ตอนที่ 135. อุบายสามขั้นผูกใจคน

กวนอูข้ามฟากแม่น้ำฮวงโหสู่แดนของอ้วนเสี้ยวด้วยใจที่รุ่มร้อนใคร่ได้พบหน้าเล่าปี่ที่อาศัยอยู่กับอ้วนเสี้ยว ณ เมืองกิจิ๋ว แต่สถานการณ์ได้แปรผันทำให้กวนอูไม่อาจเดินทางไปที่เมืองกิจิ๋วได้ตามความคิดเดิม เพราะได้พบกับซุนเขียนที่ปรึกษาของเล่าปี่เสียก่อน

            ซุนเขียนได้เล่าว่าในกองทัพของอ้วนเสี้ยวนั้นขาดความเป็นเอกภาพ ต่างแก่งแย่งแข่งดีริษยากันและกัน เตียนห้องที่ปรึกษาคนสำคัญยังคงถูกขังอยู่ในเรือนจำ ชีสิวถูกถอดออกจากตำแหน่งที่ปรึกษา เหลือแต่สิมโพยกับกัวเต๋า ต่างคนต่างแก่งแย่งแข่งดีกัน แม้ตัวอ้วนเสี้ยวเองก็เป็นคนขี้ระแวงสงสัย ตัดสินใจโลเลไม่เฉียบขาด ดังนั้นหากจะร่วมมือกับอ้วนเสี้ยวต่อไป การข้างหน้าก็จะขัดสน ดีร้ายก็อาจจะเป็นอันตรายไปพร้อมกับอ้วนเสี้ยว ดังนั้นข้าพเจ้าจึงปรึกษากับเล่าปี่คิดอ่านขออนุญาตอ้วนเสี้ยวไปเมืองยีหลำเพื่อเกลี้ยกล่อมเล่าเพ็กและก๋งเต๋า

            ซุนเขียนเล่าต่อไปว่า เมื่ออ้วนเสี้ยวอนุญาตเล่าปี่จึงเดินทางไปเมืองยีหลำแต่เป็นห่วงว่าท่านไม่รู้ความจะเดินทางไปเมืองกิจิ๋วตามแผนการเดิม จึงสั่งให้ข้าพเจ้ามาคอยอยู่ที่ริมแม่น้ำเพื่อส่งข่าวให้ท่านทราบ จะได้เปลี่ยนเส้นทางตามเล่าปี่ไปเมืองยีหลำ

            กวนอูได้ฟังดังนั้นก็ยินดี พาซุนเขียนมายังรถของพี่สะใภ้ หลังจากคารวะกันตามธรรมเนียมแล้ว ซุนเขียนได้แจ้งความของเล่าปี่ให้ฮูหยินทั้งสองทราบทุกประการ จากนั้นกวนอูจึงให้ซุนเขียนนำทางแล้วเคลื่อนขบวนไปเมืองยีหลำ

            ในขณะที่ขบวนเคลื่อนออกมาได้ชั่วครู่หนึ่ง กวนอูได้ยินเสียงโห่ร้องอึกทึกทางด้านหลัง เหลียวไปดูเห็นแฮหัวตุ้นคุมทหารเป็นจำนวนมากกำลังลงเรือข้ามแม่น้ำฮวงโห มีท่าทีว่าจะมาขัดขวางการเดินทาง กวนอูได้พิเคราะห์แล้วเห็นว่าถึงแม้นจะหนีคงจะไปได้ไม่ไกลเนื่องจากขบวนของพี่สะใภ้เป็นเครื่องถ่วงหลังทำให้เดินทางล่าช้า จึงให้ซุนเขียนคุมขบวนของพี่สะใภ้แล้วรีบเดินทางไปข้างหน้า ส่วนตัวกวนอูแต่ผู้เดียวหยุดม้าแล้วหันกลับมาตั้งรับเตรียมเผชิญหน้ากับแฮหัวตุ้น

            กวนอูรออยู่พักหนึ่ง แฮหัวตุ้นก็ยกทหารข้ามแม่น้ำฮวงโหตามมาถึง ครั้นแฮหัวตุ้นเข้ามาใกล้กวนอูจึงว่าท่านคงยกทหารมาขัดขวางการเดินทางของข้าพเจ้า นี่เป็นการขัดต่อคำอนุญาตของท่านอัครมหาเสนาบดีที่ได้อนุญาตให้ข้าพเจ้าเดินทางกลับไปหาเล่าปี่

            แฮหัวตุ้นได้ตอบกลับมาว่า การอ้างว่าได้รับอนุญาตจากท่านอัครมหาเสนาบดีเป็นเพียงการตู่ของท่าน หากเป็นความจริงย่อมต้องมีหนังสือเบิกทางมาเป็นสำคัญ นอกจากนี้ตัวท่านยังหักด่านถึงห้าด่านและฆ่าแม่ทัพถึงหกคน ความผิดของท่านนี้หนักนัก เราจำเป็นที่จะต้องจับท่านส่งเข้าเมืองหลวง ให้ทางราชการพิจารณาความผิดตามโทสานุโทษต่อไป

            ว่าแล้วแฮหัวตุ้นชักม้าจะเข้ารบด้วยกวนอู แต่ยังมิทันที่จะได้ปะทะกัน พลันมีเสียงร้องตะโกนมาแต่ไกลห้ามว่าท่านนายพลทั้งสองอย่าเพิ่งรบกัน แฮหัวตุ้นจึงชักม้าถอยกลับมาที่เดิม

            ครั้นเจ้าของเสียงเข้ามาใกล้ปรากฏเป็นทหารของเมืองหลวงตรงเข้ามาคำนับแฮหัวตุ้น เอาหนังสือของโจโฉส่งให้แก่แฮหัวตุ้นแล้วว่าท่านอัครมหาเสนาบดีได้รักษาสัจจะวาจาที่อนุญาตให้กวนอูกลับไปหาเล่าปี่ แต่เกรงว่าระหว่างการเดินทางจะมีอุปสรรคจึงให้ข้าพเจ้าถือหนังสือเบิกทางมาให้ท่าน

            โจโฉปากก็ว่ารักษาคำสัตย์ อนุญาตให้กวนอูกลับไปหาเล่าปี่ได้ แต่ไม่ให้ใบเบิกทาง ด้วยหวังผลสามประการดังความในตอนก่อน ในระหว่างที่กวนอูหักด่านมาถึงห้าตำบลและฆ่าแม่ทัพเสียถึงหกคนนั้น โจโฉย่อมทราบความเป็นอย่างดี เพราะด่านต่าง ๆ จะต้องรายงานข่าวสารความเคลื่อนไหวของกวนอูให้ทราบทุกระยะ แต่กระนั้นโจโฉก็ยังไม่ยอมที่จะสั่งการให้เปิดทาง หรือรีบเอาใบเบิกทางตามมาส่ง คงหน่วงเหนี่ยวไว้จนกระทั่งกวนอูหักด่านจนข้ามฝั่งแม่น้ำฮวงโหเข้าเขตแดนของอ้วนเสี้ยวได้แล้วจึงค่อยส่งใบเบิกทางตามมา

            กรณีประจักษ์ชัดว่าด้วยระยะทางจากเมืองหลวงถึงแม่น้ำฮวงโหเป็นระยะทางไกล ต้องเดินทางรอนแรมเป็นเวลาหลายวัน ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่หนังสือเบิกทางจะเพิ่งจัดส่งมาในวันที่แฮหัวตุ้นเผชิญหน้ากับกวนอู เหตุการณ์น่าจะเป็นเรื่องที่โจโฉสั่งทหารให้จัดส่งใบเบิกทางมาคอยทีอยู่ก่อนแล้ว จนเมื่อใดที่กวนอูข้ามพ้นแดนเข้าสู่แดนของอ้วนเสี้ยวแล้วจึงค่อยส่งใบเบิกทางเพื่อสร้างบุญคุณไว้กับกวนอูอีกครั้งหนึ่ง ทั้ง ๆ ที่ความจริงไม่เป็นประโยชน์อันใดแก่กวนอู และคนระดับโจโฉนั้นย่อมรู้ฝีมือของแฮหัวตุ้นดีว่าไม่สามารถรับมือกวนอูได้ ดีร้ายแฮหัวตุ้นก็จะถูกกวนอูฆ่าเสียอีกคนหนึ่ง ดังนั้นหนังสือใบเบิกทางที่ว่านี้แม้ดูภายนอกเป็นการแสดงออกถึงน้ำใจไมตรีมีเมตตาต่อกวนอู แต่ผลที่แท้จริงก็คือเป็นหนังสือที่ช่วยชีวิตแฮหัวตุ้นให้รอดตายเท่านั้น

            จระเข้ใหญ่แบบแฮหัวตุ้นกำลังขวางคลองอยู่ด้วยความทรนงว่าจะขัดขวางกวนอูไว้ได้ ครั้นได้ทราบความจากทหารสื่อสารก็ถามกลับไปว่าท่านอัครมหาเสนาบดีให้ใบเบิกทางมานี้ได้ทราบหรือไม่ว่ากวนอูได้หักด่านถึงห้าด่าน ฆ่าแม่ทัพถึงหกคน

            ทหารสื่อสารตอบว่าในขณะที่มอบใบเบิกทางนั้นท่านอัครมหาเสนาบดียังไม่ทราบ

            ความตอนนี้เห็นจะเชื่อเป็นความจริงไม่ได้ เพราะในขณะที่มีการมอบใบเบิกทางเหตุการณ์หักด่านและฆ่าแม่ทัพได้ผ่านมาหลายวันและหลายแห่งแล้ว กรณีจึงน่าที่จะเป็นเรื่องซักซ้อมการโต้ตอบกันมากกว่า และพึงต้องตั้งข้อสังเกตว่าโจโฉนั้นรู้ดีว่าแฮหัวตุ้นไม่ใช่คู่มือของกวนอู และนี่เป็นเพียงขั้นแรกของบทสุดท้ายในการผูกใจกวนอูด้วยความคิดเจ้าเล่ห์ของโจโฉเท่านั้น

            แฮหัวตุ้นได้ฟังดังนั้นจึงว่าการให้ใบเบิกทางเป็นเรื่องของการอนุญาตให้เดินทางนั้นเรื่องหนึ่ง แต่การที่กวนอูทำผิดกฎหมายฆ่าแม่ทัพถึงหกคนเป็นความผิดฉกรรจ์ จำเป็นที่จะต้องจับตัวส่งไปพิจารณาโทษในเมืองหลวงให้จงได้

            กวนอูได้ฟังเช่นนั้นก็โกรธ จึงว่าท่านพูดจาฉะนี้ดูหมิ่นเรา คิดว่าเราจะกลัวฝีมือท่านหรือ สิ้นคำกวนอูก็กระตุกบังเหียนม้าเป็นสัญญาณ ม้าเซ็กเธาว์รู้ความตามสัญญาณจึงปรี่ออกไปข้างหน้าตรงเข้าไปหาแฮหัวตุ้น

            ในขณะที่กวนอูรบกับแฮหัวตุ้นได้สิบเพลง พลันมีเสียงร้องตะโกนมาจากข้างหลังของแฮหัวตุ้นว่า ท่านอัครมหาเสนาบดีมีคำสั่งให้หยุดรบ กวนอูและแฮหัวตุ้นจึงผละออกจากกันแล้วหันไปมองเจ้าของเสียง เห็นเป็นทหารสื่อสารถือธงประจำกองทัพโจโฉโบกห้ามมาแต่ไกล

            ขั้นที่สองของบทสุดท้ายในการผูกใจกวนอูกำลังเริ่มขึ้น เมื่อแฮหัวตุ้นเห็นเช่นนั้นจึงถามขึ้นก่อนว่าเจ้าถือหนังสือของท่านอัครมหาเสนาบดีให้เราจับตัวกวนอูส่งเข้าเมืองหลวงใช่หรือไม่

            ฟังคำถามของแฮหัวตุ้นตอนนี้แล้วทำให้เกิดความสงสัยว่าดีร้ายแฮหัวตุ้นอาจจะได้รับรู้แผนการผูกใจกวนอูของโจโฉอยู่ก่อนแล้วก็เป็นได้

            ทหารสื่อสารได้ตอบกลับมาว่า หามิได้ ท่านอัครมหาเสนาบดีเกรงว่าด่านต่าง ๆ จะขวางกวนอูไว้ จึงสั่งให้ข้าพเจ้าเชิญธงสำหรับกองทัพมาห้ามปรามเพื่อมิให้ท่านอัครมหาเสนาบดีเสียความสัตย์

            แฮหัวตุ้นได้ถามซ้ำกลับไปว่า ในขณะที่เจ้ารับคำสั่งนั้น ท่านอัครามหาเสนาบดีได้รับรายงานแล้วหรือไม่ว่ากวนอูได้สังหารแม่ทัพถึงหกคน

            ทหารสื่อสารนั้นได้ตอบว่าท่านอัครมหาเสนาบดีไม่ทราบ แฮหัวตุ้นจึงว่าเมื่อเป็นเช่นนั้นย่อมแสดงว่าท่านอัครมหาเสนาบดีอนุญาตให้กวนอูเดินทางโดยที่ยังไม่ทราบความผิดฉกรรจ์ของกวนอู จึงปล่อยกวนอูไปไม่ได้ก่อน ว่าแล้วสั่งทหารให้ล้อมกวนอูไว้

            กวนอูเห็นดังนั้นก็โกรธจึงชักม้าเข้ารบด้วยแฮหัวตุ้น แต่ยังไม่ทันที่จะได้ประมือกัน ขั้นที่สามของบทสุดท้ายในการผูกใจกวนอูก็เกิดขึ้น ในพลันนั้นมีเสียงที่จำได้แม่นว่าเป็นเสียงของเตียวเลี้ยวร้องตะโกนมาว่าท่านทั้งสองอย่าเพิ่งรบกัน ท่านอัครมหาเสนาบดีมีคำสั่งมายังท่านแม่ทัพแฮหัวตุ้น

            เตียวเลี้ยวได้เข้ามาว่ากับแฮหัวตุ้นให้ได้ยินโดยทั่วกันว่า “มหาอุปราชแจ้งอยู่ว่ากวนอูหักด่านออกมาและฆ่าเจ้าเมืองแลนายด่านเสียนั้น มหาอุปราชคิดเกรงอยู่ว่าทหารทั้งปวงจะมีใจผูกแค้น จะช่วยกันมารบพุ่งมิให้กวนอูไปโดยสะดวก จึงให้เรารีบมาห้าม”

            แผนการสามขั้นของบทสุดท้ายในการผูกใจกวนอูประจักษ์ชัดว่าการห้ามแฮหัวตุ้นและกวนอูไม่ให้ต่อสู้กันถึงสามครั้งที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในเวลาเพียงชั่วยามเดียวนั้น ล้วนเกิดแต่แผนการอุบายผูกใจกวนอูให้รำลึกถึงคุณโจโฉนั่นเอง ทำให้เห็นว่าคนแบบโจโฉนี้ช่างเปี่ยมไปด้วยเล่ห์อุบายที่ลึกซึ้งและละเอียดถี่ถ้วน แต่เพราะความละเอียดถี่ถ้วนนี่เองจึงสามารถจับความได้ว่าเป็นแผนอุบาย

            แฮหัวตุ้นได้ฟังคำจากเตียวเลี้ยวอันเป็นคำสั่งเด็ดขาดไม่อาจฝ่าฝืนได้อีกต่อไปจึงว่า กวนอูได้ฆ่าจินกี๋ซึ่งเป็นหลานของซัวหยง และซัวหยงได้ฝากเนื้อฝากตัวให้เราช่วยอุปถัมภ์ค้ำจุนดูแล หากเราปล่อยกวนอูไปซัวหยงก็จะตำหนิติเตียนเราได้ ว่าไม่เจ็บร้อนด้วยหลาน

            เตียวเลี้ยวจึงว่าความข้อนี้ท่านอย่าได้วิตก ข้าพเจ้าขออาสารับเป็นธุระไปว่ากล่าวกับซัวหยงด้วยตนเอง มิให้เป็นโทษแก่ท่าน “แต่ซึ่งกวนอูนั้น มหาอุปราชมีเมตตาเป็นอันมาก จงปล่อยกวนอูให้ไปหาเล่าปี่ตามสัญญา ซึ่งท่านจะไม่ให้กวนอูไปนั้นเห็นจะล่วงคำมหาอุปราช”

            คำหนึ่งก็เมตตา คำหนึ่งก็สัจจะ ดูช่างเปี่ยมด้วยเหตุผลอันชวนใจคนให้หลงใหลวางใจเชื่อถือว่าเป็นวิญญูชน หรือทรงไว้ซึ่งธรรมอันควรแก่การเป็นหลักชัยในการปกครองแผ่นดิน แต่ภายใต้หน้ากากฉะนี้กลับแฝงไว้ด้วยเล่ห์ที่ผูกใจคนสถานหนึ่ง และช่วยชีวิตทหารเอกของตัวไว้อีกสถานหนึ่ง

            ไม่ต่างอันใดกับนักการเมืองในยุคปัจจุบันที่คำหนึ่งก็ว่าซื่อสัตย์สุจริต คำหนึ่งก็ว่าโปร่งใส คำหนึ่งก็ว่าธรรมรัฐ แต่ภายใต้หน้ากากที่เปี่ยมไปด้วยคุณธรรมและภายในถ้อยร้อยวาจาอันออดอ้อนฉอเลาะนั้น กลับเต็มไปด้วยพฤติกรรมอันเป็นทรราช ขายชาติ และประพฤติตัวเป็นหัวหน้าโจร แต่เอาจีวรของผู้ทรงศีลมาสวมใส่ แล้วนั่งพายเรือพาขบวนโจรเต็มทั้งลำไปปล้นชาติ ปล้นประชาชน

            แฮหัวตุ้นได้ฟังดังนั้นจึงสั่งทหารให้สลายวงล้อมที่ล้อมกวนอูอยู่

            เตียวเลี้ยวได้ชักม้าไปหยุดอยู่ตรงหน้ากวนอูแล้วถามว่า ขณะนี้ท่านทราบหรือไม่ว่าเล่าปี่อยู่ที่ไหน กวนอูเกรงความลับจะแพร่งพรายจึงแสร้งตอบไปว่าเดิมทีข้าพเจ้าทราบว่าพี่ร่วมน้ำสาบานอาศัยอยู่กับอ้วนเสี้ยวที่เมืองกิจิ๋ว แต่บัดนี้ทราบว่าเล่าปี่ได้ออกจากเมืองกิจิ๋วไปแล้ว ไม่ทราบว่าไปอยู่ที่ใด ดังนั้นข้าพเจ้าจำต้องติดตามถามหาเล่าปี่ต่อไป

            เตียวเลี้ยวได้ฟังดังนั้นก็มีสีหน้ายินดี แล้วว่าก็แลเมื่อท่านยังไม่ทราบข่าวคราวของเล่าปี่ว่าอยู่แห่งหนตำบลใด การจึงควรที่ท่านจะกลับไปอยู่ด้วยท่านอัครมหาเสนาบดีไปพลางก่อน เมื่อใดที่ทราบข่าวคราวเล่าปี่เป็นที่แน่ชัดแล้วจึงค่อยตามไป

            กวนอูได้ฟังดังนั้นก็รู้ทันแต่ก็เห็นถึงน้ำใจไมตรีของเตียวเลี้ยวที่มีต่อตนเป็นส่วนตัว จึงหัวเราะแล้วว่าข้าพเจ้าได้บอกลาท่านอัครมหาเสนาบดีมาแล้ว จะกลับไปอีกนั้นย่อมไม่ชอบ ถึงอย่างไรข้าพเจ้าจะต้องพยายามตามหาพี่ใหญ่ให้พบจงได้ ความห่วงใยของท่านเป็นที่ซาบซึ้งใจข้าพเจ้ายิ่งนัก

            แล้วว่าข้าพเจ้าลาท่านอัครมหาเสนาบดีมาครั้งนี้มิได้รับหนังสือเบิกทางมาด้วย นายด่านและเจ้าเมืองหลายคนได้ขัดขวางข้าพเจ้าเป็นอันล่วงคำอนุญาตของท่านอัครมหาเสนาบดี ทั้งตัวข้าพเจ้าก็จำเป็นต้องเดินทางเป็นการเร็ว ดังนั้นจึงจำเป็นต้องป้องกันตัวเพื่อให้รอดไปถึงพี่ใหญ่ ท่านกลับไปเมืองหลวงแล้วจงเห็นแก่ไมตรีของเราช่วยว่ากล่าวความจริงให้ทางเมืองหลวงได้รับทราบ อย่าให้ท่านอัครมหาเสนาบดีตำหนิติเตียนเราได้ว่าไร้ซึ่งความกตัญญู “อย่าขัดเคืองเราเลย ได้มีคุณแล้วจงทำตลอดไปเถิด ภายหน้าเราจะแทนคุณมหาอุปราช”

            ว่าแล้วกวนอูได้คำนับลาเตียวเลี้ยวแล้วขับม้าตามขบวนของพี่สะใภ้ไป ตัวเตียวเลี้ยวได้คำนับตอบ กล่าวคำอำลากวนอูแล้วชวนแฮหัวตุ้นยกทหารกลับไป.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร