ตอนที่ 169. อุบายใช้ช่างทาสีล้างมลทิน
โจโฉติดใจในแถลงการณ์ประวัติศาสตร์ที่ตันหลิมได้เขียนขึ้นตามคำสั่งของอ้วนเสี้ยวในอดีต ซึ่งเป็นแถลงการณ์ที่เจ็บปวดรวดร้าวเพราะไม่เพียงแต่ประณามโจโฉว่าเป็นศัตรูราชสมบัติ คิดคดทรยศต่อแผ่นดินเท่านั้น ยังก้าวล่วงขุดเอาโคตรเหง้าตระกูลตั้งแต่ครั้งพ่อและปู่มาประจานด้วย และแถลงการณ์นี้เป็นการทำลายภาพพจน์และสร้างมลทินสีดำให้ติดตัวโจโฉไปจนวันตาย
ครั้นตันหลิมได้ฟังคำถามของโจโฉในเรื่องนี้ก็ตระหนักถึงความโกรธแค้นของโจโฉว่าอาจระเบิดขึ้นผลาญชีวิตตัวเองได้ แต่ในเมื่อตกอยู่ในเงื้อมมือเป็นเชลยของโจโฉแล้ว ถึงแม้จะกลัวสักปานไหน ความกลัวนั้นก็ไม่มีทางที่จะเป็นเครื่องช่วยชีวิตให้รอดได้ มีทางเดียวเท่านั้นคือต้องยืนหยัดในความกล้าหาญและยืนหยัดในหน้าที่ในฐานะที่เป็นขุนนาง ซึ่งเมื่อรับคำสั่งจากเจ้านายแล้วจะต้องทำให้ดีที่สุด เพราะเมื่อยืนหยัดในสิ่งนี้แล้ว หากต้องตายก็ยังเป็นที่สรรเสริญของคนข้างหลัง แต่ตันหลิมนั้นรู้ดีว่าโจโฉมีอัธยาศัยรักคนกล้า และคนมีสติปัญญา
เมื่อคิดดั่งนี้แล้วตันหลิมจึงตัดสินใจเสี่ยงตาย ตอบไปด้วยโวหารว่าเป็นธรรมดาของนักเกาทัณฑ์ เมื่อจะยิงเกาทัณฑ์เอาเกาทัณฑ์ขึ้นพาดสายแล้ว หากไม่น้าวเกาทัณฑ์มาข้างหลังจะยิงเกาทัณฑ์ไปข้างหน้าได้อย่างไร
ความหมายของตันหลิมก็คือเมื่อจะด่าประณามโจโฉว่าเป็นศัตรูราชสมบัติ คิดคดทรยศต่อแผ่นดินก็ต้องก่นโคตรพ่อโคตรปู่แต่อดีตขึ้นมากล่าวเท้าความจึงจะเห็นสม
บรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองของโจโฉซึ่งอยู่ในที่นั้นได้ฟังคำตันหลิมก็โกรธแทนนาย ลุกขึ้นชักกระบี่จะเข้ามาสังหารตันหลิมเพื่อเอาใจโจโฉตามวิสัยลูกขุนพลอยพยัก
โจโฉเห็นดังนั้นจึงโบกมือให้ทหารเหล่านั้นถอยกลับไปที่เดิมแล้วว่า ความที่ตันหลิมกล่าวนั้นเป็นความจริง และการทำแถลงการณ์ของตันหลิมครั้งนั้นก็เป็นหน้าที่รับผิดชอบที่ตันหลิมต้องทำตามคำนายโดยไม่เกรงกลัวต่อตัวเราซึ่งครองอำนาจในเมืองหลวง
บรรดาเหล่าทหารที่ลุกฮือตรูเข้ามาที่ตันหลิมยินคำโจโฉแล้วจึงพากันถอยกลับไปที่เดิม
โจโฉเดินวนไปวนมา ครุ่นคิดคำนึงว่าตันหลิมเป็นอาลักษณ์มีฝีมือดี มีความรู้ประวัติศาสตร์และการแผ่นดินยากหาผู้ใดเทียบ ได้เขียนแถลงการณ์ประวัติศาสตร์ชวนให้คนเชื่อว่าปู่เรา พ่อเรา และตัวเราเป็นคนชั่วช้าสารเลว เป็นคนไร้กตัญญูต่อแผ่นดินและพระมหากษัตริย์ คิดคดกบฏต่อบ้านเมือง และข่มเหงรังแกอาณาประชาราษฎร และบัดนี้แถลงการณ์นั้นได้ถูกเผยแพร่ออกไปตามหัวเมืองต่าง ๆ เกือบทั่วประเทศ หากแม้นเราสังหารตันหลิมเสีย คนทั้งปวงก็ยิ่งเชื่อแถลงการณ์ประวัติศาสตร์นั้นว่าเป็นความจริง และเพราะความจริงนั้นเราจึงโกรธแล้วประหารตันหลิมเสีย
โจโฉคิดคำนึงต่อไปว่าก็แลเมื่อตันหลิมเป็นคนเอาสีดำมาทาโคตรตระกูลและตัวเรา ก็ต้องให้ตันหลิมนั่นแหละเป็นผู้ขัดศรีฉวีวรรณ ชำระสีดำนั้นให้สิ้นไป โคตรตระกูลและตัวเราก็จะพ้นมลทิน
โจโฉคิดดั่งนี้แล้วจึงตัดสินใจไว้ชีวิตตันหลิมเพื่อให้ทำหน้าที่ชำระล้างมลทินของโคตรตระกูลและตัวเอง จึงว่าตัวท่านเป็นอาลักษณ์มาแต่ก่อน มีความรอบรู้ทางประวัติศาสตร์และอักษรศาสตร์ ชอบที่จะใช้ความรู้และความสามารถนั้นให้เป็นคุณแก่แผ่นดินสืบไป ตัวเรานี้มีน้ำใจรักผู้มีสติปัญญาความสามารถ ถึงแม้ท่านได้กล่าวหาว่าร้ายเราตั้งแต่โคตรตระกูลมาถึงตัวเราจนความแพร่หลายไปทั้งแผ่นดิน เราจะไม่ถือโทษเพราะถือเสียว่าความที่ท่านกล่าวในแถลงการณ์นั้นท่านทำไปตามคำสั่งของอ้วนเสี้ยว และเป็นความรับผิดชอบของอ้วนเสี้ยวโดยเฉพาะ ดังนั้นเราจะเลี้ยงดูให้ท่านเป็นขุนนางที่อาลักษณ์ ทำหน้าที่บันทึกจดหมายเหตุของแผ่นดินสืบไป ท่านจะปลงใจอยู่ด้วยเราหรือไม่
ตันหลิมได้ฟังดังนั้นก็รู้ว่าโจโฉไม่เอาโทษตายและยังจะให้ตำแหน่งเป็นขุนนางอีกก็ดีใจ คุกเข่าค้อมหัวลงคำนับโจโฉจนหัวจรดพื้น แล้วว่าข้าพเจ้าตกอยู่ในเงื้อมมือเป็นเชลยท่าน มีโทษถึงตายอยู่แล้ว เมื่อท่านมีความกรุณาให้ชีวิตใหม่แก่ข้าพเจ้าครั้งนี้ พระคุณหาที่สุดมิได้ ชีวิตอันเสมือนเกิดใหม่ครั้งนี้เป็นของท่าน สุดแท้แต่ท่านจะใช้สอยบัญชา ข้าพเจ้าพร้อมจะน้อมรับอย่างเต็มกำลังความสามารถ
ตันหลิมคารวะขอบคุณโจโฉแต่ในใจนั้นตระหนักถึงภาระหน้าที่ที่จะต้องชำระมลทินให้กับโจโฉที่เป็นผลจากแถลงการณ์ประวัติศาสตร์ที่เขียนขึ้นด้วยน้ำมือตัวว่านี่แล้วคือสิ่งซึ่งได้ช่วยชีวิตตัวไว้ในครั้งนี้
โจโฉได้ยินดังนั้นจึงสั่งให้ทหารแก้มัดตันหลิม ตั้งให้ตันหลิมเป็นขุนนางที่อาลักษณ์ มีหน้าที่บันทึกจดหมายเหตุและให้ทหารจัดแจงที่พัก ตลอดจนเสื้อผ้าและคนรับใช้ให้แก่ตันหลิม
ตันหลิมได้คารวะขอบคุณโจโฉอีกครั้งหนึ่งแล้วคำนับลาออกไป
สามก๊กดำเนินเรื่องมาถึงตอนนี้จึงได้เปิดตัวบุตรชายคนหัวปีของโจโฉ ซึ่งมีชื่อว่าโจผี เพราะเหตุที่เป็นบุตรหัวปี โจผีจึงเป็นที่รักของโจโฉ ตั้งใจจะปลูกฝังให้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน สืบทอดอำนาจของตัวในวันหน้า ดังนั้นตั้งแต่โจผีอายุสิบห้าปี พอดูแลตัวเองได้แล้ว โจโฉจึงมักนำโจผีตามไปในกองทัพ ด้านหนึ่งเพื่อให้เรียนรู้การสงคราม เพื่อเป็นบทเรียนของชีวิต และฝึกฝนให้ชำนาญในการสงคราม ในอีกด้านหนึ่งนั้นเพื่อให้โจผีได้คุ้นเคยกับที่ปรึกษาและบรรดาแม่ทัพนายกอง
ในการยกกองทัพมาตีเมืองกิจิ๋วในครั้งนี้ เป็นช่วงระยะเวลาที่โจผีเจริญวัยขึ้น มีอายุได้สิบแปดปี โจโฉได้ให้โจผีติดตามมาในกองทัพด้วย ครั้นกองทัพของโจโฉเคลื่อนเข้ายึดเมืองกิจิ๋วได้แล้ว โจผีก็ได้คุมทหารเข้าไปในเมืองด้วย และได้พาทหารเข้าไปถึงจวนของอ้วนเสี้ยว
ปรากฏว่ากองทหารของโจโฉอีกหน่วยหนึ่งได้เข้าอารักขาจวนของอ้วนเสี้ยวไว้ก่อนแล้ว และถือคำสั่งโจโฉห้ามมิให้ทหารคนใดข่มเหงรังแกผู้คนในตระกูลอ้วน
ครั้นทหารรักษาการณ์ที่ทำหน้าที่อารักขาจวนของอ้วนเสี้ยวเห็นโจผีคุมทหารเข้ามาที่จวน จึงแจ้งคำสั่งของโจโฉให้ทราบว่าท่านอัครมหาเสนาบดีมีคำสั่งห้ามมิให้ทหารคนใดในกองทัพข่มเหงรังแกหรือเบียดเบียนผู้คนในตระกูลอ้วนให้ได้รับความเดือดร้อนเป็นอันขาด มิฉะนั้นจะเอาโทษถึงประหารชีวิต ดังนั้นขอท่านได้โปรดอย่าเข้าไปในจวนของอ้วนเสี้ยว
โจผีหนุ่มคะนองในอำนาจในฐานะที่เป็นบุตรของอัครมหาเสนาบดี ได้ฟังรายงานของทหารดั่งนั้นก็พาลโกรธ ตวาดให้ทหารรักษาการณ์นั้นถอยออกไป ทหารรักษาการณ์แม้ถือหน้าที่อย่างเคร่งครัดแต่ไม่อาจขัดบุตรผู้ใหญ่ของโจโฉได้จึงจำต้องปล่อยให้โจผีเข้าไปในจวน
โจผีเดินเข้าไปถึงห้องข้างใน เห็นหญิงสองคนกอดกันร้องไห้อยู่ อารมณ์โกรธที่ค้างมาก็โหมขึ้น ชักกระบี่ออกจะฟันหญิงทั้งสองนั้น แต่ขณะเดียวกันก็เห็นรูปร่างลักษณะของหญิงนั้นเป็นที่น่าพิสมัย จึงยั้งกระบี่ไว้แล้วถามว่าเจ้าทั้งสองนี้เป็นใคร ไฉนจึงมาร้องไห้อยู่ในจวนนี้
หญิงหนึ่งซึ่งสูงอายุกว่าอีกคนหนึ่งเงยหน้าขึ้นแล้วกล่าวว่าตัวข้าพเจ้าชื่อนางเล่าซือเป็นภรรยาน้อยของอ้วนเสี้ยว ส่วนอีกนางหนึ่งซึ่งอ่อนวัยกว่าชื่อเอียนซีเป็นภรรยาของอ้วนฮีเจ้าเมืองอิวจิ๋วผู้เป็นบุตรของอ้วนเสี้ยว
ในขณะนั้นนางเอียนซีร้องไห้ก้มหน้านิ่งอยู่ โจผีเห็นดั่งนั้นจึงสั่งให้นางเอียนซีเงยหน้าขึ้น
พอนางเอียนซีเงยหน้าขึ้นเท่านั้นโจผีก็ต้องตกตะลึงในโฉมสะคราญที่แม้ตกอยู่ในความทุกข์โศก น้ำตานองใบหน้าอยู่ก็ตาม ความพิสมัยต่อตัวนางเอียนซีจึงเข้าครองใจโจผี ณ บัดนั้น
ด้วยแรงพิสมัย ใจบุรุษที่มือกุมกระบี่คิดจะสังหารนางทั้งสองเสียแต่ต้นก็อ่อนลงแสดงอำนาจโอ่นางผู้มีโฉมอันสะคราญว่าตัวเรานี้ชื่อโจผีเป็นบุตรผู้ใหญ่ของอัครมหาเสนาบดี เจ้าทั้งสองจงวางใจ เราจะคุ้มครองดูแลเจ้ามิให้ผู้ใดล่วงเกินได้
ในขณะที่โจผีคุมทหารเข้าไปที่จวนของอ้วนเสี้ยวนั้น โจโฉได้พาทหารออกจากค่ายมาที่ตัวเมืองโดยมีเขาฮิวขี่ม้าตามมาด้วย แต่เขาฮิวในวันนี้มีน้ำใจกำเริบด้วยคิดว่าการที่กองทัพโจโฉยึดเมืองกิจิ๋วได้ในครั้งนี้เป็นผลงานของตัวที่ได้คิดอ่านเสนอแผนการให้แก่โจโฉมากหลาย ทั้งคิดว่าเป็นเพื่อนเก่ากับโจโฉมาแต่ก่อน จึงชักม้าขึ้นมาเคียงคู่กับโจโฉ
โจโฉเห็นเขาฮิวขาดความประมาณตน ตีตัวเสมอดั่งนั้นก็ขุ่นใจ เพราะรู้ดีว่าเขาฮิวมีใจกำเริบเนื่องจากพฤติกรรมเช่นนี้ตัวเองเคยทำกับฮ่องเต้มาแต่ก่อน แต่แสร้งทำเป็นไม่สังเกต คงขี่ม้าตรงมาที่ประตูเมืองตามปกติ
พอโจโฉขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง เขาฮิวได้เอาแส้ม้าชี้ไปที่ประตูเมืองแล้วว่าเพราะแผนการความคิดอ่านของข้าพเจ้าจึงทำให้พวกเราได้มาเห็นประตูเมืองกิจิ๋วในครั้งนี้
โจโฉได้ฟังดังนั้นยังคงข่มใจไว้แล้วแสร้งหัวเราะแต่มิได้พูดประการใด ในขณะที่บรรดาแม่ทัพนายกองและทหารที่ติดตามโจโฉมารู้สึกไม่พอใจและโกรธแค้นเขาฮิวที่ไม่ประมาณตน ล่วงเกินแก่โจโฉถึงเพียงนี้
โจโฉเข้ามาในเมืองแล้วตรงเข้าไปที่จวนของอ้วนเสี้ยว พอทหารรักษาการณ์หน้าจวนกระทำความเคารพแล้ว โจโฉจึงถามว่าเหตุการณ์ในจวนเป็นปกติดีหรือไฉน
ทหารรักษาการณ์จึงรายงานว่าเหตุการณ์ทั่วไปเป็นปกติ แต่บัดนี้โจผีบุตรผู้ใหญ่ของท่านได้เข้าไปในจวน ขณะนี้อยู่ที่ห้องข้างใน โจโฉได้ฟังดังนั้นจึงเดินเข้าไปที่ห้องโถงแล้วสั่งทหารให้เข้าไปตามโจผีออกมาพบ แล้วว่าเราได้มีคำสั่งห้ามมิให้ผู้ใดข่มเหงรังแกผู้คนในตระกูลอ้วน เจ้ามาทำอะไรอยู่ในจวนนี้
โจผีจึงว่าข้าพเจ้านำทหารตรวจการผ่านมาถึงจวนนี้จึงเข้าไปตรวจตราดูความเรียบร้อยภายในจวน
ในขณะที่ทหารเข้ามาตามโจผีออกไปนั้น นางเล่าซือรู้ว่าโจโฉมาที่จวน จึงลอบเดินตามโจผีออกมาซุ่มอยู่ที่ประตู พอโจผีรายงานโจโฉสิ้นคำลง นางเล่าซือจึงก้าวออกจากประตู ตรงเข้ามาค้อมคำนับโจโฉแล้วว่าตัวข้าพเจ้าเป็นภรรยาของอ้วนเสี้ยว ซึ่งโจผีได้เข้ามาที่ข้างในนี้มิได้ข่มเหงรังแกให้ได้รับความเดือดร้อนแต่ประการใด และเพราะบารมีของโจผี ข้าพเจ้าจึงได้รับความปลอดภัย
ดังนั้นข้าพเจ้าจะขอยกนางเอียนซีผู้เป็นบุตรสะใภ้ให้เป็นภรรยาของโจผี
โจโฉได้ยินดังนั้นจึงสั่งให้นางเล่าซือเรียกนางเอียนซีออกมาพบ นางเอียนซีออกมาคุกเข่าคำนับโจโฉแล้วก้มหน้านิ่งอยู่ โจโฉเห็นนางเอียนซีรูปงามสมเป็นกุลสตรีและคิดจะผูกน้ำใจผู้คนในตระกูลอ้วนให้ภักดีต่อเมืองหลวงตลอดไป จึงตอบตกลงว่าเมื่อเจ้าทั้งสองพร้อมใจ เราก็ไม่ขัดข้องที่จะให้โจผีรับนางเอียนซีไว้เป็นภรรยา
แล้วหันมาว่ากับนางเอียนซีว่าตั้งแต่วันนี้ไปเจ้าเป็นภรรยาของโจผีบุตรเรา จงทำหน้าที่ของผู้เป็นภรรยาให้สมแก่ฐานะของเจ้า และให้อยู่กินกับโจผีได้ตั้งแต่บัดนี้
นางเล่าซือและนางเอียนซีฟังคำของโจโฉแล้วแม้ว่าจะราบเรียบแต่ก็รู้ว่าเป็นคำประกาศิต จึงคำนับขอบคุณโจโฉ
โจโฉได้ถามนางเล่าซือว่าขณะนี้ป้ายวิญญาณของอ้วนเสี้ยวตั้งแต่งไว้ที่ไหน เราจะไปคำนับชื่ออ้วนเสี้ยว
นางเล่าซือตอบว่าได้เชิญป้ายวิญญาณของอ้วนเสี้ยวไปประดิษฐานไว้ ณ ศาลาบรรพชนตระกูลอ้วนไม่ไกลจากจวนเท่าใดนัก โจโฉได้ฟังดังนั้นจึงสั่งทหารให้จัดการพิธีคารวะป้ายชื่อของอ้วนเสี้ยว แล้วว่าตัวเรากับอ้วนเสี้ยวแม้จะทำศึกขับเคี่ยวกันมาช้านานแต่ก็เคยเป็นสหายศึกกันมาแต่ก่อน บัดนี้เมื่ออ้วนเสี้ยวตายแล้ว ความเป็นปรปักษ์จึงจบสิ้นไป คงเหลือแต่ความเป็นสหายศึก จึงชอบที่เราจะต้องกระทำพิธีสักการะป้ายวิญญาณของอ้วนเสี้ยวตามอย่างธรรมเนียม.
ครั้นตันหลิมได้ฟังคำถามของโจโฉในเรื่องนี้ก็ตระหนักถึงความโกรธแค้นของโจโฉว่าอาจระเบิดขึ้นผลาญชีวิตตัวเองได้ แต่ในเมื่อตกอยู่ในเงื้อมมือเป็นเชลยของโจโฉแล้ว ถึงแม้จะกลัวสักปานไหน ความกลัวนั้นก็ไม่มีทางที่จะเป็นเครื่องช่วยชีวิตให้รอดได้ มีทางเดียวเท่านั้นคือต้องยืนหยัดในความกล้าหาญและยืนหยัดในหน้าที่ในฐานะที่เป็นขุนนาง ซึ่งเมื่อรับคำสั่งจากเจ้านายแล้วจะต้องทำให้ดีที่สุด เพราะเมื่อยืนหยัดในสิ่งนี้แล้ว หากต้องตายก็ยังเป็นที่สรรเสริญของคนข้างหลัง แต่ตันหลิมนั้นรู้ดีว่าโจโฉมีอัธยาศัยรักคนกล้า และคนมีสติปัญญา
เมื่อคิดดั่งนี้แล้วตันหลิมจึงตัดสินใจเสี่ยงตาย ตอบไปด้วยโวหารว่าเป็นธรรมดาของนักเกาทัณฑ์ เมื่อจะยิงเกาทัณฑ์เอาเกาทัณฑ์ขึ้นพาดสายแล้ว หากไม่น้าวเกาทัณฑ์มาข้างหลังจะยิงเกาทัณฑ์ไปข้างหน้าได้อย่างไร
ความหมายของตันหลิมก็คือเมื่อจะด่าประณามโจโฉว่าเป็นศัตรูราชสมบัติ คิดคดทรยศต่อแผ่นดินก็ต้องก่นโคตรพ่อโคตรปู่แต่อดีตขึ้นมากล่าวเท้าความจึงจะเห็นสม
บรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองของโจโฉซึ่งอยู่ในที่นั้นได้ฟังคำตันหลิมก็โกรธแทนนาย ลุกขึ้นชักกระบี่จะเข้ามาสังหารตันหลิมเพื่อเอาใจโจโฉตามวิสัยลูกขุนพลอยพยัก
โจโฉเห็นดังนั้นจึงโบกมือให้ทหารเหล่านั้นถอยกลับไปที่เดิมแล้วว่า ความที่ตันหลิมกล่าวนั้นเป็นความจริง และการทำแถลงการณ์ของตันหลิมครั้งนั้นก็เป็นหน้าที่รับผิดชอบที่ตันหลิมต้องทำตามคำนายโดยไม่เกรงกลัวต่อตัวเราซึ่งครองอำนาจในเมืองหลวง
บรรดาเหล่าทหารที่ลุกฮือตรูเข้ามาที่ตันหลิมยินคำโจโฉแล้วจึงพากันถอยกลับไปที่เดิม
โจโฉเดินวนไปวนมา ครุ่นคิดคำนึงว่าตันหลิมเป็นอาลักษณ์มีฝีมือดี มีความรู้ประวัติศาสตร์และการแผ่นดินยากหาผู้ใดเทียบ ได้เขียนแถลงการณ์ประวัติศาสตร์ชวนให้คนเชื่อว่าปู่เรา พ่อเรา และตัวเราเป็นคนชั่วช้าสารเลว เป็นคนไร้กตัญญูต่อแผ่นดินและพระมหากษัตริย์ คิดคดกบฏต่อบ้านเมือง และข่มเหงรังแกอาณาประชาราษฎร และบัดนี้แถลงการณ์นั้นได้ถูกเผยแพร่ออกไปตามหัวเมืองต่าง ๆ เกือบทั่วประเทศ หากแม้นเราสังหารตันหลิมเสีย คนทั้งปวงก็ยิ่งเชื่อแถลงการณ์ประวัติศาสตร์นั้นว่าเป็นความจริง และเพราะความจริงนั้นเราจึงโกรธแล้วประหารตันหลิมเสีย
โจโฉคิดคำนึงต่อไปว่าก็แลเมื่อตันหลิมเป็นคนเอาสีดำมาทาโคตรตระกูลและตัวเรา ก็ต้องให้ตันหลิมนั่นแหละเป็นผู้ขัดศรีฉวีวรรณ ชำระสีดำนั้นให้สิ้นไป โคตรตระกูลและตัวเราก็จะพ้นมลทิน
โจโฉคิดดั่งนี้แล้วจึงตัดสินใจไว้ชีวิตตันหลิมเพื่อให้ทำหน้าที่ชำระล้างมลทินของโคตรตระกูลและตัวเอง จึงว่าตัวท่านเป็นอาลักษณ์มาแต่ก่อน มีความรอบรู้ทางประวัติศาสตร์และอักษรศาสตร์ ชอบที่จะใช้ความรู้และความสามารถนั้นให้เป็นคุณแก่แผ่นดินสืบไป ตัวเรานี้มีน้ำใจรักผู้มีสติปัญญาความสามารถ ถึงแม้ท่านได้กล่าวหาว่าร้ายเราตั้งแต่โคตรตระกูลมาถึงตัวเราจนความแพร่หลายไปทั้งแผ่นดิน เราจะไม่ถือโทษเพราะถือเสียว่าความที่ท่านกล่าวในแถลงการณ์นั้นท่านทำไปตามคำสั่งของอ้วนเสี้ยว และเป็นความรับผิดชอบของอ้วนเสี้ยวโดยเฉพาะ ดังนั้นเราจะเลี้ยงดูให้ท่านเป็นขุนนางที่อาลักษณ์ ทำหน้าที่บันทึกจดหมายเหตุของแผ่นดินสืบไป ท่านจะปลงใจอยู่ด้วยเราหรือไม่
ตันหลิมได้ฟังดังนั้นก็รู้ว่าโจโฉไม่เอาโทษตายและยังจะให้ตำแหน่งเป็นขุนนางอีกก็ดีใจ คุกเข่าค้อมหัวลงคำนับโจโฉจนหัวจรดพื้น แล้วว่าข้าพเจ้าตกอยู่ในเงื้อมมือเป็นเชลยท่าน มีโทษถึงตายอยู่แล้ว เมื่อท่านมีความกรุณาให้ชีวิตใหม่แก่ข้าพเจ้าครั้งนี้ พระคุณหาที่สุดมิได้ ชีวิตอันเสมือนเกิดใหม่ครั้งนี้เป็นของท่าน สุดแท้แต่ท่านจะใช้สอยบัญชา ข้าพเจ้าพร้อมจะน้อมรับอย่างเต็มกำลังความสามารถ
ตันหลิมคารวะขอบคุณโจโฉแต่ในใจนั้นตระหนักถึงภาระหน้าที่ที่จะต้องชำระมลทินให้กับโจโฉที่เป็นผลจากแถลงการณ์ประวัติศาสตร์ที่เขียนขึ้นด้วยน้ำมือตัวว่านี่แล้วคือสิ่งซึ่งได้ช่วยชีวิตตัวไว้ในครั้งนี้
โจโฉได้ยินดังนั้นจึงสั่งให้ทหารแก้มัดตันหลิม ตั้งให้ตันหลิมเป็นขุนนางที่อาลักษณ์ มีหน้าที่บันทึกจดหมายเหตุและให้ทหารจัดแจงที่พัก ตลอดจนเสื้อผ้าและคนรับใช้ให้แก่ตันหลิม
ตันหลิมได้คารวะขอบคุณโจโฉอีกครั้งหนึ่งแล้วคำนับลาออกไป
สามก๊กดำเนินเรื่องมาถึงตอนนี้จึงได้เปิดตัวบุตรชายคนหัวปีของโจโฉ ซึ่งมีชื่อว่าโจผี เพราะเหตุที่เป็นบุตรหัวปี โจผีจึงเป็นที่รักของโจโฉ ตั้งใจจะปลูกฝังให้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน สืบทอดอำนาจของตัวในวันหน้า ดังนั้นตั้งแต่โจผีอายุสิบห้าปี พอดูแลตัวเองได้แล้ว โจโฉจึงมักนำโจผีตามไปในกองทัพ ด้านหนึ่งเพื่อให้เรียนรู้การสงคราม เพื่อเป็นบทเรียนของชีวิต และฝึกฝนให้ชำนาญในการสงคราม ในอีกด้านหนึ่งนั้นเพื่อให้โจผีได้คุ้นเคยกับที่ปรึกษาและบรรดาแม่ทัพนายกอง
ในการยกกองทัพมาตีเมืองกิจิ๋วในครั้งนี้ เป็นช่วงระยะเวลาที่โจผีเจริญวัยขึ้น มีอายุได้สิบแปดปี โจโฉได้ให้โจผีติดตามมาในกองทัพด้วย ครั้นกองทัพของโจโฉเคลื่อนเข้ายึดเมืองกิจิ๋วได้แล้ว โจผีก็ได้คุมทหารเข้าไปในเมืองด้วย และได้พาทหารเข้าไปถึงจวนของอ้วนเสี้ยว
ปรากฏว่ากองทหารของโจโฉอีกหน่วยหนึ่งได้เข้าอารักขาจวนของอ้วนเสี้ยวไว้ก่อนแล้ว และถือคำสั่งโจโฉห้ามมิให้ทหารคนใดข่มเหงรังแกผู้คนในตระกูลอ้วน
ครั้นทหารรักษาการณ์ที่ทำหน้าที่อารักขาจวนของอ้วนเสี้ยวเห็นโจผีคุมทหารเข้ามาที่จวน จึงแจ้งคำสั่งของโจโฉให้ทราบว่าท่านอัครมหาเสนาบดีมีคำสั่งห้ามมิให้ทหารคนใดในกองทัพข่มเหงรังแกหรือเบียดเบียนผู้คนในตระกูลอ้วนให้ได้รับความเดือดร้อนเป็นอันขาด มิฉะนั้นจะเอาโทษถึงประหารชีวิต ดังนั้นขอท่านได้โปรดอย่าเข้าไปในจวนของอ้วนเสี้ยว
โจผีหนุ่มคะนองในอำนาจในฐานะที่เป็นบุตรของอัครมหาเสนาบดี ได้ฟังรายงานของทหารดั่งนั้นก็พาลโกรธ ตวาดให้ทหารรักษาการณ์นั้นถอยออกไป ทหารรักษาการณ์แม้ถือหน้าที่อย่างเคร่งครัดแต่ไม่อาจขัดบุตรผู้ใหญ่ของโจโฉได้จึงจำต้องปล่อยให้โจผีเข้าไปในจวน
โจผีเดินเข้าไปถึงห้องข้างใน เห็นหญิงสองคนกอดกันร้องไห้อยู่ อารมณ์โกรธที่ค้างมาก็โหมขึ้น ชักกระบี่ออกจะฟันหญิงทั้งสองนั้น แต่ขณะเดียวกันก็เห็นรูปร่างลักษณะของหญิงนั้นเป็นที่น่าพิสมัย จึงยั้งกระบี่ไว้แล้วถามว่าเจ้าทั้งสองนี้เป็นใคร ไฉนจึงมาร้องไห้อยู่ในจวนนี้
หญิงหนึ่งซึ่งสูงอายุกว่าอีกคนหนึ่งเงยหน้าขึ้นแล้วกล่าวว่าตัวข้าพเจ้าชื่อนางเล่าซือเป็นภรรยาน้อยของอ้วนเสี้ยว ส่วนอีกนางหนึ่งซึ่งอ่อนวัยกว่าชื่อเอียนซีเป็นภรรยาของอ้วนฮีเจ้าเมืองอิวจิ๋วผู้เป็นบุตรของอ้วนเสี้ยว
ในขณะนั้นนางเอียนซีร้องไห้ก้มหน้านิ่งอยู่ โจผีเห็นดั่งนั้นจึงสั่งให้นางเอียนซีเงยหน้าขึ้น
พอนางเอียนซีเงยหน้าขึ้นเท่านั้นโจผีก็ต้องตกตะลึงในโฉมสะคราญที่แม้ตกอยู่ในความทุกข์โศก น้ำตานองใบหน้าอยู่ก็ตาม ความพิสมัยต่อตัวนางเอียนซีจึงเข้าครองใจโจผี ณ บัดนั้น
ด้วยแรงพิสมัย ใจบุรุษที่มือกุมกระบี่คิดจะสังหารนางทั้งสองเสียแต่ต้นก็อ่อนลงแสดงอำนาจโอ่นางผู้มีโฉมอันสะคราญว่าตัวเรานี้ชื่อโจผีเป็นบุตรผู้ใหญ่ของอัครมหาเสนาบดี เจ้าทั้งสองจงวางใจ เราจะคุ้มครองดูแลเจ้ามิให้ผู้ใดล่วงเกินได้
ในขณะที่โจผีคุมทหารเข้าไปที่จวนของอ้วนเสี้ยวนั้น โจโฉได้พาทหารออกจากค่ายมาที่ตัวเมืองโดยมีเขาฮิวขี่ม้าตามมาด้วย แต่เขาฮิวในวันนี้มีน้ำใจกำเริบด้วยคิดว่าการที่กองทัพโจโฉยึดเมืองกิจิ๋วได้ในครั้งนี้เป็นผลงานของตัวที่ได้คิดอ่านเสนอแผนการให้แก่โจโฉมากหลาย ทั้งคิดว่าเป็นเพื่อนเก่ากับโจโฉมาแต่ก่อน จึงชักม้าขึ้นมาเคียงคู่กับโจโฉ
โจโฉเห็นเขาฮิวขาดความประมาณตน ตีตัวเสมอดั่งนั้นก็ขุ่นใจ เพราะรู้ดีว่าเขาฮิวมีใจกำเริบเนื่องจากพฤติกรรมเช่นนี้ตัวเองเคยทำกับฮ่องเต้มาแต่ก่อน แต่แสร้งทำเป็นไม่สังเกต คงขี่ม้าตรงมาที่ประตูเมืองตามปกติ
พอโจโฉขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง เขาฮิวได้เอาแส้ม้าชี้ไปที่ประตูเมืองแล้วว่าเพราะแผนการความคิดอ่านของข้าพเจ้าจึงทำให้พวกเราได้มาเห็นประตูเมืองกิจิ๋วในครั้งนี้
โจโฉได้ฟังดังนั้นยังคงข่มใจไว้แล้วแสร้งหัวเราะแต่มิได้พูดประการใด ในขณะที่บรรดาแม่ทัพนายกองและทหารที่ติดตามโจโฉมารู้สึกไม่พอใจและโกรธแค้นเขาฮิวที่ไม่ประมาณตน ล่วงเกินแก่โจโฉถึงเพียงนี้
โจโฉเข้ามาในเมืองแล้วตรงเข้าไปที่จวนของอ้วนเสี้ยว พอทหารรักษาการณ์หน้าจวนกระทำความเคารพแล้ว โจโฉจึงถามว่าเหตุการณ์ในจวนเป็นปกติดีหรือไฉน
ทหารรักษาการณ์จึงรายงานว่าเหตุการณ์ทั่วไปเป็นปกติ แต่บัดนี้โจผีบุตรผู้ใหญ่ของท่านได้เข้าไปในจวน ขณะนี้อยู่ที่ห้องข้างใน โจโฉได้ฟังดังนั้นจึงเดินเข้าไปที่ห้องโถงแล้วสั่งทหารให้เข้าไปตามโจผีออกมาพบ แล้วว่าเราได้มีคำสั่งห้ามมิให้ผู้ใดข่มเหงรังแกผู้คนในตระกูลอ้วน เจ้ามาทำอะไรอยู่ในจวนนี้
โจผีจึงว่าข้าพเจ้านำทหารตรวจการผ่านมาถึงจวนนี้จึงเข้าไปตรวจตราดูความเรียบร้อยภายในจวน
ในขณะที่ทหารเข้ามาตามโจผีออกไปนั้น นางเล่าซือรู้ว่าโจโฉมาที่จวน จึงลอบเดินตามโจผีออกมาซุ่มอยู่ที่ประตู พอโจผีรายงานโจโฉสิ้นคำลง นางเล่าซือจึงก้าวออกจากประตู ตรงเข้ามาค้อมคำนับโจโฉแล้วว่าตัวข้าพเจ้าเป็นภรรยาของอ้วนเสี้ยว ซึ่งโจผีได้เข้ามาที่ข้างในนี้มิได้ข่มเหงรังแกให้ได้รับความเดือดร้อนแต่ประการใด และเพราะบารมีของโจผี ข้าพเจ้าจึงได้รับความปลอดภัย
ดังนั้นข้าพเจ้าจะขอยกนางเอียนซีผู้เป็นบุตรสะใภ้ให้เป็นภรรยาของโจผี
โจโฉได้ยินดังนั้นจึงสั่งให้นางเล่าซือเรียกนางเอียนซีออกมาพบ นางเอียนซีออกมาคุกเข่าคำนับโจโฉแล้วก้มหน้านิ่งอยู่ โจโฉเห็นนางเอียนซีรูปงามสมเป็นกุลสตรีและคิดจะผูกน้ำใจผู้คนในตระกูลอ้วนให้ภักดีต่อเมืองหลวงตลอดไป จึงตอบตกลงว่าเมื่อเจ้าทั้งสองพร้อมใจ เราก็ไม่ขัดข้องที่จะให้โจผีรับนางเอียนซีไว้เป็นภรรยา
แล้วหันมาว่ากับนางเอียนซีว่าตั้งแต่วันนี้ไปเจ้าเป็นภรรยาของโจผีบุตรเรา จงทำหน้าที่ของผู้เป็นภรรยาให้สมแก่ฐานะของเจ้า และให้อยู่กินกับโจผีได้ตั้งแต่บัดนี้
นางเล่าซือและนางเอียนซีฟังคำของโจโฉแล้วแม้ว่าจะราบเรียบแต่ก็รู้ว่าเป็นคำประกาศิต จึงคำนับขอบคุณโจโฉ
โจโฉได้ถามนางเล่าซือว่าขณะนี้ป้ายวิญญาณของอ้วนเสี้ยวตั้งแต่งไว้ที่ไหน เราจะไปคำนับชื่ออ้วนเสี้ยว
นางเล่าซือตอบว่าได้เชิญป้ายวิญญาณของอ้วนเสี้ยวไปประดิษฐานไว้ ณ ศาลาบรรพชนตระกูลอ้วนไม่ไกลจากจวนเท่าใดนัก โจโฉได้ฟังดังนั้นจึงสั่งทหารให้จัดการพิธีคารวะป้ายชื่อของอ้วนเสี้ยว แล้วว่าตัวเรากับอ้วนเสี้ยวแม้จะทำศึกขับเคี่ยวกันมาช้านานแต่ก็เคยเป็นสหายศึกกันมาแต่ก่อน บัดนี้เมื่ออ้วนเสี้ยวตายแล้ว ความเป็นปรปักษ์จึงจบสิ้นไป คงเหลือแต่ความเป็นสหายศึก จึงชอบที่เราจะต้องกระทำพิธีสักการะป้ายวิญญาณของอ้วนเสี้ยวตามอย่างธรรมเนียม.