ตอนที่ 16. ชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าเมือง
รุ่งเช้าขึ้น อ้วนเสี้ยวรีบออกจากบ้านมาจวนของโฮจิ๋น ขอพบโฮจิ๋นและถามว่าที่เสนอให้รีบสังหารสิบขันทีเสียนั้น โฮจิ๋นตกลงใจประการใด
โฮจิ๋นบอกว่าค่ำคืนที่ล่วงแล้วเราได้ไปเฝ้าโฮไทเฮาปรึกษาเรื่องนี้ แต่โฮไทเฮาไม่เห็นชอบด้วย แล้วบอกเหตุผลของโฮไทเฮาให้อ้วนเสี้ยวฟัง แต่ข้อที่เกี่ยวกับสิบขันทีทำคุณไว้กับตระกูล “โฮ” นั้น โฮจิ๋นปิดเสียไม่บอกอ้วนเสี้ยว
อ้วนเสี้ยวจึงยุต่อไปว่าหากไม่รีบฆ่าสิบขันทีเสีย จักเป็นอันตรายเป็นมั่นคง
โฮจิ๋นฟังคำยุของอ้วนเสี้ยวแล้ว น้ำใจก็เกิดโลเลคิดฆ่าสิบขันทีขึ้นมาอีก จึงปรึกษาว่าเมื่อเป็นเช่นนี้จะทำประการใดดี
เหตุการณ์เข้าทางของอ้วนเสี้ยว อ้วนเสี้ยวจึงเสนอว่า “ขอให้มีหนังสือท่านออกไป ให้หาหัวเมืองทั้งปวงยกทหารเข้ามาเป็นกระบวนทัพ แล้วประกาศว่าจะเอาตัวขันทีสิบคนฆ่าเสีย นางโฮเฮากลัวจะเป็นอันตราย เห็นจะให้จับขันทีส่งออกมาให้โดยสะดวก”
อ้วนเสี้ยวได้เสนอแผนการชนิดที่โบราณว่า “ชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าเมือง” โดยขาดความเข้าใจว่าธรรมดาน้ำเมื่อเข้าที่ลึกแล้วไหนเลยจะไหลกลับคืนสู่ที่ตื้น กองทัพหัวเมืองหากได้เข้าเมืองหลวงแล้ว ไหนเลยจะถอนกลับเสียโดยง่าย มีแต่จะยึดครองเมืองหลวงเอาโดยกำลัง
ไม่ต่างอะไรกับการไปเอาฝรั่งเข้ามาช่วยเหลือแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศไทย ไหนเลยที่ฝรั่งจะเพียงแต่เข้ามาช่วยเหลือ มีแต่จะเอาบ้านเมืองเป็นประเทศราช เอาราษฎรลงเป็นทาสเท่านั้น
ข้อเสนอแบบขี่ช้างจับตั๊กแตนของอ้วนเสี้ยว แม้เข้าลักษณะชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าเมือง ผลได้ไม่คุ้มเสีย แต่โฮจิ๋นเป็นคนถ่อยปัญญา มองไม่เห็นหายนะที่จะเกิดขึ้น เห็นแต่ทางได้ที่จะจับสิบขันทีฆ่าเสีย จึงเห็นชอบกับแผนการของอ้วนเสี้ยว
ในขณะที่อ้วนเสี้ยวเสนอแผนการต่อโฮจิ๋นนั้น ตันหลิมขุนนางหน้าที่อาลักษณ์อยู่ในที่นั้นด้วย ได้ยินข้อเสนอแล้วกล่าวเป็นโคลงออกมาให้โฮจิ๋นและอ้วนเสี้ยวได้ยินว่า
“ชายชาญเชิงเชี่ยวด้าน
ธนูศิลป์
ไกลโสตสุดเสียงยิน
สู่เป้า
ปิดตาโก่งนก
หมายมุ่งทะนงนา
ศรพลาดเสียบมือเข้า
แต่นั้นเสียคน”
ทั้งโฮจิ๋นและอ้วนเสี้ยวยินคำโคลงของตันหลิมแล้วหันกลับไปมอง ตันหลิมจึงว่าแก่โฮจิ๋นว่า “ตัวท่านทุกวันนี้ ราชการเมืองก็สิทธิขาดอยู่แก่ท่าน ขุนนางทั้งปวงก็อยู่ในเงื้อมมือท่าน อันขันทีสิบคนเหมือนแมลงเม่า ตัวท่านเหมือนกองเพลิงอันใหญ่ แมลงเม่าหรือจะสู้เพลิงได้ ถ้าท่านจะคิดประการใดก็จะสมดังปรารถนา ตัวท่านเหมือนพญาหงส์ คิดการใหญ่แล้วจะมาเคร่าท่าฝูงกาอยู่นั้นไม่สมควร อันหัวเมืองทั้งปวงจะยกทหารเป็นกระบวนทัพเข้ามา ถ้าได้ตัวขันทีสิบคนแล้วเห็นหัวเมืองทั้งปวงจะกำเริบศึกกลางเมืองขึ้น การซึ่งจะคิดทำนุบำรุงแผ่นดินนั้นก็จะเสียท่วงทีไป”
คำของตันหลิมสมกับเป็นอาลักษณ์ ชัดเจนครบถ้วนสมบูรณ์ด้วยเหตุและผล ต้องด้วยพิชัยสงคราม แต่โฮจิ๋นฟังแล้วไม่ต่างอะไรกับควายได้ยินเสียงทิพย์ดนตรี ตรงกับพุทธภาษิตที่ว่า “วินาสะกาเล วิปริตตะพุทธิ” ซึ่งแปลว่า “เมื่อกาลวินาศมาถึงเข้าแล้ว สติปัญญาย่อมวิปลาสแปรปรวนไป” โฮจิ๋นจึงหัวเราะว่าแก่ตันหลิมว่า “ตัวท่านจะมาร่วมคิดการใหญ่กับเรานั้น ความคิดท่านน้อยนัก อุปมาดังเด็กเลี้ยงโค”
การยกเด็กเลี้ยงโคขึ้นอุปมากับความรู้ของตันหลิม เป็นการแสดงความโง่ของ โฮจิ๋นให้ปรากฏ เพราะความรู้ของตันหลิมอันได้แสดง ณ บัดนี้นั้น เป็นความรู้ของคนที่เป็นบัณฑิต เปรียบไม่ได้กับเด็กเลี้ยงโค แม้เด็กเลี้ยงโคเล่าจะไปปรามาสว่าไร้เสียซึ่งสติปัญญา ย่อมไม่ชอบ เพราะเด็กเลี้ยงโคที่มีสติปัญญาและความรอบรู้เหนือกว่าโฮจิ๋นและตันหลิมก็ยังมีปรากฏให้เห็นอยู่ถมไป
ในที่นั้นโจโฉได้เข้าร่วมปรึกษาหารืออยู่ด้วย และโจโฉนั้นบัดนี้อยู่ใกล้อำนาจรัฐมากกว่าซุนเกี๋ยนและเล่าปี่ สามารถเข้านอกออกในจวนของผู้สำเร็จราชการแผ่นดินได้ดุจดังคนในบ้านของโฮจิ๋น เป็นที่ไว้วางใจของโฮจิ๋นมากขึ้นโดยลำดับ
โจโฉได้ยินข้อเสนอของอ้วนเสี้ยว ได้ยินโคลงและความเห็นของตันหลิมตลอดจนการโต้ตอบของโฮจิ๋นแล้วจึงตบมือหัวเราะแล้วว่า “อย่างธรรมเนียมแผ่นดินแต่ก่อนก็มีมา พระมหากษัตริย์เชื่อฟังตั้งแต่งขันทีเป็นเสนาบดีผู้ใหญ่ ราชการเมืองผันแปรไปมีเนือง ๆ มาอยู่ ครั้งนี้ขันทีทั้งสิบคนซึ่งหยาบช้านั้น มีสติปัญญาเป็นใหญ่อยู่คนเดียวสองคนดอก ถ้าจะคิดจับเอาแต่นายใหญ่นั้นฆ่าเสียก็จะได้โดยง่าย ทำไมจะให้ร้อนถึงหัวเมืองยกเป็นกระบวนทัพเอิกเกริกมาเล่า”
ความเห็นของโจโฉครั้งนี้สวนทางกับความคิดเห็นของอ้วนเสี้ยวอย่างสิ้นเชิง เท่ากับโจโฉว่ากล่าวค้านอ้วนเสี้ยวซึ่งหน้า ทั้งยังกระทบเอากับความคิดหมิ่นความรู้ตันหลิมของโฮจิ๋นด้วย
ทั้งยังสะท้อนให้เห็นดุลยพินิจพิจารณาปัญหาโดยจำแนกของโจโฉ จับเอาแก่นแกนของปัญหามาเป็นหลักในการแก้ไขปัญหานั้น ทำปัญหาใหญ่ให้เป็นปัญหาเล็ก ทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็กซึ่งแก้ไขทำได้ง่าย และปัญหาก็จะสิ้นสุดไปได้ ทั้งยังแสดงด้วยว่าโจโฉนั้นเก่งคน อ่านคนออกว่าในบรรดาขันทีทั้งสิบคนนั้นมีผู้มีปัญญาเป็นแกนของปัญหาเพียงคนสองคนเท่านั้น
นี่เป็นไปตามหลักพิชัยยุทธ ที่ต้องกำหนดเป้าหมายให้เล็ก โจมตีเป้าหมายให้แม่น แล้วทำลายล้างอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
โฮจิ๋นฟังคำโจโฉแล้วก็โกรธ ตวาดใส่โจโฉว่าที่พูดเช่นนี้เป็นการเข้าข้างสิบขันที ไม่เห็นแก่ความทุกข์ร้อนของเรา หรือว่าเป็นพวกเดียวกับขันทีทั้งสิบคน
โจโฉยินคำโฮจิ๋นดั่งนี้ก็รู้สึกโกรธแต่เป็นผู้น้อยกว่าจึงไม่โต้ตอบประการใด ลุกขึ้นแล้วเดินออกมาภายนอกจวนของโฮจิ๋น รำพึงขึ้นว่า “แผ่นดินครั้งนี้จะเกิดอันตรายเพราะโฮจิ๋น”
นับเป็นการคาดการณ์ที่แสดงออกถึงสติปัญญาเล็งการข้างหน้าได้อย่างแม่นยำของโจโฉ เพราะเมื่อโฮจิ๋นไม่ฟังคำทัดทานแล้ว ก็ได้มีหนังสือถึงหัวเมืองต่าง ๆ ให้ยกทัพเข้าเมืองหลวง
เนื่องจากขณะนั้น ราชสำนักมีกฎหมายลักษณะกบฎศึก ห้ามกองทัพหัวเมืองยกเข้าเมืองหลวง เว้นแต่จะมีหมายรับสั่งของฮ่องเต้ มิฉะนั้นจะเป็นความผิดฐานกบฎ มีโทษประหารเจ็ดชั่วโคตร ดังนั้นเมื่อหัวเมืองต่าง ๆ ได้รับหนังสือของโฮจิ๋นซึ่งมิใช่หมายรับสั่งของฮ่องเต้ จึงพากันเพิกเฉยเสีย
คงมีแต่ตั๋งโต๊ะเจ้าเมืองซีหลงซึ่งได้ดิบได้ดีขึ้นมาเนื่องจากการติดสินบนกับขันที เห็นหนังสือของโฮจิ๋นแล้วลำพองในกำลังทหารในมือที่มีอยู่เป็นจำนวนมากถึงยี่สิบหมื่น ทั้งภายในใจก็มีความคิดอ่านที่จะชิงเอาราชสมบัติทำชั่วช้าต่อแผ่นดิน เฝ้ารอคอยโอกาสเช่นนี้มานานแล้ว จึงมีความยินดียิ่งนักที่ได้แลเห็นโอกาสทำการใหญ่สมความคิดที่เฝ้าคอย
ตั๋งโต๊ะเห็นหนังสือของโฮจิ๋น ซึ่งมิใช่หมายรับสั่งของฮ่องเต้ แต่ด้วยความดีใจจนลนลานที่การเข้าทางเจือสมกับความคิดตัว จึงลืมไปว่าการยกกองทัพเข้าเมืองหลวงเช่นนี้เป็นความผิดฉกรรจ์ฐานกบฎต่อแผ่นดิน สั่งให้เยียวหู ผู้เป็นลูกเขยอยู่รักษาเมือง ซีหลง แล้วตัวตั๋งโต๊ะได้จัดสี่ทหารเอกคือลิฉุย, กุยกี, เตียวเจ และหลงเตียวคุมทหารสิบหมื่นพร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์เคลื่อนทัพยกไปเมืองลกเอี๋ยงราชธานี
ในระหว่างเคลื่อนทัพ ตั๋งโต๊ะได้ให้สืบข่าวความเคลื่อนไหวของหัวเมืองว่าจะดำเนินการอย่างใด ทหารที่ออกไปสืบข่าวตามมารายงานทุกระยะว่าไม่ปรากฏหัวเมืองใดเคลื่อนทัพ
ดังนั้นในขณะที่ทัพของตั๋งโต๊ะเคลื่อนมาได้ครึ่งทาง ลิยูที่ปรึกษาของตั๋งโต๊ะเกิดความเฉลียวใจ ระลึกขึ้นได้ว่ามีกฎหมายของราชสำนักห้ามทัพหัวเมืองเข้าเมืองหลวง เว้นแต่จะมีหมายรับสั่งของฮ่องเต้ จึงเรียกเอาหนังสือที่ให้หากองทัพจากหัวเมืองยกเข้าเมืองหลวงจากตั๋งโต๊ะมาพิจารณาดู ก็ปรากฏว่าเป็นเพียงหนังสือของโฮจิ๋น หาใช่หมายรับสั่งของฮ่องเต้ไม่
ลิยูจึงรายงานตั๋งโต๊ะเกี่ยวกับกฎหมายลักษณะกบฎศึกดังกล่าว และเสนอให้ ตั๋งโต๊ะปลงทัพไว้ที่นั้น แล้วมีหนังสือกราบบังคมทูลขอรับพระบรมราชานุญาตเสียก่อนตั๋งโต๊ะเห็นชอบด้วย จึงให้ปลงทัพตั้งค่ายไว้ ณ ที่นั้น แล้วมีหนังสือกราบบังคมทูลถึงฮ่องเต้ว่า “อาณาประชาราษฎรในเมืองหลวงแลหัวเมืองทั้งปวง ได้ความเดือดร้อนเพราะขันทีสิบคนทำการหยาบช้าให้ผิดขนบธรรมเนียม บัดนี้ข้าพเจ้าจะยกกองทัพไปเมืองหลวงแล้วจับตัวเตียวเหยียงกับขันทีเก้าคนฆ่าเสีย พระองค์แลอาณาประชาราษฎร์จะได้อยู่เย็นเป็นสุขสืบไป”
หนังสือกราบบังคมทูลของตั๋งโต๊ะไปถึงมือท่านผู้สำเร็จราชการแผ่นดินโฮจิ๋น ทราบความแล้วก็ปิดเรื่องเสีย ไม่กราบทูลฮ่องเต้ด้วยเกรงว่าขันทีจะล่วงรู้ แต่ความคิดโลเลยังคงครองใจโฮจิ๋นดังเก่า แทนที่จะตั้งหน้าทำการตามความคิดเดิม กลับทำเรื่องเอิกเกริกขึ้นให้เชิญขุนนางที่เป็นพวกมากินโต๊ะที่จวน แล้วหารือว่าจะให้ตั๋งโต๊ะยกกองทัพเข้าเมืองหลวงเพื่อจับสิบขันทีฆ่าเสียดีหรือไม่
ทำเรื่องให้เอิกเกริกโดยไม่คิดระแวดระวังว่าความเคลื่อนไหวนั้นจะทราบไปถึงสิบขันที นับว่าตั้งอยู่ในความประมาท และประมาทคนแบบสิบขันทีมากเกินไป
แตะถ้าย ขุนนางฟังคำโฮจิ๋นแล้วจึงว่า “ตั๋งโต๊ะน้ำใจดังเสือ ซึ่งจะให้เข้ามาในเมืองหลวงนี้เห็นจะมีอันตรายแก่คนทั้งปวง” นี่ก็เป็นฝ่ายค้านอีกคนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยกับความคิดของโฮจิ๋นและอ้วนเสี้ยว
โฮจิ๋นฟังแล้วหาว่าแตะถ้ายขี้ขลาดตาขาว จะร่วมทำการใหญ่ด้วยไม่ได้ “ได้ยินแต่ข่าว ยังมิทันเห็นตัวเสือก็ครั่นคร้าม” ตกใจกลัวเสือเสียแล้ว แตะถ้ายก็นิ่งเสีย สงบวาจาไม่ว่ากล่าวสืบไป
ฝ่ายโลติดอดีตแม่ทัพใหญ่ปราบโจรโพกผ้าเหลืองอยู่ในที่เลี้ยงโต๊ะนั้นด้วย จึงว่า “ข้าพเจ้าได้เคยรู้น้ำใจตั๋งโต๊ะมาแต่ก่อนว่าเป็นคนหยาบช้า ถ้าปล่อยให้เข้ามาในเมืองหลวงเห็นจะเกิดจลาจลเหมือนคำแตะถ้ายว่าเป็นมั่นคง” โฮจิ๋นยินคำโลติดแล้ว จึงว่า “ท่านนี้ล้วนเป็นพวกขี้ขลาดตาขาว เราหาฟังคำท่านต่อไปไม่ อย่าได้เจรจาอีกเลย”
โลติด แตะถ้ายและขุนนางอีกหลายคนได้ฟังคำโฮจิ๋นแล้วสลดใจนัก เห็นว่าแผ่นดินครั้งนี้จะเกิดอันตรายเป็นจลาจลเพราะโฮจิ๋นผู้นี้เป็นแน่แท้ คนที่เป็นใหญ่เมื่อเป็นเช่นนี้ขืนทำงานด้วยต่อไปก็มีแต่ความฉิบหายจะมาถึงตัว ต่างคนจึงลากลับบ้าน แล้วยื่นเรื่องขอลาออกจากราชการ เวนคืนตราสำคัญประจำตำแหน่ง แล้วออกไปอยู่ทำไร่ไถนาค้าขาย ณ ภูมิลำเนาเดิม
โฮจิ๋นสิ้นคนขัดคอแล้วจึงแอบอ้างหมายรับสั่งให้ทหารมหาดเล็กไปแจ้งแก่ ตั๋งโต๊ะว่าฮ่องเต้มีพระบรมราชานุญาตให้ตั๋งโต๊ะยกกองทัพเข้ามายังเมืองหลวงได้ และให้กองทัพตั๋งโต๊ะตั้งทัพไว้ที่ตำบลลุดคีภายนอกกำแพงพระนคร
มหาดเล็กที่โฮจิ๋นส่งไปพร้อมกับทหารของตั๋งโต๊ะที่ถือหนังสือเข้ามาขอพระบรมราชานุญาตได้เดินทางไปยังค่ายอันเป็นที่ตั้งกองทัพของตั๋งโต๊ะนั้น แล้วส่งหมายรับสั่งที่โฮจิ๋นแอบอ้างขึ้นให้แก่ตั๋งโต๊ะ
ตั๋งโต๊ะไม่สนใจใยดีว่าจะเป็นหมายรับสั่งจริงหรือปลอม การสมคะเนตามความต้องการที่ยกทัพจากเมืองซีหลงแล้ว จึงสั่งให้เคลื่อนทัพสิบหมื่นนั้นตรงเข้าเมืองหลวง ตั้งทัพไว้ที่ตำบลลุดคี นอกกำแพงเมืองนครลกเอี๋ยง.
โฮจิ๋นบอกว่าค่ำคืนที่ล่วงแล้วเราได้ไปเฝ้าโฮไทเฮาปรึกษาเรื่องนี้ แต่โฮไทเฮาไม่เห็นชอบด้วย แล้วบอกเหตุผลของโฮไทเฮาให้อ้วนเสี้ยวฟัง แต่ข้อที่เกี่ยวกับสิบขันทีทำคุณไว้กับตระกูล “โฮ” นั้น โฮจิ๋นปิดเสียไม่บอกอ้วนเสี้ยว
อ้วนเสี้ยวจึงยุต่อไปว่าหากไม่รีบฆ่าสิบขันทีเสีย จักเป็นอันตรายเป็นมั่นคง
โฮจิ๋นฟังคำยุของอ้วนเสี้ยวแล้ว น้ำใจก็เกิดโลเลคิดฆ่าสิบขันทีขึ้นมาอีก จึงปรึกษาว่าเมื่อเป็นเช่นนี้จะทำประการใดดี
เหตุการณ์เข้าทางของอ้วนเสี้ยว อ้วนเสี้ยวจึงเสนอว่า “ขอให้มีหนังสือท่านออกไป ให้หาหัวเมืองทั้งปวงยกทหารเข้ามาเป็นกระบวนทัพ แล้วประกาศว่าจะเอาตัวขันทีสิบคนฆ่าเสีย นางโฮเฮากลัวจะเป็นอันตราย เห็นจะให้จับขันทีส่งออกมาให้โดยสะดวก”
อ้วนเสี้ยวได้เสนอแผนการชนิดที่โบราณว่า “ชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าเมือง” โดยขาดความเข้าใจว่าธรรมดาน้ำเมื่อเข้าที่ลึกแล้วไหนเลยจะไหลกลับคืนสู่ที่ตื้น กองทัพหัวเมืองหากได้เข้าเมืองหลวงแล้ว ไหนเลยจะถอนกลับเสียโดยง่าย มีแต่จะยึดครองเมืองหลวงเอาโดยกำลัง
ไม่ต่างอะไรกับการไปเอาฝรั่งเข้ามาช่วยเหลือแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศไทย ไหนเลยที่ฝรั่งจะเพียงแต่เข้ามาช่วยเหลือ มีแต่จะเอาบ้านเมืองเป็นประเทศราช เอาราษฎรลงเป็นทาสเท่านั้น
ข้อเสนอแบบขี่ช้างจับตั๊กแตนของอ้วนเสี้ยว แม้เข้าลักษณะชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าเมือง ผลได้ไม่คุ้มเสีย แต่โฮจิ๋นเป็นคนถ่อยปัญญา มองไม่เห็นหายนะที่จะเกิดขึ้น เห็นแต่ทางได้ที่จะจับสิบขันทีฆ่าเสีย จึงเห็นชอบกับแผนการของอ้วนเสี้ยว
ในขณะที่อ้วนเสี้ยวเสนอแผนการต่อโฮจิ๋นนั้น ตันหลิมขุนนางหน้าที่อาลักษณ์อยู่ในที่นั้นด้วย ได้ยินข้อเสนอแล้วกล่าวเป็นโคลงออกมาให้โฮจิ๋นและอ้วนเสี้ยวได้ยินว่า
“ชายชาญเชิงเชี่ยวด้าน
ธนูศิลป์
ไกลโสตสุดเสียงยิน
สู่เป้า
ปิดตาโก่งนก
หมายมุ่งทะนงนา
ศรพลาดเสียบมือเข้า
แต่นั้นเสียคน”
ทั้งโฮจิ๋นและอ้วนเสี้ยวยินคำโคลงของตันหลิมแล้วหันกลับไปมอง ตันหลิมจึงว่าแก่โฮจิ๋นว่า “ตัวท่านทุกวันนี้ ราชการเมืองก็สิทธิขาดอยู่แก่ท่าน ขุนนางทั้งปวงก็อยู่ในเงื้อมมือท่าน อันขันทีสิบคนเหมือนแมลงเม่า ตัวท่านเหมือนกองเพลิงอันใหญ่ แมลงเม่าหรือจะสู้เพลิงได้ ถ้าท่านจะคิดประการใดก็จะสมดังปรารถนา ตัวท่านเหมือนพญาหงส์ คิดการใหญ่แล้วจะมาเคร่าท่าฝูงกาอยู่นั้นไม่สมควร อันหัวเมืองทั้งปวงจะยกทหารเป็นกระบวนทัพเข้ามา ถ้าได้ตัวขันทีสิบคนแล้วเห็นหัวเมืองทั้งปวงจะกำเริบศึกกลางเมืองขึ้น การซึ่งจะคิดทำนุบำรุงแผ่นดินนั้นก็จะเสียท่วงทีไป”
คำของตันหลิมสมกับเป็นอาลักษณ์ ชัดเจนครบถ้วนสมบูรณ์ด้วยเหตุและผล ต้องด้วยพิชัยสงคราม แต่โฮจิ๋นฟังแล้วไม่ต่างอะไรกับควายได้ยินเสียงทิพย์ดนตรี ตรงกับพุทธภาษิตที่ว่า “วินาสะกาเล วิปริตตะพุทธิ” ซึ่งแปลว่า “เมื่อกาลวินาศมาถึงเข้าแล้ว สติปัญญาย่อมวิปลาสแปรปรวนไป” โฮจิ๋นจึงหัวเราะว่าแก่ตันหลิมว่า “ตัวท่านจะมาร่วมคิดการใหญ่กับเรานั้น ความคิดท่านน้อยนัก อุปมาดังเด็กเลี้ยงโค”
การยกเด็กเลี้ยงโคขึ้นอุปมากับความรู้ของตันหลิม เป็นการแสดงความโง่ของ โฮจิ๋นให้ปรากฏ เพราะความรู้ของตันหลิมอันได้แสดง ณ บัดนี้นั้น เป็นความรู้ของคนที่เป็นบัณฑิต เปรียบไม่ได้กับเด็กเลี้ยงโค แม้เด็กเลี้ยงโคเล่าจะไปปรามาสว่าไร้เสียซึ่งสติปัญญา ย่อมไม่ชอบ เพราะเด็กเลี้ยงโคที่มีสติปัญญาและความรอบรู้เหนือกว่าโฮจิ๋นและตันหลิมก็ยังมีปรากฏให้เห็นอยู่ถมไป
ในที่นั้นโจโฉได้เข้าร่วมปรึกษาหารืออยู่ด้วย และโจโฉนั้นบัดนี้อยู่ใกล้อำนาจรัฐมากกว่าซุนเกี๋ยนและเล่าปี่ สามารถเข้านอกออกในจวนของผู้สำเร็จราชการแผ่นดินได้ดุจดังคนในบ้านของโฮจิ๋น เป็นที่ไว้วางใจของโฮจิ๋นมากขึ้นโดยลำดับ
โจโฉได้ยินข้อเสนอของอ้วนเสี้ยว ได้ยินโคลงและความเห็นของตันหลิมตลอดจนการโต้ตอบของโฮจิ๋นแล้วจึงตบมือหัวเราะแล้วว่า “อย่างธรรมเนียมแผ่นดินแต่ก่อนก็มีมา พระมหากษัตริย์เชื่อฟังตั้งแต่งขันทีเป็นเสนาบดีผู้ใหญ่ ราชการเมืองผันแปรไปมีเนือง ๆ มาอยู่ ครั้งนี้ขันทีทั้งสิบคนซึ่งหยาบช้านั้น มีสติปัญญาเป็นใหญ่อยู่คนเดียวสองคนดอก ถ้าจะคิดจับเอาแต่นายใหญ่นั้นฆ่าเสียก็จะได้โดยง่าย ทำไมจะให้ร้อนถึงหัวเมืองยกเป็นกระบวนทัพเอิกเกริกมาเล่า”
ความเห็นของโจโฉครั้งนี้สวนทางกับความคิดเห็นของอ้วนเสี้ยวอย่างสิ้นเชิง เท่ากับโจโฉว่ากล่าวค้านอ้วนเสี้ยวซึ่งหน้า ทั้งยังกระทบเอากับความคิดหมิ่นความรู้ตันหลิมของโฮจิ๋นด้วย
ทั้งยังสะท้อนให้เห็นดุลยพินิจพิจารณาปัญหาโดยจำแนกของโจโฉ จับเอาแก่นแกนของปัญหามาเป็นหลักในการแก้ไขปัญหานั้น ทำปัญหาใหญ่ให้เป็นปัญหาเล็ก ทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็กซึ่งแก้ไขทำได้ง่าย และปัญหาก็จะสิ้นสุดไปได้ ทั้งยังแสดงด้วยว่าโจโฉนั้นเก่งคน อ่านคนออกว่าในบรรดาขันทีทั้งสิบคนนั้นมีผู้มีปัญญาเป็นแกนของปัญหาเพียงคนสองคนเท่านั้น
นี่เป็นไปตามหลักพิชัยยุทธ ที่ต้องกำหนดเป้าหมายให้เล็ก โจมตีเป้าหมายให้แม่น แล้วทำลายล้างอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
โฮจิ๋นฟังคำโจโฉแล้วก็โกรธ ตวาดใส่โจโฉว่าที่พูดเช่นนี้เป็นการเข้าข้างสิบขันที ไม่เห็นแก่ความทุกข์ร้อนของเรา หรือว่าเป็นพวกเดียวกับขันทีทั้งสิบคน
โจโฉยินคำโฮจิ๋นดั่งนี้ก็รู้สึกโกรธแต่เป็นผู้น้อยกว่าจึงไม่โต้ตอบประการใด ลุกขึ้นแล้วเดินออกมาภายนอกจวนของโฮจิ๋น รำพึงขึ้นว่า “แผ่นดินครั้งนี้จะเกิดอันตรายเพราะโฮจิ๋น”
นับเป็นการคาดการณ์ที่แสดงออกถึงสติปัญญาเล็งการข้างหน้าได้อย่างแม่นยำของโจโฉ เพราะเมื่อโฮจิ๋นไม่ฟังคำทัดทานแล้ว ก็ได้มีหนังสือถึงหัวเมืองต่าง ๆ ให้ยกทัพเข้าเมืองหลวง
เนื่องจากขณะนั้น ราชสำนักมีกฎหมายลักษณะกบฎศึก ห้ามกองทัพหัวเมืองยกเข้าเมืองหลวง เว้นแต่จะมีหมายรับสั่งของฮ่องเต้ มิฉะนั้นจะเป็นความผิดฐานกบฎ มีโทษประหารเจ็ดชั่วโคตร ดังนั้นเมื่อหัวเมืองต่าง ๆ ได้รับหนังสือของโฮจิ๋นซึ่งมิใช่หมายรับสั่งของฮ่องเต้ จึงพากันเพิกเฉยเสีย
คงมีแต่ตั๋งโต๊ะเจ้าเมืองซีหลงซึ่งได้ดิบได้ดีขึ้นมาเนื่องจากการติดสินบนกับขันที เห็นหนังสือของโฮจิ๋นแล้วลำพองในกำลังทหารในมือที่มีอยู่เป็นจำนวนมากถึงยี่สิบหมื่น ทั้งภายในใจก็มีความคิดอ่านที่จะชิงเอาราชสมบัติทำชั่วช้าต่อแผ่นดิน เฝ้ารอคอยโอกาสเช่นนี้มานานแล้ว จึงมีความยินดียิ่งนักที่ได้แลเห็นโอกาสทำการใหญ่สมความคิดที่เฝ้าคอย
ตั๋งโต๊ะเห็นหนังสือของโฮจิ๋น ซึ่งมิใช่หมายรับสั่งของฮ่องเต้ แต่ด้วยความดีใจจนลนลานที่การเข้าทางเจือสมกับความคิดตัว จึงลืมไปว่าการยกกองทัพเข้าเมืองหลวงเช่นนี้เป็นความผิดฉกรรจ์ฐานกบฎต่อแผ่นดิน สั่งให้เยียวหู ผู้เป็นลูกเขยอยู่รักษาเมือง ซีหลง แล้วตัวตั๋งโต๊ะได้จัดสี่ทหารเอกคือลิฉุย, กุยกี, เตียวเจ และหลงเตียวคุมทหารสิบหมื่นพร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์เคลื่อนทัพยกไปเมืองลกเอี๋ยงราชธานี
ในระหว่างเคลื่อนทัพ ตั๋งโต๊ะได้ให้สืบข่าวความเคลื่อนไหวของหัวเมืองว่าจะดำเนินการอย่างใด ทหารที่ออกไปสืบข่าวตามมารายงานทุกระยะว่าไม่ปรากฏหัวเมืองใดเคลื่อนทัพ
ดังนั้นในขณะที่ทัพของตั๋งโต๊ะเคลื่อนมาได้ครึ่งทาง ลิยูที่ปรึกษาของตั๋งโต๊ะเกิดความเฉลียวใจ ระลึกขึ้นได้ว่ามีกฎหมายของราชสำนักห้ามทัพหัวเมืองเข้าเมืองหลวง เว้นแต่จะมีหมายรับสั่งของฮ่องเต้ จึงเรียกเอาหนังสือที่ให้หากองทัพจากหัวเมืองยกเข้าเมืองหลวงจากตั๋งโต๊ะมาพิจารณาดู ก็ปรากฏว่าเป็นเพียงหนังสือของโฮจิ๋น หาใช่หมายรับสั่งของฮ่องเต้ไม่
ลิยูจึงรายงานตั๋งโต๊ะเกี่ยวกับกฎหมายลักษณะกบฎศึกดังกล่าว และเสนอให้ ตั๋งโต๊ะปลงทัพไว้ที่นั้น แล้วมีหนังสือกราบบังคมทูลขอรับพระบรมราชานุญาตเสียก่อนตั๋งโต๊ะเห็นชอบด้วย จึงให้ปลงทัพตั้งค่ายไว้ ณ ที่นั้น แล้วมีหนังสือกราบบังคมทูลถึงฮ่องเต้ว่า “อาณาประชาราษฎรในเมืองหลวงแลหัวเมืองทั้งปวง ได้ความเดือดร้อนเพราะขันทีสิบคนทำการหยาบช้าให้ผิดขนบธรรมเนียม บัดนี้ข้าพเจ้าจะยกกองทัพไปเมืองหลวงแล้วจับตัวเตียวเหยียงกับขันทีเก้าคนฆ่าเสีย พระองค์แลอาณาประชาราษฎร์จะได้อยู่เย็นเป็นสุขสืบไป”
หนังสือกราบบังคมทูลของตั๋งโต๊ะไปถึงมือท่านผู้สำเร็จราชการแผ่นดินโฮจิ๋น ทราบความแล้วก็ปิดเรื่องเสีย ไม่กราบทูลฮ่องเต้ด้วยเกรงว่าขันทีจะล่วงรู้ แต่ความคิดโลเลยังคงครองใจโฮจิ๋นดังเก่า แทนที่จะตั้งหน้าทำการตามความคิดเดิม กลับทำเรื่องเอิกเกริกขึ้นให้เชิญขุนนางที่เป็นพวกมากินโต๊ะที่จวน แล้วหารือว่าจะให้ตั๋งโต๊ะยกกองทัพเข้าเมืองหลวงเพื่อจับสิบขันทีฆ่าเสียดีหรือไม่
ทำเรื่องให้เอิกเกริกโดยไม่คิดระแวดระวังว่าความเคลื่อนไหวนั้นจะทราบไปถึงสิบขันที นับว่าตั้งอยู่ในความประมาท และประมาทคนแบบสิบขันทีมากเกินไป
แตะถ้าย ขุนนางฟังคำโฮจิ๋นแล้วจึงว่า “ตั๋งโต๊ะน้ำใจดังเสือ ซึ่งจะให้เข้ามาในเมืองหลวงนี้เห็นจะมีอันตรายแก่คนทั้งปวง” นี่ก็เป็นฝ่ายค้านอีกคนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยกับความคิดของโฮจิ๋นและอ้วนเสี้ยว
โฮจิ๋นฟังแล้วหาว่าแตะถ้ายขี้ขลาดตาขาว จะร่วมทำการใหญ่ด้วยไม่ได้ “ได้ยินแต่ข่าว ยังมิทันเห็นตัวเสือก็ครั่นคร้าม” ตกใจกลัวเสือเสียแล้ว แตะถ้ายก็นิ่งเสีย สงบวาจาไม่ว่ากล่าวสืบไป
ฝ่ายโลติดอดีตแม่ทัพใหญ่ปราบโจรโพกผ้าเหลืองอยู่ในที่เลี้ยงโต๊ะนั้นด้วย จึงว่า “ข้าพเจ้าได้เคยรู้น้ำใจตั๋งโต๊ะมาแต่ก่อนว่าเป็นคนหยาบช้า ถ้าปล่อยให้เข้ามาในเมืองหลวงเห็นจะเกิดจลาจลเหมือนคำแตะถ้ายว่าเป็นมั่นคง” โฮจิ๋นยินคำโลติดแล้ว จึงว่า “ท่านนี้ล้วนเป็นพวกขี้ขลาดตาขาว เราหาฟังคำท่านต่อไปไม่ อย่าได้เจรจาอีกเลย”
โลติด แตะถ้ายและขุนนางอีกหลายคนได้ฟังคำโฮจิ๋นแล้วสลดใจนัก เห็นว่าแผ่นดินครั้งนี้จะเกิดอันตรายเป็นจลาจลเพราะโฮจิ๋นผู้นี้เป็นแน่แท้ คนที่เป็นใหญ่เมื่อเป็นเช่นนี้ขืนทำงานด้วยต่อไปก็มีแต่ความฉิบหายจะมาถึงตัว ต่างคนจึงลากลับบ้าน แล้วยื่นเรื่องขอลาออกจากราชการ เวนคืนตราสำคัญประจำตำแหน่ง แล้วออกไปอยู่ทำไร่ไถนาค้าขาย ณ ภูมิลำเนาเดิม
โฮจิ๋นสิ้นคนขัดคอแล้วจึงแอบอ้างหมายรับสั่งให้ทหารมหาดเล็กไปแจ้งแก่ ตั๋งโต๊ะว่าฮ่องเต้มีพระบรมราชานุญาตให้ตั๋งโต๊ะยกกองทัพเข้ามายังเมืองหลวงได้ และให้กองทัพตั๋งโต๊ะตั้งทัพไว้ที่ตำบลลุดคีภายนอกกำแพงพระนคร
มหาดเล็กที่โฮจิ๋นส่งไปพร้อมกับทหารของตั๋งโต๊ะที่ถือหนังสือเข้ามาขอพระบรมราชานุญาตได้เดินทางไปยังค่ายอันเป็นที่ตั้งกองทัพของตั๋งโต๊ะนั้น แล้วส่งหมายรับสั่งที่โฮจิ๋นแอบอ้างขึ้นให้แก่ตั๋งโต๊ะ
ตั๋งโต๊ะไม่สนใจใยดีว่าจะเป็นหมายรับสั่งจริงหรือปลอม การสมคะเนตามความต้องการที่ยกทัพจากเมืองซีหลงแล้ว จึงสั่งให้เคลื่อนทัพสิบหมื่นนั้นตรงเข้าเมืองหลวง ตั้งทัพไว้ที่ตำบลลุดคี นอกกำแพงเมืองนครลกเอี๋ยง.