ตอนที่ 131. วาระซ่อนเร้นในไมตรีจิต
กวนอูตัวผู้เดียวขี่ม้าเซ็กเธาว์ยืนอยู่บนเชิงสะพานศิลาซึ่งเป็นทางจำกัด ทำให้คนน้อยสามารถรับมือกับคนมากได้ นี่คืออัธยาศัยของทหารเสือที่แม้จะเบาใจว่าโจโฉมาดี แต่ความระมัดระวังตัวประจำตนก็ต้องมีอยู่ เพราะความประมาทพลาดพลั้งในยามนี้แม้เพียงแค่พริบตาก็อาจถึงตายได้
โจโฉยืนม้าอยู่หน้าทหารฝีมือดีสามสิบคนบนพื้นดินเบื้องล่างของสะพาน บัดนี้ได้สั่งให้ทหารนำเสื้อเดินเข้าไปมอบแก่กวนอู นัยว่าขอให้กวนอูถือว่าเสื้อนี้เป็นที่ระลึก กวนอูจึงไม่อาจปฏิเสธคำขอร้องของโจโฉประการนี้ได้
ในขณะที่กวนอูขี่ม้าเซ็กเธาว์อยู่บนเชิงสะพานศิลา แต่ทหารผู้นำเสื้อมามอบยืนอยู่กับพื้นดั่งนี้ หากลงจากหลังม้ามารับเอาเสื้อก็อาจเกิดเหตุการณ์พลิกผันที่ไม่อาจคาดคิดขึ้นได้ คำนึงฉะนี้แล้วกวนอูจึงน้อมตัวลงแล้วยื่นง้าวไปรับเอาเสื้อที่ระลึกของโจโฉมาสวมไว้กับตัว แล้วว่า “คุณของมหาอุปราชก็มีอยู่แก่ข้าพเจ้าเป็นอันมาก แล้วยังเอาเสื้อมาให้อีกเล่า แม้ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ก็จะแทนคุณมหาอุปราช”
ด้วยเสื้อเพียงตัวเดียวนี้ โจโฉก็ได้รับคำมั่นสัญญาจากชายชาติทหารเสือผู้มั่นในสัจจะและกตัญญูว่าจะแทนคุณในวันหน้า นับเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามหาศาล เพราะคำสัญญาเนื่องจากเสื้อตัวนี้นี่แล้วที่ทำให้โจโฉรอดตายในวาระคับขันในวันหน้า
กวนอูรับเสื้อที่ระลึกแล้วก็น้อมตัวลงคำนับโจโฉลงอีกครั้งหนึ่ง แล้วชักม้าหันหลังกลับตามพี่สะใภ้ไป
ในขณะนั้นเคาทูได้กล่าวกับโจโฉว่า การที่กวนอูไม่ยอมลงจากหลังม้ามารับเสื้อที่ระลึกแต่กลับใช้ง้าวมารับเอาเสื้อไปนั้นเป็นกิริยาอาการที่ดูหมิ่นท่านอัครมหาเสนาบดียิ่งนัก เหตุไฉนท่านจึงไม่เอาโทษต่อคนที่ดูหมิ่นซึ่งหน้าต่อท่านดังนี้
โจโฉตกอยู่ภายใต้อำนาจสะกดของพลังแห่งความกตัญญู แทนที่จะคิดคล้อยตามไปตามคำของเคาทู กลับแก้ต่างให้กวนอูว่า “ซึ่งจะถือโทษกวนอูไม่ได้เพราะเขาตัวผู้เดียว เราพวกมากกว่าเขาจึงไม่ไว้ใจ เราได้ออกปากให้เขาไปแล้วอย่าเอาโทษเขาเลย” ว่าแล้วก็นำทหารกลับเข้าเมืองหลวง
คำของโจโฉที่ถึงแม้นระรื่นหู ดูประหนึ่งทรงไว้ซึ่งคุณธรรมนัก แต่ความจริงกระบวนการและความคิดที่จะหน่วงเอาตัวกวนอูไว้ยังหาได้หมดสิ้นไปจากใจของ โจโฉเสียทีเดียวไม่ เพราะโจโฉทราบดีว่าระยะทางจากนี้ไปจนถึงสุดชายแดนที่ต่อกับเมืองกิจิ๋วนั้น กวนอูจะต้องเดินทางตามเส้นทางอันทุรกันดาร ต้องฝ่าขวากหนามและด่านต่าง ๆ ของทางราชการเป็นอันมาก แต่กลับไม่มอบใบเบิกทางให้กวนอูไป
แม้สามก๊กทุกฉบับจะมิได้ตั้งความสังเกตในเรื่องนี้ แต่เมื่อพิเคราะห์แล้วก็จะเห็นถึงเจตนาของโจโฉ ทั้งที่ปากว่าจะปล่อยกวนอูไป แต่ใจนั้นยังคงต้องการยึดหน่วงกวนอูไว้ เพราะการที่ไม่มอบใบเบิกทางนั้นย่อมเกิดผลขึ้นถึงสามประการคือ
ประการแรก หากกวนอูถูกพวกด่านสังหารเสียในระหว่างทาง โจโฉก็จะไม่เสียคำพูด และกวนอูก็จะไม่เป็นกำลังของเล่าปี่หรืออ้วนเสี้ยวต่อไป
ประการที่สอง หากกวนอูถูกพวกด่านจับได้แล้วส่งตัวเข้าเมืองหลวงก็เท่ากับว่ากวนอูได้ถูกหน่วงเหนี่ยวไว้อยู่กับโจโฉอีกครา ส่วนกาลเบื้องหน้าเป็นเรื่องที่จะต้องหาทางคิดอ่านแก้ไขต่อไป
ประการที่สาม หากบุญกวนอูยังไม่สิ้น สามารถฝ่าด่านไปถึงเล่าปี่ได้ ไมตรีที่โจโฉมาส่งและยังมอบเสื้อให้เป็นที่ระลึกก็ยังคงฝังซึ้งตรึงอยู่ในใจกวนอูให้ต้องรักษาคำมั่นสัญญาที่จะต้องทดแทนบุญคุณของโจโฉในวันข้างหน้า
โจโฉซึ่งแม้จะถูกพลังแห่งความกตัญญูสะกดไว้จนไม่อาจใช้เล่ห์เพทุบายประการใดได้แต่ก็ยังคงวางหมากกลหวังผลเบื้องหน้าไว้ถึงสามประการ จึงต้องนับว่าโจโฉเป็นจอมเจ้าเล่ห์เพทุบายอันดับหนึ่งของแผ่นดินในขณะนั้น
ทางด้านกวนอูควบม้ามาตามทางที่พี่สะใภ้ได้ล่วงหน้าไปเป็นระยะถึงสามร้อยเส้นยังไม่เห็นรถของพี่สะใภ้ก็ตกใจ เที่ยวตระเวนหาบริเวณข้างเคียงก็ไม่พบจึงเกิดความวิตกกังวลเป็นอันมากว่าจะเกิดเรื่องร้ายกับขบวนของพี่สะใภ้เป็นมั่นคง
ในขณะที่กวนอูกำลังวุ่นว้ากับการตามหาพี่สะใภ้อยู่นั้น พลันเห็นฝุ่นฟุ้งตลบลงมาจากเนินเขาแล้วมีเสียงร้องตะโกนลงมาว่าท่านนายพลกวนอูจงหยุดอยู่ก่อนเถิด
กวนอูเขม้นมองไปเห็น “ทหารหนุ่มน้อยโพกผ้าเหลืองใส่เสื้อลายทอง ขี่ม้าถือทวนเอาศีรษะคนผูกคอม้า” นำพวกร้อยคนเศษลงมาจากเนินเขา ครั้นเข้ามาใกล้แล้วได้ลงจากหลังม้า วางทวนลงกับพื้น คำนับกวนอูแล้วว่าข้าพเจ้าชื่อเลียวฮัวเป็นชาวเมืองซงหยง เมื่อครั้งเกิดโจรโพกผ้าเหลืองข้าพเจ้ากับเพื่อนชื่อเตาอวนได้พาสมัครพรรคพวกหนีโจรมาอยู่ที่เนินเขาแห่งนี้ เมื่อชั่วยามมานี้เตาอวนได้คุมพรรคพวกลงมาปล้นขบวนเดินทางขบวนหนึ่งได้สตรีไปสองคน ทราบว่าเป็นภรรยาของเล่าปี่เดินทางมาพร้อมกับท่าน ข้าพเจ้าได้กิตติศัพท์ว่าเล่าปี่เป็นเชื้อพระวงศ์ผู้จงรักภักดีต่อแผ่นดินและตัวท่านก็เป็นผู้ยึดมั่นในความกตัญญูจึงมีน้ำใจศรัทธา เหตุนี้ข้าพเจ้าจึงได้ขอร้องเตาอวนให้เอาภรรยาทั้งสองของเล่าปี่มามอบแก่ท่าน แต่เตาอวนไม่ยอม เกิดโต้แย้งกันข้าพเจ้าจึงสังหารเตาอวนเสียแล้วนำพี่สะใภ้ทั้งสองของท่านมามอบแก่ท่าน
สิ้นคำของเลียวฮัว พรรคพวกของเลียวฮัวอีกกลุ่มหนึ่งได้คุมขบวนรถที่นางกำฮูหยินและนางบิฮูหยินนั่งอยู่ลงมาจากเนินเขา กวนอูเห็นพี่สะใภ้ทั้งสองก็ดีใจ คุกเข่าลงคำนับพี่สะใภ้แล้วว่าข้าพเจ้าประมาททำให้พี่ทั้งสองต้องตกใจ โปรดอภัยให้ข้าพเจ้าด้วย
ภรรยาทั้งสองของเล่าปี่ได้เล่าความต้องตามคำของเลียวฮัวให้กวนอูทราบทุกประการ กวนอูได้ฟังคำพี่สะใภ้แล้วก็มีน้ำใจยินดี หันกลับมาคำนับขอบคุณเลียวฮัว แล้วว่าความช่วยเหลือของท่านในวันนี้เป็นพระคุณแก่ข้าพเจ้านัก สืบไปเบื้องหน้าหากชีวิตยังไม่สิ้น ข้าพเจ้าจะต้องหาโอกาสทดแทนพระคุณท่าน
เลียวฮัวคำนับตอบกวนอูแล้วว่าหนทางข้างหน้าที่จะไปยังเมืองกิจิ๋วเป็นทางไกลและทุรกันดาร หากท่านอนุญาตข้าพเจ้าและพรรคพวกก็พร้อมที่จะตามไปส่งท่านจนถึงที่
กวนอูได้ฟังดังนั้นก็คิดแต่ในใจว่า เลียวฮัวและพวกเป็นโจร เที่ยวปล้นชิงวิ่งราว แม้จะทอดไมตรีมาแต่หากให้ตามขบวนไปก็จะเกิดความครหาว่าคบกับพวกโจร จึงปฏิเสธอย่างนิ่มนวลว่าไมตรีของท่านนี้ประทับใจข้าพเจ้านัก แต่ทว่าหนทางข้างหน้ายังต้องผ่านด่านของทางราชการอีกเป็นอันมาก หากเดินทางไปเป็นขบวนใหญ่จะไม่สะดวกและนายด่านอาจอ้างเป็นเหตุขัดขวางการเดินทางได้ ไว้วันหน้าเราค่อยพบกันเถิด
เลียวฮัวได้ฟังคำกวนอูก็เห็นพ้องด้วยเหตุผล จึงสั่งพรรคพวกที่ตามมาให้นำทองคำมามอบแก่กวนอูเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางแต่กวนอูไม่รับไว้ ตอบกลับไปว่าเงินทองที่ติดตัวมายังพอเป็นค่าใช้จ่ายไปจนถึงเมืองกิจิ๋วได้ พวกท่านขัดสนกว่าข้าพเจ้าจงเอาทองนี้ไปเป็นค่าใช้จ่ายดูแลกันให้เป็นสุข เลียวฮัวได้ยินดังนั้นก็คำนับลากวนอูแล้วพาพรรคพวกกลับขึ้นไปบนภูเขา
กวนอูได้เล่าความถึงสาเหตุที่ตามมาล่าช้าว่าเกิดจากโจโฉตามมาส่งให้พี่สะใภ้ทั้งสองฟังทุกประการ จากนั้นจึงสั่งขบวนให้เคลื่อนไปข้างหน้า
กวนอูพาพี่สะใภ้เดินทางรอนแรมตามทางหลวงเรื่อยมาจนเวลาใกล้ค่ำ เห็นที่ริมทางมีบ้านหลังหนึ่งแม้จะเก่าแต่กว้างขวางสะอาดตาพอที่จะขออาศัยได้ จึงสั่งให้หยุดขบวนแล้วลงจากม้าไปขอพบเจ้าบ้าน
งอหัวเจ้าของบ้านหลังนี้เป็นชายชรา ผมและหนวดขาวโพลนแต่ยังแข็งแรงตามประสาชาวบ้าน ครั้นเห็นกวนอูเข้ามาถึงเขตบ้านจึงออกมาต้อนรับแล้วถามว่าท่านนี้ชื่อใด จะไปแห่งหนตำบลใด จึงได้แวะมาถึงบ้านนี้
กวนอูจึงว่าข้าพเจ้านี้ชื่อกวนอู เป็นน้องร่วมสาบานของเล่าปี่ บัดนี้ได้เดินทางออกจากเมืองหลวงพร้อมด้วยพี่สะใภ้ทั้งสองคนเพื่อจะไปหาเล่าปี่ที่เมืองกิจิ๋ว งอหัวได้ยินชื่อกวนอูซึ่งเคยได้ยินกิตติศัพท์ก็ดีใจ จึงว่าข้าพเจ้าได้ยินกิตติศัพท์ของท่านว่าเป็นทหารมีฝีมือเข้มแข็งกล้าหาญนัก สามารถสังหารงันเหลียง บุนทิว สองทหารเอกของอ้วนเสี้ยวได้ในชั่วพริบตา เป็นบุญของข้าพเจ้านักที่ได้มีโอกาสรู้จักท่าน ขอเชิญท่านและพี่สะใภ้เข้าไปพักในบ้านค้างคืนสักคืนหนึ่งให้เป็นเกียรติยศไว้กับข้าพเจ้า ว่าแล้วงอหัวจึงสั่งคนในบ้านให้ออกไปเชิญพี่สะใภ้ทั้งสองของกวนอูเข้ามาพักในบ้าน แล้วจัดข้าวปลาอาหารเลี้ยงดูกวนอู และพี่สะใภ้ทั้งสอง ตลอดจนทหารที่ติดตามมาเป็นอย่างดี
กวนอูเห็นบุคลิกลักษณะของงอหัวแม้ย่างเข้าวัยชราแล้วแต่ยังสง่างามนัก จึงถามว่าเหตุใดท่านจึงมาอยู่ที่ตำบลนี้ งอหัวจึงเล่าความหลังให้ฟังว่าข้าพเจ้านี้แต่ก่อนเป็นขุนนางรับราชการในเมืองหลวง ครั้นอายุล่วงวัยไม่ควรแก่ราชการแล้วจึงได้ลาออกมาตั้งถิ่นฐานอยู่ ณ บ้านนี้ ข้าพเจ้ามีบุตรชายคนหนึ่งชื่องอปั้น ขณะนี้เป็นทหารอยู่กับอองเซ็กเจ้าเมืองเอี๋ยงหยง ซึ่งเป็นเมืองในทางผ่านที่จะไปยังเมืองกิจิ๋ว ข้าพเจ้าไม่ได้พบกับบุตรนานนักหนาแล้ว จะขอความกรุณาท่านฝากหนังสือไปถึงบุตร กวนอูก็รับคำด้วยยินดี
รุ่งขึ้นหลังจากกินอาหารเช้าแล้ว กวนอูได้ขอบคุณและออกปากร่ำลางอหัว งอหัวจึงฝากหนังสือไปถึงงอปั้นผู้บุตรที่รับราชการเป็นทหารอยู่กับอองเซ็กเจ้าเมืองเอี๋ยงหยง กวนอูก็รับหนังสือนั้นไว้แล้วนำขบวนออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังด้านทิศเหนือ
ขบวนของกวนอูมาถึงด่านตังเหลงก๋วน ซึ่งขงสิ้วเป็นนายด่าน ขงสิ้วได้ทราบว่ากวนอูจะเดินทางผ่านด่านจึงคุมทหารออกมาต้อนรับ แล้วถามว่าท่านจะเดินทางไปที่ใด
กวนอูรู้ว่าขงสิ้วเป็นนายด่านออกมาต้อนรับด้วยตนเองก็เกรงใจ ลงจากหลังม้าคำนับขงสิ้วแล้วว่าข้าพเจ้าได้ลาท่านอัครมหาเสนาบดีเพื่อจะเดินทางไปหาเล่าปี่ที่เมืองกิจิ๋ว
ขงสิ้วแม้จะเป็นนายด่านแต่ก็ได้กิตติศัพท์ของกวนอูมาแต่ก่อน ส่วนข้อที่กวนอูลาโจโฉเพื่อจะไปหาเล่าปี่นั้นทางเมืองหลวงไม่ได้แจ้งข่าวให้ทราบ ขงสิ้วก็สงสัยจึงถามขึ้นว่าข้อที่ท่านว่าได้ลาท่านอัครมหาเสนาบดีนั้นดูไม่เห็นสม เพราะบัดนี้เล่าปี่อยู่กับอ้วนเสี้ยว และอ้วนเสี้ยวก็กำลังทำสงครามอยู่กับโจโฉ เป็นไปไม่ได้ที่ท่านจะได้รับอนุญาตให้ไปอยู่กับข้าศึก หากจริงตามคำท่านก็จงเอาใบเบิกทางมาแสดงให้เราดู หาไม่แล้วเราก็ไม่อาจอนุญาตให้ท่านผ่านด่านไปได้
กวนอูจึงว่าเราเดินทางเป็นการด่วนเร่งร้อน จึงไม่ได้ขอหนังสือเบิกทางมาด้วย ขงสิ้วเห็นกวนอูไม่มีใบเบิกทางก็ว่าถ้าเช่นนั้นท่านจำเป็นที่จะต้องรั้งรออยู่ที่ด่านนี้ก่อน เราจะถามความเข้าไปยังเมืองหลวง หากมีคำอนุญาตให้ใบเบิกทางมาเราก็จะปล่อยท่านไป
กวนอูได้ฟังก็ไม่พอใจจึงว่า เราจะรีบเดินทางไปแต่ท่านให้เรารั้งรออยู่ที่ด่านนี้จะหน่วงเหนี่ยวเราหรือไฉน ขงสิ้วตอบกลับมาว่าเราเป็นนายด่าน มีหน้าที่ต้องรักษากฎหมายสำหรับด่าน หากไม่มีใบเบิกทางมาแล้วท่านก็จะไปจากด่านนี้ไม่ได้
ขงสิ้วได้ว่าต่อไปว่าหากแม้นท่านจะไปก็ขอให้ไปแต่ตัวผู้เดียว แต่ต้องเอาครอบครัวของเล่าปี่ไว้เป็นประกัน มาถึงขั้นนี้กวนอูก็โกรธ กระชับง้าวไว้กับมือแล้วว่าหากท่านยังขัดขวางเราอยู่เราก็จำเป็นที่จะต้องหักด่านนี้ ว่าแล้วก็ขึ้นขี่ม้าชักบังเหียนจะเข้าไปฟันขงสิ้ว ขงสิ้วเห็นเหตุการณ์เช่นนั้นก็ตกใจรีบพาทหารหนีเข้าไปในด่าน แล้วคุมสมัครพรรคพวกแต่งเครื่องรบพร้อมสรรพยกกำลังติดตามมา กวนอูเห็นเช่นนั้นจึงหันม้ากลับเข้ารบด้วยขงสิ้ว
ขงสิ้วประมือกับกวนอูได้ไม่สิ้นเพลงรบ กวนอูก็เอาง้าวฟันขงสิ้วตกม้าตาย ทหารของขงสิ้วเห็นดังนั้นก็ตกใจพากันแตกหนี กวนอูเห็นเช่นนั้นจึงร้องบอกไปว่าพวกท่านอย่าได้ตกใจไปเลย เราท่านหาได้มีความโกรธแค้นบาดหมางต่อกันไม่ เราไม่คิดทำอันตรายต่อพวกท่าน แต่จะขออาศัยปากพวกท่านช่วยรายงานท่านอัครมหาเสนาบดีตามความจริงด้วยเถิดว่าเราไม่มีเจตนาร้ายแต่ประการใด แต่จำใจต้องป้องกันตัวเพราะขงสิ้วคิดร้ายและขัดขวางเราไม่ให้ออกจากด่าน ซึ่งเท่ากับเป็นการขัดต่อคำอนุญาตของท่านอัครมหาเสนาบดีด้วย ทหารทั้งนั้นจึงพากันหันมาคำนับขอบคุณกวนอู แล้วรีบกลับเข้าไปในด่าน.
โจโฉยืนม้าอยู่หน้าทหารฝีมือดีสามสิบคนบนพื้นดินเบื้องล่างของสะพาน บัดนี้ได้สั่งให้ทหารนำเสื้อเดินเข้าไปมอบแก่กวนอู นัยว่าขอให้กวนอูถือว่าเสื้อนี้เป็นที่ระลึก กวนอูจึงไม่อาจปฏิเสธคำขอร้องของโจโฉประการนี้ได้
ในขณะที่กวนอูขี่ม้าเซ็กเธาว์อยู่บนเชิงสะพานศิลา แต่ทหารผู้นำเสื้อมามอบยืนอยู่กับพื้นดั่งนี้ หากลงจากหลังม้ามารับเอาเสื้อก็อาจเกิดเหตุการณ์พลิกผันที่ไม่อาจคาดคิดขึ้นได้ คำนึงฉะนี้แล้วกวนอูจึงน้อมตัวลงแล้วยื่นง้าวไปรับเอาเสื้อที่ระลึกของโจโฉมาสวมไว้กับตัว แล้วว่า “คุณของมหาอุปราชก็มีอยู่แก่ข้าพเจ้าเป็นอันมาก แล้วยังเอาเสื้อมาให้อีกเล่า แม้ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ก็จะแทนคุณมหาอุปราช”
ด้วยเสื้อเพียงตัวเดียวนี้ โจโฉก็ได้รับคำมั่นสัญญาจากชายชาติทหารเสือผู้มั่นในสัจจะและกตัญญูว่าจะแทนคุณในวันหน้า นับเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามหาศาล เพราะคำสัญญาเนื่องจากเสื้อตัวนี้นี่แล้วที่ทำให้โจโฉรอดตายในวาระคับขันในวันหน้า
กวนอูรับเสื้อที่ระลึกแล้วก็น้อมตัวลงคำนับโจโฉลงอีกครั้งหนึ่ง แล้วชักม้าหันหลังกลับตามพี่สะใภ้ไป
ในขณะนั้นเคาทูได้กล่าวกับโจโฉว่า การที่กวนอูไม่ยอมลงจากหลังม้ามารับเสื้อที่ระลึกแต่กลับใช้ง้าวมารับเอาเสื้อไปนั้นเป็นกิริยาอาการที่ดูหมิ่นท่านอัครมหาเสนาบดียิ่งนัก เหตุไฉนท่านจึงไม่เอาโทษต่อคนที่ดูหมิ่นซึ่งหน้าต่อท่านดังนี้
โจโฉตกอยู่ภายใต้อำนาจสะกดของพลังแห่งความกตัญญู แทนที่จะคิดคล้อยตามไปตามคำของเคาทู กลับแก้ต่างให้กวนอูว่า “ซึ่งจะถือโทษกวนอูไม่ได้เพราะเขาตัวผู้เดียว เราพวกมากกว่าเขาจึงไม่ไว้ใจ เราได้ออกปากให้เขาไปแล้วอย่าเอาโทษเขาเลย” ว่าแล้วก็นำทหารกลับเข้าเมืองหลวง
คำของโจโฉที่ถึงแม้นระรื่นหู ดูประหนึ่งทรงไว้ซึ่งคุณธรรมนัก แต่ความจริงกระบวนการและความคิดที่จะหน่วงเอาตัวกวนอูไว้ยังหาได้หมดสิ้นไปจากใจของ โจโฉเสียทีเดียวไม่ เพราะโจโฉทราบดีว่าระยะทางจากนี้ไปจนถึงสุดชายแดนที่ต่อกับเมืองกิจิ๋วนั้น กวนอูจะต้องเดินทางตามเส้นทางอันทุรกันดาร ต้องฝ่าขวากหนามและด่านต่าง ๆ ของทางราชการเป็นอันมาก แต่กลับไม่มอบใบเบิกทางให้กวนอูไป
แม้สามก๊กทุกฉบับจะมิได้ตั้งความสังเกตในเรื่องนี้ แต่เมื่อพิเคราะห์แล้วก็จะเห็นถึงเจตนาของโจโฉ ทั้งที่ปากว่าจะปล่อยกวนอูไป แต่ใจนั้นยังคงต้องการยึดหน่วงกวนอูไว้ เพราะการที่ไม่มอบใบเบิกทางนั้นย่อมเกิดผลขึ้นถึงสามประการคือ
ประการแรก หากกวนอูถูกพวกด่านสังหารเสียในระหว่างทาง โจโฉก็จะไม่เสียคำพูด และกวนอูก็จะไม่เป็นกำลังของเล่าปี่หรืออ้วนเสี้ยวต่อไป
ประการที่สอง หากกวนอูถูกพวกด่านจับได้แล้วส่งตัวเข้าเมืองหลวงก็เท่ากับว่ากวนอูได้ถูกหน่วงเหนี่ยวไว้อยู่กับโจโฉอีกครา ส่วนกาลเบื้องหน้าเป็นเรื่องที่จะต้องหาทางคิดอ่านแก้ไขต่อไป
ประการที่สาม หากบุญกวนอูยังไม่สิ้น สามารถฝ่าด่านไปถึงเล่าปี่ได้ ไมตรีที่โจโฉมาส่งและยังมอบเสื้อให้เป็นที่ระลึกก็ยังคงฝังซึ้งตรึงอยู่ในใจกวนอูให้ต้องรักษาคำมั่นสัญญาที่จะต้องทดแทนบุญคุณของโจโฉในวันข้างหน้า
โจโฉซึ่งแม้จะถูกพลังแห่งความกตัญญูสะกดไว้จนไม่อาจใช้เล่ห์เพทุบายประการใดได้แต่ก็ยังคงวางหมากกลหวังผลเบื้องหน้าไว้ถึงสามประการ จึงต้องนับว่าโจโฉเป็นจอมเจ้าเล่ห์เพทุบายอันดับหนึ่งของแผ่นดินในขณะนั้น
ทางด้านกวนอูควบม้ามาตามทางที่พี่สะใภ้ได้ล่วงหน้าไปเป็นระยะถึงสามร้อยเส้นยังไม่เห็นรถของพี่สะใภ้ก็ตกใจ เที่ยวตระเวนหาบริเวณข้างเคียงก็ไม่พบจึงเกิดความวิตกกังวลเป็นอันมากว่าจะเกิดเรื่องร้ายกับขบวนของพี่สะใภ้เป็นมั่นคง
ในขณะที่กวนอูกำลังวุ่นว้ากับการตามหาพี่สะใภ้อยู่นั้น พลันเห็นฝุ่นฟุ้งตลบลงมาจากเนินเขาแล้วมีเสียงร้องตะโกนลงมาว่าท่านนายพลกวนอูจงหยุดอยู่ก่อนเถิด
กวนอูเขม้นมองไปเห็น “ทหารหนุ่มน้อยโพกผ้าเหลืองใส่เสื้อลายทอง ขี่ม้าถือทวนเอาศีรษะคนผูกคอม้า” นำพวกร้อยคนเศษลงมาจากเนินเขา ครั้นเข้ามาใกล้แล้วได้ลงจากหลังม้า วางทวนลงกับพื้น คำนับกวนอูแล้วว่าข้าพเจ้าชื่อเลียวฮัวเป็นชาวเมืองซงหยง เมื่อครั้งเกิดโจรโพกผ้าเหลืองข้าพเจ้ากับเพื่อนชื่อเตาอวนได้พาสมัครพรรคพวกหนีโจรมาอยู่ที่เนินเขาแห่งนี้ เมื่อชั่วยามมานี้เตาอวนได้คุมพรรคพวกลงมาปล้นขบวนเดินทางขบวนหนึ่งได้สตรีไปสองคน ทราบว่าเป็นภรรยาของเล่าปี่เดินทางมาพร้อมกับท่าน ข้าพเจ้าได้กิตติศัพท์ว่าเล่าปี่เป็นเชื้อพระวงศ์ผู้จงรักภักดีต่อแผ่นดินและตัวท่านก็เป็นผู้ยึดมั่นในความกตัญญูจึงมีน้ำใจศรัทธา เหตุนี้ข้าพเจ้าจึงได้ขอร้องเตาอวนให้เอาภรรยาทั้งสองของเล่าปี่มามอบแก่ท่าน แต่เตาอวนไม่ยอม เกิดโต้แย้งกันข้าพเจ้าจึงสังหารเตาอวนเสียแล้วนำพี่สะใภ้ทั้งสองของท่านมามอบแก่ท่าน
สิ้นคำของเลียวฮัว พรรคพวกของเลียวฮัวอีกกลุ่มหนึ่งได้คุมขบวนรถที่นางกำฮูหยินและนางบิฮูหยินนั่งอยู่ลงมาจากเนินเขา กวนอูเห็นพี่สะใภ้ทั้งสองก็ดีใจ คุกเข่าลงคำนับพี่สะใภ้แล้วว่าข้าพเจ้าประมาททำให้พี่ทั้งสองต้องตกใจ โปรดอภัยให้ข้าพเจ้าด้วย
ภรรยาทั้งสองของเล่าปี่ได้เล่าความต้องตามคำของเลียวฮัวให้กวนอูทราบทุกประการ กวนอูได้ฟังคำพี่สะใภ้แล้วก็มีน้ำใจยินดี หันกลับมาคำนับขอบคุณเลียวฮัว แล้วว่าความช่วยเหลือของท่านในวันนี้เป็นพระคุณแก่ข้าพเจ้านัก สืบไปเบื้องหน้าหากชีวิตยังไม่สิ้น ข้าพเจ้าจะต้องหาโอกาสทดแทนพระคุณท่าน
เลียวฮัวคำนับตอบกวนอูแล้วว่าหนทางข้างหน้าที่จะไปยังเมืองกิจิ๋วเป็นทางไกลและทุรกันดาร หากท่านอนุญาตข้าพเจ้าและพรรคพวกก็พร้อมที่จะตามไปส่งท่านจนถึงที่
กวนอูได้ฟังดังนั้นก็คิดแต่ในใจว่า เลียวฮัวและพวกเป็นโจร เที่ยวปล้นชิงวิ่งราว แม้จะทอดไมตรีมาแต่หากให้ตามขบวนไปก็จะเกิดความครหาว่าคบกับพวกโจร จึงปฏิเสธอย่างนิ่มนวลว่าไมตรีของท่านนี้ประทับใจข้าพเจ้านัก แต่ทว่าหนทางข้างหน้ายังต้องผ่านด่านของทางราชการอีกเป็นอันมาก หากเดินทางไปเป็นขบวนใหญ่จะไม่สะดวกและนายด่านอาจอ้างเป็นเหตุขัดขวางการเดินทางได้ ไว้วันหน้าเราค่อยพบกันเถิด
เลียวฮัวได้ฟังคำกวนอูก็เห็นพ้องด้วยเหตุผล จึงสั่งพรรคพวกที่ตามมาให้นำทองคำมามอบแก่กวนอูเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางแต่กวนอูไม่รับไว้ ตอบกลับไปว่าเงินทองที่ติดตัวมายังพอเป็นค่าใช้จ่ายไปจนถึงเมืองกิจิ๋วได้ พวกท่านขัดสนกว่าข้าพเจ้าจงเอาทองนี้ไปเป็นค่าใช้จ่ายดูแลกันให้เป็นสุข เลียวฮัวได้ยินดังนั้นก็คำนับลากวนอูแล้วพาพรรคพวกกลับขึ้นไปบนภูเขา
กวนอูได้เล่าความถึงสาเหตุที่ตามมาล่าช้าว่าเกิดจากโจโฉตามมาส่งให้พี่สะใภ้ทั้งสองฟังทุกประการ จากนั้นจึงสั่งขบวนให้เคลื่อนไปข้างหน้า
กวนอูพาพี่สะใภ้เดินทางรอนแรมตามทางหลวงเรื่อยมาจนเวลาใกล้ค่ำ เห็นที่ริมทางมีบ้านหลังหนึ่งแม้จะเก่าแต่กว้างขวางสะอาดตาพอที่จะขออาศัยได้ จึงสั่งให้หยุดขบวนแล้วลงจากม้าไปขอพบเจ้าบ้าน
งอหัวเจ้าของบ้านหลังนี้เป็นชายชรา ผมและหนวดขาวโพลนแต่ยังแข็งแรงตามประสาชาวบ้าน ครั้นเห็นกวนอูเข้ามาถึงเขตบ้านจึงออกมาต้อนรับแล้วถามว่าท่านนี้ชื่อใด จะไปแห่งหนตำบลใด จึงได้แวะมาถึงบ้านนี้
กวนอูจึงว่าข้าพเจ้านี้ชื่อกวนอู เป็นน้องร่วมสาบานของเล่าปี่ บัดนี้ได้เดินทางออกจากเมืองหลวงพร้อมด้วยพี่สะใภ้ทั้งสองคนเพื่อจะไปหาเล่าปี่ที่เมืองกิจิ๋ว งอหัวได้ยินชื่อกวนอูซึ่งเคยได้ยินกิตติศัพท์ก็ดีใจ จึงว่าข้าพเจ้าได้ยินกิตติศัพท์ของท่านว่าเป็นทหารมีฝีมือเข้มแข็งกล้าหาญนัก สามารถสังหารงันเหลียง บุนทิว สองทหารเอกของอ้วนเสี้ยวได้ในชั่วพริบตา เป็นบุญของข้าพเจ้านักที่ได้มีโอกาสรู้จักท่าน ขอเชิญท่านและพี่สะใภ้เข้าไปพักในบ้านค้างคืนสักคืนหนึ่งให้เป็นเกียรติยศไว้กับข้าพเจ้า ว่าแล้วงอหัวจึงสั่งคนในบ้านให้ออกไปเชิญพี่สะใภ้ทั้งสองของกวนอูเข้ามาพักในบ้าน แล้วจัดข้าวปลาอาหารเลี้ยงดูกวนอู และพี่สะใภ้ทั้งสอง ตลอดจนทหารที่ติดตามมาเป็นอย่างดี
กวนอูเห็นบุคลิกลักษณะของงอหัวแม้ย่างเข้าวัยชราแล้วแต่ยังสง่างามนัก จึงถามว่าเหตุใดท่านจึงมาอยู่ที่ตำบลนี้ งอหัวจึงเล่าความหลังให้ฟังว่าข้าพเจ้านี้แต่ก่อนเป็นขุนนางรับราชการในเมืองหลวง ครั้นอายุล่วงวัยไม่ควรแก่ราชการแล้วจึงได้ลาออกมาตั้งถิ่นฐานอยู่ ณ บ้านนี้ ข้าพเจ้ามีบุตรชายคนหนึ่งชื่องอปั้น ขณะนี้เป็นทหารอยู่กับอองเซ็กเจ้าเมืองเอี๋ยงหยง ซึ่งเป็นเมืองในทางผ่านที่จะไปยังเมืองกิจิ๋ว ข้าพเจ้าไม่ได้พบกับบุตรนานนักหนาแล้ว จะขอความกรุณาท่านฝากหนังสือไปถึงบุตร กวนอูก็รับคำด้วยยินดี
รุ่งขึ้นหลังจากกินอาหารเช้าแล้ว กวนอูได้ขอบคุณและออกปากร่ำลางอหัว งอหัวจึงฝากหนังสือไปถึงงอปั้นผู้บุตรที่รับราชการเป็นทหารอยู่กับอองเซ็กเจ้าเมืองเอี๋ยงหยง กวนอูก็รับหนังสือนั้นไว้แล้วนำขบวนออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังด้านทิศเหนือ
ขบวนของกวนอูมาถึงด่านตังเหลงก๋วน ซึ่งขงสิ้วเป็นนายด่าน ขงสิ้วได้ทราบว่ากวนอูจะเดินทางผ่านด่านจึงคุมทหารออกมาต้อนรับ แล้วถามว่าท่านจะเดินทางไปที่ใด
กวนอูรู้ว่าขงสิ้วเป็นนายด่านออกมาต้อนรับด้วยตนเองก็เกรงใจ ลงจากหลังม้าคำนับขงสิ้วแล้วว่าข้าพเจ้าได้ลาท่านอัครมหาเสนาบดีเพื่อจะเดินทางไปหาเล่าปี่ที่เมืองกิจิ๋ว
ขงสิ้วแม้จะเป็นนายด่านแต่ก็ได้กิตติศัพท์ของกวนอูมาแต่ก่อน ส่วนข้อที่กวนอูลาโจโฉเพื่อจะไปหาเล่าปี่นั้นทางเมืองหลวงไม่ได้แจ้งข่าวให้ทราบ ขงสิ้วก็สงสัยจึงถามขึ้นว่าข้อที่ท่านว่าได้ลาท่านอัครมหาเสนาบดีนั้นดูไม่เห็นสม เพราะบัดนี้เล่าปี่อยู่กับอ้วนเสี้ยว และอ้วนเสี้ยวก็กำลังทำสงครามอยู่กับโจโฉ เป็นไปไม่ได้ที่ท่านจะได้รับอนุญาตให้ไปอยู่กับข้าศึก หากจริงตามคำท่านก็จงเอาใบเบิกทางมาแสดงให้เราดู หาไม่แล้วเราก็ไม่อาจอนุญาตให้ท่านผ่านด่านไปได้
กวนอูจึงว่าเราเดินทางเป็นการด่วนเร่งร้อน จึงไม่ได้ขอหนังสือเบิกทางมาด้วย ขงสิ้วเห็นกวนอูไม่มีใบเบิกทางก็ว่าถ้าเช่นนั้นท่านจำเป็นที่จะต้องรั้งรออยู่ที่ด่านนี้ก่อน เราจะถามความเข้าไปยังเมืองหลวง หากมีคำอนุญาตให้ใบเบิกทางมาเราก็จะปล่อยท่านไป
กวนอูได้ฟังก็ไม่พอใจจึงว่า เราจะรีบเดินทางไปแต่ท่านให้เรารั้งรออยู่ที่ด่านนี้จะหน่วงเหนี่ยวเราหรือไฉน ขงสิ้วตอบกลับมาว่าเราเป็นนายด่าน มีหน้าที่ต้องรักษากฎหมายสำหรับด่าน หากไม่มีใบเบิกทางมาแล้วท่านก็จะไปจากด่านนี้ไม่ได้
ขงสิ้วได้ว่าต่อไปว่าหากแม้นท่านจะไปก็ขอให้ไปแต่ตัวผู้เดียว แต่ต้องเอาครอบครัวของเล่าปี่ไว้เป็นประกัน มาถึงขั้นนี้กวนอูก็โกรธ กระชับง้าวไว้กับมือแล้วว่าหากท่านยังขัดขวางเราอยู่เราก็จำเป็นที่จะต้องหักด่านนี้ ว่าแล้วก็ขึ้นขี่ม้าชักบังเหียนจะเข้าไปฟันขงสิ้ว ขงสิ้วเห็นเหตุการณ์เช่นนั้นก็ตกใจรีบพาทหารหนีเข้าไปในด่าน แล้วคุมสมัครพรรคพวกแต่งเครื่องรบพร้อมสรรพยกกำลังติดตามมา กวนอูเห็นเช่นนั้นจึงหันม้ากลับเข้ารบด้วยขงสิ้ว
ขงสิ้วประมือกับกวนอูได้ไม่สิ้นเพลงรบ กวนอูก็เอาง้าวฟันขงสิ้วตกม้าตาย ทหารของขงสิ้วเห็นดังนั้นก็ตกใจพากันแตกหนี กวนอูเห็นเช่นนั้นจึงร้องบอกไปว่าพวกท่านอย่าได้ตกใจไปเลย เราท่านหาได้มีความโกรธแค้นบาดหมางต่อกันไม่ เราไม่คิดทำอันตรายต่อพวกท่าน แต่จะขออาศัยปากพวกท่านช่วยรายงานท่านอัครมหาเสนาบดีตามความจริงด้วยเถิดว่าเราไม่มีเจตนาร้ายแต่ประการใด แต่จำใจต้องป้องกันตัวเพราะขงสิ้วคิดร้ายและขัดขวางเราไม่ให้ออกจากด่าน ซึ่งเท่ากับเป็นการขัดต่อคำอนุญาตของท่านอัครมหาเสนาบดีด้วย ทหารทั้งนั้นจึงพากันหันมาคำนับขอบคุณกวนอู แล้วรีบกลับเข้าไปในด่าน.