินต้องลาออกจากราชการไปหลายคน เหตุการณ์คับขันนัก จึงตัดสินใจเสี่ยงแตกหักกับโฮจิ๋น เพราะหากขืนไม่ทำอะไรเสียเลยก็มีแต่จะตกตายสถานเดียว
ดังนั้นผลการปรึกษาหารือของสิบขันทีจึงได้ข้อสรุปว่า “ครั้นเราจะนิ่งอยู่บัดนี้ อันตรายก็จะถึงชีวิตเรา เราจำจะคิดฆ่าโฮจิ๋นเสียก่อน” วางแผนแล้วกำหนดจุดสังหารไว้ที่ประตูพระตำหนักโฮไทเฮา ภายในเขตพระราชฐานชั้นใน
วางแผนเสร็จก็จัดพรรคพวกฝีมือดีห้าสิบคน พร้อมอาวุธ ลอบเข้าไปในเขตพระราชฐานชั้นใน แอบอยู่ข้างซุ้มประตูพระตำหนักโฮไทเฮา และสั่งว่าถ้าเห็นโฮจิ๋นเข้ามาก็ให้สังหารเสียในทันที
จัดวางกำลังหน่วยสังหารแล้ว เตียวเหยียงขันทีจึงเข้าเฝ้าโฮไทเฮากราบทูลว่าแม้ว่าพระแม่เจ้าจะแผ่พระเมตตาบารมี คุ้มครองให้พวกข้าพเจ้าได้ถวายการรับใช้ใกล้ชิดแล้ว โฮจิ๋นก็หาเกรงใจพระองค์ไม่ ทั้งไม่รักษาคำสัตย์ วางแผนแอบอ้างรับสั่งของฮ่องเต้ให้เรียกกองทัพจากหัวเมืองเข้าเมืองหลวงเพื่อจะเอาตัวพวกข้าพเจ้าไปสังหารเสีย พวกข้าพเจ้าหาที่พึ่งอื่นมิได้ จึงมาขอพระบารมีเป็นที่พึ่ง
แล้วทูลต่อไปว่าการที่โฮจิ๋นแอบอ้างรับสั่งครั้งนี้ บรรดาขุนนางต่างคัดค้านว่าจะเกิดจลาจลขึ้นในเมือง เพราะตั๋งโต๊ะเป็นคนหยาบช้า ทั้งมีความเคียดแค้นคนในตระกูล “โฮ” อันเนื่องมาจากโฮจิ๋นได้ลอบสังหารตั๋งไทเฮา ซึ่งเป็นคนแซ่เดียวกันกับตั๋งโต๊ะเสีย ตั๋งโต๊ะเข้ามาครั้งนี้ย่อมจะชิงเอาราชสมบัติ แล้วทำร้ายตระกูล “โฮ” จนพินาศสิ้น อย่างน้อยที่สุดย่อมจะอาศัยกำลังกองทัพชิงอำนาจจากพระองค์ บงการฮ่องเต้เสียแต่ผู้เดียว
สุดยอดวิชาขันทีว่าด้วยการสร้างความแตกแยกเพื่อเอาตัวรอดและแสวงประโยชน์สัมฤทธิ์ผลอีกครั้งหนึ่ง โฮไทเฮาฟังคำทูลแล้วก็ตกพระทัย ด้วยเห็นเป็นเรื่องใหญ่กระทบต่ออำนาจของพระองค์เอง และผลประโยชน์ของตระกูล “โฮ” เป็นส่วนรวม
ดังนั้นน้ำพระทัยจึงคล้อยเอนเชื่อตามคำขันที จึงตรัสว่าเรื่องใหญ่ขนาดนี้พวกเจ้าจงไปชี้แจงแลอ้อนวอนโฮจิ๋นเถิด คงจะเชื่อฟังพวกเจ้าคิดอ่านแก้ไขเหตุการณ์และจะไม่ทำอันตรายพวกเจ้าดอก
เตียวเหยียงจึงทูลว่า “โฮจิ๋นมีใจชังพวกข้าพเจ้าทั้งสิบคนนัก ซึ่งจะให้พวกข้าพเจ้าออกไปหานั้นเหมือนหนึ่งเอาเนื้อไปสู่เสือ อันจะมีชีวิตคืนมานั้นหามิได้ ถ้าพระองค์เมตตาข้าพเจ้าครั้งนี้ ขอให้เชิญโฮจิ๋นเข้ามาตรัสขอชีวิตข้าพเจ้าต่อพระโอษฐ์ ถึงมาตรว่าโฮจิ๋นจะไม่เมตตาแล้ว ข้าพเจ้าก็จะตายอยู่ต่อหน้าที่นั่งพระองค์”
โฮไทเฮาฟังคำทูลของเตียวเหยียงขันทีแล้ว ก็มีความกรุณา ทั้งเป็นผลประโยชน์ใหญ่ของพระองค์เองและตระกูล “โฮ” จึงมีพระราชเสาวนีย์สั่งให้นางกำนัลไปเชิญ โฮจิ๋นเข้าวัง
นางกำนัลไปถึงจวนโฮจิ๋นแล้วเชิญพระราชเสาวนีย์ของโฮไทเฮาให้โฮจิ๋นทราบ แล้วกลับพระตำหนักโฮไทเฮา
ตันหลิมขุนนางฝ่ายอาลักษณ์ยินคำของนางกำนัลที่ว่าโฮไทเฮาให้หาโฮจิ๋นเข้าวังแล้ว ก็อ่านเหตุการณ์ครั้งนี้ว่ากรณีเป็นกลอุบาย จึงทัดทานโฮจิ๋นไม่ให้เข้าวัง ด้วยเกรงจักเป็นอันตราย
อ้วนเสี้ยวอยู่ในที่นั้น เห็นด้วยกับคำทัดทานของตันหลิม จึงกล่าวเสริมคำของตันหลิมว่าที่พวกเราวางแผนสังหารขันทีในครั้งนี้นั้น รูปการณ์ส่อเค้าว่าขันทีคงจะรู้ตระหนักแล้ว จึงวางแผนแก้ไขเอาตัวรอด การเข้าวังของท่านครั้งนี้เห็นทีจะเกิดอันตราย
โจโฉซึ่งกลายเป็นคนสนิทสนมของท่านผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน แต่ละวันเฝ้าเช้าเฝ้าเย็นราวกับเป็นคนในจวนโฮจิ๋น เป็นที่ไว้วางใจของโฮจิ๋นอยู่ในที่นั้นด้วย จึงออกความเห็นขึ้นมาบ้างว่า “ถ้าท่านจะเข้าไปก็ไปเถิด แต่ให้ตัวขันทีสิบคนออกมาเสียจากวังก่อน ท่านจึงจะไม่มีอันตราย”
โฮจิ๋นยามชะตาจะถึงฆาต ความเฉลียวใจและความคิดอ่านระวังตนก็ถูกเงื้อมหัตถ์มัจจุราชบังไว้สิ้น หัวเราะแล้วว่าโฮไทเฮาน้องสาวเราเชิญเราเข้าวัง มีหรือที่น้องร่วมอุทรของเราจะลวงเราไปให้ขันทีสังหาร ตัวเราเองเป็นใหญ่ถึงที่ผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน อำนาจทหารและอำนาจบังคับบัญชาขุนนางทั้งปวงก็อยู่ที่เราสิ้น หาใครมาเสมอมิได้ ไหนเลยขันทีจะหาญกล้าคิดอ่านทำร้ายเราได้
อ้วนเสี้ยวเห็นท่าจะทัดทานโฮจิ๋นไม่สำเร็จ จึงกล่าวขึ้นว่าท่านมิฟังคำพวกข้าพเจ้า ขืนเข้าไปก็ตามที แต่ข้าพเจ้าจะขอตามไปด้วย โฮจิ๋นขัดความปรารถนาดีของอ้วนเสี้ยวและพวกไม่ได้ จึงอนุญาตตามที่อ้วนเสี้ยวเสนอ
อ้วนเสี้ยวจึงสั่งให้อ้วนสุด นายทหารผู้น้องคุมกำลังทหารห้าร้อย ส่วนอ้วนเสี้ยวกับโจโฉแต่งตัวใส่เสื้อเกราะสำหรับออกศึก ถือกระบี่เข้าไปพร้อมกับโฮจิ๋น
อ้วนสุดและกำลังทหารไปติดอยู่ที่ประตูพระราชฐานชั้นนอก ส่วนอ้วนเสี้ยวและโจโฉไปติดอยู่ที่ประตูพระราชฐานชั้นใน คงมีแต่โฮจิ๋นเดินเข้าประตูพระราชฐานชั้นในไปอย่างเดียวดาย โดยไร้เงาหัวทาบเหนือพื้นทางเดินเบื้องหลัง
เหตุทั้งนี้เนื่องจากมีกฎหมายลักษณะกบฎศึกบัญญัติว่าห้ามมิให้กองทัพหัวเมืองยกเข้าเมืองหลวง เว้นแต่จะมีหมายรับสั่งของฮ่องเต้ ถ้ามีหมายรับสั่งของฮ่องเต้ก็ให้ตั้งทัพไว้นอกกำแพงพระนคร ห้ามยกเข้ามาภายในกำแพงพระนครโดยเด็ดขาด
ส่วนขุนนางทั้งปวงนอกจากผู้มีหน้าที่เฝ้าและถวายงานประจำตามปกติแล้ว ห้ามเข้าในเขตพระราชฐาน เว้นแต่จะมีหมายรับสั่งให้หา ก็ให้เข้าได้เฉพาะตัวเองและผู้ติดตาม ตามตำแหน่งหน้าที่ และเข้าได้เฉพาะเขตพระราชฐานชั้นนอก ห้ามขาดมิให้ถืออาวุธหรือล่วงเข้าเขตพระราชฐานชั้นใน
หากมีความจำเป็นโดยฮ่องเต้รับสั่งให้หาถึงในเขตพระราชฐานชั้นใน ก็ให้เข้าได้เฉพาะตัว และห้ามถืออาวุธ
ดังนั้นแม้มีจะมีกำลังทหารตามมาอารักขา และยังมีอ้วนเสี้ยว โจโฉ ติดตามมาคุ้มกัน แต่ก็ต้องติดอยู่ที่ประตูพระราชฐานด้วยอำนาจแห่งกฎหมายกบฎศึกดังกล่าวแล้ว
ฝ่ายโฮจิ๋นเมื่อเข้าประตูพระราชฐานชั้นในแล้วประตูพระราชฐานก็ปิดลงตามปกติ เดินผ่านเข้าประตูพระตำหนักโฮไทเฮา ประตูนั้นก็ปิดลงอีก ทันใดนั้นเตียวเหยียง ต๋วนกุยขันทีซึ่งคอยทีอยู่แล้วจึงเดินเข้ามาหาโฮจิ๋น แล้วให้สัญญาณให้มือสังหารทั้งห้าสิบคนออกมาล้อมโฮจิ๋นไว้
แล้วว่า “ตัวแต่ก่อนนั้นเป็นผู้น้อยอยู่ เราได้ช่วยทำนุบำรุงว่ากล่าวเพ็ดทูล ตัวจึงได้เป็นผู้ใหญ่ขึ้นถึงเพียงนี้ แลตัวกำเริบให้คนไปลอบฆ่าตั๋งไทเฮา ซึ่งเป็นมารดาพระเจ้าเลนเต้อันหาความผิดมิได้นั้นเสีย แล้วตัวแอบอ้างรับสั่งออกไปให้หาหัวเมืองทั้งปวงยกทหารเข้ามา จะจับเราซึ่งมีคุณแก่ตัวฆ่าเสียนั้น ตัวหามีกตัญญูต่อเราไม่ กลับว่าเราเป็นศัตรูราชสมบัติอีกเล่า ตัวจะทำร้ายกูแล้ว กูจะเอาชีวิตมึงเสียบัดนี้ก่อน”
โฮจิ๋นเห็นมือสังหารรุมเข้ามาล้อมและฟังคำเตียวเหยียงแล้วก็ตกใจ รู้ตัวว่าต้องกลขันที หันซ้ายแลขวาหาทางออกมิได้ มิรู้ที่จะทำประการใด มือสังหารทั้งห้าสิบคนก็รุมกันฆ่าโฮจิ๋นตายในที่นั้น
โฮจิ๋นเสาหลักอำนาจหนึ่งของสกุล “โฮ” จึงล้มครืนลงเพราะความโลเล ถือดี โง่ และอวดฉลาดของตน โดยที่ไม่มีโอกาสได้เห็นและสำนึกผิดในความฉิบหายของบ้านเมืองที่เกิดจากการตัดสินใจ “ชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าเมือง” ตามความเห็นของอ้วนเสี้ยว ซึ่งเป็นขุนนางที่บ้าบิ่นและเลอะเทอะที่สุดคนหนึ่งของสามก๊ก
ในสถานการณ์ใดก็ตามที่คนเราถูกบังคับให้ต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย หรือตัดสินใจสู้ตายแล้ว ผลลัพธ์มักจะออกมาในทางตายเสียเป็นส่วนมาก ที่จะเกิดผลในทางเป็นนั้นมีน้อยนัก หลักความจริงมีอยู่ตรงที่เมื่อเกิดสถานการณ์เช่นนั้นขึ้นแล้ว ย่อมตกเป็นฝ่ายถูกกระทำ ถูกจำกัด และหาทางออกไม่ได้ในแทบทุกด้าน
เหตุนี้ผู้มีปัญญาย่อมไม่ยินยอมให้ตนตกอยู่ในสภาพถูกกระทำเช่นนั้น แต่มิใช่ว่าจะกระทำได้ทุกคนไป
เพราะการแลเห็นเหตุการณ์ที่ยังไม่เกิดขึ้น การได้ยินเสียงซึ่งคนไม่ได้พูด และการคาดคิดในสิ่งที่คนคิดไม่ทั่วถึงนั้น ไม่เป็นวิสัยของคนโง่ หากเป็นวิสัยของบัณฑิตผู้ปรีชาสามารถ
แต่ธรรมดาของการณ์ทั้งปวงนั้น ดุจดั่งฝนตก ใช่ว่าจะตกในทันใดหามิได้ หากต้องมีเค้าฝน เมฆคำรณ ฟ้าคำรามให้ประจักษ์ก่อน การทั้งปวงก็ย่อมมีสิ่งบอกเหตุที่ผู้คนเห็นได้ รู้ได้ ปมเงื่อนอยู่ที่วิจารณญาณในการพินิจคำทักท้วงทัดทาน หรือความเห็นที่ไม่ต้องด้วยความเห็นของตัวได้เพียงใดเท่านั้น
กรณีของโฮจิ๋นก็เช่นเดียวกัน สิ่งบอกเหตุที่ทำให้คนประจักษ์ทั้งเหตุแลผลก็มีมากมาย คำท้วงติงทัดทานและความเห็นของคนรอบข้างก็มีอยู่อย่างไม่ขาดสาย เป็นแต่ว่าคนแบบโฮจิ๋นไม่รู้ ไม่เข้าใจ และไม่รับฟังเสียเท่านั้น
เหตุนี้แม้ศีรษะบนบ่าแท้ ๆ ก็ยังรักษาไว้ไม่ได้
ขันทีก็เช่นเดียวกัน หลังจากก่อกรรมทำเข็ญไว้มาก คิดและทำแต่สิ่งชั่วร้าย วิบากกรรมธรรมชาติจึงกำหนดเหตุการณ์ให้ต้องตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงตาย ต้องตัดสินใจวางแผนฆ่าโฮจิ๋น ซึ่งเป็นถึงผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน กุมกำลังทหารอยู่ในมือ และจัดเตรียมกำลังไว้พร้อมสรรพ
การตัดสินใจและแผนของขันทีจึงเท่ากับเป็นการเร่งกลไกแห่งกรรมให้ทำงานเร็วยิ่งขึ้น.
การกระทำที่ผิดพลาด หากไม่ใช่เรื่องสำคัญนักย่อมอยู่ในวิสัยที่จะแก้ไขให้กลับคืนดีได้ หรือแม้หากแก้ไขไม่ได้ก็ยังพอทนรับกับผลร้ายที่เกิดขึ้น ชีวิตคนเราย่อมเป็นเช่นนี้
แต่ทว่าหากความผิดพลาดที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องร้ายแรง ถึงระดับที่โบราณว่า “พลาดตาเดียว แพ้ทั้งกระดาน” แล้ว ย่อมสูญสิ้นซึ่งโอกาสที่จะแก้ไขให้กลับฟื้นคืนดีได้ เว้นแต่จะมีปาฏิหาริย์เฉพาะครั้ง เฉพาะคน และเฉพาะเรื่องเท่านั้น
ความคิดของโฮจิ๋นและอ้วนเสี้ยวที่แอบอ้างหมายรับสั่งให้กองทัพหัวเมืองยกเข้าเมืองหลวงเพื่อจับสิบขันทีฆ่าเสียนั้น หาใช่เป็นเรื่องผิดเล็กน้อยไม่ หากเป็นเรื่องผิดระดับที่ “พลาดตาเดียว แพ้ทั้งกระดาน” นั่นเอง
มิหนำยังซ้ำด้วยความประมาท ที่กระทำการใหญ่อันเป็นเรื่องลับแล้วไปจัดเลี้ยงโต๊ะ เชิญขุนนางมาร่วมงานเป็นการเอิกเกริก ความเคลื่อนไหวเหล่านี้จึงทราบไปถึงสิบขันที ซึ่งติดตามสถานการณ์ ระแวดระวังตนอยู่อย่างใกล้ชิด
ฝ่ายสิบขันทีได้ทราบข่าวตั๋งโต๊ะยกกองทัพมาตั้งอยู่นอกกำแพงพระนคร ก็อ่านเหตุการณ์ได้ว่าการทั้งนี้เกิดจากโฮจิ๋นวางแผนแอบอ้างรับสั่งของฮ่องเต้ให้เคลื่อนทัพ หัวเมืองเข้าเมืองหลวง เพื่อยืมมือกองทัพหัวเมืองฆ่าพวกตนเสีย ทั้งได้ข่าวโฮจิ๋นจัดงานเลี้ยงโต๊ะเชิญขุนนางไปปรึกษาเรื่องให้กองทัพตั๋งโต๊ะเคลื่อนเข้าเมืองหลวง เพื่อสังหารพวกตน จนขุนนางที่ซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินต้องลาออกจากราชการไปหลายคน เหตุการณ์คับขันนัก จึงตัดสินใจเสี่ยงแตกหักกับโฮจิ๋น เพราะหากขืนไม่ทำอะไรเสียเลยก็มีแต่จะตกตายสถานเดียว
ดังนั้นผลการปรึกษาหารือของสิบขันทีจึงได้ข้อสรุปว่า “ครั้นเราจะนิ่งอยู่บัดนี้ อันตรายก็จะถึงชีวิตเรา เราจำจะคิดฆ่าโฮจิ๋นเสียก่อน” วางแผนแล้วกำหนดจุดสังหารไว้ที่ประตูพระตำหนักโฮไทเฮา ภายในเขตพระราชฐานชั้นใน
วางแผนเสร็จก็จัดพรรคพวกฝีมือดีห้าสิบคน พร้อมอาวุธ ลอบเข้าไปในเขตพระราชฐานชั้นใน แอบอยู่ข้างซุ้มประตูพระตำหนักโฮไทเฮา และสั่งว่าถ้าเห็นโฮจิ๋นเข้ามาก็ให้สังหารเสียในทันที
จัดวางกำลังหน่วยสังหารแล้ว เตียวเหยียงขันทีจึงเข้าเฝ้าโฮไทเฮากราบทูลว่าแม้ว่าพระแม่เจ้าจะแผ่พระเมตตาบารมี คุ้มครองให้พวกข้าพเจ้าได้ถวายการรับใช้ใกล้ชิดแล้ว โฮจิ๋นก็หาเกรงใจพระองค์ไม่ ทั้งไม่รักษาคำสัตย์ วางแผนแอบอ้างรับสั่งของฮ่องเต้ให้เรียกกองทัพจากหัวเมืองเข้าเมืองหลวงเพื่อจะเอาตัวพวกข้าพเจ้าไปสังหารเสีย พวกข้าพเจ้าหาที่พึ่งอื่นมิได้ จึงมาขอพระบารมีเป็นที่พึ่ง
แล้วทูลต่อไปว่าการที่โฮจิ๋นแอบอ้างรับสั่งครั้งนี้ บรรดาขุนนางต่างคัดค้านว่าจะเกิดจลาจลขึ้นในเมือง เพราะตั๋งโต๊ะเป็นคนหยาบช้า ทั้งมีความเคียดแค้นคนในตระกูล “โฮ” อันเนื่องมาจากโฮจิ๋นได้ลอบสังหารตั๋งไทเฮา ซึ่งเป็นคนแซ่เดียวกันกับตั๋งโต๊ะเสีย ตั๋งโต๊ะเข้ามาครั้งนี้ย่อมจะชิงเอาราชสมบัติ แล้วทำร้ายตระกูล “โฮ” จนพินาศสิ้น อย่างน้อยที่สุดย่อมจะอาศัยกำลังกองทัพชิงอำนาจจากพระองค์ บงการฮ่องเต้เสียแต่ผู้เดียว
สุดยอดวิชาขันทีว่าด้วยการสร้างความแตกแยกเพื่อเอาตัวรอดและแสวงประโยชน์สัมฤทธิ์ผลอีกครั้งหนึ่ง โฮไทเฮาฟังคำทูลแล้วก็ตกพระทัย ด้วยเห็นเป็นเรื่องใหญ่กระทบต่ออำนาจของพระองค์เอง และผลประโยชน์ของตระกูล “โฮ” เป็นส่วนรวม
ดังนั้นน้ำพระทัยจึงคล้อยเอนเชื่อตามคำขันที จึงตรัสว่าเรื่องใหญ่ขนาดนี้พวกเจ้าจงไปชี้แจงแลอ้อนวอนโฮจิ๋นเถิด คงจะเชื่อฟังพวกเจ้าคิดอ่านแก้ไขเหตุการณ์และจะไม่ทำอันตรายพวกเจ้าดอก
เตียวเหยียงจึงทูลว่า “โฮจิ๋นมีใจชังพวกข้าพเจ้าทั้งสิบคนนัก ซึ่งจะให้พวกข้าพเจ้าออกไปหานั้นเหมือนหนึ่งเอาเนื้อไปสู่เสือ อันจะมีชีวิตคืนมานั้นหามิได้ ถ้าพระองค์เมตตาข้าพเจ้าครั้งนี้ ขอให้เชิญโฮจิ๋นเข้ามาตรัสขอชีวิตข้าพเจ้าต่อพระโอษฐ์ ถึงมาตรว่าโฮจิ๋นจะไม่เมตตาแล้ว ข้าพเจ้าก็จะตายอยู่ต่อหน้าที่นั่งพระองค์”
โฮไทเฮาฟังคำทูลของเตียวเหยียงขันทีแล้ว ก็มีความกรุณา ทั้งเป็นผลประโยชน์ใหญ่ของพระองค์เองและตระกูล “โฮ” จึงมีพระราชเสาวนีย์สั่งให้นางกำนัลไปเชิญ โฮจิ๋นเข้าวัง
นางกำนัลไปถึงจวนโฮจิ๋นแล้วเชิญพระราชเสาวนีย์ของโฮไทเฮาให้โฮจิ๋นทราบ แล้วกลับพระตำหนักโฮไทเฮา
ตันหลิมขุนนางฝ่ายอาลักษณ์ยินคำของนางกำนัลที่ว่าโฮไทเฮาให้หาโฮจิ๋นเข้าวังแล้ว ก็อ่านเหตุการณ์ครั้งนี้ว่ากรณีเป็นกลอุบาย จึงทัดทานโฮจิ๋นไม่ให้เข้าวัง ด้วยเกรงจักเป็นอันตราย
อ้วนเสี้ยวอยู่ในที่นั้น เห็นด้วยกับคำทัดทานของตันหลิม จึงกล่าวเสริมคำของตันหลิมว่าที่พวกเราวางแผนสังหารขันทีในครั้งนี้นั้น รูปการณ์ส่อเค้าว่าขันทีคงจะรู้ตระหนักแล้ว จึงวางแผนแก้ไขเอาตัวรอด การเข้าวังของท่านครั้งนี้เห็นทีจะเกิดอันตราย
โจโฉซึ่งกลายเป็นคนสนิทสนมของท่านผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน แต่ละวันเฝ้าเช้าเฝ้าเย็นราวกับเป็นคนในจวนโฮจิ๋น เป็นที่ไว้วางใจของโฮจิ๋นอยู่ในที่นั้นด้วย จึงออกความเห็นขึ้นมาบ้างว่า “ถ้าท่านจะเข้าไปก็ไปเถิด แต่ให้ตัวขันทีสิบคนออกมาเสียจากวังก่อน ท่านจึงจะไม่มีอันตราย”
โฮจิ๋นยามชะตาจะถึงฆาต ความเฉลียวใจและความคิดอ่านระวังตนก็ถูกเงื้อมหัตถ์มัจจุราชบังไว้สิ้น หัวเราะแล้วว่าโฮไทเฮาน้องสาวเราเชิญเราเข้าวัง มีหรือที่น้องร่วมอุทรของเราจะลวงเราไปให้ขันทีสังหาร ตัวเราเองเป็นใหญ่ถึงที่ผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน อำนาจทหารและอำนาจบังคับบัญชาขุนนางทั้งปวงก็อยู่ที่เราสิ้น หาใครมาเสมอมิได้ ไหนเลยขันทีจะหาญกล้าคิดอ่านทำร้ายเราได้
อ้วนเสี้ยวเห็นท่าจะทัดทานโฮจิ๋นไม่สำเร็จ จึงกล่าวขึ้นว่าท่านมิฟังคำพวกข้าพเจ้า ขืนเข้าไปก็ตามที แต่ข้าพเจ้าจะขอตามไปด้วย โฮจิ๋นขัดความปรารถนาดีของอ้วนเสี้ยวและพวกไม่ได้ จึงอนุญาตตามที่อ้วนเสี้ยวเสนอ
อ้วนเสี้ยวจึงสั่งให้อ้วนสุด นายทหารผู้น้องคุมกำลังทหารห้าร้อย ส่วนอ้วนเสี้ยวกับโจโฉแต่งตัวใส่เสื้อเกราะสำหรับออกศึก ถือกระบี่เข้าไปพร้อมกับโฮจิ๋น
อ้วนสุดและกำลังทหารไปติดอยู่ที่ประตูพระราชฐานชั้นนอก ส่วนอ้วนเสี้ยวและโจโฉไปติดอยู่ที่ประตูพระราชฐานชั้นใน คงมีแต่โฮจิ๋นเดินเข้าประตูพระราชฐานชั้นในไปอย่างเดียวดาย โดยไร้เงาหัวทาบเหนือพื้นทางเดินเบื้องหลัง
เหตุทั้งนี้เนื่องจากมีกฎหมายลักษณะกบฎศึกบัญญัติว่าห้ามมิให้กองทัพหัวเมืองยกเข้าเมืองหลวง เว้นแต่จะมีหมายรับสั่งของฮ่องเต้ ถ้ามีหมายรับสั่งของฮ่องเต้ก็ให้ตั้งทัพไว้นอกกำแพงพระนคร ห้ามยกเข้ามาภายในกำแพงพระนครโดยเด็ดขาด
ส่วนขุนนางทั้งปวงนอกจากผู้มีหน้าที่เฝ้าและถวายงานประจำตามปกติแล้ว ห้ามเข้าในเขตพระราชฐาน เว้นแต่จะมีหมายรับสั่งให้หา ก็ให้เข้าได้เฉพาะตัวเองและผู้ติดตาม ตามตำแหน่งหน้าที่ และเข้าได้เฉพาะเขตพระราชฐานชั้นนอก ห้ามขาดมิให้ถืออาวุธหรือล่วงเข้าเขตพระราชฐานชั้นใน
หากมีความจำเป็นโดยฮ่องเต้รับสั่งให้หาถึงในเขตพระราชฐานชั้นใน ก็ให้เข้าได้เฉพาะตัว และห้ามถืออาวุธ
ดังนั้นแม้มีจะมีกำลังทหารตามมาอารักขา และยังมีอ้วนเสี้ยว โจโฉ ติดตามมาคุ้มกัน แต่ก็ต้องติดอยู่ที่ประตูพระราชฐานด้วยอำนาจแห่งกฎหมายกบฎศึกดังกล่าวแล้ว
ฝ่ายโฮจิ๋นเมื่อเข้าประตูพระราชฐานชั้นในแล้วประตูพระราชฐานก็ปิดลงตามปกติ เดินผ่านเข้าประตูพระตำหนักโฮไทเฮา ประตูนั้นก็ปิดลงอีก ทันใดนั้นเตียวเหยียง ต๋วนกุยขันทีซึ่งคอยทีอยู่แล้วจึงเดินเข้ามาหาโฮจิ๋น แล้วให้สัญญาณให้มือสังหารทั้งห้าสิบคนออกมาล้อมโฮจิ๋นไว้
แล้วว่า “ตัวแต่ก่อนนั้นเป็นผู้น้อยอยู่ เราได้ช่วยทำนุบำรุงว่ากล่าวเพ็ดทูล ตัวจึงได้เป็นผู้ใหญ่ขึ้นถึงเพียงนี้ แลตัวกำเริบให้คนไปลอบฆ่าตั๋งไทเฮา ซึ่งเป็นมารดาพระเจ้าเลนเต้อันหาความผิดมิได้นั้นเสีย แล้วตัวแอบอ้างรับสั่งออกไปให้หาหัวเมืองทั้งปวงยกทหารเข้ามา จะจับเราซึ่งมีคุณแก่ตัวฆ่าเสียนั้น ตัวหามีกตัญญูต่อเราไม่ กลับว่าเราเป็นศัตรูราชสมบัติอีกเล่า ตัวจะทำร้ายกูแล้ว กูจะเอาชีวิตมึงเสียบัดนี้ก่อน”
โฮจิ๋นเห็นมือสังหารรุมเข้ามาล้อมและฟังคำเตียวเหยียงแล้วก็ตกใจ รู้ตัวว่าต้องกลขันที หันซ้ายแลขวาหาทางออกมิได้ มิรู้ที่จะทำประการใด มือสังหารทั้งห้าสิบคนก็รุมกันฆ่าโฮจิ๋นตายในที่นั้น
โฮจิ๋นเสาหลักอำนาจหนึ่งของสกุล “โฮ” จึงล้มครืนลงเพราะความโลเล ถือดี โง่ และอวดฉลาดของตน โดยที่ไม่มีโอกาสได้เห็นและสำนึกผิดในความฉิบหายของบ้านเมืองที่เกิดจากการตัดสินใจ “ชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าเมือง” ตามความเห็นของอ้วนเสี้ยว ซึ่งเป็นขุนนางที่บ้าบิ่นและเลอะเทอะที่สุดคนหนึ่งของสามก๊ก
ในสถานการณ์ใดก็ตามที่คนเราถูกบังคับให้ต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย หรือตัดสินใจสู้ตายแล้ว ผลลัพธ์มักจะออกมาในทางตายเสียเป็นส่วนมาก ที่จะเกิดผลในทางเป็นนั้นมีน้อยนัก หลักความจริงมีอยู่ตรงที่เมื่อเกิดสถานการณ์เช่นนั้นขึ้นแล้ว ย่อมตกเป็นฝ่ายถูกกระทำ ถูกจำกัด และหาทางออกไม่ได้ในแทบทุกด้าน
เหตุนี้ผู้มีปัญญาย่อมไม่ยินยอมให้ตนตกอยู่ในสภาพถูกกระทำเช่นนั้น แต่มิใช่ว่าจะกระทำได้ทุกคนไป
เพราะการแลเห็นเหตุการณ์ที่ยังไม่เกิดขึ้น การได้ยินเสียงซึ่งคนไม่ได้พูด และการคาดคิดในสิ่งที่คนคิดไม่ทั่วถึงนั้น ไม่เป็นวิสัยของคนโง่ หากเป็นวิสัยของบัณฑิตผู้ปรีชาสามารถ
แต่ธรรมดาของการณ์ทั้งปวงนั้น ดุจดั่งฝนตก ใช่ว่าจะตกในทันใดหามิได้ หากต้องมีเค้าฝน เมฆคำรณ ฟ้าคำรามให้ประจักษ์ก่อน การทั้งปวงก็ย่อมมีสิ่งบอกเหตุที่ผู้คนเห็นได้ รู้ได้ ปมเงื่อนอยู่ที่วิจารณญาณในการพินิจคำทักท้วงทัดทาน หรือความเห็นที่ไม่ต้องด้วยความเห็นของตัวได้เพียงใดเท่านั้น
กรณีของโฮจิ๋นก็เช่นเดียวกัน สิ่งบอกเหตุที่ทำให้คนประจักษ์ทั้งเหตุแลผลก็มีมากมาย คำท้วงติงทัดทานและความเห็นของคนรอบข้างก็มีอยู่อย่างไม่ขาดสาย เป็นแต่ว่าคนแบบโฮจิ๋นไม่รู้ ไม่เข้าใจ และไม่รับฟังเสียเท่านั้น
เหตุนี้แม้ศีรษะบนบ่าแท้ ๆ ก็ยังรักษาไว้ไม่ได้
ขันทีก็เช่นเดียวกัน หลังจากก่อกรรมทำเข็ญไว้มาก คิดและทำแต่สิ่งชั่วร้าย วิบากกรรมธรรมชาติจึงกำหนดเหตุการณ์ให้ต้องตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงตาย ต้องตัดสินใจวางแผนฆ่าโฮจิ๋น ซึ่งเป็นถึงผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน กุมกำลังทหารอยู่ในมือ และจัดเตรียมกำลังไว้พร้อมสรรพ
การตัดสินใจและแผนของขันทีจึงเท่ากับเป็นการเร่งกลไกแห่งกรรมให้ทำงานเร็วยิ่งขึ้น.