ตอนที่ 133. หลุดจากจั่น...สู่หลุมบ่วง
กวนอูเสือศึกจากไก่เหลียงกำลังถูกเปี๋ยนฮีนายด่านกิสุยก๋วนลวงเชิญเข้าไปกินโต๊ะในวิหารของวัดตีนก๊กซือ ซึ่งเปรียบประดุจดังจั่นที่ดักวางไว้ โดยที่กวนอูหาได้ระแวงสงสัยแต่ประการใด แต่ในขณะเดียวกันนั้นหลวงจีนเภาเจ๋งเจ้าอาวาสกลับเต็มไปด้วยความวิตกกังวลเพราะยังไม่สบช่องที่จะบอกข่าวร้ายให้เพื่อนร่วมบ้านเกิดได้ระมัดระวังตัว
ครั้นโอกาสเปิดช่องให้แต่เพียงน้อยนิด หลวงจีนเภาเจ๋งจึงฉวยเอาโอกาสอันน้อยนั้นเสี่ยงบอกความนัยโดยเอามือชี้ไปที่กระบี่ซึ่งกวนอูเหน็บอยู่ข้างกายแล้วจ้องถลึงตากวนอูเป็นความนัย
กวนอูเห็นอาการของหลวงจีนเภาเจ๋งก็เข้าใจความหมายว่าเปี๋ยนฮีกำลังคิดการร้าย ดังนั้นเมื่อส่งน้ำชาให้แก่พี่สะใภ้แล้ว จึงสั่งทหารที่ติดตามมาให้แบ่งจำนวนหกคนคุ้มกันรถของพี่สะใภ้ ส่วนที่เหลือให้ถืออาวุธพร้อมติดตามกวนอูไปรักษาการณ์อยู่ที่ประตูวิหาร กวนอูแต่ผู้เดียวเหน็บกระบี่เดินเข้าในวิหารโดยมิได้คร้ามเกรง แล้วตรงเข้าไปที่นายด่าน
เปี๋ยนฮีเห็นกวนอูเดินเข้าจั่นตามแผนที่วางไว้ก็กล่าวเชิญกวนอูว่าบัดนี้โต๊ะซึ่งแต่งไว้พร้อมแล้ว ขอเชิญท่านนั่งลงกินโต๊ะด้วยกัน กวนอูเข้าไปนั่งใกล้เปี๋ยนฮีในระยะเอื้อมถึง ในขณะเดียวกันก็สังเกตเห็นว่าบรรดาผู้คนในวิหารซึ่งแม้จะใส่เสื้อคลุมแต่ด้ามกระบี่ซึ่งซ่อนอยู่ข้างในได้ดันเสื้อคลุมให้ตุงออกมาจนเห็นประจักษ์ตรงตามความนัยที่หลวงจีนเภาเจ๋งได้เฉลยไว้
กวนอูได้ถามขึ้นแบบรู้ทันอย่างตรงไปตรงมาว่า “ซึ่งชวนเรามากินโต๊ะนี้ดีหรือร้าย”
เปี๋ยนฮีได้ยินคำถามซึ่งไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าความจะแพร่งพรายก็ตกใจจนตัวสั่น เพราะระยะที่นั่งอยู่ใกล้เพียงแค่มือเอื้อมของกวนอูเท่านั้น กวนอูเห็นเป็นพิรุธจึงตวาดขึ้นว่า “กูคิดว่ามึงเป็นคนดี กูจึงถือซื่อเข้ามาด้วย ควรหรือมึงคิดร้ายต่อกู” ว่าแล้วกวนอูก็จับกระบี่ไว้มั่น
เปี๋ยนฮีเมื่อทราบว่าแผนแตกโดยที่ไม่ทันถือจอกสุราไว้กับมือ เพราะพนักงานยังไม่นำสุราออกมา ไม่สามารถทิ้งจอกสุราเป็นสัญญาณตามที่นัดหมายกันไว้ เปี๋ยนฮีจึงร้องตะโกนให้พรรคพวกซึ่งซุ่มอยู่ว่าให้เร่งลงมือจับกวนอูให้จงได้
ในระหว่างร้องตะโกนเปี๋ยนฮีก็วิ่งหนีออกจากวิหาร ตรงไปทางเก๋งหน้าวิหาร แต่พลันที่สิ้นเสียงเปี๋ยนฮี กระบี่ในมือกวนอูได้กรายดื่มเลือดทหารของเปี๋ยนฮีที่กำลังจะกรูเข้ามาตายคาที่ไปหลายคน ส่วนที่เหลือก็พากันแตกหนี
กวนอูยื่นกระบี่ให้ทหารที่ตามมาแล้วเอาง้าวมาถือไว้แทน ผลันออกจากประตูวิหารวิ่งตามเปี๋ยนฮีไปที่เก๋ง พอเข้าใกล้ตัว เปี๋ยนฮีจึงขว้างลูกขลุบใส่กวนอู
กวนอูเอาง้าวปัดลูกขลุบกระเด็นไปอีกทางหนึ่ง แล้วตรงเข้าไปฟันเปี๋ยนฮีตัวขาดสองท่อนถึงแก่ความตาย ในขณะเดียวกันนั้นได้ยินเสียงทหารที่คุ้มกันรถของสะใภ้กำลังต่อสู้อยู่ กวนอูหันไปมองเห็นทหารเปี๋ยนฮีกำลังรุมล้อมรถของพี่สะใภ้ ในขณะที่ทหารอารักขาได้ต่อสู้ป้องกันไว้เป็นสามารถ
กวนอูวิ่งตรงไปที่วงการต่อสู้แล้วใช้ง้าวฟันทหารของเปี๋ยนฮีล้มตายลงเกือบสิ้น พวกที่เหลือรีบพากันวิ่งหนี ครั้นทหารของเปี๋ยนฮีหนีไปหมดแล้ว กวนอูจึงเข้าไปคำนับหลวงจีนเภาเจ๋งซึ่งกำลังยืนตกตะลึงอยู่แล้วว่า บุญคุณที่ท่านบอกความให้ข้าพเจ้าได้รู้ตัวก่อนในครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก หาไม่แล้วชีวิตข้าพเจ้าคงไม่รอดพ้นประตูวิหารออกมาได้
หลวงจีนเภาเจ๋งได้ยินคำกวนอูก็หายตกตะลึง แล้วปรารภขึ้นว่าเราเป็นผู้เว้นจากปาณาติบาต ไม่เกี่ยวข้องด้วยเรื่องการเมืองหรือความขัดแย้งใด ๆ แต่คราวนี้เหตุการณ์พลอยให้เราต้องตกกระไดกลายเป็นรู้เห็นด้วยท่าน อันจะอยู่ในวัดนี้ต่อไปคงจะไม่ได้แล้ว เพราะลูกน้องของนายด่านย่อมผูกใจเจ็บเป็นพยาบาทต่อตัวเรา ดังนั้นเราจำที่จะต้องหนีราชภัยไปอยู่วัดอื่นและถือโอกาสนี้ขออำลาท่านเพื่อจะได้รีบเดินทาง ทั้งขออวยพรให้ท่านเดินทางโดยสวัสดิภาพ วันหน้าอาจมีโอกาสพบกันอีกครั้งหนึ่ง
กวนอูได้ฟังคำก็รีบคำนับลาหลวงจีน แล้วพาขบวนของพี่สะใภ้ออกเดินทางพ้นเขตด่านกิสุยก๋วน ตรงไปทางทิศเหนือซึ่งมีเมืองเอี๋ยงหยงเป็นเมืองที่จะต้องผ่านต่อไป
ฝ่ายอองเซ็กเจ้าเมืองเอี๋ยงหยงซึ่งเกี่ยวดองอยู่กับฮันฮกเจ้าเมืองลกเอี๋ยงได้ทราบข่าวฮันฮกผู้เป็นดองถูกกวนอูสังหารแล้ว ก็มีใจผูกเจ็บกวนอูเป็นอันมาก คอยติดตามฟังข่าวคราวกวนอูด้วยหวังจะล้างแค้นให้กับฮันฮก
อองเซ็กได้เรียกบรรดาขุนนางและที่ปรึกษาของเมืองเอี๋ยงหยงเข้ามาปรึกษาว่า กวนอูหนีออกจากเมืองหลวงหักด่านและสังหารนายด่านเสียหลายคน อีกไม่นานคงจะเดินทางผ่านเมืองเอี๋ยงหยง ครั้นเราจะปล่อยไปความผิดก็จะตกอยู่แก่เรา ทั้งจะได้ชื่อว่าไม่เป็นใจเจ็บแค้นด้วยฮันฮกผู้เป็นดอง แต่ครั้นจะยกทหารออกไปสู้รบก็เห็นขัดสนนัก เพราะฝีมือกวนอูเข้มแข็งเด็ดขาด ดีร้ายเราก็จะมีชะตาอย่างเดียวกับนายด่านทั้งปวงตามทางผ่านนั้น
ปรารภดั่งนี้แล้วอองเซ็กจึงกำหนดแผนการว่า “จำจะทำกลอุบายให้กวนอูไว้ใจแล้วจึงจะจับฆ่าเสียได้โดยง่าย”
รายละเอียดของแผนการที่อองเซ็กวางไว้คือ จะทำทีต้อนรับกวนอูเป็นอย่างดีเพื่อให้กวนอูไว้วางใจ พอตกกลางคืนก็จะใช้ไฟเผาเรือนพักที่จะจัดไว้ต้อนรับกวนอูและพี่สะใภ้ให้มอดไหม้เป็นจุณไป และให้จัดทหารสกัดกั้นไว้ทุกทางเข้าออกไม่ให้กวนอูหนีออกไปได้ บรรดาที่ปรึกษาและนายทหารของเมืองเอี๋ยงหยงรับทราบแผนยุทธการแล้วต่างพากันแยกย้ายไปจัดเตรียมกำลังคนและสถานที่เพื่อเตรียมการสังหารกวนอูต่อไป
ครั้นหน่วยลาดตระเวนได้เข้ามารายงานแก่อองเซ็กว่ากวนอูกำลังจะเข้าเขตเมืองเอี๋ยงหยง อองเซ็กจึงขึ้นม้าพาทหารออกไปต้อนรับกวนอู เมื่อขบวนกวนอูเข้ามาใกล้ อองเซ็กได้ลงจากหลังม้าคำนับกวนอูแล้วว่า ข้าพเจ้าชื่ออองเซ็กเป็นเจ้าเมืองเอี๋ยงหยง ได้ทราบกิตติศัพท์ว่าท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายทหาร กำลังเดินทางผ่านเมืองนี้ จึงรีบออกมาต้อนรับเพื่อขอเชิญเข้าพักในเมืองสักราตรีหนึ่ง รุ่งขึ้นแล้วจึงค่อยเดินทางต่อไป
กวนอูเห็นอองเซ็กหน้าตาซื่อ ๆ น่าเชื่อถือแบบนักการเมืองที่มาจากนักวิชาการ ทั้งเห็นอองเซ็กและเหล่าทหารมิได้ถืออาวุธก็คลายใจรับคำเชิญ อองเซ็กจึงนำขบวนของกวนอูเข้าไปในเมือง จัดบ้านรับรองหลังใหญ่หลังหนึ่งให้เป็นที่พักของกวนอูและพี่สะใภ้ตลอดจนทหารที่ติดตามมา แล้วว่าเย็นวันนี้ข้าพเจ้าจะแต่งโต๊ะเลี้ยงรับรองท่านเพื่อเป็นเกียรติ ข้าพเจ้าจะขอลาไปก่อน ได้เวลาแล้วจะให้ทหารมาเชิญท่านไปที่จวน
อองเซ็กได้คำนับลากวนอูกลับไปที่จวน สั่งให้ทหารเตรียมโต๊ะสำหรับเลี้ยงกวนอูและกำชับให้พยายามส่งสุราให้กวนอูอย่างเต็มที่ เพื่อให้กวนอูเมาสุราแล้วจะได้ทำการโดยสะดวก
ครั้นได้เวลาอองเซ็กได้ให้ทหารไปเชิญกวนอู แต่กวนอูเฉลียวใจคิดว่าก่อนเดินทางถึงเมืองนี้เปี๋ยนฮีได้ทำทีเป็นดีด้วย แต่กลับซ่อนแผนการร้ายไว้ข้างหลัง มาครั้งนี้ อองเซ็กให้คนมาเชิญเราไปกินโต๊ะ หรือว่าจะเป็นแผนการแบบเดียวกับเปี๋ยนฮี จึงคิดระวังตัวไม่ตั้งอยู่ในความประมาท แล้วแสร้งบอกกับทหารที่มาเชิญนั้นว่าที่เจ้าเมืองเชิญเราไปกินโต๊ะนั้นขอบใจนัก แต่ว่าพี่สะใภ้ของเราเป็นสตรี หลังจากเดินทางอย่างลำบากในวันนี้จึงเหน็ดเหนื่อยและเกิดอาการป่วย เราจึงไม่สามารถไปกินโต๊ะตามคำเชิญได้ ฝากเจ้ากลับไปรายงานให้เจ้าเมืองทราบว่าเราขออภัยด้วย
อองเซ็กครั้นทราบว่ากวนอูไม่มากินโต๊ะตามแผนการก็พรั่นใจว่ากวนอูจะระแวงสงสัย จึงสั่งให้เจ้าหน้าที่ในจวนเอาโต๊ะไปเลี้ยงกวนอูถึงที่พัก
ครั้นกวนอูและพี่สะใภ้กินโต๊ะที่อองเซ็กส่งมาแล้ว ค่ำลงกวนอูได้จัดให้พี่สะใภ้ทั้งสองพักที่ห้องกลาง ให้ทหารที่ติดตามมาพักนอนที่ห้องข้างซ้ายขวา ส่วนกวนอูถอดเกราะสวมแต่เสื้อคลุม นั่งดูหนังสืออยู่ที่ห้องโถงใหญ่ด้านหน้า
ฝ่ายอองเซ็กพอสั่งเจ้าหน้าที่ให้คุมโต๊ะไปส่งให้กวนอูแล้ว ได้เรียกงอปั้นนายทหารคนสนิทมาสั่งการว่า เวลายามสามคืนนี้ให้เจ้าคุมกำลังทหารไปล้อมเรือนพักของกวนอูไว้ ให้เอาเชื้อเพลิงไปกองสุมไว้โดยรอบ แล้วจุดเพลิงเผาคณะของกวนอูอย่าให้เหลือรอดแม้แต่คนเดียว พร้อมทั้งกำชับว่าเมื่อจุดเพลิงขึ้นแล้วให้จุดพลุเป็นสัญญาณ เราจะยกทหารเข้าไปช่วย
งอปั้นรับคำสั่งแล้วลาอองเซ็กออกมาจัดเตรียมเชื้อเพลิงและกำลังทหาร พอสิ้นยามสองงอปั้นจึงสั่งให้เคลื่อนกำลังตรงไปที่เรือนพักของกวนอู สั่งทหารให้เอาเชื้อเพลิงสุมไว้โดยรอบเรือนพัก และรอฟังสัญญาณ
เมื่อทหารของงอปั้นวางเชื้อเพลิงสุมโดยรอบเรือนพักของกวนอูแล้ว งอปั้นได้คิดขึ้นว่ากวนอูผู้นี้กิตติศัพท์ร่ำลือทั่วทั้งแผ่นดินว่ามีฝีมือรบพุ่งกล้าหาญองอาจ ทั้งมีน้ำใจกตัญญูยิ่งกว่าใคร ไหน ๆ กวนอูจะตายแล้ว เราจำจะดูหน้าค่าตากวนอูว่าเป็นประการใด คิดดังนั้นแล้วงอปั้นจึงเดินไปที่ประตู แล้วสอบถามนายประตูว่ากวนอูพักอยู่ห้องไหน
นายประตูได้ชี้ไปที่ห้องโถงใหญ่ด้านหน้าแล้วว่ากวนอูพักอยู่ที่ห้องนั้น งอปั้นค่อย ๆ เดินย่องจนไปถึงหน้าประตูห้องโถง แอบมองเข้าไปในห้องเห็นกวนอูสวมเสื้อคลุมสีเขียวตองอ่อน โพกผ้าสีตองอ่อนนั่งที่โต๊ะรับรอง หันหลังให้กับข้างฝา หันหน้าออกมาทางประตู จุดตะเกียงดวงหนึ่งไว้บนโต๊ะ มือซ้ายถือหนังสือวางอยู่บนท่อนแขนซ้ายซึ่งทาบอยู่กับโต๊ะ ในขณะที่มือขวาจับหนวดที่บริเวณคางแล้วลูบลงครั้งแล้วครั้งเล่า แสงตะเกียงต้องใบหน้ากวนอูซึ่งเป็นสีแดงดังผลพุทราสุก มีอาการนิ่งสงบ ดูสง่าน่าเกรงขามนัก
งอปั้นแอบจ้องดูกวนอูด้วยใจนิยมจนเผลอสติแล้วร้องอุทานขึ้นอย่างลืมตัวว่า “รูปกวนอูนี้งามเหมือนเทพยดา”
กวนอูได้ยินเสียงดังนั้นก็ตกใจที่มีคนมาแอบดูโดยไม่รู้สึกตัว มือที่ลูบหนวดคว้าจับกระบี่ที่วางอยู่ข้างตัว แล้วร้องถามว่านั่นเป็นผู้ใดลอบเข้ามาถึงที่นี่
งอปั้นต้องมนต์แห่งความสง่างามสมชายชาติทหารสะกด ได้ยินเสียงกวนอูยังไม่ทันตั้งสติ ก็เผลอตอบไปว่าข้าพเจ้าชื่องอปั้น เป็นทหารของอองเซ็ก ในขณะที่ขาทั้งสองพาเจ้าของร่างเดินเข้าไปหากวนอูถึงในห้อง
กวนอูได้ยินว่าผู้ลอบมาเยือนชื่องอปั้นและเห็นงอปั้นในขณะที่เดินเข้ามานั้นมีรูปร่างลักษณะคล้ายคลึงกับงอหัว อดีตขุนนางเฒ่าซึ่งกวนอูได้อาศัยพักแรมในช่วงแรกของการเดินทาง ก็นึกถึงงอหัวคิดว่างอปั้นผู้นี้คงจะใช่บุตรชายของงอหัวที่ได้ฝากหนังสือมา จึงถามว่าท่านว่าชื่องอปั้น เป็นบุตรของงอหัวหรือ
งอปั้นได้ยินชื่อบิดาก็ได้สติ น้อมตัวลงคำนับกวนอูแล้วว่างอหัวคือบิดาของข้าพเจ้า ท่านรู้จักบิดาข้าพเจ้าหรือ กวนอูจึงว่างอหัวเป็นผู้มีพระคุณของเรา ได้ฝากหนังสือมาถึงท่าน ว่าแล้วกวนอูจึงลุกไปหยิบหนังสือจากห่อสัมภาระแล้วส่งแก่งอปั้น
งอปั้นอ่านหนังสือของบิดาซึ่งสั่งความไว้ว่า เราได้ฝากหนังสือกับกวนอูมาให้เจ้า กวนอูผู้นี้มีฝีมือเข้มแข็งกล้าหาญ มีความภักดีต่อแผ่นดิน มีน้ำใจซื่อสัตย์สุจริต ควรที่เจ้าจะคบหารับใช้ ถ้ากวนอูมาถึงเจ้าแล้วจงทำนุบำรุงกวนอูและอำนวยความสะดวกเสมือนหนึ่งว่าบิดาได้มาด้วย ภายหน้าเจ้าจักได้เป็นที่พึ่งสืบไป
งอปั้นทราบความแล้วตกตะลึงด้วยความตกใจ แล้วว่าเดชะบุญที่ข้าพเจ้าได้ทราบความตามหนังสือของบิดา หาไม่แล้วชีวิตท่านพร้อมพี่สะใภ้และทหารที่ติดตามมาคงจบสิ้นลงกลายเป็นเถ้าถ่านอยู่ ณ ที่นี่ และได้เล่าความตามที่อองเซ็กได้วางแผนการให้กวนอูทราบทุกประการ
กวนอูได้ฟังคำงอปั้นก็ตกใจ งอปั้นเห็นกวนอูมีสีหน้าขึงขังแต่มีกิริยาอาการอันสงบอยู่ จึงว่าท่านจงเตรียมตัวออกเดินทางโดยเร็วที่สุด ข้าพเจ้าจะไปเปิดประตูเมืองให้ท่านออกไปโดยสะดวก แล้วจะกลับเข้ามาเอาเพลิงเผาเรือนหลังนี้เพื่อมิให้อองเซ็กสงสัย หากอองเซ็กทราบภายหลังข้าพเจ้าจะได้มีข้ออ้างว่าท่านลอบหนีไปก่อน ว่าแล้วงอปั้นได้คำนับลากวนอูแล้วรีบกลับออกไป.
ครั้นโอกาสเปิดช่องให้แต่เพียงน้อยนิด หลวงจีนเภาเจ๋งจึงฉวยเอาโอกาสอันน้อยนั้นเสี่ยงบอกความนัยโดยเอามือชี้ไปที่กระบี่ซึ่งกวนอูเหน็บอยู่ข้างกายแล้วจ้องถลึงตากวนอูเป็นความนัย
กวนอูเห็นอาการของหลวงจีนเภาเจ๋งก็เข้าใจความหมายว่าเปี๋ยนฮีกำลังคิดการร้าย ดังนั้นเมื่อส่งน้ำชาให้แก่พี่สะใภ้แล้ว จึงสั่งทหารที่ติดตามมาให้แบ่งจำนวนหกคนคุ้มกันรถของพี่สะใภ้ ส่วนที่เหลือให้ถืออาวุธพร้อมติดตามกวนอูไปรักษาการณ์อยู่ที่ประตูวิหาร กวนอูแต่ผู้เดียวเหน็บกระบี่เดินเข้าในวิหารโดยมิได้คร้ามเกรง แล้วตรงเข้าไปที่นายด่าน
เปี๋ยนฮีเห็นกวนอูเดินเข้าจั่นตามแผนที่วางไว้ก็กล่าวเชิญกวนอูว่าบัดนี้โต๊ะซึ่งแต่งไว้พร้อมแล้ว ขอเชิญท่านนั่งลงกินโต๊ะด้วยกัน กวนอูเข้าไปนั่งใกล้เปี๋ยนฮีในระยะเอื้อมถึง ในขณะเดียวกันก็สังเกตเห็นว่าบรรดาผู้คนในวิหารซึ่งแม้จะใส่เสื้อคลุมแต่ด้ามกระบี่ซึ่งซ่อนอยู่ข้างในได้ดันเสื้อคลุมให้ตุงออกมาจนเห็นประจักษ์ตรงตามความนัยที่หลวงจีนเภาเจ๋งได้เฉลยไว้
กวนอูได้ถามขึ้นแบบรู้ทันอย่างตรงไปตรงมาว่า “ซึ่งชวนเรามากินโต๊ะนี้ดีหรือร้าย”
เปี๋ยนฮีได้ยินคำถามซึ่งไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าความจะแพร่งพรายก็ตกใจจนตัวสั่น เพราะระยะที่นั่งอยู่ใกล้เพียงแค่มือเอื้อมของกวนอูเท่านั้น กวนอูเห็นเป็นพิรุธจึงตวาดขึ้นว่า “กูคิดว่ามึงเป็นคนดี กูจึงถือซื่อเข้ามาด้วย ควรหรือมึงคิดร้ายต่อกู” ว่าแล้วกวนอูก็จับกระบี่ไว้มั่น
เปี๋ยนฮีเมื่อทราบว่าแผนแตกโดยที่ไม่ทันถือจอกสุราไว้กับมือ เพราะพนักงานยังไม่นำสุราออกมา ไม่สามารถทิ้งจอกสุราเป็นสัญญาณตามที่นัดหมายกันไว้ เปี๋ยนฮีจึงร้องตะโกนให้พรรคพวกซึ่งซุ่มอยู่ว่าให้เร่งลงมือจับกวนอูให้จงได้
ในระหว่างร้องตะโกนเปี๋ยนฮีก็วิ่งหนีออกจากวิหาร ตรงไปทางเก๋งหน้าวิหาร แต่พลันที่สิ้นเสียงเปี๋ยนฮี กระบี่ในมือกวนอูได้กรายดื่มเลือดทหารของเปี๋ยนฮีที่กำลังจะกรูเข้ามาตายคาที่ไปหลายคน ส่วนที่เหลือก็พากันแตกหนี
กวนอูยื่นกระบี่ให้ทหารที่ตามมาแล้วเอาง้าวมาถือไว้แทน ผลันออกจากประตูวิหารวิ่งตามเปี๋ยนฮีไปที่เก๋ง พอเข้าใกล้ตัว เปี๋ยนฮีจึงขว้างลูกขลุบใส่กวนอู
กวนอูเอาง้าวปัดลูกขลุบกระเด็นไปอีกทางหนึ่ง แล้วตรงเข้าไปฟันเปี๋ยนฮีตัวขาดสองท่อนถึงแก่ความตาย ในขณะเดียวกันนั้นได้ยินเสียงทหารที่คุ้มกันรถของสะใภ้กำลังต่อสู้อยู่ กวนอูหันไปมองเห็นทหารเปี๋ยนฮีกำลังรุมล้อมรถของพี่สะใภ้ ในขณะที่ทหารอารักขาได้ต่อสู้ป้องกันไว้เป็นสามารถ
กวนอูวิ่งตรงไปที่วงการต่อสู้แล้วใช้ง้าวฟันทหารของเปี๋ยนฮีล้มตายลงเกือบสิ้น พวกที่เหลือรีบพากันวิ่งหนี ครั้นทหารของเปี๋ยนฮีหนีไปหมดแล้ว กวนอูจึงเข้าไปคำนับหลวงจีนเภาเจ๋งซึ่งกำลังยืนตกตะลึงอยู่แล้วว่า บุญคุณที่ท่านบอกความให้ข้าพเจ้าได้รู้ตัวก่อนในครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก หาไม่แล้วชีวิตข้าพเจ้าคงไม่รอดพ้นประตูวิหารออกมาได้
หลวงจีนเภาเจ๋งได้ยินคำกวนอูก็หายตกตะลึง แล้วปรารภขึ้นว่าเราเป็นผู้เว้นจากปาณาติบาต ไม่เกี่ยวข้องด้วยเรื่องการเมืองหรือความขัดแย้งใด ๆ แต่คราวนี้เหตุการณ์พลอยให้เราต้องตกกระไดกลายเป็นรู้เห็นด้วยท่าน อันจะอยู่ในวัดนี้ต่อไปคงจะไม่ได้แล้ว เพราะลูกน้องของนายด่านย่อมผูกใจเจ็บเป็นพยาบาทต่อตัวเรา ดังนั้นเราจำที่จะต้องหนีราชภัยไปอยู่วัดอื่นและถือโอกาสนี้ขออำลาท่านเพื่อจะได้รีบเดินทาง ทั้งขออวยพรให้ท่านเดินทางโดยสวัสดิภาพ วันหน้าอาจมีโอกาสพบกันอีกครั้งหนึ่ง
กวนอูได้ฟังคำก็รีบคำนับลาหลวงจีน แล้วพาขบวนของพี่สะใภ้ออกเดินทางพ้นเขตด่านกิสุยก๋วน ตรงไปทางทิศเหนือซึ่งมีเมืองเอี๋ยงหยงเป็นเมืองที่จะต้องผ่านต่อไป
ฝ่ายอองเซ็กเจ้าเมืองเอี๋ยงหยงซึ่งเกี่ยวดองอยู่กับฮันฮกเจ้าเมืองลกเอี๋ยงได้ทราบข่าวฮันฮกผู้เป็นดองถูกกวนอูสังหารแล้ว ก็มีใจผูกเจ็บกวนอูเป็นอันมาก คอยติดตามฟังข่าวคราวกวนอูด้วยหวังจะล้างแค้นให้กับฮันฮก
อองเซ็กได้เรียกบรรดาขุนนางและที่ปรึกษาของเมืองเอี๋ยงหยงเข้ามาปรึกษาว่า กวนอูหนีออกจากเมืองหลวงหักด่านและสังหารนายด่านเสียหลายคน อีกไม่นานคงจะเดินทางผ่านเมืองเอี๋ยงหยง ครั้นเราจะปล่อยไปความผิดก็จะตกอยู่แก่เรา ทั้งจะได้ชื่อว่าไม่เป็นใจเจ็บแค้นด้วยฮันฮกผู้เป็นดอง แต่ครั้นจะยกทหารออกไปสู้รบก็เห็นขัดสนนัก เพราะฝีมือกวนอูเข้มแข็งเด็ดขาด ดีร้ายเราก็จะมีชะตาอย่างเดียวกับนายด่านทั้งปวงตามทางผ่านนั้น
ปรารภดั่งนี้แล้วอองเซ็กจึงกำหนดแผนการว่า “จำจะทำกลอุบายให้กวนอูไว้ใจแล้วจึงจะจับฆ่าเสียได้โดยง่าย”
รายละเอียดของแผนการที่อองเซ็กวางไว้คือ จะทำทีต้อนรับกวนอูเป็นอย่างดีเพื่อให้กวนอูไว้วางใจ พอตกกลางคืนก็จะใช้ไฟเผาเรือนพักที่จะจัดไว้ต้อนรับกวนอูและพี่สะใภ้ให้มอดไหม้เป็นจุณไป และให้จัดทหารสกัดกั้นไว้ทุกทางเข้าออกไม่ให้กวนอูหนีออกไปได้ บรรดาที่ปรึกษาและนายทหารของเมืองเอี๋ยงหยงรับทราบแผนยุทธการแล้วต่างพากันแยกย้ายไปจัดเตรียมกำลังคนและสถานที่เพื่อเตรียมการสังหารกวนอูต่อไป
ครั้นหน่วยลาดตระเวนได้เข้ามารายงานแก่อองเซ็กว่ากวนอูกำลังจะเข้าเขตเมืองเอี๋ยงหยง อองเซ็กจึงขึ้นม้าพาทหารออกไปต้อนรับกวนอู เมื่อขบวนกวนอูเข้ามาใกล้ อองเซ็กได้ลงจากหลังม้าคำนับกวนอูแล้วว่า ข้าพเจ้าชื่ออองเซ็กเป็นเจ้าเมืองเอี๋ยงหยง ได้ทราบกิตติศัพท์ว่าท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายทหาร กำลังเดินทางผ่านเมืองนี้ จึงรีบออกมาต้อนรับเพื่อขอเชิญเข้าพักในเมืองสักราตรีหนึ่ง รุ่งขึ้นแล้วจึงค่อยเดินทางต่อไป
กวนอูเห็นอองเซ็กหน้าตาซื่อ ๆ น่าเชื่อถือแบบนักการเมืองที่มาจากนักวิชาการ ทั้งเห็นอองเซ็กและเหล่าทหารมิได้ถืออาวุธก็คลายใจรับคำเชิญ อองเซ็กจึงนำขบวนของกวนอูเข้าไปในเมือง จัดบ้านรับรองหลังใหญ่หลังหนึ่งให้เป็นที่พักของกวนอูและพี่สะใภ้ตลอดจนทหารที่ติดตามมา แล้วว่าเย็นวันนี้ข้าพเจ้าจะแต่งโต๊ะเลี้ยงรับรองท่านเพื่อเป็นเกียรติ ข้าพเจ้าจะขอลาไปก่อน ได้เวลาแล้วจะให้ทหารมาเชิญท่านไปที่จวน
อองเซ็กได้คำนับลากวนอูกลับไปที่จวน สั่งให้ทหารเตรียมโต๊ะสำหรับเลี้ยงกวนอูและกำชับให้พยายามส่งสุราให้กวนอูอย่างเต็มที่ เพื่อให้กวนอูเมาสุราแล้วจะได้ทำการโดยสะดวก
ครั้นได้เวลาอองเซ็กได้ให้ทหารไปเชิญกวนอู แต่กวนอูเฉลียวใจคิดว่าก่อนเดินทางถึงเมืองนี้เปี๋ยนฮีได้ทำทีเป็นดีด้วย แต่กลับซ่อนแผนการร้ายไว้ข้างหลัง มาครั้งนี้ อองเซ็กให้คนมาเชิญเราไปกินโต๊ะ หรือว่าจะเป็นแผนการแบบเดียวกับเปี๋ยนฮี จึงคิดระวังตัวไม่ตั้งอยู่ในความประมาท แล้วแสร้งบอกกับทหารที่มาเชิญนั้นว่าที่เจ้าเมืองเชิญเราไปกินโต๊ะนั้นขอบใจนัก แต่ว่าพี่สะใภ้ของเราเป็นสตรี หลังจากเดินทางอย่างลำบากในวันนี้จึงเหน็ดเหนื่อยและเกิดอาการป่วย เราจึงไม่สามารถไปกินโต๊ะตามคำเชิญได้ ฝากเจ้ากลับไปรายงานให้เจ้าเมืองทราบว่าเราขออภัยด้วย
อองเซ็กครั้นทราบว่ากวนอูไม่มากินโต๊ะตามแผนการก็พรั่นใจว่ากวนอูจะระแวงสงสัย จึงสั่งให้เจ้าหน้าที่ในจวนเอาโต๊ะไปเลี้ยงกวนอูถึงที่พัก
ครั้นกวนอูและพี่สะใภ้กินโต๊ะที่อองเซ็กส่งมาแล้ว ค่ำลงกวนอูได้จัดให้พี่สะใภ้ทั้งสองพักที่ห้องกลาง ให้ทหารที่ติดตามมาพักนอนที่ห้องข้างซ้ายขวา ส่วนกวนอูถอดเกราะสวมแต่เสื้อคลุม นั่งดูหนังสืออยู่ที่ห้องโถงใหญ่ด้านหน้า
ฝ่ายอองเซ็กพอสั่งเจ้าหน้าที่ให้คุมโต๊ะไปส่งให้กวนอูแล้ว ได้เรียกงอปั้นนายทหารคนสนิทมาสั่งการว่า เวลายามสามคืนนี้ให้เจ้าคุมกำลังทหารไปล้อมเรือนพักของกวนอูไว้ ให้เอาเชื้อเพลิงไปกองสุมไว้โดยรอบ แล้วจุดเพลิงเผาคณะของกวนอูอย่าให้เหลือรอดแม้แต่คนเดียว พร้อมทั้งกำชับว่าเมื่อจุดเพลิงขึ้นแล้วให้จุดพลุเป็นสัญญาณ เราจะยกทหารเข้าไปช่วย
งอปั้นรับคำสั่งแล้วลาอองเซ็กออกมาจัดเตรียมเชื้อเพลิงและกำลังทหาร พอสิ้นยามสองงอปั้นจึงสั่งให้เคลื่อนกำลังตรงไปที่เรือนพักของกวนอู สั่งทหารให้เอาเชื้อเพลิงสุมไว้โดยรอบเรือนพัก และรอฟังสัญญาณ
เมื่อทหารของงอปั้นวางเชื้อเพลิงสุมโดยรอบเรือนพักของกวนอูแล้ว งอปั้นได้คิดขึ้นว่ากวนอูผู้นี้กิตติศัพท์ร่ำลือทั่วทั้งแผ่นดินว่ามีฝีมือรบพุ่งกล้าหาญองอาจ ทั้งมีน้ำใจกตัญญูยิ่งกว่าใคร ไหน ๆ กวนอูจะตายแล้ว เราจำจะดูหน้าค่าตากวนอูว่าเป็นประการใด คิดดังนั้นแล้วงอปั้นจึงเดินไปที่ประตู แล้วสอบถามนายประตูว่ากวนอูพักอยู่ห้องไหน
นายประตูได้ชี้ไปที่ห้องโถงใหญ่ด้านหน้าแล้วว่ากวนอูพักอยู่ที่ห้องนั้น งอปั้นค่อย ๆ เดินย่องจนไปถึงหน้าประตูห้องโถง แอบมองเข้าไปในห้องเห็นกวนอูสวมเสื้อคลุมสีเขียวตองอ่อน โพกผ้าสีตองอ่อนนั่งที่โต๊ะรับรอง หันหลังให้กับข้างฝา หันหน้าออกมาทางประตู จุดตะเกียงดวงหนึ่งไว้บนโต๊ะ มือซ้ายถือหนังสือวางอยู่บนท่อนแขนซ้ายซึ่งทาบอยู่กับโต๊ะ ในขณะที่มือขวาจับหนวดที่บริเวณคางแล้วลูบลงครั้งแล้วครั้งเล่า แสงตะเกียงต้องใบหน้ากวนอูซึ่งเป็นสีแดงดังผลพุทราสุก มีอาการนิ่งสงบ ดูสง่าน่าเกรงขามนัก
งอปั้นแอบจ้องดูกวนอูด้วยใจนิยมจนเผลอสติแล้วร้องอุทานขึ้นอย่างลืมตัวว่า “รูปกวนอูนี้งามเหมือนเทพยดา”
กวนอูได้ยินเสียงดังนั้นก็ตกใจที่มีคนมาแอบดูโดยไม่รู้สึกตัว มือที่ลูบหนวดคว้าจับกระบี่ที่วางอยู่ข้างตัว แล้วร้องถามว่านั่นเป็นผู้ใดลอบเข้ามาถึงที่นี่
งอปั้นต้องมนต์แห่งความสง่างามสมชายชาติทหารสะกด ได้ยินเสียงกวนอูยังไม่ทันตั้งสติ ก็เผลอตอบไปว่าข้าพเจ้าชื่องอปั้น เป็นทหารของอองเซ็ก ในขณะที่ขาทั้งสองพาเจ้าของร่างเดินเข้าไปหากวนอูถึงในห้อง
กวนอูได้ยินว่าผู้ลอบมาเยือนชื่องอปั้นและเห็นงอปั้นในขณะที่เดินเข้ามานั้นมีรูปร่างลักษณะคล้ายคลึงกับงอหัว อดีตขุนนางเฒ่าซึ่งกวนอูได้อาศัยพักแรมในช่วงแรกของการเดินทาง ก็นึกถึงงอหัวคิดว่างอปั้นผู้นี้คงจะใช่บุตรชายของงอหัวที่ได้ฝากหนังสือมา จึงถามว่าท่านว่าชื่องอปั้น เป็นบุตรของงอหัวหรือ
งอปั้นได้ยินชื่อบิดาก็ได้สติ น้อมตัวลงคำนับกวนอูแล้วว่างอหัวคือบิดาของข้าพเจ้า ท่านรู้จักบิดาข้าพเจ้าหรือ กวนอูจึงว่างอหัวเป็นผู้มีพระคุณของเรา ได้ฝากหนังสือมาถึงท่าน ว่าแล้วกวนอูจึงลุกไปหยิบหนังสือจากห่อสัมภาระแล้วส่งแก่งอปั้น
งอปั้นอ่านหนังสือของบิดาซึ่งสั่งความไว้ว่า เราได้ฝากหนังสือกับกวนอูมาให้เจ้า กวนอูผู้นี้มีฝีมือเข้มแข็งกล้าหาญ มีความภักดีต่อแผ่นดิน มีน้ำใจซื่อสัตย์สุจริต ควรที่เจ้าจะคบหารับใช้ ถ้ากวนอูมาถึงเจ้าแล้วจงทำนุบำรุงกวนอูและอำนวยความสะดวกเสมือนหนึ่งว่าบิดาได้มาด้วย ภายหน้าเจ้าจักได้เป็นที่พึ่งสืบไป
งอปั้นทราบความแล้วตกตะลึงด้วยความตกใจ แล้วว่าเดชะบุญที่ข้าพเจ้าได้ทราบความตามหนังสือของบิดา หาไม่แล้วชีวิตท่านพร้อมพี่สะใภ้และทหารที่ติดตามมาคงจบสิ้นลงกลายเป็นเถ้าถ่านอยู่ ณ ที่นี่ และได้เล่าความตามที่อองเซ็กได้วางแผนการให้กวนอูทราบทุกประการ
กวนอูได้ฟังคำงอปั้นก็ตกใจ งอปั้นเห็นกวนอูมีสีหน้าขึงขังแต่มีกิริยาอาการอันสงบอยู่ จึงว่าท่านจงเตรียมตัวออกเดินทางโดยเร็วที่สุด ข้าพเจ้าจะไปเปิดประตูเมืองให้ท่านออกไปโดยสะดวก แล้วจะกลับเข้ามาเอาเพลิงเผาเรือนหลังนี้เพื่อมิให้อองเซ็กสงสัย หากอองเซ็กทราบภายหลังข้าพเจ้าจะได้มีข้ออ้างว่าท่านลอบหนีไปก่อน ว่าแล้วงอปั้นได้คำนับลากวนอูแล้วรีบกลับออกไป.