ตอนที่ 147. ยุทธวิธีใหม่ในประวัติศาสตร์สงคราม

สงครามปราบขุนศึกภาคเหนือประเดิมขึ้นด้วยการรบด้วยฝีมือทหารเอก โดยฝ่ายเมืองหลวงให้เตียวเลี้ยวออกรบ ในขณะที่ฝ่ายเมืองกิจิ๋วให้เตียวคับออกรบ ทั้งสองฝ่ายล้วนมีฝีมือสมเป็นทหารเอก กลองรบลั่นเพลงรบผ่านไปแล้วถึงห้าสิบเพลง ทั้งสองฝ่ายยังไม่สามารถเอาชัยชนะแก่กันได้

            โจโฉเห็นฝีมือรบของเตียวคับเข้มแข็งกล้าหาญก็มีใจนิยม ในขณะเดียวกันก็ต้องการเอาชัยชนะจึงสั่งให้เคาทูชักม้าออกไปในลานรบอีกคนหนึ่ง

            ฝ่ายอ้วนเสี้ยวเห็นเช่นนั้นจึงสั่งให้โกลำออกไปรบกับเคาทู

            ทหารเอกทั้งสี่นายของทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันบนหลังม้าอย่างรวดเร็วและดุเดือด ในขณะที่สี่ทหารเอกกำลังรบติดพันอยู่นั้น โจโฉสังเกตเห็นฝ่ายอ้วนเสี้ยวใจจดใจจ่ออยู่กับการรบของสี่ทหารเอกจึงหันมาสั่งแฮหัวตุ้นกับโจหองให้คุมทหารคนละสามพันวกไปโจมตีกองทัพอ้วนเสี้ยวส่วนหลังอย่าให้ทันรู้ตัว

            แผนลอบกัดของโจโฉเข้าแผนของสิมโพยที่ปรึกษาของอ้วนเสี้ยวที่ได้เตรียมกำลังทหารซุ่มไว้สองข้างทาง ดังนั้นพอกองทหารของแฮหัวตุ้นและโจหองยกวกอ้อมมา สิมโพยจึงให้จุดประทัดสัญญาณขึ้น

            กองทหารของอ้วนเสี้ยวที่ซุ่มอยู่ทั้งสองข้างทางจึงระดมยิงเกาทัณฑ์มายังกองทหารของแฮหัวตุ้นกับโจหอง ทำให้ทหารของฝ่ายโจโฉบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก เกิดระส่ำระสายขึ้น สิมโพยเห็นเป็นทีจึงสั่งให้ทหารที่ซุ่มอยู่ยกตีกระหนาบเข้ามาทั้งสองด้าน

            อ้วนเสี้ยวได้ยินเสียงประทัดสัญญาณก็รู้ว่าแผนการที่สิมโพยวางไว้บรรลุผลแล้ว จึงสั่งให้เคลื่อนกำลังทหารเข้าโจมตีกองทหารของโจโฉพร้อมกันทุกด้าน กองทหารของโจโฉกำลังตกอยู่ในความระส่ำระสายจึงพากันแตกหนี โจโฉเห็นเสียทีจึงสั่งให้ถอยทัพไปตั้งมั่นอยู่ที่เนินเขาในตำบลกัวต่อนั้น

            อ้วนเสี้ยวเห็นโจโฉถอยทัพจึงเคลื่อนกำลังไปตั้งค่ายประชิดอยู่กับค่ายของโจโฉ พอตั้งค่ายได้มั่นแล้วสิมโพยจึงเข้าไปเสนอกับอ้วนเสี้ยวว่า อันเนินเขาที่โจโฉตั้งค่ายอยู่นี้เป็นจุดยุทธศาสตร์อันสำคัญยิ่ง หากยึดจุดยุทธศาสตร์นี้ได้ก็จะมีผลต่อการคุกคามเมืองหลวง และทำให้กองทัพของฝ่ายเรากุมสถานะเป็นฝ่ายกระทำ เอื้ออำนวยทางยุทธวิธีที่จะยึดเมืองหลวงได้โดยง่าย ดังนั้นเป้าหมายการศึกในระยะแต่นี้ไปจึงต้องยึดเนินเขาในตำบลกัวต่อให้ได้

            อ้วนเสี้ยวจึงถามว่าท่านมีความคิดประการใดจึงจะยึดตำบลกัวต่อได้ สิมโพยจึงเสนอว่าโจโฉตั้งค่ายบนเนินเขาเป็นที่สูง ฝ่ายเราจะทำการไม่ถนัด จำเป็นที่จะต้องสร้างเนินดินรอบค่ายโจโฉในระยะห่างจากค่ายโจโฉห้าวาจำนวนห้าสิบเนิน ให้มีความสูงกว่าค่ายทหารของโจโฉ พร้อมแล้วให้ระดมยิงเกาทัณฑ์เข้าไปในค่าย ทหารโจโฉคงจะเสียทีเป็นมั่นคง

            อ้วนเสี้ยวเห็นชอบกับความคิดของสิมโพยจึงสั่งให้จัดกำลังทหารดำเนินการตามข้อเสนอ

            ฝ่ายโจโฉเห็นกองทัพของอ้วนเสี้ยวระดมขนดินก่อเป็นเนินสูงโดยรอบค่าย ก็เกรงว่าจะเป็นแผนการใช้พลเกาทัณฑ์ระดมยิงเข้ามาในค่าย จึงสั่งให้ยกทหารออกโจมตีทหารของอ้วนเสี้ยวที่กำลังถมเนินดินอยู่นั้น

            ทางสิมโพยเห็นทหารโจโฉยกมาขับไล่ทหารที่กำลังถมเนินดินอยู่จึงเสนออ้วนเสี้ยวให้สั่งจัดกำลังทหารอีกห้าหมื่นออกไปคุ้มกัน และระดมยิงเกาทัณฑ์สกัดไม่ให้ทหารโจโฉเข้ามารบกวนการถมเนินดินนั้นได้

            ทหารอ้วนเสี้ยวถมเนินดินอยู่ถึงสิบวัน งานถมเนินดินห้าสิบแห่งรอบค่ายโจโฉจึงสำเร็จลง อ้วนเสี้ยวจึงสั่งให้ทหารเกาทัณฑ์ขึ้นไปประจำเนินดินทั้งห้าสิบแห่ง เตรียมพร้อมรอฟังคำสั่งระดมโจมตีค่ายโจโฉพร้อมกัน

            ครั้นทุกอย่างพร้อมแล้วอ้วนเสี้ยวจึงออกคำสั่งให้พลเกาทัณฑ์ประจำเนินดินทั้งห้าสิบแห่งระดมยิงเกาทัณฑ์เข้าไปในค่ายทหารของโจโฉ

            ทหารอ้วนเสี้ยวยิงเกาทัณฑ์จากที่สูง ในขณะที่ทหารของโจโฉอยู่ในค่ายอันเป็นที่ต่ำ การยิงเกาทัณฑ์จึงแม่นยำทำให้ทหารโจโฉบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก พวกที่เหลือได้แต่เอาผนังอานม้าและโล่คอยคุ้มกัน บ้างก็ต้องขุดสนามเพลาะอยู่ในค่าย สภาพชุลมุนอลหม่านจึงเกิดขึ้นภายในค่ายของโจโฉ ทหารอ้วนเสี้ยวเห็นสภาพดังนั้นก็พากันปรบมือหัวเราะเยาะ

            ในขณะที่สภาพการข้างหนึ่งระดมยิง ข้างหนึ่งหลบหลีกดำเนินไปนั้น ภายในค่ายโจโฉจึงเกิดอลหม่านขึ้น แต่แทนที่อ้วนเสี้ยวจะถือโอกาสนั้นระดมกองทัพเจ็ดสิบหมื่นเข้าโจมตีกองทัพโจโฉพร้อมกัน กลับให้กองทัพหกสิบหมื่นตั้งมั่นอยู่ในค่าย อีกสิบหมื่นทำหน้าที่ระดมยิงเกาทัณฑ์เข้าใส่กองทัพของโจโฉทุกวัน

            ยุทธวิธีตั้งป้อมค่ายในที่สูงแล้วระดมยิงข้าศึกซึ่งตั้งอยู่ในที่ต่ำกว่านี้ด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์ซึ่งมีแต่เพียงเกาทัณฑ์เป็นหลักในยุคนั้น ไม่สามารถทำอันตรายกองทัพโจโฉให้พ่ายแพ้ย่อยยับไปได้ แต่ยุทธวิธีนี้ได้ถูกนายพลโงเหงียนเกี๊ยบ ผู้บัญชาการกองทัพประชาชนของพรรคแรงงานเวียดนามนำมาใช้ในสงครามต่อต้านฝรั่งเศส ในครั้งนั้นฝรั่งเศสได้ตั้งป้อมค่ายเดียนเบียนฟูบนเนินเขาซึ่งเป็นที่สูง แล้วใช้ปืนใหญ่ยิงถล่มไพร่พลของทหารเวียดมินต์จนกระดิกกระเดี้ยไม่ได้ ทำให้กองทัพเวียดมินต์ต้องชะงักไประยะหนึ่ง หลังจากผ่านการปรึกษาหารือจากผู้แทนของกองทัพปลดแอกประชาชนจีนแล้ว ตกลงให้ใช้ยุทธวิธีของสิมโพยในยุคสามก๊ก โดยกองทัพเวียดมินต์ได้ลำเลียงปืนใหญ่เป็นจำนวนมากลัดเลาะขึ้นไปตั้งอยู่บนยอดเขาโดยรอบป้อมเดียนเบียนฟูทุกด้าน ครั้นพร้อมแล้วก็ระดมยิงปืนใหญ่เข้าไปในป้อมเดียนเบียนฟู ซึ่งฝรั่งเศสถือว่าเป็นปราการที่เข้มแข็งและไม่มีวันแตกจนพังพินาศไป เป็นผลให้สถานการณ์สงครามระหว่างกองทัพเวียดมินต์กับกองทัพฝรั่งเศสแปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง และเป็นการแปรเปลี่ยนที่สำคัญที่ทำให้กองทัพเวียดมินต์ได้รับชัยชนะในที่สุด

            โจโฉเห็นดังนั้นจึงเรียกประชุมบรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองว่าจะรับมือกับการรบแบบนี้ได้อย่างไร เล่าหัวซึ่งเป็นนายทหารที่ปรึกษาและมีความรู้ทางวิศวกรรมจึงเสนอว่า ข้าศึกก่อเนินดินสูงกว่าค่ายของเราทำให้ข้าศึกได้เปรียบเพราะฝ่ายเราไม่สามารถตอบโต้ได้ ดังนั้นจึงขอเสนอให้จัดทำเครื่องยิงแบบใหม่ขึ้น แล้วระดมยิงทหารอ้วนเสี้ยวบนเนินดิน

            โจโฉจึงถามว่าเครื่องยิงแบบใหม่ของท่านนี้เป็นประการใด เล่าหัวจึงว่า “ทำจักรยนต์ใส่เกวียนบรรทุกก้อนศิลา รุนออกไปแต่พอพ้นค่ายตรงกองดินทั้งสี่ด้าน จึงชักสายยนต์ให้จักรพัดก้อนศิลานั้นขึ้นไป”

            การคิดเครื่องยิงชนิดใหม่ของเล่าหัวนี้นับเป็นการสร้างสรรค์อาวุธชนิดใหม่ที่มีอานุภาพร้ายแรงกว่าเกาทัณฑ์เป็นครั้งแรกของสามก๊ก แต่ลักษณะของเครื่องยิงชนิดใหม่หรือที่เรียกว่าจักรยนต์ตามที่พรรณนาในหนังสือสามก๊กทุกฉบับ ไม่อาจประจักษ์ได้ว่าเป็นรูปแบบใด

            ในพิพิธภัณฑ์ทหารของสาธารณรัฐประชาชนจีนเกี่ยวกับอาวุธที่ใช้ในยุคสามก๊กมีอาวุธชนิดนี้จำลองให้ปรากฏอยู่ มีลักษณะเป็นขาตั้งไม้สี่ขาโยงยึดกันแน่นหนาทุกจุด ด้านบนมีแกนหมุนและมีคันขวางสอดอยู่ในแกนนั้น ปลายด้านหนึ่งทำเป็นขอบกะทะ มีแผ่นหนังหรือเชือกถักร้อยเป็นแอ่งก้นกะทะสำหรับใส่ก้อนหินขนาดประมาณเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 ฟุต ปลายอีกข้างหนึ่งผูกไว้ด้วยเชือก ได้สอบถามวิธีใช้จากเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์ได้รับคำอธิบายว่าในการสงครามจะยกขาตั้งไม้นี้ใส่ไว้บนเกวียน รุนออกไปที่หน้าค่ายของข้าศึก ปล่อยแกนไม้ด้านที่เป็นแอ่งกะทะลงมาที่พื้นแล้วเอาก้อนศิลาใส่ลงไปในกะทะนั้นเหมือนกับการบรรจุกระสุน พอเสร็จแล้วจึงให้ทหารดึงปลายเชือกที่ผูกอยู่กับแกนอีกข้างหนึ่งกระดกเอาก้อนศิลานั้นให้แล่นไปยังทหารข้าศึก

            โจโฉเห็นชอบกับข้อเสนอของเล่าหัวจึงสั่งให้ทหารช่างจัดทำเครื่องจักรยนต์ขึ้นเป็นจำนวนเกือบสามร้อยชุด เสร็จแล้วบรรทุกเกวียนให้ทหารคุ้มกันรุนออกไปหน้าเนินดินที่ทหารอ้วนเสี้ยวยิงเกาทัณฑ์อยู่ในระยะห่างสามวา บรรจุก้อนศิลาเข้าในแหล่งแล้วชักสายเชือกยนต์พร้อมกัน เครื่องจักรยนต์ที่ว่านี้จึงพัดเอาก้อนศิลาไปถูกทหารอ้วนเสี้ยวบนเนินดินบาดเจ็บล้มตายลงเป็นจำนวนมาก ส่วนที่เหลือไม่สามารถรักษาเนินดินเอาไว้ได้จึงพากันถอยกลับเข้าไปในค่าย

            อ้วนเสี้ยวผู้บัญชาการศึกที่โง่เขลาเบาปัญญา แทนที่จะคิดอ่านระดมกำลังพลสิบเข้าตีหนึ่งตามคัมภีร์พิชัยสงคราม ซึ่งจะสามารถเอาชนะต่อกองทัพของโจโฉได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดกลับคิดหาวิธีแบบเด็กเล่นไปตอบโต้กองทัพโจโฉ จึงเรียกสิมโพยเข้ามาปรึกษาว่าจะทำประการใดต่อไป

            สิมโพยก็เป็นที่ปรึกษาแบบเด็กเล่นสนุกสนานจึงเสนอวิธีการรบแบบใหม่ขึ้นอีกวิธีหนึ่งเป็นครั้งแรกในสามก๊กว่า “ขอให้ท่านเกณฑ์ทหารขุดอุโมงค์เข้าไปริมค่ายของโจโฉ ครั้นสำเร็จแล้วเวลากลางคืนจึงให้ทหารลอบเข้าไปตามอุโมงค์ทะลุขึ้นในค่ายของโจโฉ ไล่ฆ่าฟันผู้คนให้วุ่นวาย ทหารโจโฉไม่รู้ตัวก็จะแตกกระจัดกระจายไป”

            อ้วนเสี้ยวฟังข้อเสนอของสิมโพยเห็นเป็นเรื่องแปลกใหม่ก็เห็นชอบ สั่งการให้ทหารช่างดำเนินการตามความเห็นของสิมโพยทุกประการ ทหารของอ้วนเสี้ยวได้เคลื่อนไปที่หลังเนินดินทั้งห้าสิบเนินแล้วขุดอุโมงค์ตามแผนการของสิมโพย

            ฝ่ายโจโฉได้ทราบข่าวจากหน่วยลาดตระเวนว่าทหารของอ้วนเสี้ยวกำลังขุดอุโมงค์แต่ไม่ทราบถึงวัตถุประสงค์เพราะไม่เคยปรากฏมาแต่กาลก่อน โจโฉจึงเรียกเล่าหัวซึ่งเป็นวิศวกรในยุคนั้นเข้ามาปรึกษาว่าอ้วนเสี้ยวทำการทั้งนี้เพื่อประสงค์สิ่งใด

            เล่าหัวได้พิเคราะห์ถึงการขุดอุโมงค์ของทหารอ้วนเสี้ยวแล้วจึงว่า “อ้วนเสี้ยวจะคิดทำการเอาชัยชนะเราซึ่งหน้านั้นมิได้ จึงทำกลอุบายให้ทหารมาขุดดินประสงค์จะเดินทางอุโมงค์เข้ามาทำร้ายเราในค่าย ขอให้ท่านเกณฑ์ทหารขุดหลุมให้กว้างลึกสกัดไว้ริมนอกค่าย เห็นทหารอ้วนเสี้ยวจะทำการเข้ามาไม่ตลอด”

            วิธีการขุดอุโมงค์และวิธีการตั้งรับตามที่สามก๊กได้พรรณนามานี้ หากเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในปัจจุบันก็ย่อมเห็นว่าเป็นเรื่องที่น่าขัน เพราะเป็นเรื่องที่เชยเต็มทีและไม่เห็นผลคุ้มได้เท่ากับที่เสีย แต่ทว่าในยุคสองพันกว่าปีก่อนนั้นการขุดอุโมงค์ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกของการสงครามในสามก๊กที่แม้คนระดับโจโฉเห็นแล้วก็ยังไม่ทราบความนัย จึงต้องปรึกษากับวิศวกร พอเล่าหัวได้ฟังความก็คาดหมายได้ถูกต้องและเสนอแผนการที่สกัดกั้นอย่างได้ผล

            ฝ่ายโจโฉมีแต่ต้องกระทำการเช่นนี้เพราะเป็นฝ่ายตั้งรับ ต่างกับฝ่ายอ้วนเสี้ยวซึ่งเป็นฝ่ายรุกและมีกำลังพลมากกว่าถึงสิบเท่า แทนที่จะใช้กำลังทหารรบภาคพื้นดินซึ่งมีอานุภาพในการรบมากกว่า กลับใช้กำลังทหารไปขุดดินทำอุโมงค์ ซึ่งสิ้นเปลืองและยากลำบาก อ้วนเสี้ยวจึงนับเป็นผู้นำทัพที่โง่เขลาเบาปัญญามากที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ แต่ทว่าความคิดสร้างสรรค์ทางยุทธวิธีชนิดนี้กลับถูกนำมาใช้ในยุคหลังอย่างพิสดาร

            ในสงครามเวียดนามระหว่างกองทัพอเมริกันและเวียดกงนั้น กองทัพอเมริกันมีความเหนือกว่าในทุกด้าน สภาพการจึงกำหนดให้ทหารเวียดกงต้องใช้แผนการรบทางยุทธวิธีเป็นสงครามอุโมงค์ โดยการขุดอุโมงค์ใต้ดินเชื่อมโยงยึดต่อเนื่องกันแทบจะทั่วใต้ผืนแผ่นดินของเวียดนาม ใช้เป็นที่เคลื่อนพลและลำเลียงอาวุธยุทโธปกรณ์ทั้งรับและรุก รวมทั้งการดัดแปลงอุโมงค์เป็นหลุมขวากหนามทำลายขวัญการรบของข้าศึกอย่างได้ผล และในปลายสงครามก็ได้เคลื่อนพลหลายแสนคนผ่านอุโมงค์เข้าตีกองทัพอเมริกันจนกระเจิดกระเจิงหนีแทบไม่ทัน 

            ในยุคที่สงครามเย็นกำลังขับเคี่ยวกันระหว่างตะวันออกกับตะวันตกและหวั่นเกรงว่าจะเกิดภัยสงครามนิวเคลียร์ขึ้น เหมาเจ๋อตงประธานคณะกรรมการการทหารแห่งกองทัพปลดแอกประชาชนจีนและผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้เสนอคำขวัญให้ทั่วทั้งประเทศตั้งรับสงครามนิวเคลียร์ว่า “ขุดอุโมงค์ให้ลึก สะสมอาหารให้มาก” เป็นผลให้มีการขุดอุโมงค์เป็นจำนวนมากสำหรับเป็นที่หลบภัยและในการตั้งรับสงครามนิวเคลียร์ทั่วทั้งปักกิ่งและหัวเมืองใหญ่ ๆ นี่ก็เป็นผลงานสืบเนื่องจากความคิดของสิมโพยในยุคของสามก๊กอีกอย่างหนึ่ง.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร