ตอนที่ 155. ยุทธวิธีแยกส่วนแล้วทำลายล้าง
บุตรหลานของอ้วนเสี้ยวต่างช่วงชิงระมัดระวังผลประโยชน์ของตัว ยกกองทัพเข้ามาที่เมืองกิจิ๋วแต่อ้างว่ายกมาช่วยอ้วนเสี้ยวรบด้วยโจโฉ อ้วนเสี้ยวสำคัญผิดว่าเป็นเรื่องจริง อาการที่เป็นไข้ใจก็หายดังปลิดทิ้ง ยกทหารจากเมืองกิจิ๋วมาสมทบกับกองทัพของบุตรหลานเป็นกำลังร่วมสามสิบหมื่นแล้วยกไปจะรบด้วยโจโฉ
ทางฝ่ายโจโฉพอทราบข่าวว่าอ้วนเสี้ยวเคลื่อนทัพจากเมืองกิจิ๋วและมีกำลังน้อยกว่าคราวก่อนถึงครึ่งหนึ่งก็มีน้ำใจฮึกเหิม สั่งเคลื่อนกำลังข้ามแม่น้ำฮวงโหเข้าไปในเขตแดนของอ้วนเสี้ยว ตั้งค่ายประชิดกับค่ายของอ้วนเสี้ยวเตรียมทำศึกแตกหักต่อไป
ทางฝ่ายอ้วนเสี้ยวเมื่อเห็นกองทัพของโจโฉยกมาตั้งค่ายประชิด ก็พาบุตรทั้งสามคนคืออ้วนถำ อ้วนฮี อ้วนชง และหลานคือโกกัน พร้อมด้วยทหารทั้งปวงออกมาท้ารบกับโจโฉ
โจโฉเห็นอ้วนเสี้ยวออกมาท้ารบก็คุมทหารออกไปเผชิญหน้า ทั้งโจโฉและอ้วนเสี้ยวต่างยืนม้าอยู่หน้ากองทหารตั้งขบวนเป็นลักษณะเตรียมรบกันด้วยกำลังทหารเอก
โจโฉเห็นอ้วนเสี้ยวยืนม้าอยู่หน้าทหารก็เอาแส้ม้าชี้หน้าอ้วนเสี้ยวด้วยความเคยชินแล้วเยาะเย้ยว่าคราวก่อนท่านยกกองทัพถึงเจ็ดสิบหมื่นก็พ่ายแพ้แก่เรา คราวนี้เหลือทหารอยู่เพียงครึ่งเดียวคงจะต้องพ่ายแพ้แก่น้ำมือเราอีก ควรจะยอมสวามิภักดิ์เสียโดยดีจะได้ไม่เป็นที่เดือดร้อนแก่เหล่าทหารทั้งปวง
อ้วนเสี้ยวได้ฟังคำเยาะก็โกรธ ถามบรรดานายทหารเอกว่าจะมีผู้ใดอาสาออกรบบ้าง อ้วนชงได้ฟังดังนั้นจึงชักม้าออกไปหน้าทหาร รำกระบี่คู่ตรงไปข้างหน้าโจโฉ
โจโฉเห็นอ้วนชงเป็นคนแปลกหน้าเพราะไม่เคยได้ยินกิตติศัพท์มาแต่ก่อน จึงถามบรรดานายทหารเอกว่าผู้ใดรู้จักทหารของอ้วนเสี้ยวผู้นี้บ้าง นายทหารที่รู้จักอ้วนชงจึงรายงานว่านี่คืออ้วนชงเป็นบุตรชายของอ้วนเสี้ยว ในขณะที่รายงานยังไม่ทันสิ้นคำสูฮวนซึ่งเป็นนายทหารในสังกัดของซิหลงได้ขับม้าร่ายทวนออกไปรบด้วยอ้วนชง
ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันได้สามเพลง อ้วนชงทำเป็นสู้ไม่ได้แล้วชักม้าหนี สูฮวนไม่รู้กลจึงขับม้าไล่ตามไป อ้วนชงทำทีหนีแต่เก็บกระบี่คู่แล้วเอาเกาทัณฑ์มาพาดสาย ในขณะที่หูฟังเสียงม้าที่ไล่ตามมา พอได้ระยะหวังผลแล้วอ้วนชงจึงหันกลับมาเอาเกาทัณฑ์ยิงไปที่สูฮวน
ลูกเกาทัณฑ์แล่นไปเสียบลูกตาของสูฮวนราวจับวาง ด้วยกำลังแรงเกาทัณฑ์ที่ยิงมาบวกกับความแรงเร็วของม้าที่สูฮวนขี่ไล่ตามเป็นสองแรงทวีคูณ สูฮวนพลัดตกลงจากหลังม้าเสียชีวิตในที่นั้น อ้วนเสี้ยวเห็นได้ทีจึงสั่งทหารให้ระดมกำลังเข้าตีกองทหารของโจโฉ
ด้วยกองกำลังที่มากกว่า กองทหารของอ้วนเสี้ยวได้รุกรบโจมตีกองทหารของโจโฉหนุนเนื่องประดุจดังคลื่นในพระมหาสมุทร ทหารของทั้งสองฝ่ายบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก โจโฉเห็นเหลือกำลังจึงสั่งทหารให้ถอยกลับเข้าค่าย อ้วนเสี้ยวเห็นได้ชัยชนะในเบื้องต้นก็สั่งให้ตีระฆังสัญญาณให้ทหารถอยกลับเข้าค่ายเช่นเดียวกัน
ค่ำลงโจโฉได้เรียกประชุมบรรดาแม่ทัพนายกองทั้งปวง แล้วปรึกษาว่าการศึกครั้งนี้ทหารอ้วนเสี้ยวมีกำลังพลน้อยกว่าคราวก่อนถึงครึ่งหนึ่ง แต่กระนั้นก็ยังคงมีจำนวนมากกว่ากองทัพฝ่ายเราเกือบห้าเท่าตัว ทำไฉนจะเอาชัยชนะกองทัพอ้วนเสี้ยวได้
เทียหยกจึงว่าท่านจะปรารมภ์ไปไยกับกองทัพอ้วนเสี้ยวเพียงเท่านี้ เพราะแม้ว่าจะมีกำลังมากแต่มิได้เชี่ยวชาญการศึก ขอให้ท่านแบ่งกองทหารออกเป็นสิบเอ็ดกอง แล้วจัดกำลังสิบกองออกไปซุ่มเรียงรายสองข้างทางข้างละห้ากอง แต่ละกองห่างกันยี่สิบเส้น ส่วนอีกกองหนึ่งทำหน้าที่เป็นกองล่อ ยกไปท้ารบอ้วนเสี้ยว แล้วทำทีถอยมายังจุดซุ่ม เมื่อกองทัพอ้วนเสี้ยวไล่ตามมาจนตกอยู่ในท่ามกลางแนวจุดซุ่มแล้ว ให้กองล่อแปรขบวนหันกลับเข้าตีและให้สัญญาณกองซุ่มทุกกองให้ตีกระหนาบเข้ามาพร้อมกัน กองทหารของอ้วนเสี้ยวถูกตีตัดขาดออกเป็นส่วน ๆ ถึงมากก็จะเหมือนน้อยคงจะเสียทีแก่ท่านเป็นมั่นคง
ยุทธวิธีดังกล่าวนี้กองทัพปลดแอกประชาชนจีนได้นำมาใช้อย่างพลิกแพลงตลอดสงครามปลดแอก เรียกว่า “ยุทธวิธีแยกส่วนแล้วทำลายล้าง”
โจโฉเห็นชอบด้วยแผนการของเทียหยก สั่งการให้จัดกองกำลังทหารเป็นสิบเอ็ดกองตามความคิดของเทียหยกแล้วออกคำสั่งว่าเมื่อพ้นยามแรกของคืนนี้ให้กองทหารทั้งสิบกองยกออกไปตั้งซุ่มอยู่สองข้างทางโดยให้โจหอง เตียวคับ ซิหลง อิกิ๋มและโกลำแต่ละคนคุมทหารกองหนึ่งยกไปซุ่มทางด้านขวาทาง ส่วนแฮหัวตุ้น เตียวเลี้ยว ลิเตียน งักจิ้น และแฮหัวเอี๋ยนคุมทหารคนละกองยกไปตั้งซุ่มทางซ้ายทาง ให้เคาทูคุมทหารอีกกองหนึ่งทำหน้าที่เป็นกองล่อ สั่งการเสร็จให้ทหารกองซุ่มทั้งสิบกองเคลื่อนกำลังไปตั้งซุ่มอยู่ ณ จุดหมายรอฟังสัญญาณเข้าตีกองทัพอ้วนเสี้ยว
ครั้นล่วงยามสามโจโฉจึงสั่งให้เคาทูนำกองล่อยกไปที่ค่ายของอ้วนเสี้ยว ทำทีจะปล้นค่าย
ทหารของกองล่อโห่ร้องก้องกระหึ่ม ตีม้าล่อ ฆ้องกลองดังสนั่นเป็นสัญญาณรบ
ฝ่ายกองทัพของอ้วนเสี้ยวเคยเพลี่ยงพล้ำเสียทีแก่โจโฉ ดังนั้นศึกครั้งนี้จึงเข้มงวดกวดขันการระมัดระวังเวรยามและให้ทหารทั้งกองทัพเตรียมพร้อมระวังศึกมิได้ประมาท พอได้ยินเสียงฆ้องกลองและทหารโจโฉโห่ร้อง ทหารของอ้วนเสี้ยวก็พร้อมรบทั้งสี่กองทัพ อ้วนเสี้ยวจึงมีคำสั่งให้ทหารทั้งสี่กองทัพเคลื่อนกำลังเข้าตีกองทัพของเคาทูที่ทำทีว่าจะปล้นค่ายนั้น
โจโฉเห็นอ้วนเสี้ยวหลงกลยกทหารออกมารบก็ยกกำลังหนุนเคาทูเป็นทีว่าเป็นการรบอย่างจริงจัง ทหารทั้งสองฝ่ายได้ปะทะกันอย่างประปราย จนกระทั่งใกล้รุ่งโจโฉจึงสั่งให้กองล่อทำทีถอยทัพและเคลื่อนไปทางฝั่งแม่น้ำฮวงโห ซึ่งได้วางจุดซุ่มทั้งสิบกองไว้ อ้วนเสี้ยวไม่รู้กลก็ยกทหารไล่ตามตี
แสงอาทิตย์ยามอรุณเบิกฟ้า ทั้งสองฝ่ายเห็นหน้ากันถนัด ทหารอ้วนเสี้ยวยังคงรุกไล่กองทัพของโจโฉอย่างคึกคัก พอใกล้ถึงริมฝั่งแม่น้ำฮวงโหโจโฉก็ให้จุดประทัดและลั่นกลองรบเป็นสัญญาณให้กองล่อแปรขบวนกลับหลังเข้าตีกองทหารของอ้วนเสี้ยวที่รุกไล่ตามมา
กองซุ่มทั้งสิบกองได้ยินเสียงประทัดสัญญาณก็ยกกำลังเข้าตีกองทหารของอ้วนเสี้ยวตลอดแนวทางพร้อมกัน ทหารของอ้วนเสี้ยวกำลังรุกไล่ด้วยความประมาท พอถูกซุ่มโจมตีก็แตกตื่นอลหม่านขึ้น
กองหน้าที่อ้วนเสี้ยวนำทหารรุกไล่ปะทะกับเคาทู สู้ฝีมือเคาทูและทหารของโจโฉไม่ได้จึงถูกตรึงอยู่กับที่ ยอทัพของอ้วนเสี้ยวไม่ให้รุกรบต่อไปได้ จากนั้นกองทหารของเคาทูได้รุกตีกลับ อ้วนเสี้ยวเห็นเสียทีแก่ข้าศึกก็พาบุตรทั้งสามและหลานถอยกลับตามเส้นทางเดิม กองทหารของเคาทูได้ฆ่าฟันกองทหารของอ้วนเสี้ยวบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก
อ้วนเสี้ยวแตกหนีมาตามเส้นทางเดิมไม่ทันไรก็ถูกกองทหารของโกลำและแฮหัวเอี๋ยนตีกระหนาบ แต่ตีฝ่าถอยกลับไปได้ พอหนีไปได้เกือบยี่สิบเส้นก็ถูกอิกิ๋มและงักจิ้นตีสกัดไว้อีก อ้วนเสี้ยวตกใจที่ถูกซุ่มตีถึงสองระลอก ไม่มีใจที่จะต่อสู้ รีบพาทหารหนีฝ่าต่อไป พอไปได้อีกสามสิบเส้นก็ถูกซิหลงและลิเตียนยกทหารตีสกัดไว้อีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ยังคงหนีรอดกลับไปถึงค่ายได้
อ้วนเสี้ยวและทหารอิดโรยจากการสู้รบต่อเนื่องหลายชั่วโมงติดต่อกัน จึงให้ทหารหุงข้าวเตรียมตัวที่จะกินอาหารมื้อแรกของวัน พอข้าวใกล้สุกเสียงโห่ร้องดังอึง คนึง ปรากฏเตียวคับและเตียวเลี้ยวทหารของโจโฉคุมทหารตีบุกเข้ามาในค่าย กองทหารของอ้วนเสี้ยวไม่ทันระวังตัวจึงพากันแตกตื่น อ้วนเสี้ยวรีบคุมทหารหนีออกจากค่ายไปอย่างฉุกละหุก
ครั้นยกมาถึงเนินเขาแห่งหนึ่ง กำลังของอ้วนเสี้ยวและทหารที่ติดตามมาก็อ่อนเปลี้ยเพลียแรงด้วยอิดโรยจากการถูกไล่ตามตีตลอดทางก็ได้ยินเสียงโห่ร้องของทหารโจโฉไล่ตามมาอีก ปรากฏว่าเป็นกองทหารของโจหองและแฮหัวตุ้น
อ้วนเสี้ยวเมื่อถึงคราวคับขันก็มีใจมานะ ออกคำสั่งให้ทหารสู้รบกับทหารของโจโฉเป็นสามารถคาดคั้นว่าหากผู้ใดไม่เป็นใจสู้รบก็จะตัดศีรษะเสีย ทหารของอ้วนเสี้ยวแม้อิดโรยเต็มทีแต่ก็เกรงอาญามากกว่าจึงพากันเข้ารบพุ่งกับกองทหารของโจโฉ ทั้งสองฝ่ายได้สู้รบกันเป็นสามารถ อ้วนฮีและโกกันซึ่งเป็นบุตรและหลานของอ้วนเสี้ยวถูกเกาทัณฑ์ของทหารโจโฉหลายแห่งได้รับบาดเจ็บสาหัส
อ้วนเสี้ยวเห็นจะต้านรับกองทหารของโจโฉไม่ได้จึงพาทหารรีบหนีไปอีกครั้งหนึ่ง ในการศึกครั้งนี้ทหารโจโฉได้ฆ่าฟันทหารอ้วนเสี้ยวบาดเจ็บล้มตายเป็นอันมาก ตัวอ้วนเสี้ยวแม้พาบุตรหลานหนีรอดไปได้ แต่บุตรหลานก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส แม้ทหารที่เหลือติดตามมาก็น้อยตัวเต็มที
พอหนีพ้นจากการติดตามของทหารโจโฉ และปลงทัพหยุดพักที่เนินเขาลูกหนึ่ง อ้วนเสี้ยวเห็นบุตรหลานได้รับบาดเจ็บสาหัสก็เสียใจ กอดบุตรและหลานแล้วร้องไห้จนสลบไปกับที่
ทหารที่ติดตามเห็นเช่นนั้นจึงช่วยกันแก้ไขพยาบาลจนฟื้นคืนสติ แต่พอฟื้นได้สติอ้วนเสี้ยวมีความรู้สึกอัปยศเป็นอันมาก ร้องขึ้นได้คำหนึ่งก็อาเจียนเป็นโลหิต จนทรุดลงกับที่
การอาเจียนเป็นโลหิตครั้งนี้อ้วนเสี้ยวรู้สึกตัวดีว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นภายในตัว ให้รู้สึกตัวเบาหวิวราวกับจะล่องลอยไปในอากาศ การหายใจก็ติดขัด และหน้าอกก็แน่นดุจดังมีขุนเขาตั้งอยู่ภายในก็ทอดถอนใจใหญ่ แล้วว่า “แต่เราเกิดมาจะได้มีความทุกข์แลความแค้นเหมือนครั้งนี้หามิได้ อันชีวิตเราครั้งนี้เห็นจะไม่รอดแล้ว บุตรเราแลหลานกับทหารทั้งปวงจงพากันกลับไปเมืองแล้วเร่งคิดอ่านซ่องสุมทหาร ยกไปกำจัดโจโฉเสียให้หายความแค้นของเราจงได้”
ก็จริงดังคำของอ้วนเสี้ยวเพราะตั้งแต่เกิดมาเป็นบุตรของขุนนางผู้ใหญ่ที่เปี่ยมด้วยอำนาจวาสนา ประสงค์สิ่งใดก็จะได้ดังใจจง ชีวิตของอ้วนเสี้ยวแต่น้อยจึงเป็นชีวิตที่ได้ทุกสิ่งทุกอย่างสมดังใจ แต่สวรรค์นั้นทรงความยุติธรรม เมื่อประทานอำนาจวาสนาให้เต็มที่ถึงขนาดแล้ว ก็ประทานความอับโชคไว้ควบคู่กัน เพราะเหตุที่ถูกหลอมหล่อมาจากอำนาจวาสนาดังนี้ อ้วนเสี้ยวจึงแวดล้อมไปด้วยผู้คนที่ตามใจ และตอบสนองความต้องการทุกอย่างโดยไม่คำนึงถึงความผิดถูก ผู้คนของอ้วนเสี้ยวที่แวดล้อมอยู่จึงเป็นผู้แวดล้อมที่หวังเอาแต่ประโยชน์จากอ้วนเสี้ยวเท่านั้น หาใช่แวดล้อมอ้วนเสี้ยวเพราะหมายมุ่งจะส่งเสริมให้อ้วนเสี้ยวได้ครองอำนาจเป็นใหญ่ในแผ่นดินแต่ประการใดไม่
คนที่แวดล้อมอ้วนเสี้ยวเป็นคนประเภทที่ทำการได้เพียงสามอย่างเท่านั้น คือแบมือขอเงินอย่างหนึ่ง ยกมือในสภาอย่างหนึ่งและพูดประจบสอพลออีกอย่างหนึ่ง ส่วนคนมีสติปัญญาและจงรักภักดีที่แท้จริงนั้น มีวิสัยไม่ชอบเฝ้าเช้าเฝ้าเย็น ไม่ชอบเพ็จทูล ไม่อาจกล่าววาจาอันระรื่นหู จึงถูกกีดกันไปอยู่ในที่ห่าง ดังนั้นแม้อ้วนเสี้ยวจะมีผู้คนแวดล้อมเป็นอันมากจึงเหมือนไม่มี มิหนำซ้ำยังแก่งแย่งแข่งดีทำการผลาญนายขายพวกอยู่เป็นเนืองนิจ ทำให้กองทัพของอ้วนเสี้ยวขาดความเข้มแข็งและอ่อนแอลงโดยลำดับ ไม่อาจประมือสู้รบเอาชนะแค่กองทหารของโจโฉซึ่งมีกำลังน้อยกว่าถึงสิบเท่า แต่พอพลาดท่าเสียทีแทนที่จะคิดอ่านหาสาเหตุของความพ่ายแพ้เพื่อแก้เป็นชนะ กลับอับจนสติปัญญา รำพึงถึงความตายราวกับว่าจะเป็นทางแก้ความอัปยศ การอาเจียนเป็นโลหิตจึงเป็นโทษทัณฑ์ที่เกิดแต่ความยุติธรรมของสวรรค์ดั่งนี้แล.
ทางฝ่ายโจโฉพอทราบข่าวว่าอ้วนเสี้ยวเคลื่อนทัพจากเมืองกิจิ๋วและมีกำลังน้อยกว่าคราวก่อนถึงครึ่งหนึ่งก็มีน้ำใจฮึกเหิม สั่งเคลื่อนกำลังข้ามแม่น้ำฮวงโหเข้าไปในเขตแดนของอ้วนเสี้ยว ตั้งค่ายประชิดกับค่ายของอ้วนเสี้ยวเตรียมทำศึกแตกหักต่อไป
ทางฝ่ายอ้วนเสี้ยวเมื่อเห็นกองทัพของโจโฉยกมาตั้งค่ายประชิด ก็พาบุตรทั้งสามคนคืออ้วนถำ อ้วนฮี อ้วนชง และหลานคือโกกัน พร้อมด้วยทหารทั้งปวงออกมาท้ารบกับโจโฉ
โจโฉเห็นอ้วนเสี้ยวออกมาท้ารบก็คุมทหารออกไปเผชิญหน้า ทั้งโจโฉและอ้วนเสี้ยวต่างยืนม้าอยู่หน้ากองทหารตั้งขบวนเป็นลักษณะเตรียมรบกันด้วยกำลังทหารเอก
โจโฉเห็นอ้วนเสี้ยวยืนม้าอยู่หน้าทหารก็เอาแส้ม้าชี้หน้าอ้วนเสี้ยวด้วยความเคยชินแล้วเยาะเย้ยว่าคราวก่อนท่านยกกองทัพถึงเจ็ดสิบหมื่นก็พ่ายแพ้แก่เรา คราวนี้เหลือทหารอยู่เพียงครึ่งเดียวคงจะต้องพ่ายแพ้แก่น้ำมือเราอีก ควรจะยอมสวามิภักดิ์เสียโดยดีจะได้ไม่เป็นที่เดือดร้อนแก่เหล่าทหารทั้งปวง
อ้วนเสี้ยวได้ฟังคำเยาะก็โกรธ ถามบรรดานายทหารเอกว่าจะมีผู้ใดอาสาออกรบบ้าง อ้วนชงได้ฟังดังนั้นจึงชักม้าออกไปหน้าทหาร รำกระบี่คู่ตรงไปข้างหน้าโจโฉ
โจโฉเห็นอ้วนชงเป็นคนแปลกหน้าเพราะไม่เคยได้ยินกิตติศัพท์มาแต่ก่อน จึงถามบรรดานายทหารเอกว่าผู้ใดรู้จักทหารของอ้วนเสี้ยวผู้นี้บ้าง นายทหารที่รู้จักอ้วนชงจึงรายงานว่านี่คืออ้วนชงเป็นบุตรชายของอ้วนเสี้ยว ในขณะที่รายงานยังไม่ทันสิ้นคำสูฮวนซึ่งเป็นนายทหารในสังกัดของซิหลงได้ขับม้าร่ายทวนออกไปรบด้วยอ้วนชง
ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันได้สามเพลง อ้วนชงทำเป็นสู้ไม่ได้แล้วชักม้าหนี สูฮวนไม่รู้กลจึงขับม้าไล่ตามไป อ้วนชงทำทีหนีแต่เก็บกระบี่คู่แล้วเอาเกาทัณฑ์มาพาดสาย ในขณะที่หูฟังเสียงม้าที่ไล่ตามมา พอได้ระยะหวังผลแล้วอ้วนชงจึงหันกลับมาเอาเกาทัณฑ์ยิงไปที่สูฮวน
ลูกเกาทัณฑ์แล่นไปเสียบลูกตาของสูฮวนราวจับวาง ด้วยกำลังแรงเกาทัณฑ์ที่ยิงมาบวกกับความแรงเร็วของม้าที่สูฮวนขี่ไล่ตามเป็นสองแรงทวีคูณ สูฮวนพลัดตกลงจากหลังม้าเสียชีวิตในที่นั้น อ้วนเสี้ยวเห็นได้ทีจึงสั่งทหารให้ระดมกำลังเข้าตีกองทหารของโจโฉ
ด้วยกองกำลังที่มากกว่า กองทหารของอ้วนเสี้ยวได้รุกรบโจมตีกองทหารของโจโฉหนุนเนื่องประดุจดังคลื่นในพระมหาสมุทร ทหารของทั้งสองฝ่ายบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก โจโฉเห็นเหลือกำลังจึงสั่งทหารให้ถอยกลับเข้าค่าย อ้วนเสี้ยวเห็นได้ชัยชนะในเบื้องต้นก็สั่งให้ตีระฆังสัญญาณให้ทหารถอยกลับเข้าค่ายเช่นเดียวกัน
ค่ำลงโจโฉได้เรียกประชุมบรรดาแม่ทัพนายกองทั้งปวง แล้วปรึกษาว่าการศึกครั้งนี้ทหารอ้วนเสี้ยวมีกำลังพลน้อยกว่าคราวก่อนถึงครึ่งหนึ่ง แต่กระนั้นก็ยังคงมีจำนวนมากกว่ากองทัพฝ่ายเราเกือบห้าเท่าตัว ทำไฉนจะเอาชัยชนะกองทัพอ้วนเสี้ยวได้
เทียหยกจึงว่าท่านจะปรารมภ์ไปไยกับกองทัพอ้วนเสี้ยวเพียงเท่านี้ เพราะแม้ว่าจะมีกำลังมากแต่มิได้เชี่ยวชาญการศึก ขอให้ท่านแบ่งกองทหารออกเป็นสิบเอ็ดกอง แล้วจัดกำลังสิบกองออกไปซุ่มเรียงรายสองข้างทางข้างละห้ากอง แต่ละกองห่างกันยี่สิบเส้น ส่วนอีกกองหนึ่งทำหน้าที่เป็นกองล่อ ยกไปท้ารบอ้วนเสี้ยว แล้วทำทีถอยมายังจุดซุ่ม เมื่อกองทัพอ้วนเสี้ยวไล่ตามมาจนตกอยู่ในท่ามกลางแนวจุดซุ่มแล้ว ให้กองล่อแปรขบวนหันกลับเข้าตีและให้สัญญาณกองซุ่มทุกกองให้ตีกระหนาบเข้ามาพร้อมกัน กองทหารของอ้วนเสี้ยวถูกตีตัดขาดออกเป็นส่วน ๆ ถึงมากก็จะเหมือนน้อยคงจะเสียทีแก่ท่านเป็นมั่นคง
ยุทธวิธีดังกล่าวนี้กองทัพปลดแอกประชาชนจีนได้นำมาใช้อย่างพลิกแพลงตลอดสงครามปลดแอก เรียกว่า “ยุทธวิธีแยกส่วนแล้วทำลายล้าง”
โจโฉเห็นชอบด้วยแผนการของเทียหยก สั่งการให้จัดกองกำลังทหารเป็นสิบเอ็ดกองตามความคิดของเทียหยกแล้วออกคำสั่งว่าเมื่อพ้นยามแรกของคืนนี้ให้กองทหารทั้งสิบกองยกออกไปตั้งซุ่มอยู่สองข้างทางโดยให้โจหอง เตียวคับ ซิหลง อิกิ๋มและโกลำแต่ละคนคุมทหารกองหนึ่งยกไปซุ่มทางด้านขวาทาง ส่วนแฮหัวตุ้น เตียวเลี้ยว ลิเตียน งักจิ้น และแฮหัวเอี๋ยนคุมทหารคนละกองยกไปตั้งซุ่มทางซ้ายทาง ให้เคาทูคุมทหารอีกกองหนึ่งทำหน้าที่เป็นกองล่อ สั่งการเสร็จให้ทหารกองซุ่มทั้งสิบกองเคลื่อนกำลังไปตั้งซุ่มอยู่ ณ จุดหมายรอฟังสัญญาณเข้าตีกองทัพอ้วนเสี้ยว
ครั้นล่วงยามสามโจโฉจึงสั่งให้เคาทูนำกองล่อยกไปที่ค่ายของอ้วนเสี้ยว ทำทีจะปล้นค่าย
ทหารของกองล่อโห่ร้องก้องกระหึ่ม ตีม้าล่อ ฆ้องกลองดังสนั่นเป็นสัญญาณรบ
ฝ่ายกองทัพของอ้วนเสี้ยวเคยเพลี่ยงพล้ำเสียทีแก่โจโฉ ดังนั้นศึกครั้งนี้จึงเข้มงวดกวดขันการระมัดระวังเวรยามและให้ทหารทั้งกองทัพเตรียมพร้อมระวังศึกมิได้ประมาท พอได้ยินเสียงฆ้องกลองและทหารโจโฉโห่ร้อง ทหารของอ้วนเสี้ยวก็พร้อมรบทั้งสี่กองทัพ อ้วนเสี้ยวจึงมีคำสั่งให้ทหารทั้งสี่กองทัพเคลื่อนกำลังเข้าตีกองทัพของเคาทูที่ทำทีว่าจะปล้นค่ายนั้น
โจโฉเห็นอ้วนเสี้ยวหลงกลยกทหารออกมารบก็ยกกำลังหนุนเคาทูเป็นทีว่าเป็นการรบอย่างจริงจัง ทหารทั้งสองฝ่ายได้ปะทะกันอย่างประปราย จนกระทั่งใกล้รุ่งโจโฉจึงสั่งให้กองล่อทำทีถอยทัพและเคลื่อนไปทางฝั่งแม่น้ำฮวงโห ซึ่งได้วางจุดซุ่มทั้งสิบกองไว้ อ้วนเสี้ยวไม่รู้กลก็ยกทหารไล่ตามตี
แสงอาทิตย์ยามอรุณเบิกฟ้า ทั้งสองฝ่ายเห็นหน้ากันถนัด ทหารอ้วนเสี้ยวยังคงรุกไล่กองทัพของโจโฉอย่างคึกคัก พอใกล้ถึงริมฝั่งแม่น้ำฮวงโหโจโฉก็ให้จุดประทัดและลั่นกลองรบเป็นสัญญาณให้กองล่อแปรขบวนกลับหลังเข้าตีกองทหารของอ้วนเสี้ยวที่รุกไล่ตามมา
กองซุ่มทั้งสิบกองได้ยินเสียงประทัดสัญญาณก็ยกกำลังเข้าตีกองทหารของอ้วนเสี้ยวตลอดแนวทางพร้อมกัน ทหารของอ้วนเสี้ยวกำลังรุกไล่ด้วยความประมาท พอถูกซุ่มโจมตีก็แตกตื่นอลหม่านขึ้น
กองหน้าที่อ้วนเสี้ยวนำทหารรุกไล่ปะทะกับเคาทู สู้ฝีมือเคาทูและทหารของโจโฉไม่ได้จึงถูกตรึงอยู่กับที่ ยอทัพของอ้วนเสี้ยวไม่ให้รุกรบต่อไปได้ จากนั้นกองทหารของเคาทูได้รุกตีกลับ อ้วนเสี้ยวเห็นเสียทีแก่ข้าศึกก็พาบุตรทั้งสามและหลานถอยกลับตามเส้นทางเดิม กองทหารของเคาทูได้ฆ่าฟันกองทหารของอ้วนเสี้ยวบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก
อ้วนเสี้ยวแตกหนีมาตามเส้นทางเดิมไม่ทันไรก็ถูกกองทหารของโกลำและแฮหัวเอี๋ยนตีกระหนาบ แต่ตีฝ่าถอยกลับไปได้ พอหนีไปได้เกือบยี่สิบเส้นก็ถูกอิกิ๋มและงักจิ้นตีสกัดไว้อีก อ้วนเสี้ยวตกใจที่ถูกซุ่มตีถึงสองระลอก ไม่มีใจที่จะต่อสู้ รีบพาทหารหนีฝ่าต่อไป พอไปได้อีกสามสิบเส้นก็ถูกซิหลงและลิเตียนยกทหารตีสกัดไว้อีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ยังคงหนีรอดกลับไปถึงค่ายได้
อ้วนเสี้ยวและทหารอิดโรยจากการสู้รบต่อเนื่องหลายชั่วโมงติดต่อกัน จึงให้ทหารหุงข้าวเตรียมตัวที่จะกินอาหารมื้อแรกของวัน พอข้าวใกล้สุกเสียงโห่ร้องดังอึง คนึง ปรากฏเตียวคับและเตียวเลี้ยวทหารของโจโฉคุมทหารตีบุกเข้ามาในค่าย กองทหารของอ้วนเสี้ยวไม่ทันระวังตัวจึงพากันแตกตื่น อ้วนเสี้ยวรีบคุมทหารหนีออกจากค่ายไปอย่างฉุกละหุก
ครั้นยกมาถึงเนินเขาแห่งหนึ่ง กำลังของอ้วนเสี้ยวและทหารที่ติดตามมาก็อ่อนเปลี้ยเพลียแรงด้วยอิดโรยจากการถูกไล่ตามตีตลอดทางก็ได้ยินเสียงโห่ร้องของทหารโจโฉไล่ตามมาอีก ปรากฏว่าเป็นกองทหารของโจหองและแฮหัวตุ้น
อ้วนเสี้ยวเมื่อถึงคราวคับขันก็มีใจมานะ ออกคำสั่งให้ทหารสู้รบกับทหารของโจโฉเป็นสามารถคาดคั้นว่าหากผู้ใดไม่เป็นใจสู้รบก็จะตัดศีรษะเสีย ทหารของอ้วนเสี้ยวแม้อิดโรยเต็มทีแต่ก็เกรงอาญามากกว่าจึงพากันเข้ารบพุ่งกับกองทหารของโจโฉ ทั้งสองฝ่ายได้สู้รบกันเป็นสามารถ อ้วนฮีและโกกันซึ่งเป็นบุตรและหลานของอ้วนเสี้ยวถูกเกาทัณฑ์ของทหารโจโฉหลายแห่งได้รับบาดเจ็บสาหัส
อ้วนเสี้ยวเห็นจะต้านรับกองทหารของโจโฉไม่ได้จึงพาทหารรีบหนีไปอีกครั้งหนึ่ง ในการศึกครั้งนี้ทหารโจโฉได้ฆ่าฟันทหารอ้วนเสี้ยวบาดเจ็บล้มตายเป็นอันมาก ตัวอ้วนเสี้ยวแม้พาบุตรหลานหนีรอดไปได้ แต่บุตรหลานก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส แม้ทหารที่เหลือติดตามมาก็น้อยตัวเต็มที
พอหนีพ้นจากการติดตามของทหารโจโฉ และปลงทัพหยุดพักที่เนินเขาลูกหนึ่ง อ้วนเสี้ยวเห็นบุตรหลานได้รับบาดเจ็บสาหัสก็เสียใจ กอดบุตรและหลานแล้วร้องไห้จนสลบไปกับที่
ทหารที่ติดตามเห็นเช่นนั้นจึงช่วยกันแก้ไขพยาบาลจนฟื้นคืนสติ แต่พอฟื้นได้สติอ้วนเสี้ยวมีความรู้สึกอัปยศเป็นอันมาก ร้องขึ้นได้คำหนึ่งก็อาเจียนเป็นโลหิต จนทรุดลงกับที่
การอาเจียนเป็นโลหิตครั้งนี้อ้วนเสี้ยวรู้สึกตัวดีว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นภายในตัว ให้รู้สึกตัวเบาหวิวราวกับจะล่องลอยไปในอากาศ การหายใจก็ติดขัด และหน้าอกก็แน่นดุจดังมีขุนเขาตั้งอยู่ภายในก็ทอดถอนใจใหญ่ แล้วว่า “แต่เราเกิดมาจะได้มีความทุกข์แลความแค้นเหมือนครั้งนี้หามิได้ อันชีวิตเราครั้งนี้เห็นจะไม่รอดแล้ว บุตรเราแลหลานกับทหารทั้งปวงจงพากันกลับไปเมืองแล้วเร่งคิดอ่านซ่องสุมทหาร ยกไปกำจัดโจโฉเสียให้หายความแค้นของเราจงได้”
ก็จริงดังคำของอ้วนเสี้ยวเพราะตั้งแต่เกิดมาเป็นบุตรของขุนนางผู้ใหญ่ที่เปี่ยมด้วยอำนาจวาสนา ประสงค์สิ่งใดก็จะได้ดังใจจง ชีวิตของอ้วนเสี้ยวแต่น้อยจึงเป็นชีวิตที่ได้ทุกสิ่งทุกอย่างสมดังใจ แต่สวรรค์นั้นทรงความยุติธรรม เมื่อประทานอำนาจวาสนาให้เต็มที่ถึงขนาดแล้ว ก็ประทานความอับโชคไว้ควบคู่กัน เพราะเหตุที่ถูกหลอมหล่อมาจากอำนาจวาสนาดังนี้ อ้วนเสี้ยวจึงแวดล้อมไปด้วยผู้คนที่ตามใจ และตอบสนองความต้องการทุกอย่างโดยไม่คำนึงถึงความผิดถูก ผู้คนของอ้วนเสี้ยวที่แวดล้อมอยู่จึงเป็นผู้แวดล้อมที่หวังเอาแต่ประโยชน์จากอ้วนเสี้ยวเท่านั้น หาใช่แวดล้อมอ้วนเสี้ยวเพราะหมายมุ่งจะส่งเสริมให้อ้วนเสี้ยวได้ครองอำนาจเป็นใหญ่ในแผ่นดินแต่ประการใดไม่
คนที่แวดล้อมอ้วนเสี้ยวเป็นคนประเภทที่ทำการได้เพียงสามอย่างเท่านั้น คือแบมือขอเงินอย่างหนึ่ง ยกมือในสภาอย่างหนึ่งและพูดประจบสอพลออีกอย่างหนึ่ง ส่วนคนมีสติปัญญาและจงรักภักดีที่แท้จริงนั้น มีวิสัยไม่ชอบเฝ้าเช้าเฝ้าเย็น ไม่ชอบเพ็จทูล ไม่อาจกล่าววาจาอันระรื่นหู จึงถูกกีดกันไปอยู่ในที่ห่าง ดังนั้นแม้อ้วนเสี้ยวจะมีผู้คนแวดล้อมเป็นอันมากจึงเหมือนไม่มี มิหนำซ้ำยังแก่งแย่งแข่งดีทำการผลาญนายขายพวกอยู่เป็นเนืองนิจ ทำให้กองทัพของอ้วนเสี้ยวขาดความเข้มแข็งและอ่อนแอลงโดยลำดับ ไม่อาจประมือสู้รบเอาชนะแค่กองทหารของโจโฉซึ่งมีกำลังน้อยกว่าถึงสิบเท่า แต่พอพลาดท่าเสียทีแทนที่จะคิดอ่านหาสาเหตุของความพ่ายแพ้เพื่อแก้เป็นชนะ กลับอับจนสติปัญญา รำพึงถึงความตายราวกับว่าจะเป็นทางแก้ความอัปยศ การอาเจียนเป็นโลหิตจึงเป็นโทษทัณฑ์ที่เกิดแต่ความยุติธรรมของสวรรค์ดั่งนี้แล.