ตอนที่ 140. ดอกท้อบานสะพรั่ง
เล่าปี่พอได้รับอนุญาตจากอ้วนเสี้ยวให้ไปเกลี้ยกล่อมเล่าเปียว ความรู้สึกก็ประหนึ่งหลุดออกมาจากปากหมี กลับถึงบ้านแล้วสั่งให้ซุนเขียนรีบล่วงหน้าไปบอกข่าวให้กวนอูทราบจะได้ไม่ต้องเข้ามาที่เมืองกิจิ๋วโดยเล่าปี่จะตามไปพบ ซุนเขียนไปพบกวนอูตามคำสั่ง แล้วตั้งตารอเล่าปี่ที่เส้นทางซึ่งเล่าปี่จะต้องตามมา
เล่าปี่และกันหยงพอพ้นจากประตูเมืองกิจิ๋วก็เร่งรีบเดินทาง ครั้นมาถึงใกล้จุดนัดหมายที่นัดไว้กับซุนเขียน เห็นซุนเขียนและกวนอูกับทหารที่ติดตามมารอต้อนรับอยู่ก็ดีใจ
ทางด้านกวนอูเห็นเล่าปี่ก็รีบลงจากหลังม้าตรงเข้าไปหาพี่ใหญ่ สองพี่น้องสวมกอดกันด้วยความดีใจ ละล่ำละลักทักทายกันด้วยความห่วงใยอย่างลึกซึ้ง ต่างฝ่ายต่างเล่าความข้างหลังแต่โดยย่อให้อีกฝ่ายหนึ่งได้ทราบ แล้วกวนอูจึงพาเล่าปี่เข้าไปที่บ้านของกวนเต๋ง
กวนเต๋งเห็นกวนอูนำเล่าปี่เข้ามาในบ้าน ดูบุคลิกลักษณะแล้วคาดเดาได้ว่าคนผู้นี้คือพระเจ้าอาเล่าปี่ วีรชนในอุดมคติของตน จึงรีบเรียกบุตรทั้งสองแล้วพร้อมกันเข้าไปคำนับเล่าปี่
เล่าปี่เห็นกวนเต๋งและบุตรทั้งสองก็รู้สึกสนิทสนมตั้งแต่ครั้งแรกพบ จึงถามว่าท่านกับบุตรทั้งสองนี้ชื่ออะไร กวนอูได้ยินก็ชี้มือไปที่กวนเต๋ง ตอบคำถามเล่าปี่เสียเองว่านี่คือกวนเต๋ง เป็นคนแซ่เดียวกับข้าพเจ้า ที่คุกเข่าอยู่ขวามือคือกวนเหล็ง เป็นบุตรคนโต ส่วนที่คุกเข่าอยู่ซ้ายมือคือกวนเป๋ง เป็นบุตรคนเล็ก
กวนเต๋งมีความเลื่อมใสเล่าปี่มาแต่เดิม ครั้นได้เห็นน้ำใจโอบอ้อมอารีที่เอาใจใส่ตัวซึ่งเป็นเพียงคนบ้านป่าก็ยิ่งเพิ่มความศรัทธาเลื่อมใส จึงกล่าวกับเล่าปี่ว่าข้าพเจ้าตั้งใจจะยกกวนเป๋งบุตรคนเล็กให้ไปรับราชการอยู่กับกวนอู แต่เกรงว่าท่านจะไม่ทราบความ ทั้งเกรงว่ากวนอูจะไม่กล้ารับ บัดนี้ได้พบท่านแล้วจึงขอดำริต่อท่าน
เล่าปี่จึงถามว่ากวนเป๋งเวลานี้อายุได้เท่าใด กวนเต๋งตอบว่าบัดนี้กวนเป๋งอายุได้สิบห้าปีแล้ว มีความสนใจศึกษาเรื่องอาวุธ
เล่าปี่จึงว่าซึ่งท่านจะยกบุตรให้ไปอยู่ด้วยกวนอูนั้นเรามีความยินดีด้วย และเห็นว่าขณะนี้กวนอูยังไม่มีบุตร ดังนั้นจึงออกปากขอบุตรท่านให้เป็นบุตรบุญธรรมของกวนอู
กวนเต๋งยินคำเล่าปี่ที่ให้ความเมตตาแก่ตัวเกินกว่าที่คาดคิดก็รีบค้อมตัวคำนับจนศีรษะจรดพื้น แล้วว่าพระคุณท่านครั้งนี้ประดุจผืนดินและแผ่นฟ้าที่ข้าพเจ้าและครอบครัวจะจารึกไว้ไม่มีวันลืมเลือน กวนเต๋งหันหน้ามาทางกวนอู คำนับแล้วว่านับแต่เวลานี้ไปข้าพเจ้าขอยกกวนเป๋งบุตรคนเล็กให้เป็นบุตรบุญธรรมของท่าน
กวนอูได้ฟังก็ดีใจ พยักหน้าเป็นทีเห็นด้วยและน้อมปฏิบัติตาม
กวนเต๋งได้หันมาสั่งกวนเป๋งผู้บุตรให้รีบคารวะขอบคุณเล่าปี่และกวนอู
กวนเป๋งเป็นเด็กเฉลียวฉลาดและรู้ธรรมเนียมเป็นอย่างดี ได้ยินคำบิดาก็เดินมาตรงหน้าเล่าปี่ คุกเข่าลงกับพื้นคำนับแล้วเรียกเล่าปี่ว่าขอบคุณท่านลุง จากนั้นจึงลุกมาคุกเข่าลงกับพื้นตรงหน้ากวนอู คำนับจนศีรษะจรดเท้ากวนอูแล้วว่ากวนเป๋งขอคารวะท่านพ่อ
กวนอูเห็นดังนั้นจึงก้มลงเอามือประคองกวนเป๋งให้ลุกขึ้นแล้วกล่าวช้า ๆ ว่ากวนเป๋งลูกเรา
เล่าปี่เห็นกวนอูรับกวนเป๋งเป็นบุตรบุญธรรมแล้วจึงว่าเราจะอยู่ที่นี่นานไม่ได้เพราะยังอยู่ในเขตเมืองกิจิ๋ว หากอ้วนเสี้ยวได้คิดแล้วเกิดระแวงสงสัยให้คนติดตามมา ปัญหาที่ไม่คาดคิดก็อาจเกิดขึ้นได้ เราควรจะรีบไปให้พ้นเขตเมืองกิจิ๋วโดยเร็วที่สุด
กวนอูจึงว่าข้าพเจ้าพร้อมเดินทางอยู่แล้ว รอฟังแต่คำสั่งของพี่ใหญ่เท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้เล่าปี่ กวนอู จึงให้กวนเป๋งจัดเตรียมข้าวของ เสร็จแล้วคำนับลากวนเต๋งพา ทหารทั้งปวงที่ติดตามมาตรงไปเมืองเก๋าเซีย
ครั้นมาใกล้ถึงทางแยกที่จะไปยังเขาโงจิวสัน กวนอูได้เร่งม้าล่วงหน้าไปที่ทางแยกก่อนด้วยหวังว่าจะได้ทักทายพูดจากับจิวฉองและหุยง่วนเสียวให้เตรียมการต้อนรับเล่าปี่ผู้พี่ใหญ่
พอมาถึงทางแยกภาพที่เห็นกลับผิดความคาดหมาย กวนอูเห็นจิวฉองและพรรคพวกที่ติดตามมาราวสามสิบคนมีเลือดไหลท่วมกายทั้งไพร่ทั้งพล ยังไม่ทันที่จะได้ว่ากล่าวประการใด เล่าปี่ก็นำคณะมาถึง
กวนอูได้แนะนำจิวฉองต่อเล่าปี่ จิวฉองและพรรคพวกที่ตามมารีบลงจากหลังม้า คุกเข่าคารวะเล่าปี่
เล่าปี่เห็นจิวฉองและพรรคพวกต้องอาวุธบาดเจ็บ มีเลือดไหลทั่วกายก็สงสัยจึงถามว่า นี่เป็นเรื่องราวใดกัน
จิวฉองจึงรายงานว่ากวนอูได้สั่งให้ข้าพเจ้าไปบอกหุยง่วนเสียวให้พาพรรคพวกมารอรับท่านอยู่ที่นี่ แต่ปรากฏว่าเมื่อไปถึงจึงได้ทราบข่าวว่ามีทหารคนหนึ่งรูปร่างสูงใหญ่ สง่างาม ได้เดินทางไปที่เขาโงจิวสัน พรรคพวกของหุยง่วนเสียวเห็นม้าของทหารผู้นี้ก็อยากได้จึงเข้าชิงเอา แต่ฝีมือของทหารผู้นี้จัดจ้านยิ่งนัก เพียงพริบตาทหารของหุยง่วนเสียวก็บาดเจ็บทุกตัวคน แล้วไปตามหุยง่วนเสียวออกมาช่วย
แล้วว่าหุยง่วนเสียวต่อสู้กับทหารคนนี้ไม่สิ้นเพลงก็ถูกทหารผู้นี้ฆ่าตาย แล้วคุมเอาพรรคพวกของหุยง่วนเสียวไว้เป็นพวก ตั้งมั่นอยู่ที่เขาโงจิวสัน พอข้าพเจ้าไปถึงเขาโงจิวสันก็ได้ต่อสู้กับทหารคนนี้ แต่สู้ฝีมือไม่ได้จึงได้รับบาดเจ็บทั่วทุกตัวคน
เล่าปี่ได้ฟังคำจิวฉองก็ฉุกใจคิดว่าทหารผู้นี้เป็นใครหนอ จึงมีฝีมือกล้าแข็ง แต่ดูลักษณาการของจิวฉองและทหารที่บาดเจ็บแล้วประจักษ์ชัดว่าทหารผู้นั้นมิได้มุ่งหมายเอาชีวิต ทุกคนจึงรอดตายมาได้ จึงถามจิวฉองว่าทหารคนนี้มีชื่ออะไร ท่านรู้จักหรือไม่
จิวฉองจึงว่าจนถึงบัดนี้ก็ไม่มีใครรู้จักว่าทหารผู้นี้มีชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไร และมาจากที่ไหน
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็สงสัย ในขณะที่ใจก็ระลึกไปถึงจูล่งชาวเสียงสาน ทหารเอกของกองซุนจ้าน ซึ่งได้ตั้งความปรารถนาร่วมกันไว้แต่ก่อนว่าหากบุญมี วันหน้าคงจะได้มาอยู่ด้วยกัน จึงสั่งให้จิวฉองนำทางไปที่เขาโงจิวสัน
จิวฉองพาทหารรีบรุดไปข้างหน้าถึงเขาโงจิวสันก่อนก็ร้องท้าทายให้ทหารนิรนามซึ่งบัดนี้คุมพรรคพวกของหุยง่วนเสียวไว้ให้ออกมารบ จิวฉองร้องท้าทายอยู่ไม่นานก็เห็นทหารผู้นั้นขี่ม้าใส่เกราะถือทวนนำหน้าพรรคพวกลงมาจากเนินเขา
เล่าปี่ตามจิวฉองมาถึงก็พอดีที่ทหารตัวนายนำหน้าพวกลงมาจากเนินเขา เล่าปี่เห็นแต่ไกลก็จำได้ว่าเป็นจูล่งจึงชักม้าออกไปหน้าขบวน โบกมือขวาขึ้นเป็นทีทักทาย
จูล่งนำพวกมาตามคำท้าของจิวฉอง แต่พอเห็นเล่าปี่ยืนม้าอยู่ข้างหน้าทหารก็ดีใจ รีบขี่ม้าตรงเข้ามาที่เล่าปี่ ลงจากหลังม้าวางทวนลงกับพื้นแล้วคุกเข่าคำนับเล่าปี่
เล่าปี่และกวนอูเห็นเช่นนั้นจึงรีบลงจากหลังม้า ตัวเล่าปี่ตรงเข้าไปประคองจูล่งให้ลุกขึ้นแล้วว่าไม่พบกันเสียนาน ไฉนท่านจึงมาอยู่เสียที่นี่
จูล่งจึงว่าหลังจากแยกกับท่านเมื่อครั้งก่อนแล้วข้าพเจ้าได้ติดตามกองซุนจ้านไปตามเดิม ต่อมาอ้วนเสี้ยวยกกองทัพไปรบกับกองซุนจ้าน แต่กองซุนจ้านประมาททำการสงครามเอาแต่ใจตัว ไม่ฟังคำที่ปรึกษาทั้งปวงจึงเสียทีแก่อ้วนเสี้ยวจนตัวตาย อ้วนเสี้ยวได้ให้ทหารมาเกลี้ยกล่อมข้าพเจ้าหลายครั้งหลายหน แต่ข้าพเจ้าไม่ปลงใจด้วย เพราะได้สัญญาไว้กับท่านว่าจะมาอยู่ด้วยกัน จึงออกติดตามหาท่าน พอมาถึงกลางทางจึงทราบว่าท่านเสียทีแก่โจโฉและไปอยู่กับอ้วนเสี้ยวที่เมืองกิจิ๋ว ส่วนกวนอูไปอยู่กับโจโฉแต่เกรงว่าหากไปหาท่านที่เมืองกิจิ๋วก็จะถูกอ้วนเสี้ยวทำอันตรายจึงรั้งรอโอกาสอยู่ ในขณะที่ข้าพเจ้ามาถึงที่นี่ถูกกลุ่มโจรที่นำโดยหุยง่วนเสียวจะปล้นชิงเอาม้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงฆ่าหุยง่วนเสียวเสีย แล้วคุมพวกโจรตั้งอยู่ที่เขาโงจิวสัน จึงได้มาพบท่าน ณ บัดนี้
เล่าปี่ กวนอู ได้เล่าความแต่หนหลังให้จูล่งฟังเช่นเดียวกัน แล้วเล่าปี่จึงว่า “เราได้พบท่านเมื่ออยู่กับกองซุนจ้านนั้น เราก็มีความรักท่านอยู่เป็นอันมาก ยังหาบุญไม่จึงมิได้มาอยู่ร่วมคิดด้วยกัน บัดนี้บุญเรามาถึงแล้วจึงเผอิญให้มาพบกัน”
จูล่งได้ฟังคำเล่าปี่ก็ค้อมศีรษะลงแล้วว่า “แต่ข้าพเจ้าเที่ยวมาทุกเมือง จะหาที่พึ่งซึ่งมีน้ำใจโอบอ้อมอารีเหมือนท่านนี้ก็ไม่มี บัดนี้เป็นบุญของข้าพเจ้าได้กลับมาพบท่าน ข้าพเจ้าจะขออยู่เป็นบ่าวท่าน ถึงมาตรว่าจะได้ยากลำบากเป็นประการใด ข้าพเจ้าจะขออาสาไปกว่าจะสิ้นชีวิต”
เล่าปี่ได้ยินเช่นนั้นก็ยินดี เข้ามาสวมกอดจูล่งไว้ จากนั้นเอามือทั้งสองกุมมือทั้งสองของจูล่งแล้วว่านับแต่บัดนี้พวกเราก็เหมือนคนในครอบครัวเดียวกัน ว่าแล้วเล่าปี่ได้นำคณะเดินทางไปเมืองเก๋าเซีย
ครั้นพอใกล้เขตเมืองกวนอูจึงสั่งให้ทหารรีบล่วงหน้าไปแจ้งข่าวให้เตียวหุยทราบ พอเตียวหุยทราบว่าเล่าปี่กำลังมาเมืองเก๋าเซียก็ดีใจ รีบพาบิต๊ก บิฮองและทหารยกออกมาต้อนรับเล่าปี่ที่นอกเมือง ทักทายกันตามประสาพี่น้องแล้ว เตียวหุยจึงนำเล่าปี่และคณะกลับเข้าไปในเมือง
พอถึงจวน สองฮูหยินของเล่าปี่ซึ่งได้ทราบข่าวคราวของเล่าปี่แล้วได้ออกมาตั้งตารอที่หน้าประตูจวน ครั้นเห็นเล่าปี่เดินเข้ามา สองฮูหยินจึงคุกเข่าลงกับพื้นคำนับ เล่าปี่ได้เข้ามาประคองทั้งสองฮูหยินให้ลุกขึ้นด้วยความยินดี ต่างฝ่ายต่างเล่าความหลังให้แก่กันฟังทุกประการ
เล่าปี่ได้ฟังความจากสองฮูหยินแล้วก็กล่าวสรรเสริญกวนอูว่าน้องเราผู้นี้ดำรงความภักดีสัตย์ซื่อหาผู้ใดเสมอเหมือนมิได้
เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย สามพี่น้องแห่งสวนท้อได้กลับมาพร้อมหน้ากันอีกครั้งหนึ่ง ทั้งจูล่งขุนศึกสำคัญที่เล่าปี่ตั้งความปรารถนามาช้านานที่จะได้ตัวมาร่วมทำการก็ได้มาอยู่ด้วยสมความปรารถนา ทั้งพร้อมหน้าด้วยฮูหยินทั้งสอง ตลอดจนซุนเขียน บิต๊ก บิฮอง และกันหยง ที่ปรึกษา บรรยากาศของความดีใจ ของความสุขใจที่ได้พร้อมหน้ากันอีกครั้งหนึ่งจึงสร้างความเบิกบานใจให้เกิดขึ้นแก่ทุกผู้คน
เตียวหุยเห็นเป็นโอกาสอันดีที่พี่น้องและผองเพื่อน ตลอดจนคณะผู้ร่วมงานได้มาพร้อมหน้ากันครั้งนี้จึงสั่งการเจ้าหน้าที่ให้แต่งการพิธีบูชาบวงสรวงขอบคุณเทพยดาฟ้าดินที่ได้ปกปักษ์รักษาและดลบันดาลให้ทุกคนได้มาพร้อมหน้ากัน จากนั้นจึงสั่งให้จัดโต๊ะเลี้ยงบรรดาขุนนาง ที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองทั้งปวง
เสร็จการนั้นแล้วเล่าปี่จึงเรียกกวนอู เตียวหุย จูล่ง และที่ปรึกษาทั้งปวงมาปรึกษาว่าเมืองเก๋าเซียที่เราอยู่ ณ บัดนี้เป็นหัวเมืองเล็กชั้นจัตวา ผู้คนก็น้อย เสบียงอาหารก็ขัดสน ไม่สามารถใช้เป็นที่ตั้งมั่นทำการใหญ่ได้ ควรจะยกไปตั้งหลักอยู่ที่เมืองยีหลำซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่กว่าเมืองเก๋าเซีย
ในขณะที่กำลังปรึกษาอยู่นั้น ทหารรักษาการได้เข้ามารายงานว่าเล่าเพ็กและก๋งเต๋าให้พลเดินสารถือหนังสือมาจากเมืองยีหลำ เล่าปี่จึงสั่งให้ทหารนำพลเดินสารเข้ามาพบ และรับสารของเล่าเพ็ก ก๋งเต๋ามาเปิดอ่าน
ในสารของเล่าเพ็กและก๋งเต๋ามีเนื้อความว่าเล่าเพ็กและก๋งเต๋าขอคารวะมายังพระเจ้าอาเล่าปี่ ด้วยบัดนี้ข้าพเจ้าได้ทราบว่าท่านได้มาอยู่เมืองเก๋าเซียแล้ว แต่เห็นว่าเมืองเก๋าเซียเป็นเมืองเล็ก ไม่สามารถใช้เป็นที่มั่นได้ จึงขอเชิญให้ท่านยกไปตั้งอยู่ที่เมืองยีหลำซึ่งเป็นหัวเมืองใหญ่กว่า จะได้คิดอ่านทำการใหญ่สืบไปเมื่อหน้า
เล่าปี่เห็นหนังสือก็มีใจยินดี สั่งให้ยกทหารและครอบครัวทั้งสิ้นจากเมืองเก๋าเซียไปอยู่เมืองยีหลำ
ฝ่ายอ้วนเสี้ยวทราบข่าวว่าเล่าปี่บิดพลิ้วไม่ไปเกลี้ยกล่อมเล่าเปียว จึงเรียกที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองมาปรึกษาว่าจะยกกองทัพไปจับตัวเล่าปี่ แต่กัวเต๋าได้ทัดทานว่าศัตรูที่แท้จริงของท่านคือโจโฉไม่ใช่เล่าปี่ จึงไม่ควรที่ท่านจะยกกองทัพไปรบกับเล่าปี่ เพราะเท่ากับเป็นการทำลายพันธมิตรและโจโฉอาจฉวยโอกาสยกกองทัพมาตีเมืองกิจิ๋ว การที่เล่าปี่ไปตั้งหลักอยู่เมืองยีหลำ ถึงอย่างไรก็ย่อมเป็นพันธมิตรกับท่าน เพราะต่างเป็นปฏิปักษ์ด้วยโจโฉ ภาระหน้าที่เฉพาะหน้านี้ก็คือต้องเกลี้ยกล่อมซุนเซ็กเจ้าเมืองกังตั๋ง ซึ่งมีหัวเมืองขึ้นถึงหกหัวเมือง ข้าวปลาอาหาร ผู้คนก็บริบูรณ์
อ้วนเสี้ยวเห็นด้วยกับข้อเสนอของกัวเต๋า จึงแต่งหนังสือแล้วตั้งตันจิ๋นเป็นทูตไปเกลี้ยกล่อมซุนเซ็ก ณ เมืองกังตั๋ง.
เล่าปี่และกันหยงพอพ้นจากประตูเมืองกิจิ๋วก็เร่งรีบเดินทาง ครั้นมาถึงใกล้จุดนัดหมายที่นัดไว้กับซุนเขียน เห็นซุนเขียนและกวนอูกับทหารที่ติดตามมารอต้อนรับอยู่ก็ดีใจ
ทางด้านกวนอูเห็นเล่าปี่ก็รีบลงจากหลังม้าตรงเข้าไปหาพี่ใหญ่ สองพี่น้องสวมกอดกันด้วยความดีใจ ละล่ำละลักทักทายกันด้วยความห่วงใยอย่างลึกซึ้ง ต่างฝ่ายต่างเล่าความข้างหลังแต่โดยย่อให้อีกฝ่ายหนึ่งได้ทราบ แล้วกวนอูจึงพาเล่าปี่เข้าไปที่บ้านของกวนเต๋ง
กวนเต๋งเห็นกวนอูนำเล่าปี่เข้ามาในบ้าน ดูบุคลิกลักษณะแล้วคาดเดาได้ว่าคนผู้นี้คือพระเจ้าอาเล่าปี่ วีรชนในอุดมคติของตน จึงรีบเรียกบุตรทั้งสองแล้วพร้อมกันเข้าไปคำนับเล่าปี่
เล่าปี่เห็นกวนเต๋งและบุตรทั้งสองก็รู้สึกสนิทสนมตั้งแต่ครั้งแรกพบ จึงถามว่าท่านกับบุตรทั้งสองนี้ชื่ออะไร กวนอูได้ยินก็ชี้มือไปที่กวนเต๋ง ตอบคำถามเล่าปี่เสียเองว่านี่คือกวนเต๋ง เป็นคนแซ่เดียวกับข้าพเจ้า ที่คุกเข่าอยู่ขวามือคือกวนเหล็ง เป็นบุตรคนโต ส่วนที่คุกเข่าอยู่ซ้ายมือคือกวนเป๋ง เป็นบุตรคนเล็ก
กวนเต๋งมีความเลื่อมใสเล่าปี่มาแต่เดิม ครั้นได้เห็นน้ำใจโอบอ้อมอารีที่เอาใจใส่ตัวซึ่งเป็นเพียงคนบ้านป่าก็ยิ่งเพิ่มความศรัทธาเลื่อมใส จึงกล่าวกับเล่าปี่ว่าข้าพเจ้าตั้งใจจะยกกวนเป๋งบุตรคนเล็กให้ไปรับราชการอยู่กับกวนอู แต่เกรงว่าท่านจะไม่ทราบความ ทั้งเกรงว่ากวนอูจะไม่กล้ารับ บัดนี้ได้พบท่านแล้วจึงขอดำริต่อท่าน
เล่าปี่จึงถามว่ากวนเป๋งเวลานี้อายุได้เท่าใด กวนเต๋งตอบว่าบัดนี้กวนเป๋งอายุได้สิบห้าปีแล้ว มีความสนใจศึกษาเรื่องอาวุธ
เล่าปี่จึงว่าซึ่งท่านจะยกบุตรให้ไปอยู่ด้วยกวนอูนั้นเรามีความยินดีด้วย และเห็นว่าขณะนี้กวนอูยังไม่มีบุตร ดังนั้นจึงออกปากขอบุตรท่านให้เป็นบุตรบุญธรรมของกวนอู
กวนเต๋งยินคำเล่าปี่ที่ให้ความเมตตาแก่ตัวเกินกว่าที่คาดคิดก็รีบค้อมตัวคำนับจนศีรษะจรดพื้น แล้วว่าพระคุณท่านครั้งนี้ประดุจผืนดินและแผ่นฟ้าที่ข้าพเจ้าและครอบครัวจะจารึกไว้ไม่มีวันลืมเลือน กวนเต๋งหันหน้ามาทางกวนอู คำนับแล้วว่านับแต่เวลานี้ไปข้าพเจ้าขอยกกวนเป๋งบุตรคนเล็กให้เป็นบุตรบุญธรรมของท่าน
กวนอูได้ฟังก็ดีใจ พยักหน้าเป็นทีเห็นด้วยและน้อมปฏิบัติตาม
กวนเต๋งได้หันมาสั่งกวนเป๋งผู้บุตรให้รีบคารวะขอบคุณเล่าปี่และกวนอู
กวนเป๋งเป็นเด็กเฉลียวฉลาดและรู้ธรรมเนียมเป็นอย่างดี ได้ยินคำบิดาก็เดินมาตรงหน้าเล่าปี่ คุกเข่าลงกับพื้นคำนับแล้วเรียกเล่าปี่ว่าขอบคุณท่านลุง จากนั้นจึงลุกมาคุกเข่าลงกับพื้นตรงหน้ากวนอู คำนับจนศีรษะจรดเท้ากวนอูแล้วว่ากวนเป๋งขอคารวะท่านพ่อ
กวนอูเห็นดังนั้นจึงก้มลงเอามือประคองกวนเป๋งให้ลุกขึ้นแล้วกล่าวช้า ๆ ว่ากวนเป๋งลูกเรา
เล่าปี่เห็นกวนอูรับกวนเป๋งเป็นบุตรบุญธรรมแล้วจึงว่าเราจะอยู่ที่นี่นานไม่ได้เพราะยังอยู่ในเขตเมืองกิจิ๋ว หากอ้วนเสี้ยวได้คิดแล้วเกิดระแวงสงสัยให้คนติดตามมา ปัญหาที่ไม่คาดคิดก็อาจเกิดขึ้นได้ เราควรจะรีบไปให้พ้นเขตเมืองกิจิ๋วโดยเร็วที่สุด
กวนอูจึงว่าข้าพเจ้าพร้อมเดินทางอยู่แล้ว รอฟังแต่คำสั่งของพี่ใหญ่เท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้เล่าปี่ กวนอู จึงให้กวนเป๋งจัดเตรียมข้าวของ เสร็จแล้วคำนับลากวนเต๋งพา ทหารทั้งปวงที่ติดตามมาตรงไปเมืองเก๋าเซีย
ครั้นมาใกล้ถึงทางแยกที่จะไปยังเขาโงจิวสัน กวนอูได้เร่งม้าล่วงหน้าไปที่ทางแยกก่อนด้วยหวังว่าจะได้ทักทายพูดจากับจิวฉองและหุยง่วนเสียวให้เตรียมการต้อนรับเล่าปี่ผู้พี่ใหญ่
พอมาถึงทางแยกภาพที่เห็นกลับผิดความคาดหมาย กวนอูเห็นจิวฉองและพรรคพวกที่ติดตามมาราวสามสิบคนมีเลือดไหลท่วมกายทั้งไพร่ทั้งพล ยังไม่ทันที่จะได้ว่ากล่าวประการใด เล่าปี่ก็นำคณะมาถึง
กวนอูได้แนะนำจิวฉองต่อเล่าปี่ จิวฉองและพรรคพวกที่ตามมารีบลงจากหลังม้า คุกเข่าคารวะเล่าปี่
เล่าปี่เห็นจิวฉองและพรรคพวกต้องอาวุธบาดเจ็บ มีเลือดไหลทั่วกายก็สงสัยจึงถามว่า นี่เป็นเรื่องราวใดกัน
จิวฉองจึงรายงานว่ากวนอูได้สั่งให้ข้าพเจ้าไปบอกหุยง่วนเสียวให้พาพรรคพวกมารอรับท่านอยู่ที่นี่ แต่ปรากฏว่าเมื่อไปถึงจึงได้ทราบข่าวว่ามีทหารคนหนึ่งรูปร่างสูงใหญ่ สง่างาม ได้เดินทางไปที่เขาโงจิวสัน พรรคพวกของหุยง่วนเสียวเห็นม้าของทหารผู้นี้ก็อยากได้จึงเข้าชิงเอา แต่ฝีมือของทหารผู้นี้จัดจ้านยิ่งนัก เพียงพริบตาทหารของหุยง่วนเสียวก็บาดเจ็บทุกตัวคน แล้วไปตามหุยง่วนเสียวออกมาช่วย
แล้วว่าหุยง่วนเสียวต่อสู้กับทหารคนนี้ไม่สิ้นเพลงก็ถูกทหารผู้นี้ฆ่าตาย แล้วคุมเอาพรรคพวกของหุยง่วนเสียวไว้เป็นพวก ตั้งมั่นอยู่ที่เขาโงจิวสัน พอข้าพเจ้าไปถึงเขาโงจิวสันก็ได้ต่อสู้กับทหารคนนี้ แต่สู้ฝีมือไม่ได้จึงได้รับบาดเจ็บทั่วทุกตัวคน
เล่าปี่ได้ฟังคำจิวฉองก็ฉุกใจคิดว่าทหารผู้นี้เป็นใครหนอ จึงมีฝีมือกล้าแข็ง แต่ดูลักษณาการของจิวฉองและทหารที่บาดเจ็บแล้วประจักษ์ชัดว่าทหารผู้นั้นมิได้มุ่งหมายเอาชีวิต ทุกคนจึงรอดตายมาได้ จึงถามจิวฉองว่าทหารคนนี้มีชื่ออะไร ท่านรู้จักหรือไม่
จิวฉองจึงว่าจนถึงบัดนี้ก็ไม่มีใครรู้จักว่าทหารผู้นี้มีชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไร และมาจากที่ไหน
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็สงสัย ในขณะที่ใจก็ระลึกไปถึงจูล่งชาวเสียงสาน ทหารเอกของกองซุนจ้าน ซึ่งได้ตั้งความปรารถนาร่วมกันไว้แต่ก่อนว่าหากบุญมี วันหน้าคงจะได้มาอยู่ด้วยกัน จึงสั่งให้จิวฉองนำทางไปที่เขาโงจิวสัน
จิวฉองพาทหารรีบรุดไปข้างหน้าถึงเขาโงจิวสันก่อนก็ร้องท้าทายให้ทหารนิรนามซึ่งบัดนี้คุมพรรคพวกของหุยง่วนเสียวไว้ให้ออกมารบ จิวฉองร้องท้าทายอยู่ไม่นานก็เห็นทหารผู้นั้นขี่ม้าใส่เกราะถือทวนนำหน้าพรรคพวกลงมาจากเนินเขา
เล่าปี่ตามจิวฉองมาถึงก็พอดีที่ทหารตัวนายนำหน้าพวกลงมาจากเนินเขา เล่าปี่เห็นแต่ไกลก็จำได้ว่าเป็นจูล่งจึงชักม้าออกไปหน้าขบวน โบกมือขวาขึ้นเป็นทีทักทาย
จูล่งนำพวกมาตามคำท้าของจิวฉอง แต่พอเห็นเล่าปี่ยืนม้าอยู่ข้างหน้าทหารก็ดีใจ รีบขี่ม้าตรงเข้ามาที่เล่าปี่ ลงจากหลังม้าวางทวนลงกับพื้นแล้วคุกเข่าคำนับเล่าปี่
เล่าปี่และกวนอูเห็นเช่นนั้นจึงรีบลงจากหลังม้า ตัวเล่าปี่ตรงเข้าไปประคองจูล่งให้ลุกขึ้นแล้วว่าไม่พบกันเสียนาน ไฉนท่านจึงมาอยู่เสียที่นี่
จูล่งจึงว่าหลังจากแยกกับท่านเมื่อครั้งก่อนแล้วข้าพเจ้าได้ติดตามกองซุนจ้านไปตามเดิม ต่อมาอ้วนเสี้ยวยกกองทัพไปรบกับกองซุนจ้าน แต่กองซุนจ้านประมาททำการสงครามเอาแต่ใจตัว ไม่ฟังคำที่ปรึกษาทั้งปวงจึงเสียทีแก่อ้วนเสี้ยวจนตัวตาย อ้วนเสี้ยวได้ให้ทหารมาเกลี้ยกล่อมข้าพเจ้าหลายครั้งหลายหน แต่ข้าพเจ้าไม่ปลงใจด้วย เพราะได้สัญญาไว้กับท่านว่าจะมาอยู่ด้วยกัน จึงออกติดตามหาท่าน พอมาถึงกลางทางจึงทราบว่าท่านเสียทีแก่โจโฉและไปอยู่กับอ้วนเสี้ยวที่เมืองกิจิ๋ว ส่วนกวนอูไปอยู่กับโจโฉแต่เกรงว่าหากไปหาท่านที่เมืองกิจิ๋วก็จะถูกอ้วนเสี้ยวทำอันตรายจึงรั้งรอโอกาสอยู่ ในขณะที่ข้าพเจ้ามาถึงที่นี่ถูกกลุ่มโจรที่นำโดยหุยง่วนเสียวจะปล้นชิงเอาม้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงฆ่าหุยง่วนเสียวเสีย แล้วคุมพวกโจรตั้งอยู่ที่เขาโงจิวสัน จึงได้มาพบท่าน ณ บัดนี้
เล่าปี่ กวนอู ได้เล่าความแต่หนหลังให้จูล่งฟังเช่นเดียวกัน แล้วเล่าปี่จึงว่า “เราได้พบท่านเมื่ออยู่กับกองซุนจ้านนั้น เราก็มีความรักท่านอยู่เป็นอันมาก ยังหาบุญไม่จึงมิได้มาอยู่ร่วมคิดด้วยกัน บัดนี้บุญเรามาถึงแล้วจึงเผอิญให้มาพบกัน”
จูล่งได้ฟังคำเล่าปี่ก็ค้อมศีรษะลงแล้วว่า “แต่ข้าพเจ้าเที่ยวมาทุกเมือง จะหาที่พึ่งซึ่งมีน้ำใจโอบอ้อมอารีเหมือนท่านนี้ก็ไม่มี บัดนี้เป็นบุญของข้าพเจ้าได้กลับมาพบท่าน ข้าพเจ้าจะขออยู่เป็นบ่าวท่าน ถึงมาตรว่าจะได้ยากลำบากเป็นประการใด ข้าพเจ้าจะขออาสาไปกว่าจะสิ้นชีวิต”
เล่าปี่ได้ยินเช่นนั้นก็ยินดี เข้ามาสวมกอดจูล่งไว้ จากนั้นเอามือทั้งสองกุมมือทั้งสองของจูล่งแล้วว่านับแต่บัดนี้พวกเราก็เหมือนคนในครอบครัวเดียวกัน ว่าแล้วเล่าปี่ได้นำคณะเดินทางไปเมืองเก๋าเซีย
ครั้นพอใกล้เขตเมืองกวนอูจึงสั่งให้ทหารรีบล่วงหน้าไปแจ้งข่าวให้เตียวหุยทราบ พอเตียวหุยทราบว่าเล่าปี่กำลังมาเมืองเก๋าเซียก็ดีใจ รีบพาบิต๊ก บิฮองและทหารยกออกมาต้อนรับเล่าปี่ที่นอกเมือง ทักทายกันตามประสาพี่น้องแล้ว เตียวหุยจึงนำเล่าปี่และคณะกลับเข้าไปในเมือง
พอถึงจวน สองฮูหยินของเล่าปี่ซึ่งได้ทราบข่าวคราวของเล่าปี่แล้วได้ออกมาตั้งตารอที่หน้าประตูจวน ครั้นเห็นเล่าปี่เดินเข้ามา สองฮูหยินจึงคุกเข่าลงกับพื้นคำนับ เล่าปี่ได้เข้ามาประคองทั้งสองฮูหยินให้ลุกขึ้นด้วยความยินดี ต่างฝ่ายต่างเล่าความหลังให้แก่กันฟังทุกประการ
เล่าปี่ได้ฟังความจากสองฮูหยินแล้วก็กล่าวสรรเสริญกวนอูว่าน้องเราผู้นี้ดำรงความภักดีสัตย์ซื่อหาผู้ใดเสมอเหมือนมิได้
เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย สามพี่น้องแห่งสวนท้อได้กลับมาพร้อมหน้ากันอีกครั้งหนึ่ง ทั้งจูล่งขุนศึกสำคัญที่เล่าปี่ตั้งความปรารถนามาช้านานที่จะได้ตัวมาร่วมทำการก็ได้มาอยู่ด้วยสมความปรารถนา ทั้งพร้อมหน้าด้วยฮูหยินทั้งสอง ตลอดจนซุนเขียน บิต๊ก บิฮอง และกันหยง ที่ปรึกษา บรรยากาศของความดีใจ ของความสุขใจที่ได้พร้อมหน้ากันอีกครั้งหนึ่งจึงสร้างความเบิกบานใจให้เกิดขึ้นแก่ทุกผู้คน
เตียวหุยเห็นเป็นโอกาสอันดีที่พี่น้องและผองเพื่อน ตลอดจนคณะผู้ร่วมงานได้มาพร้อมหน้ากันครั้งนี้จึงสั่งการเจ้าหน้าที่ให้แต่งการพิธีบูชาบวงสรวงขอบคุณเทพยดาฟ้าดินที่ได้ปกปักษ์รักษาและดลบันดาลให้ทุกคนได้มาพร้อมหน้ากัน จากนั้นจึงสั่งให้จัดโต๊ะเลี้ยงบรรดาขุนนาง ที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองทั้งปวง
เสร็จการนั้นแล้วเล่าปี่จึงเรียกกวนอู เตียวหุย จูล่ง และที่ปรึกษาทั้งปวงมาปรึกษาว่าเมืองเก๋าเซียที่เราอยู่ ณ บัดนี้เป็นหัวเมืองเล็กชั้นจัตวา ผู้คนก็น้อย เสบียงอาหารก็ขัดสน ไม่สามารถใช้เป็นที่ตั้งมั่นทำการใหญ่ได้ ควรจะยกไปตั้งหลักอยู่ที่เมืองยีหลำซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่กว่าเมืองเก๋าเซีย
ในขณะที่กำลังปรึกษาอยู่นั้น ทหารรักษาการได้เข้ามารายงานว่าเล่าเพ็กและก๋งเต๋าให้พลเดินสารถือหนังสือมาจากเมืองยีหลำ เล่าปี่จึงสั่งให้ทหารนำพลเดินสารเข้ามาพบ และรับสารของเล่าเพ็ก ก๋งเต๋ามาเปิดอ่าน
ในสารของเล่าเพ็กและก๋งเต๋ามีเนื้อความว่าเล่าเพ็กและก๋งเต๋าขอคารวะมายังพระเจ้าอาเล่าปี่ ด้วยบัดนี้ข้าพเจ้าได้ทราบว่าท่านได้มาอยู่เมืองเก๋าเซียแล้ว แต่เห็นว่าเมืองเก๋าเซียเป็นเมืองเล็ก ไม่สามารถใช้เป็นที่มั่นได้ จึงขอเชิญให้ท่านยกไปตั้งอยู่ที่เมืองยีหลำซึ่งเป็นหัวเมืองใหญ่กว่า จะได้คิดอ่านทำการใหญ่สืบไปเมื่อหน้า
เล่าปี่เห็นหนังสือก็มีใจยินดี สั่งให้ยกทหารและครอบครัวทั้งสิ้นจากเมืองเก๋าเซียไปอยู่เมืองยีหลำ
ฝ่ายอ้วนเสี้ยวทราบข่าวว่าเล่าปี่บิดพลิ้วไม่ไปเกลี้ยกล่อมเล่าเปียว จึงเรียกที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองมาปรึกษาว่าจะยกกองทัพไปจับตัวเล่าปี่ แต่กัวเต๋าได้ทัดทานว่าศัตรูที่แท้จริงของท่านคือโจโฉไม่ใช่เล่าปี่ จึงไม่ควรที่ท่านจะยกกองทัพไปรบกับเล่าปี่ เพราะเท่ากับเป็นการทำลายพันธมิตรและโจโฉอาจฉวยโอกาสยกกองทัพมาตีเมืองกิจิ๋ว การที่เล่าปี่ไปตั้งหลักอยู่เมืองยีหลำ ถึงอย่างไรก็ย่อมเป็นพันธมิตรกับท่าน เพราะต่างเป็นปฏิปักษ์ด้วยโจโฉ ภาระหน้าที่เฉพาะหน้านี้ก็คือต้องเกลี้ยกล่อมซุนเซ็กเจ้าเมืองกังตั๋ง ซึ่งมีหัวเมืองขึ้นถึงหกหัวเมือง ข้าวปลาอาหาร ผู้คนก็บริบูรณ์
อ้วนเสี้ยวเห็นด้วยกับข้อเสนอของกัวเต๋า จึงแต่งหนังสือแล้วตั้งตันจิ๋นเป็นทูตไปเกลี้ยกล่อมซุนเซ็ก ณ เมืองกังตั๋ง.