ตอนที่ 150. กำเนิดยุทธวิธีทำลายคลังเสบียง
โจโฉต่อล้อด้วยเล่ห์ลิ้นลมลวงกับเขาฮิวจนความจริงประจักษ์ว่ากองทัพโจโฉมีเสบียงพอเลี้ยงไพร่พลได้ไม่เกินเจ็ดวัน จำเป็นที่จะต้องทำการศึกให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดโดยรวดเร็ว มิฉะนั้นก็จะปราชัยแก่กองทัพของอ้วนเสี้ยว
ครั้นได้ฟังคำขอปรึกษาของโจโฉว่าจะทำประการใดจึงจะเผด็จศึกครั้งนี้ได้ เขาฮิวจึงว่าขอเพียงแต่ท่านทำตามแผนการของข้าพเจ้าเท่านั้น รับรองว่ากองทัพของอ้วนเสี้ยวจะต้องแตกไปภายในสามวัน
โจโฉได้ฟังดังนั้นก็ตื่นเต้น เร่งเร้าให้เขาฮิวขยายความตามแผนการให้ทราบ
เขาฮิวจึงว่าการสงครามครั้งนี้ท่านย่อมแจ้งอยู่ว่ากองทัพของอ้วนเสี้ยวต้องอาศัยข้าวเป็นเสบียงถึงวันละสามแสนห้าหมื่นกิโลกรัม เสบียงจึงเป็นปัจจัยชี้ขาดแพ้ชนะของสงครามครั้งนี้ อ้วนเสี้ยวได้ซ่องสุมคลังเสบียงใหญ่ไว้ที่ตำบลอัวเจ๋าแล้วแต่งตั้งให้อิเขงเป็นนายกองเสบียงใหญ่ รับผิดชอบดูแลรักษาคลังเสบียง แต่อิเขงนั้นเป็นคนบ้าอำนาจ ลุ่มหลงในอบายมุข ชอบดื่มสุราเป็นอาจิณ ขาดความเอาใจใส่ในราชการ ทั้งทหารก็ระส่ำระสาย ดังนั้นสภาพการจึงเอื้ออำนวยให้กองทัพของท่านสามารถทำลายคลังเสบียงใหญ่ของอ้วนเสี้ยวได้สำเร็จ และหากทำลายคลังเสบียงใหญ่ของอ้วนเสี้ยวที่ตำบลอัวเจ๋าได้แล้ว กองทัพของอ้วนเสี้ยวก็จะต้องแตกถอยไปเป็นมั่นคง
โจโฉได้ฟังความนัยของกองทัพอ้วนเสี้ยวและแผนการความคิดของเขาฮิวแล้วดีใจจนหน้าตื่น ผลันลุกขึ้นยืนปรบมือแล้วว่ากองทัพอ้วนเสี้ยวจะฉิบหายเพราะความคิดของเขาฮิวท่านเป็นแน่แท้ และถามว่าท่านมีแผนการอย่างไรจึงจะทำลายคลังเสบียงที่ตำบลอัวเจ๋าให้พินาศย่อยยับไปได้
เขาฮิวจึงว่า “ขอให้ท่านแต่งทหารปลอมเป็นทหารอ้วนเสี้ยว ยกอ้อมค่ายอ้วนเสี้ยวไปตำบลอัวเจ๋า ถ้าผู้ใดทักทายก็ให้บอกว่าเป็นทหารเจียวกี๋ ซึ่งเป็นนายกองเสบียงอ้วนเสี้ยวจะไปเร่งเสบียงตำบลอัวเจ๋า ถ้าไปถึงตำบลอัวเจ๋าจึงลอบเข้าโจมตีเผาเสบียงอาหารอ้วนเสี้ยวเสีย”
แผนการของเขาฮิวครั้งนี้คือแผนการใช้เพลิงเผาคลังเสบียงของอ้วนเสี้ยว เพื่อทำลายกองทัพของอ้วนเสี้ยว นับเป็นครั้งแรกของสามก๊กที่ให้ความสำคัญในการทำลายคลังเสบียงของข้าศึกเพื่อตัดกำลังของข้าศึกไม่ให้ทำสงครามได้อีกต่อไป บีบบังคับให้ข้าศึกจำต้องถอนทัพและจะได้อาศัยช่วงโอกาสนั้นบดขยี้โจมตีทำลายกองทัพข้าศึกให้แหลกราญ ในสงครามยุคหลังได้ยกย่องนับถือยุทธวิธีทำลายคลังเสบียงข้าศึกเป็นยุทธวิธีหลักอย่างหนึ่งในการทำสงคราม นโปเลียนมหาราชนักยุทธศาสตร์สำคัญของฝรั่งเศสถึงกับกล่าวว่า “กองทัพเดินด้วยท้อง” และนำไปสู่การค้นคว้าในปัญหาทางยุทธวิธีเกี่ยวกับเสบียงอาหารทั้งเชิงรุกและเชิงรับ ซึ่งได้แก่การทำลายการป้องกันคุ้มครองคลังเสบียงให้ปลอดภัย ตลอดจนวิธีการในการลำเลียงเสบียงให้แก่กองทัพโดยไม่ขัดสนในระยะถัดมา
โจโฉได้ฟังแผนการของเขาฮิว เห็นหนทางสว่างที่จะตีกองทัพอ้วนเสี้ยวให้แตกพ่ายไปโดยอาศัยยุทธวิธีตีคลังเสบียงข้าศึก ดังนั้นทั้ง ๆ ที่ล่วงพ้นยามหนึ่งแล้ว โจโฉยังคงสั่งให้ทหารแต่งโต๊ะเอาเข้ามาเลี้ยงเขาฮิวถึงในค่าย เลี้ยงดูเขาฮิวจนอิ่มหนำสำราญแล้วชวนนอนค้างคืนอยู่ในค่ายด้วยกัน
รุ่งขึ้นโจโฉสั่งให้จัดกำลังทหารหนึ่งพันเตรียมจะยกไปตีคลังเสบียงของอ้วนเสี้ยวที่ตำบลอัวเจ๋าด้วยตนเอง
เตียวเลี้ยวนายทหารสำคัญของโจโฉทราบความก็ตกใจ รีบเข้ามาท้วงว่าอันคลังเสบียงนั้นเป็นที่สำคัญ เห็นทีอ้วนเสี้ยวจะจัดกำลังคุ้มกันอย่างแน่นหนา หากท่านยกไปคงเสียทีแก่ข้าศึก ข้าพเจ้าเห็นว่าการทั้งนี้เป็นเพราะเขาฮิวอาสาอ้วนเสี้ยวมาทำกลอุบายหลอกลวงท่าน ขอท่านจงดำริดูจงหนัก
โจโฉได้ฟังก็หัวเราะแล้วว่า ความศึกครั้งนี้ท่านอย่าได้ระแวงแคลงใจเขาฮิวเลย หากแม้นไม่ทำลายคลังเสบียงของอ้วนเสี้ยวกองทัพของเราจะปราชัยสถานเดียว ดังนั้นจึงมีแต่ต้องทำลายคลังเสบียงของอ้วนเสี้ยวให้พินาศไปก่อน
เตียวเลี้ยวเห็นโจโฉยืนยันมั่นเหมาะว่าได้ไตร่ตรองและคิดอ่านแผนการรอบคอบแล้วจึงว่า การที่ท่านคิดทำลายคลังเสบียงของอ้วนเสี้ยวนั้นชอบอยู่ แต่เกรงว่าความทราบถึงอ้วนเสี้ยวแล้วจะยกกองทัพมาโจมตีค่ายของเราก็จะเสียทีแก่ข้าศึก ควรจะได้คิดอ่านป้องกันไว้ให้ปลอดภัย
โจโฉจึงว่าการป้องกันรักษาค่ายนี้เราได้คิดอ่านป้องกันไว้เป็นอย่างดีแล้ว อย่าได้กังวลอีกเลย
ว่าแล้วโจโฉจึงสั่งให้เรียกบรรดาแม่ทัพนายกองมาที่ค่ายบัญชาการ แล้วสั่งให้ซุนฮิว กาเซี่ยง โจหอง เขาฮิว รวมสี่นายคุมทหารอยู่รักษาค่าย ให้ลิเตียนและโจหยิน คุมทหารเป็นกองซุ่มอยู่นอกค่ายซ้ายขวา ถ้าหากอ้วนเสี้ยวยกมาปล้นค่ายก็ให้รุมตีกระหนาบอย่าให้ค่ายเป็นอันตรายได้ ในส่วนกองทหารที่จะยกไปตีคลังเสบียงที่ตำบลอัวเจ๋านั้น โจโฉสั่งให้เคาทู เตียวเลี้ยว ซิหลง อิกิ๋ม คุมกำลังทหารห้าพันแต่งตัวปลอมเป็นทหารอ้วนเสี้ยว จัดธงทิวเหมือนกับกองทัพของอ้วนเสี้ยวทุกประการแล้วเตรียมฟืนฟางตลอดจนดินประสิวสำหรับเผาคลังเสบียงใส่เกวียนตามไป โดยตัวโจโฉจะคุมกองกำลังหน่วยนี้ออกไปโจมตีคลังเสบียงของอ้วนเสี้ยวด้วยตัวเอง
ครั้นเตรียมทหารพร้อมแล้วโจโฉได้ออกคำสั่งห้ามทหารพูดจาในระหว่างเดินทัพ ถ้าผู้ใดซักถามก็ให้โต้ตอบตามแผนการของเขาฮิวทุกประการ
พอตกค่ำลงโจโฉสั่งให้เคลื่อนทัพมุ่งไปทางตำบลอัวเจ๋า
ฝ่ายจอสิวซึ่งเป็นที่ปรึกษาของอ้วนเสี้ยวและถูกอ้วนเสี้ยวสั่งให้ทหารจับไปขังไว้ในคุกฐานปากเสียชอบกล่าวคัดค้านความเห็นของอ้วนเสี้ยว ในวันนั้นพอค่ำลงมองลอดจากกรงคุกออกไปเห็นค่ำแล้วแต่เมฆบนอากาศยังคงสะท้อนแสงอาทิตย์จากที่ไกลเห็นสว่างเป็นที่ประหลาด จึงคาดการณ์ว่าน่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้นทางกองทัพของอ้วนเสี้ยว ครั้นไตร่ตรองความศึกแล้วไม่เห็นทางที่จะอ้วนเสี้ยวจะปราชัยได้ด้วยประการอื่นนอกจากคลังเสบียงที่ตำบลอัวเจ๋าถูกเผาทำลาย
คิดดังนั้นอาศัยศักดิ์ศรีเก่าที่เป็นที่ปรึกษาใหญ่ของอ้วนเสี้ยวจึงเกลี้ยกล่อมผู้คุมว่าบัดนี้มีราชการสำคัญเกี่ยวกับความเป็นความตายของกองทัพ หากแก้ไขไม่ทันท่วงทีกองทัพทั้งนี้จะพินาศสิ้น ขอให้พวกผู้คุมปลดโซ่ตรวนออกแล้วพาไปพบอ้วนเสี้ยว ความชอบในการสงครามก็จะมีแก่ผู้คุมทุกคนเป็นอันมาก
พวกผู้คุมเห็นจอสิวเจรจาความใหญ่หลวงนัก หากจะไม่ทำตามคำก็เกรงภัยจะมาถึงตัวจึงถอดเครื่องจองจำจอสิวออกแล้วคุมเข้าไปพบอ้วนเสี้ยว
ในขณะนั้นอ้วนเสี้ยวกำลังเมาสุราและนอนหลับอยู่ พอทหารเข้าไปปลุกว่าจอสิวมาขอพบด้วยราชการสำคัญจึงงัวเงียลุกขึ้นแล้วสั่งให้ผู้คุมนำตัวจอสิวเข้ามาแล้วถามว่าตัวต้องโทษจองจำอยู่ มีราชการสิ่งใดจะว่ากล่าวก็ให้เร่งพูดมา
จอสิวจึงว่าข้าพเจ้าได้พิเคราะห์การในอากาศเห็นวิปริตผิดปกติจากที่เป็นมา เมื่อพลบค่ำวันนี้ท้องฟ้ายังสว่างอยู่ทางด้านตำบลอัวเจ๋า เห็นว่าคืนวันนี้ข้าศึกจะยกกองทหารเข้าโจมตีคลังเสบียงนี้เป็นมั่นคง จึงขอให้ท่านแต่งทหารไปสกัดไว้ที่ต้นทางอย่าให้ข้าศึกยกเข้าไปถึงคลังเสบียงได้
อ้วนเสี้ยวได้ฟังคำจอสิวอ้างเหตุอาเพศในการอากาศก็โกรธจึงว่า ตัวมึงปากเสียชอบกล่าวความให้เสียกำลังใจ กูจึงสั่งให้ขังมึงไว้ในคุก แล้วยังไม่เจียมตัวแส่มาแสดงความรู้อวดความโง่ให้ปรากฏอีก แล้วหันไปต่อว่าผู้คุมว่าเราสั่งให้คุมขังจอสิวไว้ ไฉนจึงล่วงอำนาจปล่อยให้จอสิวออกมาพบเรา และสั่งทหารให้เอาผู้คุมไปประหาร ส่วนจอสิวให้เอาไปคุมขังไว้ดังเก่า
จอสิวถูกคุมกลับมาที่คุก ในระหว่างทางก็ทอดถอนใจใหญ่แล้วว่ากับทหารที่คุมตัวมานั้นว่า อ้วนเสี้ยวประมาทไม่ฟังคำเราครั้งนี้คงจะเสียทีแก่ข้าศึกเป็นมั่นคง วันพรุ่งนี้ทั้งกองทัพก็จะหาหลุมฝังศพไม่ได้ ว่าแล้วก็ร้องไห้ ทหารที่คุมตัวจอสิวมาไม่โต้ตอบประการใดรีบนำจอสิวไปขังคุกไว้ตามคำสั่ง
พอพ้นยามต้นของราตรีท้องฟ้าที่สว่างมาแต่ต้นยามกลับมืดมิดสนิทด้วยคืนแรม สายลมหนาวโชยมาแรงกล้าขึ้นโดยลำดับ โจโฉนำกองทหารรุดหน้าไปตามทางมุ่งไปยังตำบลอัวเจ๋า กองตระเวนของอ้วนเสี้ยวเห็นทหารเดินทางในยามกลางคืนจึงร้องสอบถามว่าเป็นกองทหารหน่วยไหน
กองทหารของโจโฉได้ซักซ้อมกันมาเป็นอย่างดีจึงร้องตอบไปว่าเป็นกองทหารของเจียวกี๋รับคำสั่งจากอ้วนเสี้ยวให้ไปเร่งเอาเสบียงที่ตำบลอัวเจ๋า ทหารลาดตระเวนของอ้วนเสี้ยวได้ยินดังนั้น ทั้งคบไฟที่ทหารโจโฉถือสว่างต้องด้วยธงประจำกองทัพเห็นเป็นพวกเดียวกันก็สิ้นสงสัย ทหารลาดตระเวนของอ้วนเสี้ยวได้สอบถามกองทหารของโจโฉตลอดเส้นทางก็ได้รับคำตอบและเห็นเหตุการณ์เป็นอย่างเดียวกัน กองทหารของโจโฉจึงรุดหน้าไปอย่างราบรื่น
ครั้นใกล้สองยามโจโฉก็ยกทหารมาถึงตำบลอัวเจ๋า แล้วสั่งทหารให้ตีวงล้อมคลังเสบียง เข็นเอาเกวียนที่บรรทุกฟาง ฟืน เข้าไปที่คลังเสบียง จุดไฟเผาขึ้นพร้อมกันทุกด้าน ในขณะที่เพลิงลุกขึ้นที่คลังเสบียงทหารโจโฉก็โห่ร้องพร้อมกันและบุกเข้าโจมตีทหารของอิเขงซึ่งรักษาคลังเสบียงอยู่นั้น
ในขณะนั้นอิเขงนายกองเสบียงใหญ่เมาสุรานอนหลับอยู่ ได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครมก็ตกใจงัวเงียออกมาดูเหตุการณ์นอกค่าย ทหารโจโฉจึงรุมจับตัวไว้ได้แต่โดยดี
ขณะเดียวกันนั้นกุ๋ยหงวน จิ๋นฮัน เตียวโยย ซึ่งอิเขงสั่งให้เตรียมลำเลียงเสบียงจะไปส่งที่กองทัพอ้วนเสี้ยวเห็นแสงเพลิงสว่างโชติช่วงขึ้นเหนือคลังเสบียงตำบลอัวเจ๋าจึงคุมทหารจะยกมาช่วยอิเขง แต่ในที่สุดก็ถูกทหารโจโฉฆ่าตายทั้งสามคน บรรดาทหารของอ้วนเสี้ยวที่รักษาคลังเสบียงใหญ่ที่ตำบลอัวเจ๋าถูกทหารโจโฉฆ่าฟันบาดเจ็บล้มตายเป็นอันมาก ส่วนที่เหลือก็แตกหนีกระเจิดกระเจิง
ทางด้านอ้วนเสี้ยวหลังจากสั่งทหารให้เอาจอสิวไปจำขังไว้ดังเก่าก็สั่งให้ทหารเอาสุรามาดื่มต่อจนเมาสุราแล้วหลับไป ในขณะนั้นทหารที่รักษาการณ์อยู่หน้าค่ายเห็นแสงเพลิงสว่างขึ้นทางด้านตำบลอัวเจ๋า จึงเข้าไปปลุกแล้วรายงานให้อ้วนเสี้ยวทราบ
อ้วนเสี้ยวทราบความก็ตกใจผลุนผลันออกมาที่หน้าค่าย เห็นแสงเพลิงลุกโชติช่วงขึ้นจับท้องฟ้าท่ามกลางสายลมหนาวที่เย็นยะเยือกก็สะท้านขึ้นทั้งตัว คาดการณ์ได้ว่าโจโฉคงยกทหารไปเผาคลังเสบียงที่ตำบลอัวเจ๋าแล้ว จึงสั่งให้เรียกแม่ทัพนายกองเข้ามาปรึกษาว่าจะจัดการประการใด
เตียวคับและโกลำได้ขันอาสาออกไปตีกองทัพที่เผาคลังเสบียง แต่กัวเต๋าได้คัดค้านว่าคลังเสบียงที่ตำบลอัวเจ๋าเป็นคลังสำคัญ คนที่ยกมาทำการครั้งนี้คาดการว่าคงไม่ผิดจากตัวโจโฉคุมทัพไปเอง และย่อมคิดอ่านการป้องกันการตีกระหนาบหลังไว้อย่างแน่นหนา หากท่านยกไปคงจะเสียทีแก่ข้าศึก ดังนั้นแทนที่จะยกไปตีกองทหารโจโฉที่ตำบลอัวเจ๋าจึงควรเปลี่ยนเป็นการโจมตีค่ายหลวงของโจโฉคงจะได้ชัยชนะโดยง่าย
เตียวคับแย้งว่าโจโฉนั้นเป็นคนเจ้าเล่ห์เพทุบาย คงคาดหมายไว้ล่วงหน้าแล้วว่าทางฝ่ายเราคงจะคิดอ่านดังคำท่าน ดังนั้นข้าพเจ้าจึงคาดหมายว่าโจโฉจะแต่งทหารซุ่มไว้หน้าค่าย หากยกไปตีค่ายโจโฉคงจะเสียทีเป็นแน่แท้
กัวเต๋ายืนยันต่ออ้วนเสี้ยวว่าโจโฉยกไปตำบลอัวเจ๋าครั้งนี้คงเหลือทหารรักษาค่ายหลวงไว้แต่เบาบาง และคงเป็นทหารที่ไร้ฝีมือ เนื่องจากโจโฉคงพาทหารที่มีฝีมือไปด้วยตัวเองมากกว่าดังนั้นขอให้ท่านยกทหารไปตีค่ายหลวงของโจโฉคงจะได้ชัยชนะ
อ้วนเสี้ยวฟังสองฝ่ายเสนอความเห็นเป็นคนละทางดั่งนี้ไม่สามารถชั่งใจไปทางใดทางหนึ่งได้ แต่เมื่อต้องตัดสินใจเลือกทางใดทางหนึ่งจึงถือเอาตัวบุคคลเป็นหลัก โดยพิจารณาเห็นว่าเตียวคับเป็นแต่ทหารต่างกับกัวเต๋าซึ่งเป็นที่ปรึกษา เป็นนักวางแผนการศึก จึงตัดสินใจให้ดำเนินการตามความคิดของกัวเต๋าและสั่งให้เตียวคับและโกลำคุมทหารห้าพันยกไปตีค่ายหลวงของโจโฉ
แต่ในขณะเดียวกันก็ลังเล เห็นว่าหากไปสกัดตีกองทหารของโจโฉที่ไปเผาคลังเสบียงก็น่าจะได้ชัยชนะเช่นเดียวกัน จึงสั่งให้เจียวกี๋คุมทหารหมื่นหนึ่งยกไปช่วยอิเขงที่ตำบลอัวเจ๋า.
ครั้นได้ฟังคำขอปรึกษาของโจโฉว่าจะทำประการใดจึงจะเผด็จศึกครั้งนี้ได้ เขาฮิวจึงว่าขอเพียงแต่ท่านทำตามแผนการของข้าพเจ้าเท่านั้น รับรองว่ากองทัพของอ้วนเสี้ยวจะต้องแตกไปภายในสามวัน
โจโฉได้ฟังดังนั้นก็ตื่นเต้น เร่งเร้าให้เขาฮิวขยายความตามแผนการให้ทราบ
เขาฮิวจึงว่าการสงครามครั้งนี้ท่านย่อมแจ้งอยู่ว่ากองทัพของอ้วนเสี้ยวต้องอาศัยข้าวเป็นเสบียงถึงวันละสามแสนห้าหมื่นกิโลกรัม เสบียงจึงเป็นปัจจัยชี้ขาดแพ้ชนะของสงครามครั้งนี้ อ้วนเสี้ยวได้ซ่องสุมคลังเสบียงใหญ่ไว้ที่ตำบลอัวเจ๋าแล้วแต่งตั้งให้อิเขงเป็นนายกองเสบียงใหญ่ รับผิดชอบดูแลรักษาคลังเสบียง แต่อิเขงนั้นเป็นคนบ้าอำนาจ ลุ่มหลงในอบายมุข ชอบดื่มสุราเป็นอาจิณ ขาดความเอาใจใส่ในราชการ ทั้งทหารก็ระส่ำระสาย ดังนั้นสภาพการจึงเอื้ออำนวยให้กองทัพของท่านสามารถทำลายคลังเสบียงใหญ่ของอ้วนเสี้ยวได้สำเร็จ และหากทำลายคลังเสบียงใหญ่ของอ้วนเสี้ยวที่ตำบลอัวเจ๋าได้แล้ว กองทัพของอ้วนเสี้ยวก็จะต้องแตกถอยไปเป็นมั่นคง
โจโฉได้ฟังความนัยของกองทัพอ้วนเสี้ยวและแผนการความคิดของเขาฮิวแล้วดีใจจนหน้าตื่น ผลันลุกขึ้นยืนปรบมือแล้วว่ากองทัพอ้วนเสี้ยวจะฉิบหายเพราะความคิดของเขาฮิวท่านเป็นแน่แท้ และถามว่าท่านมีแผนการอย่างไรจึงจะทำลายคลังเสบียงที่ตำบลอัวเจ๋าให้พินาศย่อยยับไปได้
เขาฮิวจึงว่า “ขอให้ท่านแต่งทหารปลอมเป็นทหารอ้วนเสี้ยว ยกอ้อมค่ายอ้วนเสี้ยวไปตำบลอัวเจ๋า ถ้าผู้ใดทักทายก็ให้บอกว่าเป็นทหารเจียวกี๋ ซึ่งเป็นนายกองเสบียงอ้วนเสี้ยวจะไปเร่งเสบียงตำบลอัวเจ๋า ถ้าไปถึงตำบลอัวเจ๋าจึงลอบเข้าโจมตีเผาเสบียงอาหารอ้วนเสี้ยวเสีย”
แผนการของเขาฮิวครั้งนี้คือแผนการใช้เพลิงเผาคลังเสบียงของอ้วนเสี้ยว เพื่อทำลายกองทัพของอ้วนเสี้ยว นับเป็นครั้งแรกของสามก๊กที่ให้ความสำคัญในการทำลายคลังเสบียงของข้าศึกเพื่อตัดกำลังของข้าศึกไม่ให้ทำสงครามได้อีกต่อไป บีบบังคับให้ข้าศึกจำต้องถอนทัพและจะได้อาศัยช่วงโอกาสนั้นบดขยี้โจมตีทำลายกองทัพข้าศึกให้แหลกราญ ในสงครามยุคหลังได้ยกย่องนับถือยุทธวิธีทำลายคลังเสบียงข้าศึกเป็นยุทธวิธีหลักอย่างหนึ่งในการทำสงคราม นโปเลียนมหาราชนักยุทธศาสตร์สำคัญของฝรั่งเศสถึงกับกล่าวว่า “กองทัพเดินด้วยท้อง” และนำไปสู่การค้นคว้าในปัญหาทางยุทธวิธีเกี่ยวกับเสบียงอาหารทั้งเชิงรุกและเชิงรับ ซึ่งได้แก่การทำลายการป้องกันคุ้มครองคลังเสบียงให้ปลอดภัย ตลอดจนวิธีการในการลำเลียงเสบียงให้แก่กองทัพโดยไม่ขัดสนในระยะถัดมา
โจโฉได้ฟังแผนการของเขาฮิว เห็นหนทางสว่างที่จะตีกองทัพอ้วนเสี้ยวให้แตกพ่ายไปโดยอาศัยยุทธวิธีตีคลังเสบียงข้าศึก ดังนั้นทั้ง ๆ ที่ล่วงพ้นยามหนึ่งแล้ว โจโฉยังคงสั่งให้ทหารแต่งโต๊ะเอาเข้ามาเลี้ยงเขาฮิวถึงในค่าย เลี้ยงดูเขาฮิวจนอิ่มหนำสำราญแล้วชวนนอนค้างคืนอยู่ในค่ายด้วยกัน
รุ่งขึ้นโจโฉสั่งให้จัดกำลังทหารหนึ่งพันเตรียมจะยกไปตีคลังเสบียงของอ้วนเสี้ยวที่ตำบลอัวเจ๋าด้วยตนเอง
เตียวเลี้ยวนายทหารสำคัญของโจโฉทราบความก็ตกใจ รีบเข้ามาท้วงว่าอันคลังเสบียงนั้นเป็นที่สำคัญ เห็นทีอ้วนเสี้ยวจะจัดกำลังคุ้มกันอย่างแน่นหนา หากท่านยกไปคงเสียทีแก่ข้าศึก ข้าพเจ้าเห็นว่าการทั้งนี้เป็นเพราะเขาฮิวอาสาอ้วนเสี้ยวมาทำกลอุบายหลอกลวงท่าน ขอท่านจงดำริดูจงหนัก
โจโฉได้ฟังก็หัวเราะแล้วว่า ความศึกครั้งนี้ท่านอย่าได้ระแวงแคลงใจเขาฮิวเลย หากแม้นไม่ทำลายคลังเสบียงของอ้วนเสี้ยวกองทัพของเราจะปราชัยสถานเดียว ดังนั้นจึงมีแต่ต้องทำลายคลังเสบียงของอ้วนเสี้ยวให้พินาศไปก่อน
เตียวเลี้ยวเห็นโจโฉยืนยันมั่นเหมาะว่าได้ไตร่ตรองและคิดอ่านแผนการรอบคอบแล้วจึงว่า การที่ท่านคิดทำลายคลังเสบียงของอ้วนเสี้ยวนั้นชอบอยู่ แต่เกรงว่าความทราบถึงอ้วนเสี้ยวแล้วจะยกกองทัพมาโจมตีค่ายของเราก็จะเสียทีแก่ข้าศึก ควรจะได้คิดอ่านป้องกันไว้ให้ปลอดภัย
โจโฉจึงว่าการป้องกันรักษาค่ายนี้เราได้คิดอ่านป้องกันไว้เป็นอย่างดีแล้ว อย่าได้กังวลอีกเลย
ว่าแล้วโจโฉจึงสั่งให้เรียกบรรดาแม่ทัพนายกองมาที่ค่ายบัญชาการ แล้วสั่งให้ซุนฮิว กาเซี่ยง โจหอง เขาฮิว รวมสี่นายคุมทหารอยู่รักษาค่าย ให้ลิเตียนและโจหยิน คุมทหารเป็นกองซุ่มอยู่นอกค่ายซ้ายขวา ถ้าหากอ้วนเสี้ยวยกมาปล้นค่ายก็ให้รุมตีกระหนาบอย่าให้ค่ายเป็นอันตรายได้ ในส่วนกองทหารที่จะยกไปตีคลังเสบียงที่ตำบลอัวเจ๋านั้น โจโฉสั่งให้เคาทู เตียวเลี้ยว ซิหลง อิกิ๋ม คุมกำลังทหารห้าพันแต่งตัวปลอมเป็นทหารอ้วนเสี้ยว จัดธงทิวเหมือนกับกองทัพของอ้วนเสี้ยวทุกประการแล้วเตรียมฟืนฟางตลอดจนดินประสิวสำหรับเผาคลังเสบียงใส่เกวียนตามไป โดยตัวโจโฉจะคุมกองกำลังหน่วยนี้ออกไปโจมตีคลังเสบียงของอ้วนเสี้ยวด้วยตัวเอง
ครั้นเตรียมทหารพร้อมแล้วโจโฉได้ออกคำสั่งห้ามทหารพูดจาในระหว่างเดินทัพ ถ้าผู้ใดซักถามก็ให้โต้ตอบตามแผนการของเขาฮิวทุกประการ
พอตกค่ำลงโจโฉสั่งให้เคลื่อนทัพมุ่งไปทางตำบลอัวเจ๋า
ฝ่ายจอสิวซึ่งเป็นที่ปรึกษาของอ้วนเสี้ยวและถูกอ้วนเสี้ยวสั่งให้ทหารจับไปขังไว้ในคุกฐานปากเสียชอบกล่าวคัดค้านความเห็นของอ้วนเสี้ยว ในวันนั้นพอค่ำลงมองลอดจากกรงคุกออกไปเห็นค่ำแล้วแต่เมฆบนอากาศยังคงสะท้อนแสงอาทิตย์จากที่ไกลเห็นสว่างเป็นที่ประหลาด จึงคาดการณ์ว่าน่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้นทางกองทัพของอ้วนเสี้ยว ครั้นไตร่ตรองความศึกแล้วไม่เห็นทางที่จะอ้วนเสี้ยวจะปราชัยได้ด้วยประการอื่นนอกจากคลังเสบียงที่ตำบลอัวเจ๋าถูกเผาทำลาย
คิดดังนั้นอาศัยศักดิ์ศรีเก่าที่เป็นที่ปรึกษาใหญ่ของอ้วนเสี้ยวจึงเกลี้ยกล่อมผู้คุมว่าบัดนี้มีราชการสำคัญเกี่ยวกับความเป็นความตายของกองทัพ หากแก้ไขไม่ทันท่วงทีกองทัพทั้งนี้จะพินาศสิ้น ขอให้พวกผู้คุมปลดโซ่ตรวนออกแล้วพาไปพบอ้วนเสี้ยว ความชอบในการสงครามก็จะมีแก่ผู้คุมทุกคนเป็นอันมาก
พวกผู้คุมเห็นจอสิวเจรจาความใหญ่หลวงนัก หากจะไม่ทำตามคำก็เกรงภัยจะมาถึงตัวจึงถอดเครื่องจองจำจอสิวออกแล้วคุมเข้าไปพบอ้วนเสี้ยว
ในขณะนั้นอ้วนเสี้ยวกำลังเมาสุราและนอนหลับอยู่ พอทหารเข้าไปปลุกว่าจอสิวมาขอพบด้วยราชการสำคัญจึงงัวเงียลุกขึ้นแล้วสั่งให้ผู้คุมนำตัวจอสิวเข้ามาแล้วถามว่าตัวต้องโทษจองจำอยู่ มีราชการสิ่งใดจะว่ากล่าวก็ให้เร่งพูดมา
จอสิวจึงว่าข้าพเจ้าได้พิเคราะห์การในอากาศเห็นวิปริตผิดปกติจากที่เป็นมา เมื่อพลบค่ำวันนี้ท้องฟ้ายังสว่างอยู่ทางด้านตำบลอัวเจ๋า เห็นว่าคืนวันนี้ข้าศึกจะยกกองทหารเข้าโจมตีคลังเสบียงนี้เป็นมั่นคง จึงขอให้ท่านแต่งทหารไปสกัดไว้ที่ต้นทางอย่าให้ข้าศึกยกเข้าไปถึงคลังเสบียงได้
อ้วนเสี้ยวได้ฟังคำจอสิวอ้างเหตุอาเพศในการอากาศก็โกรธจึงว่า ตัวมึงปากเสียชอบกล่าวความให้เสียกำลังใจ กูจึงสั่งให้ขังมึงไว้ในคุก แล้วยังไม่เจียมตัวแส่มาแสดงความรู้อวดความโง่ให้ปรากฏอีก แล้วหันไปต่อว่าผู้คุมว่าเราสั่งให้คุมขังจอสิวไว้ ไฉนจึงล่วงอำนาจปล่อยให้จอสิวออกมาพบเรา และสั่งทหารให้เอาผู้คุมไปประหาร ส่วนจอสิวให้เอาไปคุมขังไว้ดังเก่า
จอสิวถูกคุมกลับมาที่คุก ในระหว่างทางก็ทอดถอนใจใหญ่แล้วว่ากับทหารที่คุมตัวมานั้นว่า อ้วนเสี้ยวประมาทไม่ฟังคำเราครั้งนี้คงจะเสียทีแก่ข้าศึกเป็นมั่นคง วันพรุ่งนี้ทั้งกองทัพก็จะหาหลุมฝังศพไม่ได้ ว่าแล้วก็ร้องไห้ ทหารที่คุมตัวจอสิวมาไม่โต้ตอบประการใดรีบนำจอสิวไปขังคุกไว้ตามคำสั่ง
พอพ้นยามต้นของราตรีท้องฟ้าที่สว่างมาแต่ต้นยามกลับมืดมิดสนิทด้วยคืนแรม สายลมหนาวโชยมาแรงกล้าขึ้นโดยลำดับ โจโฉนำกองทหารรุดหน้าไปตามทางมุ่งไปยังตำบลอัวเจ๋า กองตระเวนของอ้วนเสี้ยวเห็นทหารเดินทางในยามกลางคืนจึงร้องสอบถามว่าเป็นกองทหารหน่วยไหน
กองทหารของโจโฉได้ซักซ้อมกันมาเป็นอย่างดีจึงร้องตอบไปว่าเป็นกองทหารของเจียวกี๋รับคำสั่งจากอ้วนเสี้ยวให้ไปเร่งเอาเสบียงที่ตำบลอัวเจ๋า ทหารลาดตระเวนของอ้วนเสี้ยวได้ยินดังนั้น ทั้งคบไฟที่ทหารโจโฉถือสว่างต้องด้วยธงประจำกองทัพเห็นเป็นพวกเดียวกันก็สิ้นสงสัย ทหารลาดตระเวนของอ้วนเสี้ยวได้สอบถามกองทหารของโจโฉตลอดเส้นทางก็ได้รับคำตอบและเห็นเหตุการณ์เป็นอย่างเดียวกัน กองทหารของโจโฉจึงรุดหน้าไปอย่างราบรื่น
ครั้นใกล้สองยามโจโฉก็ยกทหารมาถึงตำบลอัวเจ๋า แล้วสั่งทหารให้ตีวงล้อมคลังเสบียง เข็นเอาเกวียนที่บรรทุกฟาง ฟืน เข้าไปที่คลังเสบียง จุดไฟเผาขึ้นพร้อมกันทุกด้าน ในขณะที่เพลิงลุกขึ้นที่คลังเสบียงทหารโจโฉก็โห่ร้องพร้อมกันและบุกเข้าโจมตีทหารของอิเขงซึ่งรักษาคลังเสบียงอยู่นั้น
ในขณะนั้นอิเขงนายกองเสบียงใหญ่เมาสุรานอนหลับอยู่ ได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครมก็ตกใจงัวเงียออกมาดูเหตุการณ์นอกค่าย ทหารโจโฉจึงรุมจับตัวไว้ได้แต่โดยดี
ขณะเดียวกันนั้นกุ๋ยหงวน จิ๋นฮัน เตียวโยย ซึ่งอิเขงสั่งให้เตรียมลำเลียงเสบียงจะไปส่งที่กองทัพอ้วนเสี้ยวเห็นแสงเพลิงสว่างโชติช่วงขึ้นเหนือคลังเสบียงตำบลอัวเจ๋าจึงคุมทหารจะยกมาช่วยอิเขง แต่ในที่สุดก็ถูกทหารโจโฉฆ่าตายทั้งสามคน บรรดาทหารของอ้วนเสี้ยวที่รักษาคลังเสบียงใหญ่ที่ตำบลอัวเจ๋าถูกทหารโจโฉฆ่าฟันบาดเจ็บล้มตายเป็นอันมาก ส่วนที่เหลือก็แตกหนีกระเจิดกระเจิง
ทางด้านอ้วนเสี้ยวหลังจากสั่งทหารให้เอาจอสิวไปจำขังไว้ดังเก่าก็สั่งให้ทหารเอาสุรามาดื่มต่อจนเมาสุราแล้วหลับไป ในขณะนั้นทหารที่รักษาการณ์อยู่หน้าค่ายเห็นแสงเพลิงสว่างขึ้นทางด้านตำบลอัวเจ๋า จึงเข้าไปปลุกแล้วรายงานให้อ้วนเสี้ยวทราบ
อ้วนเสี้ยวทราบความก็ตกใจผลุนผลันออกมาที่หน้าค่าย เห็นแสงเพลิงลุกโชติช่วงขึ้นจับท้องฟ้าท่ามกลางสายลมหนาวที่เย็นยะเยือกก็สะท้านขึ้นทั้งตัว คาดการณ์ได้ว่าโจโฉคงยกทหารไปเผาคลังเสบียงที่ตำบลอัวเจ๋าแล้ว จึงสั่งให้เรียกแม่ทัพนายกองเข้ามาปรึกษาว่าจะจัดการประการใด
เตียวคับและโกลำได้ขันอาสาออกไปตีกองทัพที่เผาคลังเสบียง แต่กัวเต๋าได้คัดค้านว่าคลังเสบียงที่ตำบลอัวเจ๋าเป็นคลังสำคัญ คนที่ยกมาทำการครั้งนี้คาดการว่าคงไม่ผิดจากตัวโจโฉคุมทัพไปเอง และย่อมคิดอ่านการป้องกันการตีกระหนาบหลังไว้อย่างแน่นหนา หากท่านยกไปคงจะเสียทีแก่ข้าศึก ดังนั้นแทนที่จะยกไปตีกองทหารโจโฉที่ตำบลอัวเจ๋าจึงควรเปลี่ยนเป็นการโจมตีค่ายหลวงของโจโฉคงจะได้ชัยชนะโดยง่าย
เตียวคับแย้งว่าโจโฉนั้นเป็นคนเจ้าเล่ห์เพทุบาย คงคาดหมายไว้ล่วงหน้าแล้วว่าทางฝ่ายเราคงจะคิดอ่านดังคำท่าน ดังนั้นข้าพเจ้าจึงคาดหมายว่าโจโฉจะแต่งทหารซุ่มไว้หน้าค่าย หากยกไปตีค่ายโจโฉคงจะเสียทีเป็นแน่แท้
กัวเต๋ายืนยันต่ออ้วนเสี้ยวว่าโจโฉยกไปตำบลอัวเจ๋าครั้งนี้คงเหลือทหารรักษาค่ายหลวงไว้แต่เบาบาง และคงเป็นทหารที่ไร้ฝีมือ เนื่องจากโจโฉคงพาทหารที่มีฝีมือไปด้วยตัวเองมากกว่าดังนั้นขอให้ท่านยกทหารไปตีค่ายหลวงของโจโฉคงจะได้ชัยชนะ
อ้วนเสี้ยวฟังสองฝ่ายเสนอความเห็นเป็นคนละทางดั่งนี้ไม่สามารถชั่งใจไปทางใดทางหนึ่งได้ แต่เมื่อต้องตัดสินใจเลือกทางใดทางหนึ่งจึงถือเอาตัวบุคคลเป็นหลัก โดยพิจารณาเห็นว่าเตียวคับเป็นแต่ทหารต่างกับกัวเต๋าซึ่งเป็นที่ปรึกษา เป็นนักวางแผนการศึก จึงตัดสินใจให้ดำเนินการตามความคิดของกัวเต๋าและสั่งให้เตียวคับและโกลำคุมทหารห้าพันยกไปตีค่ายหลวงของโจโฉ
แต่ในขณะเดียวกันก็ลังเล เห็นว่าหากไปสกัดตีกองทหารของโจโฉที่ไปเผาคลังเสบียงก็น่าจะได้ชัยชนะเช่นเดียวกัน จึงสั่งให้เจียวกี๋คุมทหารหมื่นหนึ่งยกไปช่วยอิเขงที่ตำบลอัวเจ๋า.