ตอนที่ 164. อุบาย "รั้งทัพเพื่อกินรวบ"
อ้วนถำและอ้วนชงสองพี่น้องซึ่งเป็นบุตรของอ้วนเสี้ยว ทำศึกขับเคี่ยวแย่งชิงอำนาจกันโดยไม่คิดถึงภัยพิบัติที่จะเกิดแก่เมืองกิจิ๋วและผู้คนในครอบครัวสกุลอ้วน ครั้นอ้วนถำเสียทีก็คิดอ่านขอเข้าสวามิภักดิ์กับโจโฉ แล้วเชิญโจโฉยกมาตีเมืองกิจิ๋ว แต่พอโจโฉได้สนทนากับทูตของอ้วนถำก็หยั่งท่าทีได้ว่าทูตถ่อยผู้นี้กำลังคิดแปรพักตร์ขายนายตัวเอง
โจโฉเห็นท่าทีดั่งนั้นจึงว่าอ้วนเสี้ยวเป็นศัตรูราชสมบัติ พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เรายกกองทัพมาปราบปราม อ้วนเสี้ยวเสียทีแก่เราถึงแก่ความตายแล้ว แต่วิบากกรรมที่อ้วนเสี้ยวกระทำต่อแผ่นดินยังไม่สิ้น ลูกหลานจึงล้างผลาญกันเอง ตระกูล “อ้วน” จึงถึงคราวดับสูญแล้ว ข้าเก่าทั้งหลายของอ้วนเสี้ยวที่ภักดีต่อแผ่นดินต่างได้เปลี่ยนใจกลับตัวเข้าสวามิภักดิ์ด้วยเมืองหลวงเป็นอันมาก
แล้วว่าแม้หากเราจะไม่รับสวามิภักดิ์ อ้วนถำ อ้วนชงคงจะล้างผลาญจนวอดวายไปทั้งสองฝ่าย แต่เราห่วงใยอาณาประชาราษฎร แลทหารทั้งปวงจะได้ความเดือดร้อนเพราะการแย่งชิงอำนาจของอ้วนถำ อ้วนชง จึงขอให้ท่านช่วยชี้แนะเพื่อให้แผ่นดินเป็นสุขเสียโดยไว
โจโฉทอดสะพานให้ซินผีผู้เป็นทูตเดินอย่างสะดวกใจ ซินผีได้ฟังดังนั้นจึงว่า “อันอ้วนเสี้ยวนั้นทำสงครามก็พ่ายแพ้แก่ท่านเป็นหลายครั้ง แล้วอ้วนเสี้ยวมิได้เชื่อที่ปรึกษากับเอาโทษถึงตายบ้าง ถอดออกเสียจากที่บ้าง ที่ปรึกษาแลทหารทั้งปวงอิดโรยย่อท้อ การศึกจึงเสียไปจนตัวอ้วนเสี้ยวก็ถึงแก่ความตาย บัดนี้อ้วนถำกับอ้วนชงชิงกันเป็นใหญ่ บรรดาคนทั้งปวงก็แจ้งอยู่ว่าแซ่ “อ้วน” จะสาบสูญแล้ว จึงบังเกิดให้เป็นทั้งนี้ ขอให้ยกไปตีเอาเมืองกิจิ๋ว อ้วนชงกังวลหลังก็จะยกมารบพุ่งกับท่าน อ้วนถำก็จะตีกระหนาบมา”
แล้วว่าต่อไปว่า “แซ่อ้วนครั้งนี้อุปมาเหมือนใบไม้แห้งอันหล่นเมื่อเทศกาลแล้ง ตัวท่านดังเพลิงป่าอันต้องลมก็จะไหม้ใบไม้ทั้งนั้นเป็นจุณไป ซึ่งท่านจะตั้งรบเมืองเกงจิ๋วอยู่ฉะนี้เห็นไม่ควร ด้วยเล่าเปียวทำนุบำรุงอาณาประชาราษฎรมีความสุขอยู่ อันหัวเมืองฝ่ายเหนือนั้นกล้าแข็งยิ่งกว่าหัวเมืองทั้งปวง แม้ท่านปราบปรามหัวเมืองฝ่ายเหนือราบคาบแล้ว การทั้งปวงก็จะเป็นสิทธิแก่ท่าน”
ซินผีเป็นขุนนางเมืองกิจิ๋วที่เฉลียวฉลาด พอได้ทีเห็นโจโฉทอดสะพานเอื้อมาก็ก้าวเดินอย่างเต็มภาคภูมิ อธิบายสถานการณ์ข้างฝ่ายอ้วนถำ อ้วนชง จนหมดสิ้น มิหนำซ้ำยังเสนอแผนการให้โจโฉยกไปตีเมืองกิจิ๋ว ขุนนางที่เฉลียวฉลาดแต่ขี้ขลาดและขายนายชนิดนี้มีมาทุกสมัย จนเสด็จในกรมพระบิดาแห่งกฎหมายไทย กรมหลวงราชบุรี ดิเรกฤทธิ์ ถึงกับต้องทรงย้ำให้ตระหนักในการคัดเลือกคนเข้ารับราชการเป็นขุนนางว่าจะต้องคัดเลือกเอาคนฉลาดเพราะถ้าคัดเลือกคนโง่ก็จะไม่รู้เท่าทันคนอื่น แต่จะมุ่งเอาความฉลาดอย่างเดียวย่อมไม่พอแก่การ เพราะฉลาดแล้วโกงภัยพิบัติและผลร้ายจะยิ่งมากกว่าปกติ เนื่องจากสามารถโกงได้อย่างแยบยล กว่าผู้คนทั้งปวงจะจับได้ไล่ทันก็โกงบ้านผลาญเมืองจนวายวอด ดังนั้นจึงต้องเลือกให้ได้คนที่ทั้งฉลาดและไม่โกง
โจโฉได้ฟังคำซินผีก็ดีใจ แกล้งสรรเสริญว่าเสียดายนักที่เราได้พบท่านช้าไป การศึกจึงยืดเยื้ออยู่จนถึงทุกวันนี้ หากเราได้พบท่านเสียแต่นานแล้ว บัดนี้แผ่นดินคงสงบราบคาบด้วยความคิดของท่านเป็นแน่แท้ และว่าความคิดของท่านทั้งนี้เป็นคุณแก่แผ่นดินนัก ราษฎรทั้งปวงจะได้ความสุขก็เพราะท่าน
โจโฉแกล้งสรรเสริญผูกน้ำใจซินผีดั่งนี้แล้ว จึงเรียกประชุมที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองทั้งปวง สั่งให้จัดแจงกองทัพเตรียมยกกลับไปตีเมืองกิจิ๋ว ครั้นจัดแจงกองทัพทั้งปวงพร้อมแล้วจึงให้เลิกทัพ แล้วเคลื่อนตรงไปที่เมืองกิจิ๋ว
ฝ่ายเล่าปี่ตั้งค่ายยันทัพโจโฉอยู่ แต่อยู่ ๆ เห็นโจโฉเลิกทัพกลับไปก็เกรงว่าโจโฉวางกลอุบายลวงให้ไล่ตามตี ประหวั่นอยู่ดั่งนี้แล้วจึงให้ทหารตั้งมั่นอยู่แต่ในค่าย มิได้ติดตามไล่โจมตีโจโฉตามกระบวนศึก หลังจากนั้นอีกสองวันเล่าปี่จึงสั่งให้เลิกทัพกลับเข้าเมืองเกงจิ๋ว
ทางฝ่ายอ้วนชงตั้งค่ายล้อมเมืองเพงง้วนก๋วนอยู่ ในขณะที่อ้วนถำตั้งรับอยู่แต่ในเมือง อ้วนชงเห็นสถานการณ์เช่นนั้นก็หวั่นใจว่าอ้วนถำน่าจะรอกองทัพเมืองอื่นยกมาช่วย จึงกำชับให้ทหารลาดตระเวนและสอดแนมข่าวคราวความเคลื่อนไหวอย่างกวดขัน พอกองทัพโจโฉเคลื่อนมาถึงริมแม่น้ำฮวงโห อ้วนชงก็ได้ข่าวศึกว่าโจโฉยกทัพจะข้ามแม่น้ำฮวงโหไปตีเมืองกิจิ๋วก็ตกใจ
ดังนั้นอ้วนชงจึงสั่งให้ลิกองและลิเชียง สองนายทหารทำหน้าที่เป็นกองระวังหลัง ป้องกันกองทัพของอ้วนถำ ตัวอ้วนชงเองคุมทหารเลิกทัพยกกลับไปเมืองกิจิ๋ว
ทางฝ่ายอ้วนถำหลังจากส่งซินผีไปเป็นทูตแล้ว มั่นใจว่าโจโฉจะยกกองทัพไปตีเมืองกิจิ๋ว ดังนั้นในขณะที่สั่งทหารให้ตั้งมั่นอยู่ในเมือง แต่ก็ให้จัดแจงกำลังเตรียมไล่ตามตีในกรณีที่อ้วนชงจะต้องเลิกทัพกลับไปป้องกันเมือง
พอทราบข่าวว่าอ้วนชงเลิกทัพจึงนำทหารยกออกจากเมือง ไล่ตามตีกองทัพของอ้วนชง
อ้วนถำนำทหารไล่ตามกองทัพของอ้วนชงมาได้สี่ร้อยเส้นก็ถูกลิกอง ลิเชียงซึ่งเป็นกองระวังหลังของอ้วนชงสกัดไว้
อ้วนถำนำหน้าทหารออกไปเผชิญหน้ากับนายทหารของอ้วนชงเห็นเป็นลิกองและลิเชียงก็จำได้ว่าเป็นลูกน้องเก่าของบิดา จึงออกไปว่ากับลิกองและลิเชียงว่าพบหน้าท่านทั้งสองก็ดีแล้ว จะได้ไม่ต้องเดือดร้อนแก่ทหารทั้งปวง ตัวท่านทั้งสองนี้เป็นข้าเก่าของบิดาเรา ที่บิดาเราวางใจทำนุบำรุงเป็นอย่างดีมาแต่ก่อน บัดนี้บิดาเราตายแล้วท่านก็ย่อมรู้ธรรมเนียมว่าเราเป็นบุตรผู้ใหญ่ มีสิทธิที่จะสืบอำนาจของบิดาเรา อ้วนชงเป็นผู้น้อย ยึดอำนาจเมืองกิจิ๋วไว้ให้ผิดประเพณี ท่านทั้งสองจะไม่คิดถึงคุณบิดาเราและคิดจะทำร้ายเรากระนั้นหรือ
ลิกองและลิเชียงได้ฟังคำอ้วนถำท้าวความลำเลิกบุญคุณที่อ้วนเสี้ยวทำนุบำรุงมาแต่เดิมก็ละอายแก่ใจ มิรู้ที่จะว่าประการใด ยืนม้าตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก็ได้คิดจึงรีบลงจากหลังม้า วางอาวุธแล้วเข้าไปคำนับอ้วนถำแล้วว่า ข้าพเจ้าทั้งสองตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่อาจทำประการอื่นได้ เมื่อได้ฟังคำท่านว่ากล่าวก็ระลึกถึงคุณของอ้วนเสี้ยวบิดาท่าน ข้าพเจ้าทั้งสองไม่หาญกล้าที่จะคิดหรือทำร้ายต่อท่าน และพร้อมจะทำการสนองคุณตระกูลอ้วนสืบไป
อ้วนถำเห็นดั่งนั้นก็ดีใจ จึงว่าท่านทั้งสองคิดถึงคุณบิดาเราและลุแก่โทษฉะนี้ จักเป็นที่สรรเสริญของคนทั้งปวง ราษฎรในเมืองกิจิ๋วคงจะเป็นสุขสืบไป ว่าแล้วอ้วนถำจึงสั่งให้ลิกองและลิเชียงติดตามขบวนทัพยกไปทางกองทัพของโจโฉ
ครั้นพอเข้าไปใกล้เขตเคลื่อนไหวของกองทัพโจโฉจึงให้ทหารคนสนิทล่วงไปข้างหน้า แจ้งความให้โจโฉทราบว่าอ้วนถำจะมาขอสวามิภักดิ์ โจโฉได้ทราบก็มีความยินดี ให้เชิญอ้วนถำเข้ามาพบ
อ้วนถำคารวะโจโฉตามอย่างธรรมเนียมแล้ว โจโฉจึงว่าท่านเห็นแก่ความสงบสุขของบ้านเมือง คิดอ่านอ่อนน้อมต่อกองทัพของพระเจ้าอยู่หัวทั้งนี้เป็นการชอบด้วยธรรมเนียมประเพณีดีนัก เสร็จราชการสงครามแล้วเราจะทำนุบำรุงท่านให้ถึงขนาด ทั้งจะยกบุตรีของเราให้เป็นภรรยาของท่าน สำหรับลิกอง ลิเชียงนั้น เราจะเลี้ยงดูให้เป็นทหารหลวง
โจโฉโปรยอำนาจวาสนาล่อใจอ้วนถำและไพร่พลเพื่อไม่ให้เป็นพิษภัยแก่ตัวดั่งนั้นแล้ว จึงนิ่งเพื่อจะฟังความคิดเห็นของอ้วนถำ
อ้วนถำเห็นดังนั้นจึงว่าข้าพเจ้าและนายทหารทั้งปวงสำนึกในพระคุณของท่านอัครมหาเสนาบดีที่มิได้เอาโทษ แล้วยังจะทำนุบำรุงส่งเสริมต่อไปในเบื้องหน้าอีก ดังนั้นจึงขอท่านได้เร่งยกกองทัพเข้าตีเอาเมืองกิจิ๋วเถิด
โจโฉได้ฟังดังนั้นจึงว่าตัวเรายกกองทัพมาทำศึกภาคเหนือเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว เสบียงอาหารก็ขาดแคลนไม่อุดมสมบูรณ์ เพราะการลำเลียงลำบากขัดสนนัก เราคิดอ่านที่จะแก้ไขปัญหาการลำเลียงเสบียงอาหารให้ตกไปให้จงได้ โดยจะขุดคลองเป็นทางตรงตั้งแต่แม่น้ำกีชุยตรงมายังแม่น้ำเปกตกแล้วอาศัยเรือลำเลียงเสบียงอาหารมาตามคลองที่ขุดขึ้นนี้ ก็จะลำเลียงเสบียงอาหารได้ทุกฤดูกาล และใช้เวลาในการลำเลียงน้อยกว่าการลำเลียงเสบียงทางบกซึ่งเป็นทางอ้อมและทุรกันดารมากนัก
อ้วนถำได้ฟังดังนั้นจึงว่าความคิดของท่านประเสริฐแท้ มีภารกิจใดที่ข้าพเจ้าจะรับใช้ท่านได้ขอจงบัญชามาเถิด
โจโฉจึงว่าเมื่อขุดคลองสำหรับลำเลียงเสบียงเสร็จแล้วเราจึงจะเคลื่อนทัพยกไปตีเมืองกิจิ๋ว แต่ในระหว่างขุดคลองอยู่นี้ยังไม่มีภารกิจใด ให้ท่านยกไปรักษาเมืองเพงง้วนก๋วนให้ปลอดภัยก่อน เอาแต่ตัวลิกองและลิเชียงไว้ช่วยราชการในกองทัพของเราก็พอแก่การ
อ้วนถำได้ฟังดังนั้นก็รับคำของโจโฉเพราะไม่รู้ที่จะขัดประการใดได้ จากนั้นจึงคำนับลาโจโฉยกทหารกลับไปเมืองเพงง้วนก๋วน
โจโฉคิดอ่านการทั้งนี้โดยที่ไม่รีบร้อนเคลื่อนทัพยกไปตีเมืองกิจิ๋วในทันที ก็เพราะเล็งการว่ายังคงต้องใช้เวลาทำศึกภาคเหนืออีกระยะหนึ่ง จึงคิดเตรียมการทางด้านเสบียงให้พร้อมก่อน ในช่วงนี้จึงคิดแผนการแยกตัวลิเชียงและลิกองสองนายทหารเก่าของอ้วนเสี้ยวไว้ในกองทัพ แล้วให้อ้วนถำยกกลับไปก่อน วาดหวังว่าเมื่อเตรียมการทั้งปวงพร้อมแล้วจะทำศึกทำลายล้างทั้งอ้วนชงและอ้วนถำ ปราบภาคเหนือเสียให้ราบคาบแต่ครั้งนี้
พออ้วนถำยกกลับไปถึงเมืองเพงง้วนก๋วน กัวเต๋าซึ่งอยู่รักษาเมืองเพงง้วนก๋วนทราบความแล้วก็แจ้งแผนการความคิดของโจโฉว่าเป็นแผนการกินรวบ จะกวาดภาคเหนือให้ราบคาบเสียทีเดียว จึงว่ากับอ้วนถำว่าการที่โจโฉรั้งรอกองทัพไม่ยกเข้าตีเมืองกิจิ๋วแล้วให้ท่านกลับมาเมืองเพงง้วนก๋วนโดยจะยกบุตรสาวให้แก่ท่านนั้น ข้าพเจ้าได้พิเคราะห์แล้วเห็นว่านี่คืออุบายของโจโฉ คิดจะกวาดล้างตระกูล “อ้วน” แล้วยึดภาคเหนือไว้อย่างเบ็ดเสร็จ การที่โจโฉดึงเอาลิกองและลิเชียงไว้ใช้ในราชการนั้นคือแผนการตัดกำลังท่านให้อ่อนลง แล้วจะใช้ลิกองและลิเชียงทำร้ายท่านต่อภายหลัง
แล้วว่า “ซึ่งโจโฉทำทั้งนี้อุปมาเหมือนต้อนปลาเข้าไซ ถ้าท่านเชื่อฟังโจโฉแล้ว ข้าพเจ้าเห็นตัวท่านแลหัวเมืองฝ่ายเหนือจะมีอันตรายต่าง ๆ ด้วยความคิดโจโฉเป็นมั่นคง”
อ้วนถำได้ฟังคำชี้แจงอธิบายความจากกัวเต๋าแล้วก็เข้าใจถึงแผนการของโจโฉ ดังนั้นจึงตกใจแล้วละล่ำละลักถามกัวเต๋าว่าเมื่อเป็นเช่นนี้จะคิดอ่านผันผ่อนประการใดจึงจะปลอดภัย
กัวเต๋าจึงว่าจำเป็นที่ท่านจะต้องผูกใจลิกองและลิเชียงไว้ไม่ให้เอนเอียงเข้าด้วยโจโฉ โดยการแต่งตั้งให้ทั้งลิกองและลิเชียงเป็นนายทหารเอก เสร็จสงครามแล้วจะให้เป็นเจ้าเมืองที่ขึ้นต่อเมืองกิจิ๋ว ดังนี้ก็จะผูกใจลิกอง ลิเชียง ไว้ได้
อ้วนถำได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วยจึงให้ทำตราสำคัญประจำตำแหน่งนายทหารเอกและว่าที่เจ้าเมืองส่งไปให้กับลิกองและลิเชียง และสั่งความไปกับผู้ถือตราว่าเมื่อใดที่โจโฉยกกองทัพเข้าตีเมืองกิจิ๋ว ให้สองนายทหารทำหน้าที่เป็นไส้ศึกประสานกับกองทัพเมืองเพงง้วนก๋วน เมื่อนั้นกองทัพเมืองเพงง้วนก๋วนก็จะยกไปตีกระหนาบกองทัพโจโฉ คงจะได้ชัยชนะโดยง่าย
ลิกองและลิเชียงได้รับตราสำหรับที่และทราบความที่อ้วนถำสั่งความมาแล้ว ปรึกษากันว่าภายในกองทัพของโจโฉเข้มงวดกวดขันนัก หากทำตามคำสั่งของอ้วนถำหรือแม้หากปิดความไว้ไม่มิด อันตรายถึงชีวิตก็จะเกิดกับตัว แม้การศึกในวันหน้าก็ใช่ว่าอ้วนถำ อ้วนชงจะเอาชนะแก่โจโฉได้ เพราะโจโฉนั้นชำนาญการสงคราม ในที่สุดคงจะปราบภาคเหนือได้สำเร็จ กระไรเลยควรจะหาทางเอาชีวิตรอดจะดีกว่า
ปรึกษากันดั่งนี้แล้ว ทั้งลิกองและลิเชียงจึงขอเข้าพบโจโฉ เอาตราสำหรับที่ซึ่งอ้วนถำส่งมานั้นให้โจโฉดูเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ของตัว แต่ข้อความที่อ้วนถำสั่งกำชับมานั้นคงปิดไว้ไม่บอกให้โจโฉทราบ.
โจโฉเห็นท่าทีดั่งนั้นจึงว่าอ้วนเสี้ยวเป็นศัตรูราชสมบัติ พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เรายกกองทัพมาปราบปราม อ้วนเสี้ยวเสียทีแก่เราถึงแก่ความตายแล้ว แต่วิบากกรรมที่อ้วนเสี้ยวกระทำต่อแผ่นดินยังไม่สิ้น ลูกหลานจึงล้างผลาญกันเอง ตระกูล “อ้วน” จึงถึงคราวดับสูญแล้ว ข้าเก่าทั้งหลายของอ้วนเสี้ยวที่ภักดีต่อแผ่นดินต่างได้เปลี่ยนใจกลับตัวเข้าสวามิภักดิ์ด้วยเมืองหลวงเป็นอันมาก
แล้วว่าแม้หากเราจะไม่รับสวามิภักดิ์ อ้วนถำ อ้วนชงคงจะล้างผลาญจนวอดวายไปทั้งสองฝ่าย แต่เราห่วงใยอาณาประชาราษฎร แลทหารทั้งปวงจะได้ความเดือดร้อนเพราะการแย่งชิงอำนาจของอ้วนถำ อ้วนชง จึงขอให้ท่านช่วยชี้แนะเพื่อให้แผ่นดินเป็นสุขเสียโดยไว
โจโฉทอดสะพานให้ซินผีผู้เป็นทูตเดินอย่างสะดวกใจ ซินผีได้ฟังดังนั้นจึงว่า “อันอ้วนเสี้ยวนั้นทำสงครามก็พ่ายแพ้แก่ท่านเป็นหลายครั้ง แล้วอ้วนเสี้ยวมิได้เชื่อที่ปรึกษากับเอาโทษถึงตายบ้าง ถอดออกเสียจากที่บ้าง ที่ปรึกษาแลทหารทั้งปวงอิดโรยย่อท้อ การศึกจึงเสียไปจนตัวอ้วนเสี้ยวก็ถึงแก่ความตาย บัดนี้อ้วนถำกับอ้วนชงชิงกันเป็นใหญ่ บรรดาคนทั้งปวงก็แจ้งอยู่ว่าแซ่ “อ้วน” จะสาบสูญแล้ว จึงบังเกิดให้เป็นทั้งนี้ ขอให้ยกไปตีเอาเมืองกิจิ๋ว อ้วนชงกังวลหลังก็จะยกมารบพุ่งกับท่าน อ้วนถำก็จะตีกระหนาบมา”
แล้วว่าต่อไปว่า “แซ่อ้วนครั้งนี้อุปมาเหมือนใบไม้แห้งอันหล่นเมื่อเทศกาลแล้ง ตัวท่านดังเพลิงป่าอันต้องลมก็จะไหม้ใบไม้ทั้งนั้นเป็นจุณไป ซึ่งท่านจะตั้งรบเมืองเกงจิ๋วอยู่ฉะนี้เห็นไม่ควร ด้วยเล่าเปียวทำนุบำรุงอาณาประชาราษฎรมีความสุขอยู่ อันหัวเมืองฝ่ายเหนือนั้นกล้าแข็งยิ่งกว่าหัวเมืองทั้งปวง แม้ท่านปราบปรามหัวเมืองฝ่ายเหนือราบคาบแล้ว การทั้งปวงก็จะเป็นสิทธิแก่ท่าน”
ซินผีเป็นขุนนางเมืองกิจิ๋วที่เฉลียวฉลาด พอได้ทีเห็นโจโฉทอดสะพานเอื้อมาก็ก้าวเดินอย่างเต็มภาคภูมิ อธิบายสถานการณ์ข้างฝ่ายอ้วนถำ อ้วนชง จนหมดสิ้น มิหนำซ้ำยังเสนอแผนการให้โจโฉยกไปตีเมืองกิจิ๋ว ขุนนางที่เฉลียวฉลาดแต่ขี้ขลาดและขายนายชนิดนี้มีมาทุกสมัย จนเสด็จในกรมพระบิดาแห่งกฎหมายไทย กรมหลวงราชบุรี ดิเรกฤทธิ์ ถึงกับต้องทรงย้ำให้ตระหนักในการคัดเลือกคนเข้ารับราชการเป็นขุนนางว่าจะต้องคัดเลือกเอาคนฉลาดเพราะถ้าคัดเลือกคนโง่ก็จะไม่รู้เท่าทันคนอื่น แต่จะมุ่งเอาความฉลาดอย่างเดียวย่อมไม่พอแก่การ เพราะฉลาดแล้วโกงภัยพิบัติและผลร้ายจะยิ่งมากกว่าปกติ เนื่องจากสามารถโกงได้อย่างแยบยล กว่าผู้คนทั้งปวงจะจับได้ไล่ทันก็โกงบ้านผลาญเมืองจนวายวอด ดังนั้นจึงต้องเลือกให้ได้คนที่ทั้งฉลาดและไม่โกง
โจโฉได้ฟังคำซินผีก็ดีใจ แกล้งสรรเสริญว่าเสียดายนักที่เราได้พบท่านช้าไป การศึกจึงยืดเยื้ออยู่จนถึงทุกวันนี้ หากเราได้พบท่านเสียแต่นานแล้ว บัดนี้แผ่นดินคงสงบราบคาบด้วยความคิดของท่านเป็นแน่แท้ และว่าความคิดของท่านทั้งนี้เป็นคุณแก่แผ่นดินนัก ราษฎรทั้งปวงจะได้ความสุขก็เพราะท่าน
โจโฉแกล้งสรรเสริญผูกน้ำใจซินผีดั่งนี้แล้ว จึงเรียกประชุมที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองทั้งปวง สั่งให้จัดแจงกองทัพเตรียมยกกลับไปตีเมืองกิจิ๋ว ครั้นจัดแจงกองทัพทั้งปวงพร้อมแล้วจึงให้เลิกทัพ แล้วเคลื่อนตรงไปที่เมืองกิจิ๋ว
ฝ่ายเล่าปี่ตั้งค่ายยันทัพโจโฉอยู่ แต่อยู่ ๆ เห็นโจโฉเลิกทัพกลับไปก็เกรงว่าโจโฉวางกลอุบายลวงให้ไล่ตามตี ประหวั่นอยู่ดั่งนี้แล้วจึงให้ทหารตั้งมั่นอยู่แต่ในค่าย มิได้ติดตามไล่โจมตีโจโฉตามกระบวนศึก หลังจากนั้นอีกสองวันเล่าปี่จึงสั่งให้เลิกทัพกลับเข้าเมืองเกงจิ๋ว
ทางฝ่ายอ้วนชงตั้งค่ายล้อมเมืองเพงง้วนก๋วนอยู่ ในขณะที่อ้วนถำตั้งรับอยู่แต่ในเมือง อ้วนชงเห็นสถานการณ์เช่นนั้นก็หวั่นใจว่าอ้วนถำน่าจะรอกองทัพเมืองอื่นยกมาช่วย จึงกำชับให้ทหารลาดตระเวนและสอดแนมข่าวคราวความเคลื่อนไหวอย่างกวดขัน พอกองทัพโจโฉเคลื่อนมาถึงริมแม่น้ำฮวงโห อ้วนชงก็ได้ข่าวศึกว่าโจโฉยกทัพจะข้ามแม่น้ำฮวงโหไปตีเมืองกิจิ๋วก็ตกใจ
ดังนั้นอ้วนชงจึงสั่งให้ลิกองและลิเชียง สองนายทหารทำหน้าที่เป็นกองระวังหลัง ป้องกันกองทัพของอ้วนถำ ตัวอ้วนชงเองคุมทหารเลิกทัพยกกลับไปเมืองกิจิ๋ว
ทางฝ่ายอ้วนถำหลังจากส่งซินผีไปเป็นทูตแล้ว มั่นใจว่าโจโฉจะยกกองทัพไปตีเมืองกิจิ๋ว ดังนั้นในขณะที่สั่งทหารให้ตั้งมั่นอยู่ในเมือง แต่ก็ให้จัดแจงกำลังเตรียมไล่ตามตีในกรณีที่อ้วนชงจะต้องเลิกทัพกลับไปป้องกันเมือง
พอทราบข่าวว่าอ้วนชงเลิกทัพจึงนำทหารยกออกจากเมือง ไล่ตามตีกองทัพของอ้วนชง
อ้วนถำนำทหารไล่ตามกองทัพของอ้วนชงมาได้สี่ร้อยเส้นก็ถูกลิกอง ลิเชียงซึ่งเป็นกองระวังหลังของอ้วนชงสกัดไว้
อ้วนถำนำหน้าทหารออกไปเผชิญหน้ากับนายทหารของอ้วนชงเห็นเป็นลิกองและลิเชียงก็จำได้ว่าเป็นลูกน้องเก่าของบิดา จึงออกไปว่ากับลิกองและลิเชียงว่าพบหน้าท่านทั้งสองก็ดีแล้ว จะได้ไม่ต้องเดือดร้อนแก่ทหารทั้งปวง ตัวท่านทั้งสองนี้เป็นข้าเก่าของบิดาเรา ที่บิดาเราวางใจทำนุบำรุงเป็นอย่างดีมาแต่ก่อน บัดนี้บิดาเราตายแล้วท่านก็ย่อมรู้ธรรมเนียมว่าเราเป็นบุตรผู้ใหญ่ มีสิทธิที่จะสืบอำนาจของบิดาเรา อ้วนชงเป็นผู้น้อย ยึดอำนาจเมืองกิจิ๋วไว้ให้ผิดประเพณี ท่านทั้งสองจะไม่คิดถึงคุณบิดาเราและคิดจะทำร้ายเรากระนั้นหรือ
ลิกองและลิเชียงได้ฟังคำอ้วนถำท้าวความลำเลิกบุญคุณที่อ้วนเสี้ยวทำนุบำรุงมาแต่เดิมก็ละอายแก่ใจ มิรู้ที่จะว่าประการใด ยืนม้าตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก็ได้คิดจึงรีบลงจากหลังม้า วางอาวุธแล้วเข้าไปคำนับอ้วนถำแล้วว่า ข้าพเจ้าทั้งสองตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่อาจทำประการอื่นได้ เมื่อได้ฟังคำท่านว่ากล่าวก็ระลึกถึงคุณของอ้วนเสี้ยวบิดาท่าน ข้าพเจ้าทั้งสองไม่หาญกล้าที่จะคิดหรือทำร้ายต่อท่าน และพร้อมจะทำการสนองคุณตระกูลอ้วนสืบไป
อ้วนถำเห็นดั่งนั้นก็ดีใจ จึงว่าท่านทั้งสองคิดถึงคุณบิดาเราและลุแก่โทษฉะนี้ จักเป็นที่สรรเสริญของคนทั้งปวง ราษฎรในเมืองกิจิ๋วคงจะเป็นสุขสืบไป ว่าแล้วอ้วนถำจึงสั่งให้ลิกองและลิเชียงติดตามขบวนทัพยกไปทางกองทัพของโจโฉ
ครั้นพอเข้าไปใกล้เขตเคลื่อนไหวของกองทัพโจโฉจึงให้ทหารคนสนิทล่วงไปข้างหน้า แจ้งความให้โจโฉทราบว่าอ้วนถำจะมาขอสวามิภักดิ์ โจโฉได้ทราบก็มีความยินดี ให้เชิญอ้วนถำเข้ามาพบ
อ้วนถำคารวะโจโฉตามอย่างธรรมเนียมแล้ว โจโฉจึงว่าท่านเห็นแก่ความสงบสุขของบ้านเมือง คิดอ่านอ่อนน้อมต่อกองทัพของพระเจ้าอยู่หัวทั้งนี้เป็นการชอบด้วยธรรมเนียมประเพณีดีนัก เสร็จราชการสงครามแล้วเราจะทำนุบำรุงท่านให้ถึงขนาด ทั้งจะยกบุตรีของเราให้เป็นภรรยาของท่าน สำหรับลิกอง ลิเชียงนั้น เราจะเลี้ยงดูให้เป็นทหารหลวง
โจโฉโปรยอำนาจวาสนาล่อใจอ้วนถำและไพร่พลเพื่อไม่ให้เป็นพิษภัยแก่ตัวดั่งนั้นแล้ว จึงนิ่งเพื่อจะฟังความคิดเห็นของอ้วนถำ
อ้วนถำเห็นดังนั้นจึงว่าข้าพเจ้าและนายทหารทั้งปวงสำนึกในพระคุณของท่านอัครมหาเสนาบดีที่มิได้เอาโทษ แล้วยังจะทำนุบำรุงส่งเสริมต่อไปในเบื้องหน้าอีก ดังนั้นจึงขอท่านได้เร่งยกกองทัพเข้าตีเอาเมืองกิจิ๋วเถิด
โจโฉได้ฟังดังนั้นจึงว่าตัวเรายกกองทัพมาทำศึกภาคเหนือเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว เสบียงอาหารก็ขาดแคลนไม่อุดมสมบูรณ์ เพราะการลำเลียงลำบากขัดสนนัก เราคิดอ่านที่จะแก้ไขปัญหาการลำเลียงเสบียงอาหารให้ตกไปให้จงได้ โดยจะขุดคลองเป็นทางตรงตั้งแต่แม่น้ำกีชุยตรงมายังแม่น้ำเปกตกแล้วอาศัยเรือลำเลียงเสบียงอาหารมาตามคลองที่ขุดขึ้นนี้ ก็จะลำเลียงเสบียงอาหารได้ทุกฤดูกาล และใช้เวลาในการลำเลียงน้อยกว่าการลำเลียงเสบียงทางบกซึ่งเป็นทางอ้อมและทุรกันดารมากนัก
อ้วนถำได้ฟังดังนั้นจึงว่าความคิดของท่านประเสริฐแท้ มีภารกิจใดที่ข้าพเจ้าจะรับใช้ท่านได้ขอจงบัญชามาเถิด
โจโฉจึงว่าเมื่อขุดคลองสำหรับลำเลียงเสบียงเสร็จแล้วเราจึงจะเคลื่อนทัพยกไปตีเมืองกิจิ๋ว แต่ในระหว่างขุดคลองอยู่นี้ยังไม่มีภารกิจใด ให้ท่านยกไปรักษาเมืองเพงง้วนก๋วนให้ปลอดภัยก่อน เอาแต่ตัวลิกองและลิเชียงไว้ช่วยราชการในกองทัพของเราก็พอแก่การ
อ้วนถำได้ฟังดังนั้นก็รับคำของโจโฉเพราะไม่รู้ที่จะขัดประการใดได้ จากนั้นจึงคำนับลาโจโฉยกทหารกลับไปเมืองเพงง้วนก๋วน
โจโฉคิดอ่านการทั้งนี้โดยที่ไม่รีบร้อนเคลื่อนทัพยกไปตีเมืองกิจิ๋วในทันที ก็เพราะเล็งการว่ายังคงต้องใช้เวลาทำศึกภาคเหนืออีกระยะหนึ่ง จึงคิดเตรียมการทางด้านเสบียงให้พร้อมก่อน ในช่วงนี้จึงคิดแผนการแยกตัวลิเชียงและลิกองสองนายทหารเก่าของอ้วนเสี้ยวไว้ในกองทัพ แล้วให้อ้วนถำยกกลับไปก่อน วาดหวังว่าเมื่อเตรียมการทั้งปวงพร้อมแล้วจะทำศึกทำลายล้างทั้งอ้วนชงและอ้วนถำ ปราบภาคเหนือเสียให้ราบคาบแต่ครั้งนี้
พออ้วนถำยกกลับไปถึงเมืองเพงง้วนก๋วน กัวเต๋าซึ่งอยู่รักษาเมืองเพงง้วนก๋วนทราบความแล้วก็แจ้งแผนการความคิดของโจโฉว่าเป็นแผนการกินรวบ จะกวาดภาคเหนือให้ราบคาบเสียทีเดียว จึงว่ากับอ้วนถำว่าการที่โจโฉรั้งรอกองทัพไม่ยกเข้าตีเมืองกิจิ๋วแล้วให้ท่านกลับมาเมืองเพงง้วนก๋วนโดยจะยกบุตรสาวให้แก่ท่านนั้น ข้าพเจ้าได้พิเคราะห์แล้วเห็นว่านี่คืออุบายของโจโฉ คิดจะกวาดล้างตระกูล “อ้วน” แล้วยึดภาคเหนือไว้อย่างเบ็ดเสร็จ การที่โจโฉดึงเอาลิกองและลิเชียงไว้ใช้ในราชการนั้นคือแผนการตัดกำลังท่านให้อ่อนลง แล้วจะใช้ลิกองและลิเชียงทำร้ายท่านต่อภายหลัง
แล้วว่า “ซึ่งโจโฉทำทั้งนี้อุปมาเหมือนต้อนปลาเข้าไซ ถ้าท่านเชื่อฟังโจโฉแล้ว ข้าพเจ้าเห็นตัวท่านแลหัวเมืองฝ่ายเหนือจะมีอันตรายต่าง ๆ ด้วยความคิดโจโฉเป็นมั่นคง”
อ้วนถำได้ฟังคำชี้แจงอธิบายความจากกัวเต๋าแล้วก็เข้าใจถึงแผนการของโจโฉ ดังนั้นจึงตกใจแล้วละล่ำละลักถามกัวเต๋าว่าเมื่อเป็นเช่นนี้จะคิดอ่านผันผ่อนประการใดจึงจะปลอดภัย
กัวเต๋าจึงว่าจำเป็นที่ท่านจะต้องผูกใจลิกองและลิเชียงไว้ไม่ให้เอนเอียงเข้าด้วยโจโฉ โดยการแต่งตั้งให้ทั้งลิกองและลิเชียงเป็นนายทหารเอก เสร็จสงครามแล้วจะให้เป็นเจ้าเมืองที่ขึ้นต่อเมืองกิจิ๋ว ดังนี้ก็จะผูกใจลิกอง ลิเชียง ไว้ได้
อ้วนถำได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วยจึงให้ทำตราสำคัญประจำตำแหน่งนายทหารเอกและว่าที่เจ้าเมืองส่งไปให้กับลิกองและลิเชียง และสั่งความไปกับผู้ถือตราว่าเมื่อใดที่โจโฉยกกองทัพเข้าตีเมืองกิจิ๋ว ให้สองนายทหารทำหน้าที่เป็นไส้ศึกประสานกับกองทัพเมืองเพงง้วนก๋วน เมื่อนั้นกองทัพเมืองเพงง้วนก๋วนก็จะยกไปตีกระหนาบกองทัพโจโฉ คงจะได้ชัยชนะโดยง่าย
ลิกองและลิเชียงได้รับตราสำหรับที่และทราบความที่อ้วนถำสั่งความมาแล้ว ปรึกษากันว่าภายในกองทัพของโจโฉเข้มงวดกวดขันนัก หากทำตามคำสั่งของอ้วนถำหรือแม้หากปิดความไว้ไม่มิด อันตรายถึงชีวิตก็จะเกิดกับตัว แม้การศึกในวันหน้าก็ใช่ว่าอ้วนถำ อ้วนชงจะเอาชนะแก่โจโฉได้ เพราะโจโฉนั้นชำนาญการสงคราม ในที่สุดคงจะปราบภาคเหนือได้สำเร็จ กระไรเลยควรจะหาทางเอาชีวิตรอดจะดีกว่า
ปรึกษากันดั่งนี้แล้ว ทั้งลิกองและลิเชียงจึงขอเข้าพบโจโฉ เอาตราสำหรับที่ซึ่งอ้วนถำส่งมานั้นให้โจโฉดูเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ของตัว แต่ข้อความที่อ้วนถำสั่งกำชับมานั้นคงปิดไว้ไม่บอกให้โจโฉทราบ.