ตอนที่ 136. หน้าที่ห้าประการของคน
กวนอูตั้งใจจะไปหาเล่าปี่ที่เมืองกิจิ๋ว แต่เหตุการณ์พลิกผันเพราะเล่าปี่ตระหนักถึงภัยที่จะอยู่ร่วมทำการกับนักการเมืองที่โลเลเหลวไหลแบบอ้วนเสี้ยว จึงได้คิดอ่านผันผ่อนยักย้ายถ่ายเทจะไปอยู่ที่เมืองยีหลำ เมื่อกวนอูทราบความนี้จากซุนเขียนที่ปรึกษาของเล่าปี่แล้ว จึงต้องเปลี่ยนเส้นทางตรงไปเมืองยีหลำ
ขบวนของกวนอูได้รอนแรมไปตามระหว่างเขตแดนต่อแดนที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของเมืองหลวงกับเขตแดนที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของอ้วนเสี้ยวอันทุรกันดาร ทุกผู้คนในขบวนได้รับความยากลำบากอย่างแสนสาหัส
ครั้นล่วงวันที่ห้าฝนตกห่าใหญ่ครอบคลุมทุกพื้นที่ ขบวนคาราวานยังคงดั้นด้นไปจนถึงเชิงเขาแห่งหนึ่งเป็นเวลาใกล้ค่ำ เห็นบ้านหลังหนึ่งตั้งอยู่แต่โดดเดี่ยว พอที่จะขออาศัยได้ กวนอูจึงสั่งให้ขบวนหยุดที่หน้าบ้านหลังนั้น
กวนอูลงจากหลังม้าด้วยเสื้อผ้าที่เปียกโชก ตรงไปที่ประตูบ้านแล้วร้องเรียกหาเจ้าของบ้าน
กัวเสียงชาวบ้านป่าซึ่งเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้อยู่ในวัยชรา ผมเผ้าขาวโพลน แต่หน้าตายังคงแจ่มใสสมบูรณ์ ได้ยินเสียงคนร้องเรียกที่หน้าประตูจึงออกมาแล้วถามว่าท่านเป็นใคร กำลังจะไปที่ไหนหรือ จึงได้แวะมาถึงบ้านหลังนี้
กวนอูได้แนะนำตัวเองและบอกวัตถุประสงค์ในการเดินทางเพื่อไปหาเล่าปี่ให้กัวเสียงฟังทุกประการ กัวเสียงเคยได้กิตติศัพท์ของกวนอูมาแต่ก่อน ครั้นปะหน้ากับตัวจริงก็มีใจยินดี แนะนำตัวเองว่าข้าพเจ้าเป็นชาวบ้านป่า ได้อาศัยทำมาหากินอยู่แถบนี้ตั้งแต่ครั้งปู่ย่าตายาย เวลานี้พลบค่ำแล้ว ขอเชิญท่านและพี่สะใภ้รวมทั้งคณะเดินทางเข้าพักแรมที่บ้านข้าพเจ้าก่อน
การเป็นไปดังประสงค์ กวนอูจึงเชิญพี่สะใภ้และให้ขบวนแวะพักค้างแรมที่บ้านของกัวเสียง
หลังอาหารค่ำในขณะที่กัวเสียงและคณะของกวนอูกำลังสนทนากันอยู่ บุตรของกัวเสียงได้พาพรรคพวก 6-7 คนมาที่เรือน กัวเสียงเห็นบุตรจึงเรียกเข้ามาคำนับกวนอู แล้วแนะนำว่านี่เป็นบุตรของข้าพเจ้าเพื่อเป็นการฝากเนื้อฝากตัวกับกวนอู แต่บุตรของกัวเสียงได้ยินคำบิดาแล้วทำเป็นเมินเฉย พาพรรคพวกเดินอ้อมไปที่หลังบ้าน แล้วออกจากบ้านไปโดยไม่ไยดี
กวนอูเห็นเช่นนั้นก็สงสัยเพราะพฤติกรรมของบุตรกับบิดาช่างต่างกันราวหลังมือกับฝ่าเท้าจึงถามกัวเสียงว่าขณะนี้บุตรของท่านทำมาค้าขายอะไร หรือว่ารับราชการอยู่ที่ไหน
กัวเสียงได้ยินคำกวนอูซึ่งแฝงไว้ด้วยไมตรีและความห่วงใยก็ร้องไห้ แล้วว่าข้าพเจ้ามีบุตรโทนคนนี้และทำความผิดหวังให้กับข้าพเจ้ามาชั่วชีวิต เพราะไม่คิดอ่านศึกษาทำมาค้าขาย เอาแต่คบเพื่อนเกเร เที่ยวเข้าป่าล่าสัตว์ หาแก่นสารอันใดไม่ได้ กรรมของข้าพเจ้าเหลือประมาณนัก
กวนอูเห็นเช่นนั้นก็มีใจสงสารจึงปลอบใจว่าเป็นวิสัยของคนหนุ่มที่ต้องคบหาผู้คน การเที่ยวเข้าป่าล่าสัตว์ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย ถ้าหากมีฝีมือเชิงธนูที่ดีก็สามารถสมัครเข้าเป็นทหารสร้างอนาคตในวันหน้าได้ ไฉนจึงว่ามีกรรมเล่า
กัวเสียงได้ยินคำปลอบใจก็ค่อยสร่างโศกลงแล้วว่าฝีมือเกาทัณฑ์ของบุตรจะดีได้อย่างไร เพราะไร้ครูฝึกสอน การเที่ยวยิงสัตว์จะเอาดีไม่ได้ ในอนาคตคงรักษาตัวไม่รอด ข้าพเจ้าจึงทุกข์ถึงมันเพราะเหตุนี้
กวนอูเห็นกัวเสียงค่อยคลายทุกข์เพราะบุตรจึงกล่าวความอันเป็นสัจธรรมว่า เป็นวิสัยโลกที่ถ้าหากบิดามารดาใดมีบุตรดี ถึงแม้จะยากจน บิดามารดาก็เป็นสุข แต่ถ้าหากบุตรเป็นคนพาล ความทุกข์ก็จะเกิดแก่บิดามารดา
ครั้นได้เวลาอันควรทั้งเจ้าเรือนและแขกผู้รอนแรมมาอาศัยต่างแยกย้ายเข้าที่หลับนอน ในขณะที่กวนอูกำลังเคลิ้มใกล้จะหลับได้ยินเสียงม้าและคนร้องด้วยอาการตื่นตระหนก กวนอูจึงร้องเรียกทหารที่ติดตามมาแต่ทหารเหล่านั้นกำลังหลับสนิทด้วยความเหนื่อยอ่อนไม่ตอบคำเรียก กวนอูจึงชวนซุนเขียนถือกระบี่ลงจากเรือนไปที่คอกม้า
ภาพที่ปรากฏก็คือบุตรของกัวเสียงล้มอยู่ที่คอกม้า ในขณะที่ญาติพี่น้องและชาวบ้านมารุมล้อมแล้วรุมกันด่าว่าบุตรกัวเสียง กวนอูสงสัยจึงเปรยถามขึ้นว่าเกิดเรื่องราวประการใดขึ้น
ชาวบ้านที่รุมล้อมอยู่ชี้ไปที่บุตรของกัวเสียงแล้วว่า ไอ้คนนี้คิดอ่านจะขโมยม้าของท่าน แต่ม้าฉลาดรู้เอาตัวรอดจึงดีดถูกมันล้มลง พวกเราได้ยินเสียงร้องจึงชวนกันมาดู
กวนอูได้ยินว่าบุตรกัวเสียงคิดจะขโมยม้าก็ไม่พอใจ คิดจะลงโทษให้เป็นบทเรียน พอกัวเสียงรู้สึกตัวตื่นขึ้นลงมาที่คอกม้าเห็นผู้บุตรล้มอยู่ในคอกม้าและทราบความจากเพื่อนบ้านแล้ว ด้วยอารมณ์รักบุตรตามวิสัยของบิดากัวเสียงจึงเข้าไปคำนับกวนอูขออภัยโทษให้กับบุตร
กวนอูจึงว่าข้าพเจ้าคิดจะทำโทษให้เป็นบทเรียนแห่งชีวิตแต่ประจักษ์ว่าความทุกข์ในอกท่านด้วยเรื่องนี้เป็นทัณฑ์ทรมานที่หนักหนา ข้าพเจ้าจึงไม่มีแก่ใจที่จะทำโทษแล้ว ว่าแล้วกวนอูจึงบอกชาวบ้านให้ช่วยกันอุ้มบุตรกัวเสียงออกมาจากคอกม้าแล้วขึ้นไปนอน
รุ่งขึ้นกัวเสียงและภรรยาตื่นก่อนแล้วออกมานั่งรอกวนอูอยู่ที่ห้องโถง พอกวนอูตื่นออกมา สองผัวเมียจึงเข้าไปคำนับแล้วว่าการที่ท่านยกโทษให้บุตรนั้นเป็นคุณแก่ข้าพเจ้าหาที่สุดมิได้
กวนอูเห็นสองผัวเมียเปี่ยมไปด้วยความรักในตัวบุตรโดยมิได้คิดอ่านที่จะอบรมสั่งสอนให้บุตรเป็นคนดีก็สงสารจึงว่า บุตรท่านทำผิดข้าพเจ้าไม่เอาโทษแล้ว อย่ากังวลเลย ท่านเมตตาให้ข้าพเจ้าและคณะได้พักแรมนับเป็นคุณแก่ข้าพเจ้ายิ่ง เอาเถิดท่านจงเรียกบุตรของท่านมาข้าพเจ้าจะช่วยอบรมสั่งสอนตามควรแก่การ
กัวเสียงจึงว่าบุตรชั่วของข้าพเจ้าไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี หลังเหตุการณ์เมื่อคืนแล้วก็หลบหนีออกจากบ้านไป และจะไปที่ไหนก็ไม่ทราบ
ครั้นตะวันสายผู้คนในคณะตื่นขึ้นแล้ว กวนอูจึงนำคณะออกเดินทางต่อไป ครั้นขบวนเคลื่อนมาได้สามร้อยเส้น เห็นบุตรกัวเสียงนำพวกมาประมาณร้อยคนเศษขวางทางอยู่ข้างหน้า
ในหมู่คนเหล่านั้นมีคนหนึ่งลักษณะเป็นหัวหน้า ศีรษะโพกด้วยผ้าแพรสีเหลือง เห็นขบวนของกวนอูแล้วจึงว่า ตัวเรานี้ชื่อหุยง่วนเสียว เป็นทหารของเตียวก๊กหัวหน้าโจรโพกผ้าเหลืองผู้ล่วงลับ ท่านจะเดินทางไปข้างไหนจึงล่วงเข้ามาในเขตของเราโดยไม่ขออนุญาต ถ้าหากยังรักตัวกลัวตายก็ให้มอบม้าและทรัพย์สินไว้กับเรา
กวนอูได้ฟังว่าเป็นพวกโจรโพกผ้าเหลืองก็หัวเราะ ยกมือขวาขึ้นลูบถุงหนวดแล้วว่าตัวอ้างว่าเป็นพวกโจรโพกผ้าเหลือง ถ้าเช่นนั้นยังจะรู้จักเล่าปี่ กวนอู เตียวหุย หรือไม่
หุยง่วนเสียวได้ฟังคำถามประหลาด ลักษณาการที่ยโสก็อ่อนลงแล้วว่าเราไม่รู้จักตัวทั้งสามคนนี้ เคยได้ยินแต่กิตติศัพท์ว่ากวนอูนั้นหน้าแดง หนวดยาว ฝีมือเข้มแข็งกล้าหาญนัก ตัวเราเองก็ใคร่อยากจะได้รู้จัก
น้ำใจกวนอูไม่ประสงค์ที่จะก่อวิวาทหรือผลาญชีวิตใคร ครั้นได้ยินคำหุยง่วนเสียวจึงแก้ถึงใส่หนวดออก พลางเบือนหน้าไปทางด้านขวา
หุยง่วนเสียวถูกบุตรกัวเสียงหลอกให้คุมพวกมาปล้นขบวนโดยไม่แจ้งให้ทราบว่าเป็นขบวนของผู้ใด ตอนที่ได้ยินคำถามของกวนอูว่าได้เคยได้ยินชื่อเล่าปี่ กวนอู เตียวหุย หรือไม่ ใจก็กริ่งอยู่แล้วว่าคนผู้ยืนม้าอยู่เบื้องหน้าในลักษณาการที่สง่างามน่าจะเป็นคนใดคนหนึ่งในกลุ่มสามพี่น้อง พอได้จ้องมองหน้ากวนอูถนัดก็เห็นใบหน้าสีแดงดั่งผลพุทราสุก ความคิดก็ยิ่งโน้มไปว่าคนผู้นี้น่าจะใช่กวนอู ผู้ซึ่งตนเลื่อมใสในฝีมือมาแต่ก่อน
ครั้นกวนอูถอดถุงหนวดออกแล้ว หุยง่วนเสียวได้แลเห็นหนวดอันยาวเป็นระเบียบ เส้นละเอียดดุจใยไหม ก็ประจักษ์ชัดว่าคนผู้นี้คือกวนอูแน่แล้ว จึงรีบลงจากหลังม้า วางทวนลงกับพื้นแล้วสั่งบุตรของกัวเสียงและทุกคนที่ติดตามมาให้คุกเข่าลงคำนับกวนอู
แล้วขออภัยว่าข้าพเจ้าได้ยินกิตติศัพท์ของท่านแต่ไม่เคยรู้จักตัว จึงได้กล่าวคำล่วงเกินท่าน ขอท่านจงงดโทษให้กับข้าพเจ้าและพรรคพวกด้วยเถิด
กวนอูเห็นหุยง่วนเสียวและพลพรรคมีน้ำใจเคารพนับถือตัวเอง ทั้งขออภัยในการล่วงเกินก็ยินดี จึงถามว่าเมื่อตัวท่านเป็นพวกโจรโพกผ้าเหลือง เหตุใดจึงได้มาอยู่ที่นี่
หุยง่วนเสียวจึงเล่าให้กวนอูฟังว่าหลังจากเตียวก๊กตายแล้ว กลุ่มโจรโพกผ้าเหลืองก็แตกกระสานซ่านเซ็น ตัวข้าพเจ้าคุมสมัครพรรคพวกมาอยู่ที่เชิงเขาตำบลนี้ บุตรของกัวเสียงได้ไปแจ้งแก่ข้าพเจ้าว่ามีขบวนของเศรษฐี มีทรัพย์สินเป็นอันมาก กำลังเดินทางเข้ามาในเขต ข้าพเจ้าจึงได้คุมพวกเพื่อจะมาแย่งชิงเอา
บุตรของกัวเสียงมีนิสัยเกเร คบพวกนักเลง นับถือหุยง่วนเสียวว่าเป็นผู้มีฝีมือและเป็นผู้นำ ครั้นได้เห็นลูกพี่ยอมสยบต่อกวนอูถึงเพียงนี้ก็รู้ว่ากวนอูบุรุษหน้าแดงผู้นี้หาใช่คนธรรมดาไม่ น้ำใจที่คิดแต่จะเกาะผู้อื่นเป็นหลักก็หันเหไหลมานับถือกวนอูด้วย ทั้งๆ ที่วันก่อนกัวเสียงผู้บิดาได้เรียกไปคำนับเพื่อฝากฝังกับกวนอูก็ไม่สนใจไยดี
บุตรของกัวเสียงได้สำนึกในตอนนี้ก็นับว่าไม่สาย ผิดกับนักการเมืองบางจำพวกที่ทำลายบ้านเมืองจนพินาศย่อยยับก็ไม่สำนึกผิด กลับใช้เล่ห์ลิ้นอุบายหลอก ลวงปวงชนต่อไปอีก เมื่อสำนึกแล้วจึงได้อ้อนวอนขอโทษต่อกวนอูแล้วว่า ข้าพเจ้าสำนึกผิดแล้ว ขอท่านช่วยอบรมสั่งสอนข้าพเจ้าด้วย
กวนอูเห็นบุตรของกัวเสียงรู้สำนึกตัว ด้วยความระลึกถึงคุณของกัวเสียงที่ให้ที่อาศัยค้างแรม น้ำใจเมตตาจึงหลั่งลงที่บุตรของกัวเสียงแล้วว่า “โทษตัวผิดครั้งหนึ่งเราก็ยกโทษเสีย ตัวก็คบคิดกันทำอีก ครั้นจะฆ่าเสียบัดนี้ก็คิดถึงไมตรีกัวเสียง แลโทษตัวทั้งสองครั้งนั้นเราก็ยกให้กัวเสียงผู้บิดา”
แล้วสอนว่าคนเราเกิดมาชาติหนึ่งพึงตระหนักในหน้าที่ห้าประการอย่าให้บกพร่อง จึงจะนับว่าเป็นคนดีมีค่าคุ้มที่ได้เกิดมา
ประการหนึ่งพึงมีน้ำใจรักภักดีต่อแผ่นดิน ยอมเสียสละทุกสิ่งแม้ชีวิตเพื่ออุทิศแก่บ้านเมือง
ประการหนึ่งพึงมีน้ำใจกตัญญูต่อบิดามารดาผู้ให้กำเนิด ด้วยการประพฤติตนเป็นคนดี อยู่ในคำสั่งสอนอบรม ทำหน้าที่การงานสร้างฐานะสืบสายสกุลให้รุ่งเรือง เป็นที่พึ่งแห่งบิดามารดาและตระกูลวงศ์
ประการหนึ่งพึงมีน้ำใจซื่อตรงต่อคู่ครอง สร้างฐานะให้เป็นหลักได้พักพิงของครอบครัว
ประการหนึ่งพึงตั้งตนอยู่ในศีลธรรมและขนบธรรมเนียม เป็นแบบอย่าง อบรมสั่งสอนบุตรหลานให้ตั้งตนเป็นคนดีมีกตัญญูต่อแผ่นดิน
ประการหนึ่งพึงซื่อตรงต่อมิตรไม่คิดเบียดเบียนล่อลวงหรือชักจูงไปในทางเสื่อมเสีย บำเพ็ญตนเพื่อประโยชน์ท่านให้ถึงพร้อม
แล้วว่าเจ้าจงจำคำเราและนำไปปฏิบัติให้เป็นผล ทำคุณไถ่โทษต่อบิดามารดาผู้ให้กำเนิด เจ้าก็จะเป็นผู้ประเสริฐไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นคน
บุตรของกัวเสียงได้ฟังคำสอนของกวนอูแล้ว รู้สึกเสียใจในความประพฤติปฏิบัติตัวตลอดชั่วเวลาที่ผ่านมา ทำให้บิดามารดาต้องอาบน้ำตาปนเหงื่อทุกค่ำเช้าก็ร้องไห้
กวนอูจึงว่าน้ำตาเจ้าในวันนี้เป็นน้ำตาที่ล้างความชั่วและความหลงผิด เพื่อชีวิตที่มีคุณค่ากว่าแต่ก่อนเจ้าจงรีบกลับไปหากัวเสียงเล่าความทั้งนี้แล้วปฏิญาณต่อผู้เป็นบิดามารดาว่าจะประพฤติปฏิบัติตามคำสอนของเรา บิดามารดาเจ้าจะได้ความสุข
บุตรของกัวเสียงฟังคำกวนอูแล้วลุกขึ้นคำนับ และขี่ม้ารีบกลับไปบ้าน.
ขบวนของกวนอูได้รอนแรมไปตามระหว่างเขตแดนต่อแดนที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของเมืองหลวงกับเขตแดนที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของอ้วนเสี้ยวอันทุรกันดาร ทุกผู้คนในขบวนได้รับความยากลำบากอย่างแสนสาหัส
ครั้นล่วงวันที่ห้าฝนตกห่าใหญ่ครอบคลุมทุกพื้นที่ ขบวนคาราวานยังคงดั้นด้นไปจนถึงเชิงเขาแห่งหนึ่งเป็นเวลาใกล้ค่ำ เห็นบ้านหลังหนึ่งตั้งอยู่แต่โดดเดี่ยว พอที่จะขออาศัยได้ กวนอูจึงสั่งให้ขบวนหยุดที่หน้าบ้านหลังนั้น
กวนอูลงจากหลังม้าด้วยเสื้อผ้าที่เปียกโชก ตรงไปที่ประตูบ้านแล้วร้องเรียกหาเจ้าของบ้าน
กัวเสียงชาวบ้านป่าซึ่งเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้อยู่ในวัยชรา ผมเผ้าขาวโพลน แต่หน้าตายังคงแจ่มใสสมบูรณ์ ได้ยินเสียงคนร้องเรียกที่หน้าประตูจึงออกมาแล้วถามว่าท่านเป็นใคร กำลังจะไปที่ไหนหรือ จึงได้แวะมาถึงบ้านหลังนี้
กวนอูได้แนะนำตัวเองและบอกวัตถุประสงค์ในการเดินทางเพื่อไปหาเล่าปี่ให้กัวเสียงฟังทุกประการ กัวเสียงเคยได้กิตติศัพท์ของกวนอูมาแต่ก่อน ครั้นปะหน้ากับตัวจริงก็มีใจยินดี แนะนำตัวเองว่าข้าพเจ้าเป็นชาวบ้านป่า ได้อาศัยทำมาหากินอยู่แถบนี้ตั้งแต่ครั้งปู่ย่าตายาย เวลานี้พลบค่ำแล้ว ขอเชิญท่านและพี่สะใภ้รวมทั้งคณะเดินทางเข้าพักแรมที่บ้านข้าพเจ้าก่อน
การเป็นไปดังประสงค์ กวนอูจึงเชิญพี่สะใภ้และให้ขบวนแวะพักค้างแรมที่บ้านของกัวเสียง
หลังอาหารค่ำในขณะที่กัวเสียงและคณะของกวนอูกำลังสนทนากันอยู่ บุตรของกัวเสียงได้พาพรรคพวก 6-7 คนมาที่เรือน กัวเสียงเห็นบุตรจึงเรียกเข้ามาคำนับกวนอู แล้วแนะนำว่านี่เป็นบุตรของข้าพเจ้าเพื่อเป็นการฝากเนื้อฝากตัวกับกวนอู แต่บุตรของกัวเสียงได้ยินคำบิดาแล้วทำเป็นเมินเฉย พาพรรคพวกเดินอ้อมไปที่หลังบ้าน แล้วออกจากบ้านไปโดยไม่ไยดี
กวนอูเห็นเช่นนั้นก็สงสัยเพราะพฤติกรรมของบุตรกับบิดาช่างต่างกันราวหลังมือกับฝ่าเท้าจึงถามกัวเสียงว่าขณะนี้บุตรของท่านทำมาค้าขายอะไร หรือว่ารับราชการอยู่ที่ไหน
กัวเสียงได้ยินคำกวนอูซึ่งแฝงไว้ด้วยไมตรีและความห่วงใยก็ร้องไห้ แล้วว่าข้าพเจ้ามีบุตรโทนคนนี้และทำความผิดหวังให้กับข้าพเจ้ามาชั่วชีวิต เพราะไม่คิดอ่านศึกษาทำมาค้าขาย เอาแต่คบเพื่อนเกเร เที่ยวเข้าป่าล่าสัตว์ หาแก่นสารอันใดไม่ได้ กรรมของข้าพเจ้าเหลือประมาณนัก
กวนอูเห็นเช่นนั้นก็มีใจสงสารจึงปลอบใจว่าเป็นวิสัยของคนหนุ่มที่ต้องคบหาผู้คน การเที่ยวเข้าป่าล่าสัตว์ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย ถ้าหากมีฝีมือเชิงธนูที่ดีก็สามารถสมัครเข้าเป็นทหารสร้างอนาคตในวันหน้าได้ ไฉนจึงว่ามีกรรมเล่า
กัวเสียงได้ยินคำปลอบใจก็ค่อยสร่างโศกลงแล้วว่าฝีมือเกาทัณฑ์ของบุตรจะดีได้อย่างไร เพราะไร้ครูฝึกสอน การเที่ยวยิงสัตว์จะเอาดีไม่ได้ ในอนาคตคงรักษาตัวไม่รอด ข้าพเจ้าจึงทุกข์ถึงมันเพราะเหตุนี้
กวนอูเห็นกัวเสียงค่อยคลายทุกข์เพราะบุตรจึงกล่าวความอันเป็นสัจธรรมว่า เป็นวิสัยโลกที่ถ้าหากบิดามารดาใดมีบุตรดี ถึงแม้จะยากจน บิดามารดาก็เป็นสุข แต่ถ้าหากบุตรเป็นคนพาล ความทุกข์ก็จะเกิดแก่บิดามารดา
ครั้นได้เวลาอันควรทั้งเจ้าเรือนและแขกผู้รอนแรมมาอาศัยต่างแยกย้ายเข้าที่หลับนอน ในขณะที่กวนอูกำลังเคลิ้มใกล้จะหลับได้ยินเสียงม้าและคนร้องด้วยอาการตื่นตระหนก กวนอูจึงร้องเรียกทหารที่ติดตามมาแต่ทหารเหล่านั้นกำลังหลับสนิทด้วยความเหนื่อยอ่อนไม่ตอบคำเรียก กวนอูจึงชวนซุนเขียนถือกระบี่ลงจากเรือนไปที่คอกม้า
ภาพที่ปรากฏก็คือบุตรของกัวเสียงล้มอยู่ที่คอกม้า ในขณะที่ญาติพี่น้องและชาวบ้านมารุมล้อมแล้วรุมกันด่าว่าบุตรกัวเสียง กวนอูสงสัยจึงเปรยถามขึ้นว่าเกิดเรื่องราวประการใดขึ้น
ชาวบ้านที่รุมล้อมอยู่ชี้ไปที่บุตรของกัวเสียงแล้วว่า ไอ้คนนี้คิดอ่านจะขโมยม้าของท่าน แต่ม้าฉลาดรู้เอาตัวรอดจึงดีดถูกมันล้มลง พวกเราได้ยินเสียงร้องจึงชวนกันมาดู
กวนอูได้ยินว่าบุตรกัวเสียงคิดจะขโมยม้าก็ไม่พอใจ คิดจะลงโทษให้เป็นบทเรียน พอกัวเสียงรู้สึกตัวตื่นขึ้นลงมาที่คอกม้าเห็นผู้บุตรล้มอยู่ในคอกม้าและทราบความจากเพื่อนบ้านแล้ว ด้วยอารมณ์รักบุตรตามวิสัยของบิดากัวเสียงจึงเข้าไปคำนับกวนอูขออภัยโทษให้กับบุตร
กวนอูจึงว่าข้าพเจ้าคิดจะทำโทษให้เป็นบทเรียนแห่งชีวิตแต่ประจักษ์ว่าความทุกข์ในอกท่านด้วยเรื่องนี้เป็นทัณฑ์ทรมานที่หนักหนา ข้าพเจ้าจึงไม่มีแก่ใจที่จะทำโทษแล้ว ว่าแล้วกวนอูจึงบอกชาวบ้านให้ช่วยกันอุ้มบุตรกัวเสียงออกมาจากคอกม้าแล้วขึ้นไปนอน
รุ่งขึ้นกัวเสียงและภรรยาตื่นก่อนแล้วออกมานั่งรอกวนอูอยู่ที่ห้องโถง พอกวนอูตื่นออกมา สองผัวเมียจึงเข้าไปคำนับแล้วว่าการที่ท่านยกโทษให้บุตรนั้นเป็นคุณแก่ข้าพเจ้าหาที่สุดมิได้
กวนอูเห็นสองผัวเมียเปี่ยมไปด้วยความรักในตัวบุตรโดยมิได้คิดอ่านที่จะอบรมสั่งสอนให้บุตรเป็นคนดีก็สงสารจึงว่า บุตรท่านทำผิดข้าพเจ้าไม่เอาโทษแล้ว อย่ากังวลเลย ท่านเมตตาให้ข้าพเจ้าและคณะได้พักแรมนับเป็นคุณแก่ข้าพเจ้ายิ่ง เอาเถิดท่านจงเรียกบุตรของท่านมาข้าพเจ้าจะช่วยอบรมสั่งสอนตามควรแก่การ
กัวเสียงจึงว่าบุตรชั่วของข้าพเจ้าไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี หลังเหตุการณ์เมื่อคืนแล้วก็หลบหนีออกจากบ้านไป และจะไปที่ไหนก็ไม่ทราบ
ครั้นตะวันสายผู้คนในคณะตื่นขึ้นแล้ว กวนอูจึงนำคณะออกเดินทางต่อไป ครั้นขบวนเคลื่อนมาได้สามร้อยเส้น เห็นบุตรกัวเสียงนำพวกมาประมาณร้อยคนเศษขวางทางอยู่ข้างหน้า
ในหมู่คนเหล่านั้นมีคนหนึ่งลักษณะเป็นหัวหน้า ศีรษะโพกด้วยผ้าแพรสีเหลือง เห็นขบวนของกวนอูแล้วจึงว่า ตัวเรานี้ชื่อหุยง่วนเสียว เป็นทหารของเตียวก๊กหัวหน้าโจรโพกผ้าเหลืองผู้ล่วงลับ ท่านจะเดินทางไปข้างไหนจึงล่วงเข้ามาในเขตของเราโดยไม่ขออนุญาต ถ้าหากยังรักตัวกลัวตายก็ให้มอบม้าและทรัพย์สินไว้กับเรา
กวนอูได้ฟังว่าเป็นพวกโจรโพกผ้าเหลืองก็หัวเราะ ยกมือขวาขึ้นลูบถุงหนวดแล้วว่าตัวอ้างว่าเป็นพวกโจรโพกผ้าเหลือง ถ้าเช่นนั้นยังจะรู้จักเล่าปี่ กวนอู เตียวหุย หรือไม่
หุยง่วนเสียวได้ฟังคำถามประหลาด ลักษณาการที่ยโสก็อ่อนลงแล้วว่าเราไม่รู้จักตัวทั้งสามคนนี้ เคยได้ยินแต่กิตติศัพท์ว่ากวนอูนั้นหน้าแดง หนวดยาว ฝีมือเข้มแข็งกล้าหาญนัก ตัวเราเองก็ใคร่อยากจะได้รู้จัก
น้ำใจกวนอูไม่ประสงค์ที่จะก่อวิวาทหรือผลาญชีวิตใคร ครั้นได้ยินคำหุยง่วนเสียวจึงแก้ถึงใส่หนวดออก พลางเบือนหน้าไปทางด้านขวา
หุยง่วนเสียวถูกบุตรกัวเสียงหลอกให้คุมพวกมาปล้นขบวนโดยไม่แจ้งให้ทราบว่าเป็นขบวนของผู้ใด ตอนที่ได้ยินคำถามของกวนอูว่าได้เคยได้ยินชื่อเล่าปี่ กวนอู เตียวหุย หรือไม่ ใจก็กริ่งอยู่แล้วว่าคนผู้ยืนม้าอยู่เบื้องหน้าในลักษณาการที่สง่างามน่าจะเป็นคนใดคนหนึ่งในกลุ่มสามพี่น้อง พอได้จ้องมองหน้ากวนอูถนัดก็เห็นใบหน้าสีแดงดั่งผลพุทราสุก ความคิดก็ยิ่งโน้มไปว่าคนผู้นี้น่าจะใช่กวนอู ผู้ซึ่งตนเลื่อมใสในฝีมือมาแต่ก่อน
ครั้นกวนอูถอดถุงหนวดออกแล้ว หุยง่วนเสียวได้แลเห็นหนวดอันยาวเป็นระเบียบ เส้นละเอียดดุจใยไหม ก็ประจักษ์ชัดว่าคนผู้นี้คือกวนอูแน่แล้ว จึงรีบลงจากหลังม้า วางทวนลงกับพื้นแล้วสั่งบุตรของกัวเสียงและทุกคนที่ติดตามมาให้คุกเข่าลงคำนับกวนอู
แล้วขออภัยว่าข้าพเจ้าได้ยินกิตติศัพท์ของท่านแต่ไม่เคยรู้จักตัว จึงได้กล่าวคำล่วงเกินท่าน ขอท่านจงงดโทษให้กับข้าพเจ้าและพรรคพวกด้วยเถิด
กวนอูเห็นหุยง่วนเสียวและพลพรรคมีน้ำใจเคารพนับถือตัวเอง ทั้งขออภัยในการล่วงเกินก็ยินดี จึงถามว่าเมื่อตัวท่านเป็นพวกโจรโพกผ้าเหลือง เหตุใดจึงได้มาอยู่ที่นี่
หุยง่วนเสียวจึงเล่าให้กวนอูฟังว่าหลังจากเตียวก๊กตายแล้ว กลุ่มโจรโพกผ้าเหลืองก็แตกกระสานซ่านเซ็น ตัวข้าพเจ้าคุมสมัครพรรคพวกมาอยู่ที่เชิงเขาตำบลนี้ บุตรของกัวเสียงได้ไปแจ้งแก่ข้าพเจ้าว่ามีขบวนของเศรษฐี มีทรัพย์สินเป็นอันมาก กำลังเดินทางเข้ามาในเขต ข้าพเจ้าจึงได้คุมพวกเพื่อจะมาแย่งชิงเอา
บุตรของกัวเสียงมีนิสัยเกเร คบพวกนักเลง นับถือหุยง่วนเสียวว่าเป็นผู้มีฝีมือและเป็นผู้นำ ครั้นได้เห็นลูกพี่ยอมสยบต่อกวนอูถึงเพียงนี้ก็รู้ว่ากวนอูบุรุษหน้าแดงผู้นี้หาใช่คนธรรมดาไม่ น้ำใจที่คิดแต่จะเกาะผู้อื่นเป็นหลักก็หันเหไหลมานับถือกวนอูด้วย ทั้งๆ ที่วันก่อนกัวเสียงผู้บิดาได้เรียกไปคำนับเพื่อฝากฝังกับกวนอูก็ไม่สนใจไยดี
บุตรของกัวเสียงได้สำนึกในตอนนี้ก็นับว่าไม่สาย ผิดกับนักการเมืองบางจำพวกที่ทำลายบ้านเมืองจนพินาศย่อยยับก็ไม่สำนึกผิด กลับใช้เล่ห์ลิ้นอุบายหลอก ลวงปวงชนต่อไปอีก เมื่อสำนึกแล้วจึงได้อ้อนวอนขอโทษต่อกวนอูแล้วว่า ข้าพเจ้าสำนึกผิดแล้ว ขอท่านช่วยอบรมสั่งสอนข้าพเจ้าด้วย
กวนอูเห็นบุตรของกัวเสียงรู้สำนึกตัว ด้วยความระลึกถึงคุณของกัวเสียงที่ให้ที่อาศัยค้างแรม น้ำใจเมตตาจึงหลั่งลงที่บุตรของกัวเสียงแล้วว่า “โทษตัวผิดครั้งหนึ่งเราก็ยกโทษเสีย ตัวก็คบคิดกันทำอีก ครั้นจะฆ่าเสียบัดนี้ก็คิดถึงไมตรีกัวเสียง แลโทษตัวทั้งสองครั้งนั้นเราก็ยกให้กัวเสียงผู้บิดา”
แล้วสอนว่าคนเราเกิดมาชาติหนึ่งพึงตระหนักในหน้าที่ห้าประการอย่าให้บกพร่อง จึงจะนับว่าเป็นคนดีมีค่าคุ้มที่ได้เกิดมา
ประการหนึ่งพึงมีน้ำใจรักภักดีต่อแผ่นดิน ยอมเสียสละทุกสิ่งแม้ชีวิตเพื่ออุทิศแก่บ้านเมือง
ประการหนึ่งพึงมีน้ำใจกตัญญูต่อบิดามารดาผู้ให้กำเนิด ด้วยการประพฤติตนเป็นคนดี อยู่ในคำสั่งสอนอบรม ทำหน้าที่การงานสร้างฐานะสืบสายสกุลให้รุ่งเรือง เป็นที่พึ่งแห่งบิดามารดาและตระกูลวงศ์
ประการหนึ่งพึงมีน้ำใจซื่อตรงต่อคู่ครอง สร้างฐานะให้เป็นหลักได้พักพิงของครอบครัว
ประการหนึ่งพึงตั้งตนอยู่ในศีลธรรมและขนบธรรมเนียม เป็นแบบอย่าง อบรมสั่งสอนบุตรหลานให้ตั้งตนเป็นคนดีมีกตัญญูต่อแผ่นดิน
ประการหนึ่งพึงซื่อตรงต่อมิตรไม่คิดเบียดเบียนล่อลวงหรือชักจูงไปในทางเสื่อมเสีย บำเพ็ญตนเพื่อประโยชน์ท่านให้ถึงพร้อม
แล้วว่าเจ้าจงจำคำเราและนำไปปฏิบัติให้เป็นผล ทำคุณไถ่โทษต่อบิดามารดาผู้ให้กำเนิด เจ้าก็จะเป็นผู้ประเสริฐไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นคน
บุตรของกัวเสียงได้ฟังคำสอนของกวนอูแล้ว รู้สึกเสียใจในความประพฤติปฏิบัติตัวตลอดชั่วเวลาที่ผ่านมา ทำให้บิดามารดาต้องอาบน้ำตาปนเหงื่อทุกค่ำเช้าก็ร้องไห้
กวนอูจึงว่าน้ำตาเจ้าในวันนี้เป็นน้ำตาที่ล้างความชั่วและความหลงผิด เพื่อชีวิตที่มีคุณค่ากว่าแต่ก่อนเจ้าจงรีบกลับไปหากัวเสียงเล่าความทั้งนี้แล้วปฏิญาณต่อผู้เป็นบิดามารดาว่าจะประพฤติปฏิบัติตามคำสอนของเรา บิดามารดาเจ้าจะได้ความสุข
บุตรของกัวเสียงฟังคำกวนอูแล้วลุกขึ้นคำนับ และขี่ม้ารีบกลับไปบ้าน.