ตอนที่ 162. ความแค้นของต้นถั่ว
อ้วนชงและสิมโพยคิดอ่านยืมมือโจโฉล้างผลาญกองทัพของอ้วนถำ เพราะคิดว่าอ้วนถำผู้พี่ตัวคือศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดที่จะแย่งชิงอำนาจในเมืองกิจิ๋ว ดังนั้นจึงปลงใจไม่ยกกองทัพหลวงไปช่วยอ้วนถำรบกับโจโฉตามที่ตกลงไว้เดิม
อ้วนชงจึงให้แต่งหนังสือถึงอ้วนถำว่าเมืองกิจิ๋วนั้นเป็นฐานที่มั่นอันสำคัญของตระกูล “อ้วน” หากละทิ้งเมืองกิจิ๋วเสียยกกองทัพไปรบด้วยโจโฉแล้ว เกลือกโจโฉจะแต่งทัพลอบยกมาตีเมืองกิจิ๋วก็จะเสียทีแก่โจโฉ ดังนั้นอ้วนชงจึงจำเป็นต้องตั้งมั่นรักษาเมืองกิจิ๋วไว้ให้ปลอดภัย
ครั้นอ้วนถำได้รับหนังสือของอ้วนชงแล้วก็แจ้งในความคิดอ่านของอ้วนชงที่คิดยืมมือโจโฉทำร้ายตัว จึงโกรธอ้วนชงเป็นอันมาก ความโกรธนั้นพาลทุ่มลงที่ฮองกี๋ซึ่งเป็นที่ปรึกษาคนสนิทของอ้วนชง ดังนั้นอ้วนถำจึงสั่งให้เอาฮองกี๋ไปประหาร
จากนั้นอ้วนถำจึงเรียกกัวเต๋าและซินเบ้งเข้ามาปรึกษาว่าบัดนี้กองทัพของเราอยู่หน้าศึก แต่มีกำลังน้อยไม่เพียงพอที่จะเอาชนะกองทัพของโจโฉได้ หวังได้อาศัยกำลังกองทัพหลวงจากเมืองกิจิ๋วมาช่วย อ้วนชงสิกลับตัดไมตรีไม่คิดถึงความเป็นพี่น้อง เราจะตั้งรับโจโฉป้องกันเมืองกิจิ๋วไว้เพื่อประโยชน์อันใดอีกต่อไปเล่า กระนั้นเลยควรจะคิดอ่านเข้าเป็นพวกกับโจโฉจะได้มีความสุขสืบไป
กัวเต๋าและซินเบ้งฟังคำปรึกษาของอ้วนถำแล้วจึงว่า การเปลี่ยนจุดยืนทางการเมือง เปลี่ยนข้างเปลี่ยนฝ่ายครั้งนี้เป็นการใหญ่ หาใช่เรื่องที่จะคิดอ่านตามอารมณ์หรือความแค้นไม่ เพราะพลาดพลั้งประการใดแล้วยากที่จะกลับตัวได้อีก ข้อสำคัญก็คือโจโฉนั้นมีที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองเป็นอันมาก ไหนเลยจะวางใจเลี้ยงดูท่านเป็นปกติ ดังนั้นจึงควรรอดูท่าทีไปสักระยะหนึ่งก่อน
กัวเต๋าและซินเบ้งทัดทานอ้วนถำไว้ทั้งนี้แม้ดูประหนึ่งว่าจะเต็มไปด้วยความจงรักภักดีต่อตระกูล “อ้วน” แต่ก็มีนัยยะให้เห็นได้ว่าเกิดจากความกลัวว่าจะสูญเสียอำนาจวาสนาและฐานะความสำคัญที่มีอยู่แต่เดิม เพราะหากเข้าด้วยโจโฉแล้วความสำคัญของพวกตัวก็จะลดลงเนื่องจากโจโฉมีที่ปรึกษาและนายทหารอยู่เป็นอันมาก สู้ฐานะที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่ได้ ดังนั้นจึงถ่วงเวลาการตัดสินใจไว้เพื่อดูท่าทีว่าจะมีเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงประการใดเกิดขึ้นสักระยะหนึ่งก่อน
ความที่อ้วนถำได้ปรึกษาหารือกับกัวเต๋าและซินเบ้งนี้เป็นความใหญ่และมีผลกระทบต่อเมืองกิจิ๋วมาก ดังนั้นทหารรับใช้คนหนึ่งซึ่งอยู่ในค่ายของอ้วนถำจึงกังวลว่าหากอ้วนถำเข้าด้วยโจโฉแล้วจะเกิดภัยแก่เมืองกิจิ๋วและครอบครัวตน จึงบอกพรรคพวกให้รีบแจ้งความให้อ้วนชงทราบ
อ้วนชงพอทราบความก็ตกใจ รีบเรียกสิมโพยมาปรึกษาว่าหากอ้วนถำไปเข้าด้วยโจโฉแล้วเมืองกิจิ๋วคงจะเป็นอันตราย การที่อ้วนถำมีความคิดดั่งนี้เพราะเห็นว่าฝ่ายเราทอดทิ้งไม่ยกกองทัพหลวงไปช่วย ดังนั้นจึงชอบที่จะยับยั้งความคิดของอ้วนถำไม่ให้เข้าด้วยโจโฉ
สิมโพยได้ฟังความก็ตกใจเพราะหากอ้วนถำเข้าด้วยโจโฉจริงแล้วเท่ากับแผนการที่จะอาศัยมือโจโฉทำลายล้างอ้วนถำถูกทำลายไปด้วย ดังนั้นทั้งสิมโพยและอ้วนชงจึงตกลงใจพร้อมกันที่จะยกกองทัพหลวงไปช่วยอ้วนถำ
ตัดสินใจดังนั้นแล้วอ้วนชงจึงสั่งให้สิมโพยกับโชฮิวอยู่รักษาเมืองกิจิ๋ว แล้วให้ลิกองกับลิเชียสองพี่น้องคุมทหารสามหมื่นเป็นกองทัพหน้า อ้วนชงคุมทหารสิบหมื่นเป็นกองทัพหลวง ยกจากเมืองกิจิ๋วไปที่ตำบลลิหยง ตั้งค่ายอยู่ใกล้กับค่ายของอ้วนถำ
ทางฝ่ายอ้วนฮีและโกกันได้รับคำสั่งจากอ้วนเสี้ยวก่อนตายให้ยกมาสมทบกับกองทัพเมืองกิจิ๋วไปรบกับโจโฉ แต่รั้งรอทัพอยู่เพื่อดูท่าทีว่าทางเมืองกิจิ๋วจะคิดอ่านประการใด ครั้นทราบว่ากองทัพเมืองกิจิ๋วยกไปช่วยอ้วนถำจึงให้เคลื่อนกองทัพออกจากทั้งสองเมืองยกไปที่ตำบลลิหยง ตั้งค่ายต่อเนื่องมาจากค่ายของอ้วนชง
ฝ่ายอ้วนถำเมื่อทราบว่ากองทัพหลวงจากเมืองกิจิ๋วและกองทัพหนุนอีกสองเมืองยกมาช่วยก็ยินดี เลิกความคิดที่จะขอเข้าเป็นพวกกับโจโฉ
กองทัพโจโฉและกองทัพฝ่ายเมืองกิจิ๋วได้ยกออกมารบกันทุกวัน ต่างฝ่ายต่างบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก จนเวลาผ่านพ้นไปถึงสิบเจ็ดสิบแปดวันแล้วต่างฝ่ายต่างยังไม่สามารถทำลายล้างอีกฝ่ายหนึ่งให้พ่ายแพ้ไปได้
โจโฉจึงเรียกประชุมปรึกษาแม่ทัพนายกองว่าหากการศึกยังรบพุ่งกันประปรายดังนี้ก็จะเสียเวลายืดเยื้อไปไม่มีที่สิ้นสุด หากข่าวศึกล่วงรู้ไปถึงเล่าเปียว เล่าปี่ ก็อาจฉวยโอกาสยกกองทัพเมืองเกงจิ๋วรุกเข้าตีเมืองหลวงเราก็จะขัดสน ดังนั้นจะคิดอ่านประการใดจึงจะทำลายกองทัพเมืองกิจิ๋วให้แตกพ่ายไปได้
สภาสงครามปรึกษากันแล้วตกลงให้จัดกำลังกองทัพโจโฉออกเป็นสี่กอง แบ่งหน้าที่แยกกันเข้าตีค่ายของอ้วนถำ อ้วนฮี อ้วนชง และโกกันพร้อมกัน หวังจะเอาความเชี่ยวชาญการศึกและความเจนสนามรบที่เหนือกว่ากำราบศึกครั้งนี้
ครั้นได้เวลากำหนดเป็นเวลาใกล้ค่ำในขณะที่กองทหารของเมืองกิจิ๋วทุกค่ายกำลังหุงข้าว กองทัพโจโฉทั้งสี่กองได้ยกออกโจมตีกองทัพเมืองกิจิ๋วทั้งสี่ค่ายพร้อมกัน
ทหารฝ่ายเมืองกิจิ๋วขาดความชำนาญในการศึก ประกอบทั้งขวัญกำลังใจในการสู้รบไม่กล้าแกร่ง และต่างกองทัพต่างระแวงแก่งแย่งแข่งดีกัน ดังนั้นพอถูกกองทัพของโจโฉรุกเข้าตีพร้อมกันทุกค่ายจึงพากันแตกตื่นตกใจ ทหารของโจโฉบุกเข้าไปในค่ายของฝ่ายเมืองกิจิ๋วได้ทุกค่าย แล้วฆ่าฟันทหารของฝ่ายเมืองกิจิ๋วบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก
อ้วนถำ อ้วนชง อ้วนฮี และโกกันเห็นสภาพการที่เป็นรองและทหารของตัวแตกตื่นไม่เป็นอันสู้รบ ทั้งบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก ต่างคนต่างอาศัยความมืดหนีออกจากค่ายกลับไปเมืองกิจิ๋ว โจโฉเห็นได้ทีก็ให้ทหารตามตีไปตลอดทั้งคืน
อ้วนถำและอ้วนชงพาทหารของตัวที่หนีตายมาได้เข้าไปตั้งอยู่ในเมืองกิจิ๋วแล้วสั่งทหารให้ขึ้นรักษาเชิงเทินไว้อย่างแน่นหนา เหลือแต่อ้วนฮีและโกกันเข้าเมืองไม่ทันจึงให้ทหารตั้งค่ายไว้ข้างนอกเมือง
ทางฝ่ายโจโฉไล่ตามตีทหารของเมืองกิจิ๋วมาทั้งคืน พอสว่างขึ้นก็ให้ทหารตั้งค่ายประชิดเมืองกิจิ๋วไว้
แต่ละวันโจโฉได้ให้ทหารยกออกไปรบกับอ้วนฮีและโกกัน ต่างฝ่ายต่างรบกันเป็นสามารถจนถึงเวลาค่ำก็ยกกลับเข้าค่าย เป็นเช่นนี้ทุกวัน
เหตุที่เป็นดั่งนี้เพราะว่าโจโฉไม่กล้าที่จะโหมกำลังทั้งหมดเข้าตีค่ายของอ้วนฮีและโกกันเนื่องจากเกรงว่ากองทัพในเมืองกิจิ๋วจะฉวยโอกาสยกออกมาโจมตีกระหนาบก็จะเสียทีแก่ฝ่ายเมืองกิจิ๋ว ดังนั้นต่างฝ่ายต่างคุมเชิงกันในลักษณาการดั่งนี้
กุยแกที่ปรึกษาของโจโฉเห็นว่าหากการศึกยังเป็นไปในลักษณะนี้กองทัพโจโฉเคลื่อนมาจากทางไกลในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งตั้งอยู่ในเมือง สถานการณ์จะเสียเปรียบแก่ฝ่ายเมืองกิจิ๋ว ประกอบทั้งเสบียงอาหารของกองทัพโจโฉใกล้จะหมดลงจึงเสนอแก่โจโฉว่าการศึกครั้งนี้ในที่สุดแล้วคงจะต้องตั้งยันกันอยู่ในลักษณะนี้ หาเป็นที่ต้องการไม่
แล้วว่าอ้วนถำ อ้วนชง อ้วนฮีและโกกันปรองดองแก่กัน ร่วมมือกันทำสงครามครั้งนี้ก็เพราะกลัวภัยจากกองทัพของเรา เมื่อใดที่เห็นว่าปลอดภัยจากฝ่ายเราแล้ว คนพวกนี้ก็จะแก่งแย่งแข่งดีทำลายล้างกันเอง ดังนั้นการที่กองทัพเรายกมาตั้งอยู่ดั่งนี้จึงเท่ากับเป็นการส่งเสริมให้คนพวกนี้ผนึกกำลังกันต่อสู้ แต่ถ้าหากเราถอยทัพกลับไปคนพวกนี้ก็จะฆ่าฟันกันเอง เมื่อใดที่กำลังอ่อนแอลงแล้วเราค่อยยกมาทำการก็จะได้ทีโดยง่าย ทั้งบัดนี้สิ้นอ้วนเสี้ยวแล้ว หากท่านยกกองทัพลงใต้กำจัดเล่าเปียว เล่าปี่เสียก่อน ว่างเว้นเวลาไว้ให้ลูกหลานอ้วนเสี้ยวฆ่าฟันกันเองก่อนท่านก็จะได้รับชัยชนะทั้งสองด้าน
โจโฉกำลังหนักใจอยู่ด้วยปัญหาเสบียงที่กำลังจะหมดลง และยังไม่เห็นทางที่จะได้ชัยชนะฝ่ายเมืองกิจิ๋ว พอได้ฟังแผนการของกุยแกก็ดีใจ จึงสั่งให้เลิกทัพถอยกลับมาตั้งอยู่ที่ตำบลลิหยง
หลังจากปลงทัพไว้ที่เมืองลิหยงสัปดาห์หนึ่ง โจโฉจึงตั้งให้กาเซี่ยงเป็นผู้รักษาตำบลลิหยง ทำหน้าที่ขัดตาทัพกองทัพเมืองกิจิ๋วไว้ และให้โจหองคุมทหารตั้งขัดตาทัพไว้ที่ริมแม่น้ำฮวงโหไม่ให้กองทัพเมืองกิจิ๋วยกรุกข้ามแม่น้ำฮวงโหมาได้
สั่งการเสร็จสิ้นแล้วโจโฉจึงให้เคลื่อนทัพหลวงลงภาคใต้ ทางฝ่ายเมืองกิจิ๋วเห็นโจโฉเลิกทัพกลับไปก็มีใจยินดี อ้วนฮีและโกกันซึ่งตั้งค่ายอยู่นอกเมืองต่างเห็นว่าไร้ประโยชน์ที่จะยกกองทัพเข้าไปในเมืองกิจิ๋วเพราะอ้วนถำและอ้วนชงต่างก็อยู่ในเมือง คงจะแย่งชิงอำนาจกัน ดังนั้นการถนอมกำลังไว้จะประเสริฐกว่าจึงพากันยกกองทัพกลับไปเมือง
ทางด้านในเมืองกิจิ๋วซึ่งเดิมอ้วนชงครองอำนาจเป็นใหญ่อยู่ผู้เดียว แต่บัดนี้อ้วนถำได้พาทหารยกเข้ามาอยู่ในเมืองกิจิ๋วด้วยแล้ว จึงต่างฝ่ายต่างระแวดระวังเพราะเกรงว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะคิดอ่านทำร้ายตัว
ฝ่ายอ้วนถำได้ปรึกษากับกัวเต๋าและซินเบ้งว่าตัวเราเป็นบุตรผู้ใหญ่ เกิดแต่ภรรยาหลวงของผู้บิดา แต่เพียงเพราะเหตุที่ไม่ได้อยู่ในเมืองกิจิ๋วจึงถูกอ้วนชงผู้น้องซึ่งเกิดแต่ภรรยาน้อยแย่งยึดอำนาจไป ทำฉันใดเราจึงจะได้อำนาจในเมืองกิจิ๋วกลับคืนมา
กัวเต๋าจึงว่าตัวท่านและทหารของฝ่ายเรามีฐานกำลังอยู่ต่างเมือง ในขณะที่อ้วนชงมีฐานกำลังอยู่ในเมือง และตั้งตัวเป็นเจ้าเมืองมาชั่วระยะหนึ่งแล้ว หากตั้งกันอยู่ในเมืองต่อไปดั่งนี้ข้างท่านจะเสียเปรียบ และข้างฝ่ายอ้วนชงจะค่อย ๆ เพิ่มความได้เปรียบ ดังนั้นจึงขอให้ท่านยกทหารออกไปตั้งไว้ที่นอกเมืองเพื่อป้องกันตัวมิให้เป็นอันตรายเสียก่อน จากนั้นจึงค่อยคิดอ่านวางแผนเชิญอ้วนชงและสิมโพยออกมากินโต๊ะ เป็นทีแล้วค่อยจับทั้งสองคนฆ่าเสีย อำนาจเมืองกิจิ๋วก็จะตกเป็นสิทธิแก่ท่าน
อ้วนถำได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบจึงสั่งให้ยกทหารออกไปตั้งค่ายอยู่นอกเมืองกิจิ๋ว เตรียมการที่จะเชิญอ้วนชงและสิมโพยมากินโต๊ะตามความเห็นของกัวเต๋าขณะนั้น
อองสิ้วที่ปรึกษาของอ้วนถำเดินทางมาแต่เมืองเชียงจิ๋วเพื่อมาเยี่ยมอ้วนถำและกองทัพ อ้วนถำเห็นที่ปรึกษามาเยี่ยมก็มีความยินดีเล่าแผนการที่ได้ปรึกษากับกัวเต๋าให้อองสิ้วฟัง
อองสิ้วได้ฟังแล้วก็ตกใจจึงว่า “อันธรรมดาพี่น้องกันนั้นอุปมาเหมือนหนึ่งแขนซ้ายแขนขวา เหตุใดท่านจะมาคิดใจเบาตัดแขนซ้ายขวาเสียนั้นไม่ควร เมื่อท่านทำร้ายแลตัดพี่น้องเสียได้นั้นข้าพเจ้าเห็นจะไม่มีความสบาย แลท่านจะเอาผู้อื่นมาเป็นพี่น้อง เขายังจะมีใจเจ็บร้อนด้วยท่านหรือ ซึ่งท่านจะฟังคำคนสอพลอยุยงนั้นไม่ควร ด้วยเขาเป็นคนคิดสั้น จะเอาบำเหน็จปากแต่ครู่หนึ่งยามหนึ่งเท่านั้น”
อองสิ้วแม้ว่าจะเป็นที่ปรึกษาของอ้วนถำ แต่ก็เป็นข้าในตระกูล “อ้วน” มาแต่ก่อน มีความจงรักภักดีต่อตระกูล “อ้วน” และอ้วนเสี้ยวมั่นคงนัก แต่เดิมมารับราชการใกล้ชิดกับอ้วนเสี้ยว แต่พออ้วนถำเติบโตขึ้นอ้วนเสี้ยวเกรงว่าอ้วนถำเป็นคนมุทะลุวู่วามเอาแต่ใจจึงสั่งให้อองสิ้วไปอยู่กับอ้วนถำเพื่อช่วยคิดอ่านเป็นที่ปรึกษา ดังนั้นจุดยืนของอองสิ้วจึงยังคงเป็นจุดยืนที่อยู่กับผลประโยชน์ของตระกูล “อ้วน” เป็นส่วนรวม ไม่ได้คิดแบ่งฝักแบ่งฝ่ายเหมือนกับความคิดของสิมโพยกับกัวเต๋า ซึ่งคิดอ่านแบ่งฝักแบ่งฝ่ายเพียงเพื่อผลประโยชน์ของตัวแล้ววางแผนให้พี่น้องต้องล้างผลาญกันเอง
อ้วนถำถลำลึกไปกับความคิดเห็นของกัวเต๋าเหมือนกับที่อ้วนชงถลำลึกไปกับความเห็นของสิมโพยจนยากจะกลับคืน ฝังความคิดลึกอยู่ในใจว่าพี่น้องเป็นศัตรู ได้ฟังคำอองสิ้วดังนั้นก็โกรธจึงไล่อองสิ้วออกจากค่าย และให้ทหารไปเชิญอ้วนชงและสิมโพยมากินโต๊ะตามความคิดของกัวเต๋า
คำพังเพยของจีนแต่โบราณบทหนึ่งว่าไว้ว่า “ความแค้นยิ่งใหญ่ของต้นถั่วคือการเอาเถาถั่วไปต้มถั่ว” บัดนี้สิมโพยและกัวเต๋าสองที่ปรึกษาซึ่งแบ่งฝักแบ่งฝ่ายถือหางอ้วนชงและอ้วนถำ เสี้ยมสอนจนพี่น้องต้องคิดล้างผลาญกันเอง ซึ่งก็คือล้างผลาญตระกูล “อ้วน” ให้วายวอดนั่นเอง เป็นการใช้เถาถั่วต้มถั่วตามคำพังเพยนี้ หากวิญญาณอ้วนเสี้ยวมีจริงคงสุดแสนแค้นใจสองที่ปรึกษาถ่อยจนต้องรากเลือดในยมโลกอีกครั้งหนึ่ง.
อ้วนชงจึงให้แต่งหนังสือถึงอ้วนถำว่าเมืองกิจิ๋วนั้นเป็นฐานที่มั่นอันสำคัญของตระกูล “อ้วน” หากละทิ้งเมืองกิจิ๋วเสียยกกองทัพไปรบด้วยโจโฉแล้ว เกลือกโจโฉจะแต่งทัพลอบยกมาตีเมืองกิจิ๋วก็จะเสียทีแก่โจโฉ ดังนั้นอ้วนชงจึงจำเป็นต้องตั้งมั่นรักษาเมืองกิจิ๋วไว้ให้ปลอดภัย
ครั้นอ้วนถำได้รับหนังสือของอ้วนชงแล้วก็แจ้งในความคิดอ่านของอ้วนชงที่คิดยืมมือโจโฉทำร้ายตัว จึงโกรธอ้วนชงเป็นอันมาก ความโกรธนั้นพาลทุ่มลงที่ฮองกี๋ซึ่งเป็นที่ปรึกษาคนสนิทของอ้วนชง ดังนั้นอ้วนถำจึงสั่งให้เอาฮองกี๋ไปประหาร
จากนั้นอ้วนถำจึงเรียกกัวเต๋าและซินเบ้งเข้ามาปรึกษาว่าบัดนี้กองทัพของเราอยู่หน้าศึก แต่มีกำลังน้อยไม่เพียงพอที่จะเอาชนะกองทัพของโจโฉได้ หวังได้อาศัยกำลังกองทัพหลวงจากเมืองกิจิ๋วมาช่วย อ้วนชงสิกลับตัดไมตรีไม่คิดถึงความเป็นพี่น้อง เราจะตั้งรับโจโฉป้องกันเมืองกิจิ๋วไว้เพื่อประโยชน์อันใดอีกต่อไปเล่า กระนั้นเลยควรจะคิดอ่านเข้าเป็นพวกกับโจโฉจะได้มีความสุขสืบไป
กัวเต๋าและซินเบ้งฟังคำปรึกษาของอ้วนถำแล้วจึงว่า การเปลี่ยนจุดยืนทางการเมือง เปลี่ยนข้างเปลี่ยนฝ่ายครั้งนี้เป็นการใหญ่ หาใช่เรื่องที่จะคิดอ่านตามอารมณ์หรือความแค้นไม่ เพราะพลาดพลั้งประการใดแล้วยากที่จะกลับตัวได้อีก ข้อสำคัญก็คือโจโฉนั้นมีที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองเป็นอันมาก ไหนเลยจะวางใจเลี้ยงดูท่านเป็นปกติ ดังนั้นจึงควรรอดูท่าทีไปสักระยะหนึ่งก่อน
กัวเต๋าและซินเบ้งทัดทานอ้วนถำไว้ทั้งนี้แม้ดูประหนึ่งว่าจะเต็มไปด้วยความจงรักภักดีต่อตระกูล “อ้วน” แต่ก็มีนัยยะให้เห็นได้ว่าเกิดจากความกลัวว่าจะสูญเสียอำนาจวาสนาและฐานะความสำคัญที่มีอยู่แต่เดิม เพราะหากเข้าด้วยโจโฉแล้วความสำคัญของพวกตัวก็จะลดลงเนื่องจากโจโฉมีที่ปรึกษาและนายทหารอยู่เป็นอันมาก สู้ฐานะที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่ได้ ดังนั้นจึงถ่วงเวลาการตัดสินใจไว้เพื่อดูท่าทีว่าจะมีเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงประการใดเกิดขึ้นสักระยะหนึ่งก่อน
ความที่อ้วนถำได้ปรึกษาหารือกับกัวเต๋าและซินเบ้งนี้เป็นความใหญ่และมีผลกระทบต่อเมืองกิจิ๋วมาก ดังนั้นทหารรับใช้คนหนึ่งซึ่งอยู่ในค่ายของอ้วนถำจึงกังวลว่าหากอ้วนถำเข้าด้วยโจโฉแล้วจะเกิดภัยแก่เมืองกิจิ๋วและครอบครัวตน จึงบอกพรรคพวกให้รีบแจ้งความให้อ้วนชงทราบ
อ้วนชงพอทราบความก็ตกใจ รีบเรียกสิมโพยมาปรึกษาว่าหากอ้วนถำไปเข้าด้วยโจโฉแล้วเมืองกิจิ๋วคงจะเป็นอันตราย การที่อ้วนถำมีความคิดดั่งนี้เพราะเห็นว่าฝ่ายเราทอดทิ้งไม่ยกกองทัพหลวงไปช่วย ดังนั้นจึงชอบที่จะยับยั้งความคิดของอ้วนถำไม่ให้เข้าด้วยโจโฉ
สิมโพยได้ฟังความก็ตกใจเพราะหากอ้วนถำเข้าด้วยโจโฉจริงแล้วเท่ากับแผนการที่จะอาศัยมือโจโฉทำลายล้างอ้วนถำถูกทำลายไปด้วย ดังนั้นทั้งสิมโพยและอ้วนชงจึงตกลงใจพร้อมกันที่จะยกกองทัพหลวงไปช่วยอ้วนถำ
ตัดสินใจดังนั้นแล้วอ้วนชงจึงสั่งให้สิมโพยกับโชฮิวอยู่รักษาเมืองกิจิ๋ว แล้วให้ลิกองกับลิเชียสองพี่น้องคุมทหารสามหมื่นเป็นกองทัพหน้า อ้วนชงคุมทหารสิบหมื่นเป็นกองทัพหลวง ยกจากเมืองกิจิ๋วไปที่ตำบลลิหยง ตั้งค่ายอยู่ใกล้กับค่ายของอ้วนถำ
ทางฝ่ายอ้วนฮีและโกกันได้รับคำสั่งจากอ้วนเสี้ยวก่อนตายให้ยกมาสมทบกับกองทัพเมืองกิจิ๋วไปรบกับโจโฉ แต่รั้งรอทัพอยู่เพื่อดูท่าทีว่าทางเมืองกิจิ๋วจะคิดอ่านประการใด ครั้นทราบว่ากองทัพเมืองกิจิ๋วยกไปช่วยอ้วนถำจึงให้เคลื่อนกองทัพออกจากทั้งสองเมืองยกไปที่ตำบลลิหยง ตั้งค่ายต่อเนื่องมาจากค่ายของอ้วนชง
ฝ่ายอ้วนถำเมื่อทราบว่ากองทัพหลวงจากเมืองกิจิ๋วและกองทัพหนุนอีกสองเมืองยกมาช่วยก็ยินดี เลิกความคิดที่จะขอเข้าเป็นพวกกับโจโฉ
กองทัพโจโฉและกองทัพฝ่ายเมืองกิจิ๋วได้ยกออกมารบกันทุกวัน ต่างฝ่ายต่างบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก จนเวลาผ่านพ้นไปถึงสิบเจ็ดสิบแปดวันแล้วต่างฝ่ายต่างยังไม่สามารถทำลายล้างอีกฝ่ายหนึ่งให้พ่ายแพ้ไปได้
โจโฉจึงเรียกประชุมปรึกษาแม่ทัพนายกองว่าหากการศึกยังรบพุ่งกันประปรายดังนี้ก็จะเสียเวลายืดเยื้อไปไม่มีที่สิ้นสุด หากข่าวศึกล่วงรู้ไปถึงเล่าเปียว เล่าปี่ ก็อาจฉวยโอกาสยกกองทัพเมืองเกงจิ๋วรุกเข้าตีเมืองหลวงเราก็จะขัดสน ดังนั้นจะคิดอ่านประการใดจึงจะทำลายกองทัพเมืองกิจิ๋วให้แตกพ่ายไปได้
สภาสงครามปรึกษากันแล้วตกลงให้จัดกำลังกองทัพโจโฉออกเป็นสี่กอง แบ่งหน้าที่แยกกันเข้าตีค่ายของอ้วนถำ อ้วนฮี อ้วนชง และโกกันพร้อมกัน หวังจะเอาความเชี่ยวชาญการศึกและความเจนสนามรบที่เหนือกว่ากำราบศึกครั้งนี้
ครั้นได้เวลากำหนดเป็นเวลาใกล้ค่ำในขณะที่กองทหารของเมืองกิจิ๋วทุกค่ายกำลังหุงข้าว กองทัพโจโฉทั้งสี่กองได้ยกออกโจมตีกองทัพเมืองกิจิ๋วทั้งสี่ค่ายพร้อมกัน
ทหารฝ่ายเมืองกิจิ๋วขาดความชำนาญในการศึก ประกอบทั้งขวัญกำลังใจในการสู้รบไม่กล้าแกร่ง และต่างกองทัพต่างระแวงแก่งแย่งแข่งดีกัน ดังนั้นพอถูกกองทัพของโจโฉรุกเข้าตีพร้อมกันทุกค่ายจึงพากันแตกตื่นตกใจ ทหารของโจโฉบุกเข้าไปในค่ายของฝ่ายเมืองกิจิ๋วได้ทุกค่าย แล้วฆ่าฟันทหารของฝ่ายเมืองกิจิ๋วบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก
อ้วนถำ อ้วนชง อ้วนฮี และโกกันเห็นสภาพการที่เป็นรองและทหารของตัวแตกตื่นไม่เป็นอันสู้รบ ทั้งบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก ต่างคนต่างอาศัยความมืดหนีออกจากค่ายกลับไปเมืองกิจิ๋ว โจโฉเห็นได้ทีก็ให้ทหารตามตีไปตลอดทั้งคืน
อ้วนถำและอ้วนชงพาทหารของตัวที่หนีตายมาได้เข้าไปตั้งอยู่ในเมืองกิจิ๋วแล้วสั่งทหารให้ขึ้นรักษาเชิงเทินไว้อย่างแน่นหนา เหลือแต่อ้วนฮีและโกกันเข้าเมืองไม่ทันจึงให้ทหารตั้งค่ายไว้ข้างนอกเมือง
ทางฝ่ายโจโฉไล่ตามตีทหารของเมืองกิจิ๋วมาทั้งคืน พอสว่างขึ้นก็ให้ทหารตั้งค่ายประชิดเมืองกิจิ๋วไว้
แต่ละวันโจโฉได้ให้ทหารยกออกไปรบกับอ้วนฮีและโกกัน ต่างฝ่ายต่างรบกันเป็นสามารถจนถึงเวลาค่ำก็ยกกลับเข้าค่าย เป็นเช่นนี้ทุกวัน
เหตุที่เป็นดั่งนี้เพราะว่าโจโฉไม่กล้าที่จะโหมกำลังทั้งหมดเข้าตีค่ายของอ้วนฮีและโกกันเนื่องจากเกรงว่ากองทัพในเมืองกิจิ๋วจะฉวยโอกาสยกออกมาโจมตีกระหนาบก็จะเสียทีแก่ฝ่ายเมืองกิจิ๋ว ดังนั้นต่างฝ่ายต่างคุมเชิงกันในลักษณาการดั่งนี้
กุยแกที่ปรึกษาของโจโฉเห็นว่าหากการศึกยังเป็นไปในลักษณะนี้กองทัพโจโฉเคลื่อนมาจากทางไกลในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งตั้งอยู่ในเมือง สถานการณ์จะเสียเปรียบแก่ฝ่ายเมืองกิจิ๋ว ประกอบทั้งเสบียงอาหารของกองทัพโจโฉใกล้จะหมดลงจึงเสนอแก่โจโฉว่าการศึกครั้งนี้ในที่สุดแล้วคงจะต้องตั้งยันกันอยู่ในลักษณะนี้ หาเป็นที่ต้องการไม่
แล้วว่าอ้วนถำ อ้วนชง อ้วนฮีและโกกันปรองดองแก่กัน ร่วมมือกันทำสงครามครั้งนี้ก็เพราะกลัวภัยจากกองทัพของเรา เมื่อใดที่เห็นว่าปลอดภัยจากฝ่ายเราแล้ว คนพวกนี้ก็จะแก่งแย่งแข่งดีทำลายล้างกันเอง ดังนั้นการที่กองทัพเรายกมาตั้งอยู่ดั่งนี้จึงเท่ากับเป็นการส่งเสริมให้คนพวกนี้ผนึกกำลังกันต่อสู้ แต่ถ้าหากเราถอยทัพกลับไปคนพวกนี้ก็จะฆ่าฟันกันเอง เมื่อใดที่กำลังอ่อนแอลงแล้วเราค่อยยกมาทำการก็จะได้ทีโดยง่าย ทั้งบัดนี้สิ้นอ้วนเสี้ยวแล้ว หากท่านยกกองทัพลงใต้กำจัดเล่าเปียว เล่าปี่เสียก่อน ว่างเว้นเวลาไว้ให้ลูกหลานอ้วนเสี้ยวฆ่าฟันกันเองก่อนท่านก็จะได้รับชัยชนะทั้งสองด้าน
โจโฉกำลังหนักใจอยู่ด้วยปัญหาเสบียงที่กำลังจะหมดลง และยังไม่เห็นทางที่จะได้ชัยชนะฝ่ายเมืองกิจิ๋ว พอได้ฟังแผนการของกุยแกก็ดีใจ จึงสั่งให้เลิกทัพถอยกลับมาตั้งอยู่ที่ตำบลลิหยง
หลังจากปลงทัพไว้ที่เมืองลิหยงสัปดาห์หนึ่ง โจโฉจึงตั้งให้กาเซี่ยงเป็นผู้รักษาตำบลลิหยง ทำหน้าที่ขัดตาทัพกองทัพเมืองกิจิ๋วไว้ และให้โจหองคุมทหารตั้งขัดตาทัพไว้ที่ริมแม่น้ำฮวงโหไม่ให้กองทัพเมืองกิจิ๋วยกรุกข้ามแม่น้ำฮวงโหมาได้
สั่งการเสร็จสิ้นแล้วโจโฉจึงให้เคลื่อนทัพหลวงลงภาคใต้ ทางฝ่ายเมืองกิจิ๋วเห็นโจโฉเลิกทัพกลับไปก็มีใจยินดี อ้วนฮีและโกกันซึ่งตั้งค่ายอยู่นอกเมืองต่างเห็นว่าไร้ประโยชน์ที่จะยกกองทัพเข้าไปในเมืองกิจิ๋วเพราะอ้วนถำและอ้วนชงต่างก็อยู่ในเมือง คงจะแย่งชิงอำนาจกัน ดังนั้นการถนอมกำลังไว้จะประเสริฐกว่าจึงพากันยกกองทัพกลับไปเมือง
ทางด้านในเมืองกิจิ๋วซึ่งเดิมอ้วนชงครองอำนาจเป็นใหญ่อยู่ผู้เดียว แต่บัดนี้อ้วนถำได้พาทหารยกเข้ามาอยู่ในเมืองกิจิ๋วด้วยแล้ว จึงต่างฝ่ายต่างระแวดระวังเพราะเกรงว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะคิดอ่านทำร้ายตัว
ฝ่ายอ้วนถำได้ปรึกษากับกัวเต๋าและซินเบ้งว่าตัวเราเป็นบุตรผู้ใหญ่ เกิดแต่ภรรยาหลวงของผู้บิดา แต่เพียงเพราะเหตุที่ไม่ได้อยู่ในเมืองกิจิ๋วจึงถูกอ้วนชงผู้น้องซึ่งเกิดแต่ภรรยาน้อยแย่งยึดอำนาจไป ทำฉันใดเราจึงจะได้อำนาจในเมืองกิจิ๋วกลับคืนมา
กัวเต๋าจึงว่าตัวท่านและทหารของฝ่ายเรามีฐานกำลังอยู่ต่างเมือง ในขณะที่อ้วนชงมีฐานกำลังอยู่ในเมือง และตั้งตัวเป็นเจ้าเมืองมาชั่วระยะหนึ่งแล้ว หากตั้งกันอยู่ในเมืองต่อไปดั่งนี้ข้างท่านจะเสียเปรียบ และข้างฝ่ายอ้วนชงจะค่อย ๆ เพิ่มความได้เปรียบ ดังนั้นจึงขอให้ท่านยกทหารออกไปตั้งไว้ที่นอกเมืองเพื่อป้องกันตัวมิให้เป็นอันตรายเสียก่อน จากนั้นจึงค่อยคิดอ่านวางแผนเชิญอ้วนชงและสิมโพยออกมากินโต๊ะ เป็นทีแล้วค่อยจับทั้งสองคนฆ่าเสีย อำนาจเมืองกิจิ๋วก็จะตกเป็นสิทธิแก่ท่าน
อ้วนถำได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบจึงสั่งให้ยกทหารออกไปตั้งค่ายอยู่นอกเมืองกิจิ๋ว เตรียมการที่จะเชิญอ้วนชงและสิมโพยมากินโต๊ะตามความเห็นของกัวเต๋าขณะนั้น
อองสิ้วที่ปรึกษาของอ้วนถำเดินทางมาแต่เมืองเชียงจิ๋วเพื่อมาเยี่ยมอ้วนถำและกองทัพ อ้วนถำเห็นที่ปรึกษามาเยี่ยมก็มีความยินดีเล่าแผนการที่ได้ปรึกษากับกัวเต๋าให้อองสิ้วฟัง
อองสิ้วได้ฟังแล้วก็ตกใจจึงว่า “อันธรรมดาพี่น้องกันนั้นอุปมาเหมือนหนึ่งแขนซ้ายแขนขวา เหตุใดท่านจะมาคิดใจเบาตัดแขนซ้ายขวาเสียนั้นไม่ควร เมื่อท่านทำร้ายแลตัดพี่น้องเสียได้นั้นข้าพเจ้าเห็นจะไม่มีความสบาย แลท่านจะเอาผู้อื่นมาเป็นพี่น้อง เขายังจะมีใจเจ็บร้อนด้วยท่านหรือ ซึ่งท่านจะฟังคำคนสอพลอยุยงนั้นไม่ควร ด้วยเขาเป็นคนคิดสั้น จะเอาบำเหน็จปากแต่ครู่หนึ่งยามหนึ่งเท่านั้น”
อองสิ้วแม้ว่าจะเป็นที่ปรึกษาของอ้วนถำ แต่ก็เป็นข้าในตระกูล “อ้วน” มาแต่ก่อน มีความจงรักภักดีต่อตระกูล “อ้วน” และอ้วนเสี้ยวมั่นคงนัก แต่เดิมมารับราชการใกล้ชิดกับอ้วนเสี้ยว แต่พออ้วนถำเติบโตขึ้นอ้วนเสี้ยวเกรงว่าอ้วนถำเป็นคนมุทะลุวู่วามเอาแต่ใจจึงสั่งให้อองสิ้วไปอยู่กับอ้วนถำเพื่อช่วยคิดอ่านเป็นที่ปรึกษา ดังนั้นจุดยืนของอองสิ้วจึงยังคงเป็นจุดยืนที่อยู่กับผลประโยชน์ของตระกูล “อ้วน” เป็นส่วนรวม ไม่ได้คิดแบ่งฝักแบ่งฝ่ายเหมือนกับความคิดของสิมโพยกับกัวเต๋า ซึ่งคิดอ่านแบ่งฝักแบ่งฝ่ายเพียงเพื่อผลประโยชน์ของตัวแล้ววางแผนให้พี่น้องต้องล้างผลาญกันเอง
อ้วนถำถลำลึกไปกับความคิดเห็นของกัวเต๋าเหมือนกับที่อ้วนชงถลำลึกไปกับความเห็นของสิมโพยจนยากจะกลับคืน ฝังความคิดลึกอยู่ในใจว่าพี่น้องเป็นศัตรู ได้ฟังคำอองสิ้วดังนั้นก็โกรธจึงไล่อองสิ้วออกจากค่าย และให้ทหารไปเชิญอ้วนชงและสิมโพยมากินโต๊ะตามความคิดของกัวเต๋า
คำพังเพยของจีนแต่โบราณบทหนึ่งว่าไว้ว่า “ความแค้นยิ่งใหญ่ของต้นถั่วคือการเอาเถาถั่วไปต้มถั่ว” บัดนี้สิมโพยและกัวเต๋าสองที่ปรึกษาซึ่งแบ่งฝักแบ่งฝ่ายถือหางอ้วนชงและอ้วนถำ เสี้ยมสอนจนพี่น้องต้องคิดล้างผลาญกันเอง ซึ่งก็คือล้างผลาญตระกูล “อ้วน” ให้วายวอดนั่นเอง เป็นการใช้เถาถั่วต้มถั่วตามคำพังเพยนี้ หากวิญญาณอ้วนเสี้ยวมีจริงคงสุดแสนแค้นใจสองที่ปรึกษาถ่อยจนต้องรากเลือดในยมโลกอีกครั้งหนึ่ง.