ตอนที่ 156. กำเนิดยุทธการบัวบาน

อ้วนเสี้ยวกระเสือกกระสนกลับไปถึงเมืองกิจิ๋วแล้ว ความแค้นยังสุมอยู่ในอก คิดเตรียมกำลังที่จะยกไปแก้แค้นโจโฉอีกครั้งหนึ่ง ในขณะเดียวกันก็ถือเป็นการเตรียมรับมือกับกองทัพโจโฉหากว่าจะเปลี่ยนสถานะสงครามจากรับสู่รุก

            ดังนั้นอ้วนเสี้ยวจึงสั่งให้อ้วนถำ กัวเต๋าและซินเบ้งยกไปรักษาเมืองเชียงจิ๋ว ให้อ้วนฮีกลับไปรักษาเมืองอิวจิ๋ว ให้โกกันกลับไปเมืองเป๊งจิ๋ว ให้ทั้งสามเมืองนี้ระดมพลเตรียมกำลังไว้ให้พร้อม ส่วนทางเมืองกิจิ๋วนั้นอ้วนเสี้ยวตั้งให้อ้วนชงผู้บุตรของนางเล่าซือเป็นผู้รักษาราชการในระหว่างที่ป่วยโดยให้สิมโพยและฮองกี๋เป็นผู้ช่วยว่าราชการ

            ในขณะเดียวกันนั้นโจโฉได้ตั้งกองทัพอยู่ ณ ที่เดิม ปรับปรุงกำลังทหารโดยให้ทหารอ้วนเสี้ยวที่ยอมเข้าสวามิภักดิ์เข้าสังกัดในกองทัพ ปรับปรุงระเบียบวินัยของกองทัพใหม่ และซ่องสุมเสบียงอาหารเพื่อเตรียมทำศึกครั้งใหม่แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดกำจัดอ้วนเสี้ยวให้จงได้

            ล่วงถึงเจี้ยนอันศกปีที่เจ็ด เดือนสิบ ในขณะที่โจโฉเตรียมกองทัพจะยกไปตีเมืองกิจิ๋วนั้น ซุนฮกได้ให้ทหารถือหนังสือมาจากเมืองหลวงแจ้งแก่โจโฉว่าบัดนี้เล่าปี่ซึ่งยึดเมืองยีหลำไว้ได้ทราบว่าโจโฉยกกองทัพมาทำศึกกับอ้วนเสี้ยว จึงยกทหารห้าหมื่นเศษจะไปตีเมืองฮูโต๋ โดยให้เล่าเพ็กอยู่รักษาเมืองยีหลำ จึงขอให้โจโฉรีบยกทัพกลับไปป้องกันเมืองหลวงไว้

            โจโฉได้ทราบรายงานก็ตกใจ เพราะเมืองหลวงคือฐานแห่งอำนาจรัฐและเป็นฐานแห่งอำนาจของโจโฉ จะยอมให้ตกอยู่ในความเสี่ยงภัยที่จะถูกเล่าปี่ยึดไปไม่ได้ ดังนั้นโจโฉจึงจัดแจงกำลังยกทัพกลับเมืองหลวง

            พอเคลื่อนทัพข้ามฝั่งแม่น้ำฮวงโหเข้ามายังเขตแดนของฝ่ายเมืองหลวงแล้ว โจโฉจึงตั้งให้โจหองเป็นแม่ทัพใหญ่ คุมทหารสิบห้าหมื่นตั้งขัดตาทัพอ้วนเสี้ยวไว้ที่ริมฝั่งแม่น้ำฮวงโหนั้น ส่วนโจโฉเองคุมทหารสิบหมื่นเคลื่อนทัพกลับเมืองหลวง ปลงทัพตั้งค่ายสกัดกองทัพเล่าปี่อยู่ที่ตำบลเขาชองสัน

            ฝ่ายเล่าปี่พร้อมด้วยกวนอู เตียวหุย จูล่ง ได้ยกทหารห้าหมื่นเศษจะเข้าตีเมืองหลวง ครั้นมาถึงตำบลเขาชองสันได้ทราบว่าโจโฉตั้งกองทัพสกัดอยู่ จึงให้ตั้งค่ายประชิดไว้กับค่ายของโจโฉ

            เล่าปี่ให้ตั้งค่ายเป็นสามกลุ่ม คือกลุ่มค่ายซ้าย ขวาและค่ายกลาง กลุ่มค่ายซ้ายอยู่ทางด้านตะวันออก ให้กวนอูเป็นผู้บังคับบัญชา กลุ่มค่ายขวาอยู่ทางด้านตะวันตก ให้เตียวหุยเป็นผู้บังคับบัญชา ส่วนกลุ่มค่ายกลางเป็นค่ายหลวง เล่าปี่เป็นผู้บัญชาการใหญ่ มีจูล่งเป็นผู้ช่วย

            วันรุ่งขึ้นโจโฉจึงยกทหารไปที่หน้าค่ายของเล่าปี่ แล้วร้องเรียกให้เล่าปี่ออกมาเจรจากัน เล่าปี่เห็นโจโฉยกมาจึงพาทหารยกออกไปเผชิญหน้ากับโจโฉ

            เล่าปี่และโจโฉต่างยืนม้าอยู่หน้าทหารซึ่งเรียงรายเป็นหน้ากระดานอยู่ด้านหลัง ตั้งขบวนเป็นลักษณะที่จะรบกันด้วยกำลังทหารเอก

            โจโฉเห็นเล่าปี่ออกมายืนม้าอยู่หน้าทหารจึงเอาแส้ม้าชี้หน้าเล่าปี่ แล้วด่าว่า “ตัวกูมีคุณได้เลี้ยงดูมึงถึงขนาด เหตุใดมาทรยศคิดร้ายต่อกูเป็นหลายครั้ง”

            เล่าปี่โต้กลับไปว่า “ซึ่งมึงเลี้ยงดูกูนั้น ก็เพราะพระเจ้าเหี้ยนเต้โปรดกู ทุกวันนี้มึงเป็นมหาอุปราชก็แต่ชื่อ แลน้ำใจนั้นเป็นศัตรูราชสมบัติ ตัวกูเป็นเชื้อพระวงศ์ตั้งใจกตัญญูต่อพระมหากษัตริย์ ซึ่งกูคิดร้ายต่อมึงนั้นเพราะพระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ความเดือดร้อนพระทัย จึงทรงพระอักษรด้วยพระโลหิตมาให้กำจัดมึงเสีย กูจึงคิดทำร้ายมึงเพราะเหตุฉะนี้”

            ทั้งสองฝ่ายได้ด่าตอบโต้กันตามธรรมเนียมการรบแบบจีน เนื้อความที่ตอบโต้กันนั้นล้วนช่วงชิงความชอบธรรมอยู่ข้างฝ่ายตัว โจโฉอ้างเอาความกตัญญูกล่าวหาว่าเล่าปี่ไม่รู้คุณตัวที่ทำนุบำรุงอย่างถึงขนาดแล้วยังคิดร้าย แต่เล่าปี่นั้นอ้างเอาความกตัญญูรู้คุณต่อแผ่นดินและพระมหากษัตริย์ที่ตรอมพระทัยถึงขนาดทรงพระอักษรโลหิตให้กำจัดโจโฉเสีย ต่างฝ่ายต่างอ้างความชอบธรรมกันดั่งนี้

            แต่ทว่าความที่เล่าปี่ยกขึ้นอ้างนั้น กระทบแก่นใจดำของโจโฉถนัดถนี่ โจโฉได้ฟังก็โกรธสั่งให้เคาทูออกไปจับตัวเล่าปี่

            เล่าปี่เห็นดังนั้นจึงสั่งให้จูล่งออกรบด้วยเคาทู กลองศึกของทั้งสองฝ่ายบรรเลงเพลงรบดังกระหึ่มทั้งท้องทุ่ง จูล่งและเคาทูรบกันได้สามสิบเพลงยังไม่ทันแพ้ชนะกัน ได้ยินเสียงทหารโห่ร้องก้องมาแต่ข้างทิศตะวันออก ปรากฏเป็นกวนอูคุมทหารยกมาแต่ค่ายตะวันออก ตรงเข้าตีกองทหารของโจโฉอย่างดุเดือด พร้อม ๆ กันนั้นเสียงโห่ร้องของทหารดังมาจากด้านตะวันตกสนั่นหวั่นไหว ปรากฏเป็นเตียวหุยคุมทหารยกมาแต่ค่ายตะวันตก ตรงเข้าตีกองทหารของโจโฉอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน

            ทหารของโจโฉถูกตีกระหนาบเข้ามาพร้อมกันโดยไม่ทันระวังตัวก็แตกตื่นตกใจ ถูกทหารของกวนอู เตียวหุย ฆ่าฟันบาดเจ็บล้มตายเป็นอันมาก โจโฉเห็นจะต้านทานฝีมือทหารเอกของเล่าปี่และการถูกรุมตีกระหนาบไม่ได้จึงสั่งทหารให้ถอยกลับเข้าค่าย

            พอค่ำลงเล่าปี่จึงให้จูล่งยกทหารออกไปท้ารบที่หน้าค่ายของโจโฉอีกครั้งหนึ่ง แต่โจโฉสั่งทหารให้ตั้งสงบอยู่ในค่ายไม่ให้ออกรบ ในขณะเดียวกันได้เรียกประชุมบรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกอง ปรึกษาว่าจะกำหนดแผนการรบประการใดจึงจะเอาชัยชนะต่อกองทัพเล่าปี่ได้

            ในขณะนั้นทหารลาดตระเวนได้เข้ามารายงานว่าได้ทราบข่าวว่ากงเต๋าทหารฝ่ายเล่าปี่คู่เกลอของเล่าเพ็กได้ลำเลียงเสบียงอาหารจากเมืองยีหลำจะมาส่งกองทัพ

            เขาฮิวได้ฟังดังนั้นจึงว่าเบื้องแรกจำเป็นจะต้องทำลายกองเสบียงอาหารที่กงเต๋ากำลังลำเลียงมาอย่าให้ส่งถึงเล่าปี่ได้ เมื่อขาดแคลนเสบียงอาหารกองทัพเล่าปี่ก็ต้องเสียทีเราเป็นมั่นคง

            ยังไม่ทันที่โจโฉจะว่าประการใด เทียหยกได้เสนอว่าเล่าปี่ยกทหารมาจากเมืองยีหลำ ทั้งขณะนี้กงเต๋าก็พาทหารลำเลียงเสบียงอาหารมาส่งแก่กองทัพเล่าปี่อีก ดังนั้นเมืองยีหลำจึงเหลือทหารอยู่ไม่มากนัก ขอให้ท่านแบ่งทหารยกไปตีเมืองยีหลำก็จะได้โดยง่าย

            กุยแกอยู่ในที่นั้นด้วยจึงเสนอว่า ความเห็นของเขาฮิวและเทียหยกนั้นชอบแล้ว แต่ทว่าการศึกครั้งนี้โอกาสได้เปิดช่องให้ฝ่ายเราสามารถทำศึกได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดในคราวเดียว

            โจโฉสงสัยจึงถามว่าแผนการของท่านเป็นประการใด

            กุยแกจึงว่าแผนการครั้งนี้เรียกว่า “ยุทธการบัวบาน” ข้าพเจ้าขอเสนอแผนยุทธการแยกกำลังออกตีฝ่ายเล่าปี่ทุกด้านพร้อมกัน แล้วทำลายข้าศึกเสียให้สิ้นซากในคราวเดียว

            โจโฉและบรรดาที่ปรึกษาได้ยินชื่อแผนยุทธการบัวบานก็สนใจและแปลกใจ จึงเร่งให้กุยแกรีบเฉลยรายละเอียดของแผนการ

            กุยแกจึงว่าข้าพเจ้าเห็นด้วยที่จะให้ท่านจัดกำลังทหารกองหนึ่งออกไปตีกองเสบียงที่กงเต๋ากำลังลำเลียงมาส่งแก่เล่าปี่ตามความคิดของเขาฮิว และเห็นด้วยที่จะจัดกำลังทหารอีกกองหนึ่งไปตีเมืองยีหลำตามความคิดของเทียหยก ในขณะเดียวกันให้ปล่อยข่าวไปถึงเล่าปี่ว่าท่านแต่งทหารยกไปทำการทั้งสองทาง เล่าปี่ได้ข่าวนี้แล้วก็จะแต่งทหารออกไปป้องกันเสบียงและช่วยรักษาเมืองยีหลำ กำลังทหารของเล่าปี่ที่ขับเคี่ยวอยู่กับฝ่ายเราก็จะลดน้อยลง จากนั้นจึงให้แต่งกองทหารออกรบด้วยเล่าปี่ เล่าปี่กำลังน้อยคงจะคิดหนีอย่างหนึ่ง หรือมิฉะนั้นก็ต้องคิดที่จะยกไปช่วยเมืองยีหลำและไม่ว่าประการใดเล่าปี่จะต้องถอยไปทางเมืองยีหลำเป็นมั่นคง ขอให้ท่านแต่งทหารอีกกองหนึ่งไปซุ่มสกัดโจมตีเล่าปี่ในขณะที่จะถอยกลับไปเมืองยีหลำ และอีกกองหนึ่งให้ยกไปตั้งสกัดห่างจากจุดเดิมประมาณร้อยเส้นเผื่อเหลือเผื่อขาดว่าเล่าปี่จะหนีรอดไปได้ ก็จะสามารถกำจัดเล่าปี่ได้สำเร็จ ส่วนทหารที่ยกไปตีกองเสบียงและตีเมืองยีหลำนั้น เมื่อเสร็จภารกิจแล้วให้ยกกำลังมาสมทบพร้อมกันในเส้นทางที่เล่าปี่จะถอยกลับไปเมืองยีหลำ ด้วยยุทธการบัวบานนี้กองทัพเล่าปี่ก็จะอยู่ภายใต้ข่ายกำลังทหารของท่านอย่างแน่นหนา ต่อให้มีปีกบินก็จะหนีไม่รอด

            บรรดาแม่ทัพนายกองและที่ปรึกษาทั้งปวงได้ฟังแผนยุทธการบัวบานแล้วต่างตกตะลึงในความคิดอ่านอันฉกาจฉกรรจ์ของกุยแก ตัวโจโฉลุกขึ้นยืนปรบมือหัวเราะดังสนั่น แล้วปรารภขึ้นว่าความคิดของกุยแกท่านล้ำเลิศราวกับเทพยดาเข้าดลใจ เล่าปี่จะถึงตายครั้งนี้ด้วยความคิดกุยแกท่านเป็นแท้

            แผนยุทธการบัวบานในครั้งนี้นับเป็นการกำหนดแผนยุทธการที่ใช้กำลังทหารและแผนกลอุบายอย่างลึกลับซับซ้อนและแยบยล บังคับให้ฝ่ายเล่าปี่ต้องแบ่งกำลังออกจากที่ตั้งทำให้แต่ละหน่วยเหลือทหารแต่น้อย จากนั้นกระจายกำลังออกจากฐานที่ตั้งเดิมเข้าทำลายล้างข้าศึกพร้อมกัน นับเป็นการใช้แผนยุทธการบัวบานเป็นครั้งแรกในสามก๊ก

            หลังจากนี้เกือบสองพันปีเมื่อครั้งที่กองทัพเวียดนามเหนือยึดเวียดนามใต้ได้สำเร็จแล้ว นายพลเทียนวันดุงผู้บัญชาการใหญ่ภาคตะวันตกของเวียดนามเหนือได้ใช้แผนยุทธการบัวบานกรีฑาทัพใหญ่รุกเข้ายึดพนมเปญอย่างรวดเร็ว แล้วกระจายกำลังออกยึดจุดยุทธศาสตร์ต่าง ๆ ในกัมพูชาอย่างรวดเร็วประดุจสายฟ้าแลบ เพียงไม่ถึงเจ็ดวันก็สามารถยึดกัมพูชาไว้ได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด จากนั้นได้เคลื่อนกองกำลังหลักที่มีกำลังพลเกือบสองแสนคนมาจ่ออยู่ที่ชายแดนไทยถึงสามจุด

            นายพลเทียนวันดุงเตรียมใช้แผนยุทธการบัวบานอีกครั้งหนึ่งในการเข้ายึดประเทศไทยด้วยกำลังพลที่เจนศึกและอาวุธที่ทันสมัยร่วมสองแสนคน ในขณะนั้นทางการเวียดนามมีความมั่นใจอย่างสูงว่าจะสามารถยึดประเทศไทยได้สำเร็จ ถึงขนาดที่นายเหงียนโกทัก รัฐมนตรีต่างประเทศของเวียดนามได้โอ่อย่างมั่นใจว่า “กรุงเทพฯ น่ะหรือ แค่สองชั่วโมงเวียดนามก็รุกถึงแล้ว”

            ข้อมูลทางการทหารปรากฏว่าแผนยุทธการบัวบานที่เตรียมปฏิบัติการต่อประเทศไทยคือการเคลื่อนกำลังสายหนึ่งรุกตรงเข้าทางภาคอีสาน ทำลายล้างกองทัพภาคที่สองอย่างเบ็ดเสร็จ อีกสายหนึ่งรุกขึ้นทางภาคอีสานด้านเหนือ และตั้งสกัดกองทัพภาคที่สามไม่ให้กระดิกกระเดี้ย อีกสายหนึ่งรุกเข้าทางภาคอีสานด้านใต้ ยึดภาคตะวันออกและสกัดกองทัพภาคที่หนึ่ง ในขณะเดียวกันก็เตรียมกองเรือเพื่อสกัดตีกำลังหนุนของกองทัพเรือและการเคลื่อนไหวประสานงานระหว่างกองทัพภาคที่หนึ่งและภาคที่สี่ นอกจากนี้ยังได้ยื่นข้อเสนอต่อพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยให้เข้าร่วมปฏิบัติการด้วย แต่ได้รับการปฏิเสธอย่างแข็งขัน และยืนยันว่าถ้าเวียดนามบุกประเทศไทย กองกำลังของกองทัพปลดแอกประชาชนแห่งประเทศไทยก็จะต้องเข้าร่วมกับกองทัพไทยต่อต้านเวียดนาม

            ในขณะที่ภัยสงครามกำลังคุกคามประเทศไทยอย่างหนักโดยที่ประชาชนไทยมิได้ทราบข่าวศึก ยังคงพูดจากันอย่างสนุกสนานว่าเวียดนามไม่สามารถยึดกรุงเทพฯ ได้ เพราะกองทัพรถถังของเวียดนามจะต้องมาติดไฟแดงอยู่แถวบางนาเสียก่อน ในขณะนั้นกองทัพไทยได้ตัดสินใจส่งให้พันเอก ชวลิต ยงใจยุทธ และ  พันเอก พัฒน์ อัคนิบุตร เดินทางลับไปเจรจาความเมืองครั้งสำคัญกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน โดยเติ้งเสี่ยวผิงผู้นำพรรคและรองประธานคณะกรรมการการทหารของกองทัพปลดแอกประชาชนจีนได้ออกนั่งเจรจาความเมืองด้วยตัวเอง

            ความสำเร็จทางประวัติศาสตร์ที่ผู้คนไม่ล่วงรู้ในครั้งนั้นคือผลสำเร็จที่ปกป้องเอกราชอธิปไตยของชาติไว้ได้อย่างงดงามที่สุด ทั้งสองฝ่ายตกลงกันใช้ “แผนการตีเว่ยช่วยเจ้า” โดยกองทัพปลดแอกประชาชนจีนได้ตัดสินใจทำสงครามสั่งสอนเวียดนาม เคลื่อนกำลังพลห้าแสนคนพร้อมเครื่องบิน รถถัง และอาวุธยุทโธปกรณ์เต็มอัตราศึก รุกข้ามพรมแดนด้านเหนือของเวียดนามทำให้เวียดนามต้องถอนทหารจากภาคใต้และจากชายแดนไทย-กัมพูชากลับไปยันศึกทางด้านเหนือ จึงทำให้ประเทศไทยรอดพ้นจากการถูกยึดครองในครั้งนั้น

            แผนยุทธการบัวบานที่จะกระทำต่อประเทศไทยได้ถูกฝีปากของสองพันเอกแห่งกองทัพไทยทำลายลง โดยการช่วยเหลือของกองทัพปลดแอกประชาชนจีน ใช้ “แผนยุทธการตีเว่ยช่วยเจ้า” ทำลายแผนยุทธการบัวบาน ของนายพลเทียนวันดุง อย่างได้ผล เป็นชัยชนะที่ได้มาโดยไม่ต้องรบ ซึ่งพิชัยสงครามถือว่าเป็นชัยชนะที่ยอดเยี่ยมที่สุด.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร