ตอนที่ 13 - ผู้ทรงคุณวุฒิใต้ถุนกุฏิ

คติโบราณที่ว่า “แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร” ได้สำแดงผลให้ปรากฏทันตา ตาแก่เห็นฝีมือผมสู้ไม่ได้กลับมีน้ำใจเมตตา ถามว่าผมอยู่กับใคร จึงได้บอกไปว่าผมอยู่กับพระมหาทรงธรรม์ ตาแก่จึงว่าลุงอยู่ใต้ถุนกุฏิใหญ่ห้องเล็ก ๆ ข้างทางเดินไปกุฏิธรรมนิวาสนั่นแหละ ถ้ามีเวลามาเล่นหมากรุกกัน ลุงจะสอนให้

ผมรับคำด้วยความยินดี ครั้นถามชื่อลือนามแล้วก็ได้ความว่าตาแก่นี้มีชื่อว่าลุงต๋อม เป็นคนบ้านเดียวกับหลวงปู่นาค มีอายุ 60 ปีเศษแล้ว และมาอยู่อาศัยกับหลวงปู่นาคหลายสิบปี ช่วยพิมพ์พระสมเด็จบ้าง ติดตามหลวงปู่นาคเวลาไปไหนมาไหนบ้าง คอยปรนนิบัติรับใช้ ถวายอาหาร ล้างถ้วยชาม และทำความสะอาดกุฏิบ้าง

ผมเห็นลุงต๋อมอายุมากแล้วยังต้องทำงานมากมายหลายหน้าที่ซึ่งต้องถือว่าเป็นงานหนักสำหรับผู้ที่มีวัยขนาดนั้นก็สงสัย จึงถามว่ากุฏิท่านเจ้าคุณใหญ่มีศิษย์วัดมากมาย แล้วทำไมลุงจึงยังต้องทำงานหนักอยู่อีก

ลุงต๋อมจึงว่าเป็นธรรมดาแหละหลานเอ๊ย ลุงเป็นคนบ้านนอก รูปชั่ว ตัวดำ งานบริการแขกที่มาหาหลวงปู่ก็ต้องอาศัยคนหนุ่ม ๆ เขา พวกนั้นเขาเป็นนักเรียน นักศึกษา สุภาพเรียบร้อย แคล่วคล่องว่องไว ไม่กระด้างโยงโย่เหมือนกับลุงหรอก นอกจากงานพวกนั้นแล้วพวกเด็กวัดที่เป็นนักเรียนนักศึกษาเขาก็ไม่อยากทำ ภาระจึงมาตกที่ลุงแต่ลุงก็เต็มใจเพราะมาอาศัยอยู่กับวัด กินข้าวก้นบาตรพระก็ต้องรับใช้พระ ทำนุบำรุงพระเพื่อให้ท่านรักษาพระศาสนา

ผมคุยกับลุงต๋อมอย่างถูกคอ ลุงต๋อมเห็นผมเป็นเด็กบ้านนอกและท่าทางไม่ค่อยมีเงินจึงเลี้ยงชาเย็นวันนั้นแล้วชวนไปนั่งที่ห้องพักใต้ถุนกุฏิหลวงปู่นาค เห็นห้องลุงต๋อมเป็นห้องขนาดเล็ก กว้างแค่ 2 เมตร ยาว 2 เมตรเท่านั้น รกรุงรังเต็มไปด้วยหนังสือ จีวรเก่า ๆ ปิ่นโตเก่า ๆ ผมจึงถามว่าลุงต๋อมพอมีพระสมเด็จเก่า ๆ ไหม

ลุงต๋อมจึงว่าลุงอยู่กับพระสมเด็จ ทำพระสมเด็จแทบทุกวัน ไม่อยากมีพระและไม่อยากมีอะไรทั้งนั้นแล้ว เหลือความอยากอยู่อย่างเดียวเท่านั้นคืออยากมีเพื่อนเล่นหมากรุก

 ลุงต๋อมชี้มือไปข้างที่นอน เห็นที่นอนเป็นจีวรพระเก่า ๆ หลายผืนปูซ้อนกันไว้หลายชั้นบนเสื่อผืนเก่าคร่ำคร่า ข้างที่นอนมีกระดานหมากรุกแผ่นหนึ่งตั้งอยู่และมีตัวหมากรุกวางอยู่บนกระดาน ราวกับว่าเดินหมากรุกค้างคาอยู่แล้วเป็นอันมีธุระจึงทิ้งให้คาไว้เช่นนั้นก่อน

ลุงต๋อมบอกว่าเวลานี้ได้อาศัยหมากรุกเป็นเพื่อน เพราะลูกเต้าเขาโตมีเหย้ามีเรือนกันไปหมดแล้ว เขารักลูกของเขา ลุงก็รักลูกของลุง จึงไม่อยากให้เขาห่วงหาอาทรอะไรอีก ต้องการแต่เพียงให้เขาตั้งหน้าตั้งตาดูแลหลานให้ดี ให้มีการศึกษาสูง ๆ ชีวิตของคนเราก็เท่านี้แหละ มีแต่การมองลงล่าง ไอ้ที่จะมองขึ้นข้างบน เอาใจใส่ทำนุบำรุงพ่อแม่นั้นน้อยกว่าน้อยนัก เราเป็นพ่อแม่คนจะคิดหวังพึ่งพาลูกก็ใช่วิสัย อยากให้ลูกได้ทำนุบำรุงหลานให้เต็มที่ ดังนั้นหลังจากมาอยู่วัดหลายปีแล้ว ได้แต่เพียงติดตามข่าวลูกหลานอยู่ห่าง ๆ แต่ไม่ติดต่อหรือกลับไปเยี่ยมเยียนเลย

ลุงต๋อมพูดด้วยเสียงเศร้า ๆ ว่าเวลานี้เหมือนตัวคนเดียว มาอาศัยวัดอาศัยพระเป็นที่ฝากผีฝากไข้ ตอนนี้ยังพอมีแรงก็ตั้งหน้าตั้งตารับใช้พระ แล้วว่าอย่าดูถูกหมากรุกเป็นอันขาด!

ลุงต๋อมกล่าวสืบไปว่า หมากรุกไม่ใช่ของเล่นสนุกแต่อย่างเดียว เพราะเป็นกีฬาทางความคิด การจะเดินหมากรุกแต่ละตัว แต่ละครั้ง ล้วนต้องใช้ความคิด และจะใช้ความคิดเฉพาะตัวเดียวตาเดียวนั้นไม่ได้ จะต้องมองให้เห็นหมากรุกตัวอื่น ๆ ทั้งของฝ่ายเราและของฝ่ายคู่ต่อสู้ด้วย จะต้องคาดการณ์ให้เห็นล่วงหน้าว่าเขาจะเดินอะไรมา เราจะเดินอะไรไป จะกิน จะกัน จะแก้ จะวางกลกันประการใด จึงจะตัดสินใจได้ถูกต้อง

ลุงต๋อมได้สรุปว่าความจริงหมากรุกก็คือหลักการฝึกการตัดสินใจนั่นเอง ในชีวิตของคนเราจะต้องตัดสินใจเรื่องราวมากมาย การตัดสินใจที่ถูกต้องกับการตัดสินใจที่ผิดพลาดย่อมมีผลที่แตกต่างกันมาก หากเป็นเรื่องสำคัญก็ชี้ชะตาถึงความสำเร็จหรือล้มเหลว ชี้ความเป็นความตายอีกด้วย ดังนั้นคนที่เล่นหมากรุกเป็นจึงได้เปรียบ เพราะได้ฝึกฝนความคิดและฝึกฝนการตัดสินใจอยู่ตลอดเวลา

มาวันนี้จึงได้รู้ว่าคำพูดของตาแก่คนหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ใต้ถุนกุฏิ อาศัยข้าวก้นบาตรพระกิน ราวกับคนสิ้นไร้ไม้ตอก หรือไม่มีความรู้ใด ๆ นั้น แท้จริงแล้วก็คือการกล่าวถึงวิชาหนึ่งของการเป็นกุนซือหรือที่ปรึกษาคือวิชาหมากรุก หรือนัยหนึ่งก็คือวิชาการตัดสินใจนั่นเอง

ครั้งหนึ่งในสมัยสามก๊ก เล่าปี่ตกทุกข์ได้ยาก หนีตายจากการถูกลอบสังหารจนไปพบกับสุมาเต๊กโชนักพรตแห่งลัทธิเต๋า ผู้ปลีกวิเวกอยู่กับธรรมชาติในป่าเขา หลังจากทักทายทำความรู้จักกันแล้วสุมาเต๊กโชได้ทักว่าที่เล่าปี่ได้ยากลำบาก ตั้งตัวยังไม่ได้อยู่ในทุกวันนี้เพราะไม่มีที่ปรึกษาช่วยคิดอ่าน เล่าปี่ติงว่าที่ปรึกษาก็มีอยู่หลายคน แม้ฝ่ายนักรบเล่าก็มีกวนอู เตียวหุย จูล่ง ซึ่งเป็นทหารเสือ มีฝีมือเลื่องชื่อลือชาว่าสามารถสู้รบกับข้าศึกนับหมื่นแสนได้

สุมาเต๊กโชแย้งว่าพวกที่ปรึกษาของเล่าปี่เป็นเพียงแค่นักวิชาการที่ทำงานธุรการได้เท่านั้น ส่วนสามทหารเสือแม้เลื่องชื่อลือไกลในฝีไม้ลายมือแต่ก็ขาดผู้มีสติปัญญาเป็นกุนซือคอยจัดวางใช้สอยให้เหมาะสม จึงไม่อาจเปล่งอานุภาพได้ตามที่พึงมี

เล่าปี่จึงถามสุมาเต๊กโชว่าที่ปรึกษาที่ว่านี้จะต้องเป็นคนเช่นไร

สุมาเต๊กโชจึงว่าอันคนดีมีสติปัญญาควรแก่การเป็นที่ปรึกษาในการกอบกู้บ้านเมืองนั้นย่อมต้องเป็นผู้รู้แจ้งในวิชาทั้งสี่และในนิติทั้งสาม

สุมาเต๊กโชพรรณนาต่อไปว่าวิชาทั้งสี่นั้นได้แก่

“หนึ่ง วิชาพิชัยสงคราม ซึ่งว่าด้วยยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี ยุทธการ ยุทโธบาย และการดำเนินสงคราม ทั้งย่อมหมายรวมเอาการฝึกฝนบังคับบัญชาการทหารและการใช้กำลังทหารให้สอดคล้องกับสถานการณ์แลภูมิประเทศ

สอง วิชาธรรมะ ซึ่งว่าด้วยความเป็นจริงแห่งธรรมชาติทั้งปวง กฎแห่งธรรมชาติทั้งปวง หน้าที่แห่งธรรมชาติทั้งปวงแลผลที่เกิดขึ้นตามธรรมชาตินั้น

สาม วิชาหมากล้อม ซึ่งว่าด้วยการตัดสินใจแลการวางแผน ทั้งในด้านการเมือง การทูต การทหาร และประกอบเข้าเป็นอัธยาศัยที่ตัดสินใจโดยคะเนการทั้งปวงถ้วนทั่วทั้งกระดาน ทั้งฝ่ายเราและฝ่ายตรงกันข้าม กระจ่างแจ้งถึงสภาพการทั้งฝ่ายเราและฝ่ายข้าศึก แล้วคิดอ่านแผนการช่วงชิงชัย

สี่ วิชาดาราศาสตร์ แลคัมภีร์พยากรณ์ ซึ่งว่าด้วยวิถีโคจรของดวงดาวบนนภากาศและความผันแปรแห่งธาตุทั้งห้าที่ยักย้ายถ่ายเทผันแปรก่อเกิดเป็นกลางวัน กลางคืน ฤดูกาลร้อนและหนาว เมฆ หมอก พายุ น้ำหลาก ตลอดจนปรากฏการณ์ธรรมชาติต่าง ๆ

นี่คือวิชาทั้งสี่ที่พึงมีประจำตัวสำหรับคนผู้ควรเป็นที่ปรึกษาการแผ่นดิน ส่วนนิติทั้งสามนั้นคือ

หนึ่ง โลกนิติ คือกฎ แบบแผนแลคติความนิยมที่เป็นไปในโลกว่าสิ่งใดคือธรรม สิ่งใดคืออธรรม สิ่งใดคือสุทธิ สิ่งใดคืออสุทธิ สิ่งใดคือมงคล สิ่งใดคืออัปมงคล สิ่งใดคือความปรารถนานิยมแห่งมหาชน สิ่งใดคือความไม่พึงปรารถนานิยมแห่งมหาชน

สอง ธรรมนิติ คือกฎเกณฑ์ธรรมเนียมประเพณีแลแบบแผนในการครองแผ่นดิน บ้านเมือง และใจคน ให้ปรองดองสามัคคีสมานฉันท์ เป็นวิถีปฏิบัติในการครองอำนาจรัฐ ในการใช้อำนาจรัฐและในการรักษาอำนาจรัฐให้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของมหาชน

สาม ราชนิติ คือบทกฎหมายพระอัยการทั้งปวงที่มีมาสำหรับแผ่นดิน เพื่อเป็นหลักปฏิบัติและห้ามปฏิบัติของอาณาประชาราษฎรและในการบริหารราชการแผ่นดิน ตลอดจนนิติปรัชญา นิตินโยบายที่ถือเอาประโยชน์สุขของมหาชนและความมั่งคงของแผ่นดินเป็นที่ตั้ง

ผู้มีสติปัญญาผู้ใดประกอบบริบูรณ์ด้วยวิชาทั้งสี่แลนิติทั้งสามนั่นแล้วจึงมีค่าควรแก่ความเป็นที่ปรึกษาในการกอบกู้แลบริหารบ้านเมือง”

ดังนั้นหมากรุกจึงเป็นวิชาที่ดูแคลนไม่ได้ เพราะเป็นหนึ่งในวิชากุนซือดังคำของสุมาเต๊กโชนั้น

ลุงต๋อมเล่าต่อไปว่า การเล่นหมากรุกก็เหมือนกับการเป็นผู้บังคับบัญชากองทัพ หรือการเป็นนายคน เพราะต้องรู้จักใช้คน ต้องเรียนรู้ว่าในสถานการณ์นั้น ๆ เป็นสถานการณ์ที่กำหนดให้ต้องใช้คนแบบไหนจึงจะทำการได้สำเร็จ เพราะหากถึงคราจะเดินโคน หากไปเดินเรือก็จะเสียหาย หรือถึงคราจะเดินเรือแต่กลับขยับขุนก็อาจเพลี่ยงพล้ำเสียที

นอกจากนี้ในการคุมคนนั้นก็ศึกษาได้จากหมากรุก เพราะมีอยู่ถึงสามกระบวน คือกระบวนที่เรียกว่าขุนคุมพลคือผู้เป็นนายคุมไพร่พลออกทำการอย่างหนึ่ง ที่เรียกว่าขุนตามพลคือผู้เป็นนายขับไพร่พลออกทำการโดยตัวผู้เป็นนายคอยบัญชาการอยู่ข้างหลังอย่างหนึ่ง ที่เรียกว่าขุนครองพลคือผู้เป็นนายแวดล้อมด้วยขบวนไพร่พลออกทำการอีกอย่างหนึ่ง จะพึงดำริใช้กระบวนใดก็สุดแท้แต่สถานการณ์ที่จะทำให้เป็นฝ่ายได้เปรียบและชิงชัยชนะได้ในที่สุด

ผมนั่งฟังลุงต๋อมพรรณนาความด้วยความสนใจ เพราะที่กล่าวมานั้นล้วนลึกล้ำกว่ากระดานหมากรุกและตัวหมากรุกที่วางอยู่ในห้องแคบ ๆ ใต้ถุนกุฏิมากมายนัก ทั้งสะท้อนถึงวิธีคิด วิธีตัดสินใจและกลยุทธ์ในการทำการงานทั้งปวง และอาจต้องพานพบในชีวิตจริงทั้งสิ้น จึงได้ตั้งใจว่าเมื่อหมากรุกมีความสำคัญและอำนวยประโยชน์แก่ชีวิตเพราะเป็นการฝึกฝนความคิดและสติปัญญาถึงเพียงนี้ เห็นทีจะต้องฝึกฝนให้ชำนาญในการหมาก รุกให้จงได้

ลุงต๋อมก็เหมือนคนแก่ทั่วไปที่นิยมชมชอบการพูดแล้วมีคนฟัง เมื่อผมตั้งใจฟังก็ชอบใจ ในขณะเดียวกันนั้นผมเองก็ชอบใจลุงต๋อมเพราะได้ความรู้และความคิดจากการได้ยินได้ฟังลุงต๋อมพูดมากมายหลายประการ สมดังที่พระท่านสอนชาวบ้านอยู่เสมอ ๆ ว่าการฟังเป็นที่มาแห่งความรู้และสติปัญญา ซึ่งครูบาอาจารย์ตามโรงเรียนต่าง ๆ ก็มักที่จะนำเรื่องนี้มาสอนศิษย์ว่าบ่อเกิดแห่งความรู้มีสี่ประการคือ สุ จิ ปุ ลิ สุก็คือฟัง จิก็คือคิด ปุก็คือถาม และลิก็คือเขียนบันทึก รวมความก็คือการฟังแล้วใคร่ครวญคิดอ่าน สงสัยแล้วสอบถาม จากนั้นก็ทรงจำบันทึกไว้เป็นสำคัญ ก็จะนำมาซึ่งความรู้แก่ตัว

ครู่หนึ่งลุงต๋อมจึงลุกขึ้นเดินไปที่ทางฝาห้องด้านใน ล้วงลงไปในย่ามเก่า ๆ ที่แขวนไว้ข้างฝา หยิบเอาของสิ่งหนึ่งแล้วเดินกลับมาที่ผม เอามือข้างหนึ่งจับมือผมแล้วมอบของสิ่งนั้นให้กับมือ

ปรากฏเป็นพระสมเด็จฐานเจ็ดชั้น นั่นคือสมเด็จวัดเกศไชโย หุ้มด้วยกรอบ สแตนเลสและมีเชือกไนล่อนทำเป็นสร้อยคอ แล้วลุงต๋อมก็ว่านี่เป็นของขวัญจากลุง

ผมตื่นเต้นดีใจที่ได้พระสมเด็จ จึงยกมือขึ้นไหว้ขอบคุณลุงต๋อม แล้วถามว่าพระสมเด็จองค์นี้เป็นพระอะไร เก่าแก่มากน้อยแค่ไหน ลุงต๋อมก็บอกว่าเป็นพระสมเด็จวัดเกศไชโย ลุงได้มานานแล้ว แต่ลุงไม่ใช้เพราะถือว่าอยู่กับสมเด็จอยู่แล้ว จึงเก็บใส่ย่ามแขวนไว้ดังที่เห็นนั่นแหละ

ผมเอาพระมาพนมไว้ในมือ แล้วอาราธนาด้วยคาถาอาราธนาพระเครื่อง คือ พุทธัง อาราธนานัง ธัมมัง อาราธนานัง สังฆัง อาราธนานัง ถ้วนสามจบแล้วจึงเอาพระนั้นคล้องไว้กับคอตั้งแต่บัดนั้น

ผมได้ถามลุงต๋อมว่านายตี๋ที่กุฏิแถวด้านตะวันตกนั้นเป็นใครเพราะท่าทางเหมือนคนไม่เต็มบาท

ลุงต๋อมจึงว่านายตี๋นี้เดิมทีเป็นทหารเรือ เมื่อครั้งที่ทหารเรือก่อการยึดอำนาจแล้วไม่สำเร็จกลายเป็นกบฏแมนฮัทตันเนื่องจากเรือรบหลวงแมนฮัทตันถูกเครื่องบินทิ้งระเบิดถล่มจมลงกลางแม่น้ำเจ้าพระยา มีการต่อสู้กันระหว่างทหารบกและทหารเรือ นายตี๋ไปโดนอะไรเข้าก็ไม่รู้จึงเสียสติไปแล้วถูกปลดออกจากราชการ หลังจากนั้นได้มาอาศัยวัด พระท่านก็เมตตาให้อาศัยให้ข้าวให้น้ำและใช้สอยตามแต่จะใช้ ซึ่งนายตี๋ก็เป็นคนขยัน พระจะใช้อะไรนายตี๋ก็กระวีกระวาดทำให้อย่างรวดเร็วทุกสิ่งทุกอย่าง.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘