ตอนที่ 124. จิตใจวีรชน

บ้านเมืองที่วุ่นวายสับสน อาณาประชาราษฎรได้รับความเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า กระทั่งบ้านเมืองถูกต่างชาติครอบงำยึดครองก็เพราะนักการเมืองขายตัวแล้วขายชาติ นักการเมืองเหล่านั้นมีโอกาสขายตัวแล้วขายชาติได้ก็เพราะราษฎรจำนวนหนึ่งขายเสียงขายตัวให้แก่นักการเมืองก่อน นักการเมืองซื้อเสียงก็คือซื้ออำนาจ ดังนั้นเมื่ออำนาจได้มาด้วยการซื้อจึงมีการใช้อำนาจไปเพื่อการขาย คือขายผลประโยชน์ของชาติและขายชาติ

            การปฏิรูปการเมืองของวิญญูชนจอมปลอมและธรรมรัฐที่ริมฝีปาก เนื้อแท้ก็คือหน้ากากที่สวมใส่ให้กับนักขายตัวและนักขายชาติ ภายใต้สิ่งที่พูดว่า “อุดมการณ์ทางการเมืองตรงกัน” นั้น เนื้อแท้ก็คือ “อุดมกินที่ตรงกัน” เหตุนี้สินค้าคนจึงล้นตลาดโดยเฉพาะตลาดนักการเมืองที่กำลังทำนักการเมืองให้กลายเป็นประหนึ่งวัวควายที่ไร้ทั้งศักดิ์และศรี วัวควายเหล่านี้นะหรือที่จะถือได้ว่าเป็นผู้แทนของปวงชน

            โจโฉสามวันแต่งโต๊ะส่งไปให้กวนอู ห้าวันแต่งโต๊ะส่งไปให้กวนอู ก็ยังไม่เห็นผลสำเร็จว่ากวนอูจะขายตัวตีตนออกหากจากเล่าปี่ ดังนั้นจึงเพิ่มมาตรการให้เชิญกวนอูมากินโต๊ะที่จวนทุกสัปดาห์

            วันหนึ่งกวนอูมากินโต๊ะที่จวนของโจโฉ โจโฉเห็นกวนอูใส่เสื้อขาดจึงสั่งคนรับใช้ในบ้านให้จัดเสื้อแพรสีเขียวตองอ่อนอย่างดีมามอบแก่กวนอู

            กวนอูรับเสื้อแล้วขอเข้าไปในห้องด้านในเปลี่ยนเอาเสื้อใหม่ที่โจโฉให้สวมไว้ข้างใน แล้วเอาเสื้อตัวเก่าที่เล่าปี่ให้สวมทับไว้ข้างนอก โจโฉเห็นกวนอูสวมเสื้อดังนั้นก็หัวเราะแล้วถามว่า ท่านเกรงว่าเสื้อใหม่จะเก่าเร็วไปหรือจึงกระทำเช่นนั้น

            กวนอูตอบว่า “เสื้อเก่านี้ของเล่าปี่ให้ บัดนี้เล่าปี่จะไปอยู่ที่ใดมิได้แจ้ง ข้าพเจ้าจึงเอาเสื้อผืนนี้ใส่ชั้นนอกหวังจะดูต่างหน้าเล่าปี่ ครั้นจะเอาเสื้อใหม่นั้นใส่ชั้นนอกคนทั้งปวงจะครหานินทาว่าได้ใหม่แล้วลืมเก่า”

            โจโฉได้ยินคำตอบก็เสียใจ ได้แต่ทอดถอนใจใหญ่ไม่รู้ที่จะว่าประการใด ครั้นกินโต๊ะเสร็จแล้วกวนอูจึงขอลากลับ

            อยู่มาวันหนึ่งกวนอูก็ต้องตกใจเพราะคนรับใช้ในบ้านของพี่สะใภ้วิ่งหน้าตื่นเข้ามาหากวนอูแล้วแจ้งว่าบัดนี้ไม่ทราบเกิดเหตุประการใด พี่สะใภ้ทั้งสองของท่านกำลังร้องห่มร้องไห้ไม่ยอมพูดไม่ยอมจากับผู้คน

            กวนอูได้ทราบก็ตกใจ รีบวิ่งไปที่เรือนพักของพี่สะใภ้ นั่งลงที่หน้าประตูแล้วร้องถามว่าเกิดเรื่องสิ่งใดขึ้นหรือ

            นางกำฮูหยินผู้เป็นภรรยาของเล่าปี่ได้ยินเสียงกวนอูก็ออกมาที่ประตูแล้วว่า เมื่อคืนนี้ได้ฝันเห็นเล่าปี่ตกลงไปในหลุม ตกใจตื่นขึ้นเห็นเป็นที่ประหลาดนัก จึงได้ปรึกษาแก้ฝันกับนางบิฮูหยินผู้เป็นภรรยาเล่าปี่อีกคนหนึ่ง แก้ฝันตรงกันว่าเล่าปี่คงเสียชีวิตแล้ว จึงพากันร้องไห้อาลัยรักเล่าปี่

            กวนอูได้ฟังคำพี่สะใภ้ตรองดูเห็นเป็นเรื่องประหลาดก็พรั่นใจว่าเล่าปี่คงตายแล้วตามที่พี่สะใภ้ได้แก้ฝันกันมาก็พลอยร้องไห้ตามไปด้วย แต่ด้วยวิสัยชายชาติทหารและความมั่นคงต่อความรับผิดชอบ จึงปลอบใจพี่สะใภ้ว่า “ฝันนั้นจะสำคัญเอาเป็นแน่มิได้ ด้วยพี่ทั้งสองมีน้ำใจคิดถึงเล่าปี่อยู่จึงเผอิญให้ฝันทั้งนี้ ใช่เล่าปี่จะเป็นอันตรายอย่างนั้นหามิได้ พี่ทั้งสองอย่าเศร้าโศกเลย”

            อันความฝันของคนเราโบราณว่ามีอยู่สี่ลักษณะ คือฝันด้วยบุพนิมิตคือความฝังใจเหตุการณ์ในอดีตได้ย้อนทวนมาปรากฏในความฝันอย่างหนึ่ง ฝันด้วยจิตนิวรณ์คือจิตมีกังวลติดพันด้วยเรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้วเก็บเอามาฝันอย่างหนึ่ง ฝันด้วยเทพยดาสังหรณ์คืออำนาจแห่งกุศลดลบันดาลให้เทพยดามีจิตเมตตาแสดงการภายหน้าให้ปรากฏในความฝันอย่างหนึ่ง และฝันด้วยธาตุโขภะคืออาหารและท้องไส้ปั่นป่วนก่อให้เกิดความฝันอีกอย่างหนึ่ง ในบรรดาความฝันทั้งสี่ประเภทนี้มีอยู่ประเภทเดียวเท่านั้นที่โบราณถือว่าสามารถเชื่อถือปฏิบัติได้คือความฝันประเภทเทพยดาสังหรณ์ ซึ่งความฝันชนิดนี้มีตัวอย่างให้เห็นในกรณีสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงพระสุบินในยามใกล้สางก่อนวันกระทำยุทธหัตถีกับสมเด็จพระมหาอุปราชา ส่วนความฝันอีกสามประเภทหาแก่นสารมิได้ แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีคนสู้แต่งเป็นตำราแก้ฝันไว้เป็นจำนวนมาก บางตำราก็มีอายุนับพันปี นับว่าคนเรานี้เป็นสัตว์ประหลาดชนิดหนึ่งที่สามารถทำสิ่งที่ไม่เป็นสาระแก่นสารให้ดูเหมือนหนึ่งมีกฎเกณฑ์แก่นสารได้ มิหนำซ้ำยังมีคนเชื่อถือปฏิบัติตามมาจนถึงทุกวันนี้

            สิ้นคำกวนอูคนรับใช้ในบ้านของภรรยาเล่าปี่ก็วิ่งเข้ามารายงานกวนอูว่ามีทหารของโจโฉมาพบ กวนอูจึงลาพี่สะใภ้ออกมาพบทหารของโจโฉ และได้รับแจ้งว่าโจโฉให้มาเชิญกวนอูไปพบที่จวน กวนอูจึงตามทหารนั้นไปที่จวนของโจโฉ

            โจโฉเห็นกวนอูเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเศร้าหมอง จึงแสดงความห่วงใยว่าท่านมาครั้งนี้สีหน้าไม่สู้สบาย มีเรื่องราวร้ายประการใดหรือ กวนอูจึงเล่าให้โจโฉฟังว่าพี่สะใภ้ฝันประหลาด แก้ฝันว่าเล่าปี่ตายแล้ว จึงพากันร้องไห้ ข้าพเจ้าก็ต้องพลอยเสียน้ำตาตามไปด้วย

            โจโฉได้ยินเช่นนั้นก็ปลอบใจว่าจะไปถือสาอันใดกับความฝัน เรามากินโต๊ะด้วยกันให้คลายกังวลจะดีกว่า ว่าแล้วโจโฉก็จูงมือกวนอูเข้าไปกินโต๊ะ

            ในระหว่างเสพสุรากินโต๊ะอยู่นั้น กวนอูได้เอามือลูบหนวดแล้วปรารภขึ้นว่า “เกิดมาเป็นชายไม่ได้ทำนุบำรุงแผ่นดิน ทั้งเล่าปี่ผู้พี่นั้นก็มีคุณมา ถ้าเราจะเอาใจออกหากบัดนี้ก็หาผู้ใดจะนับถือว่าเป็นชายไม่”

            ความที่กวนอูกล่าวในยามหน้าข้าวหน้าเหล้าเช่นนี้น่าจะเป็นการบอกความนัยแก่โจโฉว่ายังมีความมั่นคงอยู่กับเล่าปี่ ถึงแม้โจโฉจะปรนเปรอประการใดก็จะไม่ทำให้จิตใจหวั่นไหว โจโฉได้ฟังก็รู้ทันแต่ทำเป็นไม่ได้ยิน แล้วแกล้งเปลี่ยนเรื่องมาถามกวนอูว่าหนวดของท่านมีประมาณกี่เส้น

            กวนอูตอบว่าหนวดของข้าพเจ้ามีหลายร้อยเส้น ครั้นถึงเทศกาลหน้าหนาว หนวดนั้นก็ร่วงหล่นลงบ้างตามธรรมดา ถึงหน้าหนาวยามใดข้าพเจ้าก็จะทำถุงใส่หนวดไว้ เพื่อป้องกันความหนาวมิให้หนวดร่วง โจโฉจึงว่าบัดนี้ก็เป็นหน้าหนาวแล้ว เราจะมอบถุงใส่หนวดให้ท่านเป็นกำนัล ว่าแล้วก็สั่งหญิงรับใช้ในบ้านให้เอาแพรขาวอย่างดีรีบเย็บถุงใส่หนวดให้กวนอู เสร็จแล้วมอบถุงหนวดนั้นให้แก่กวนอู ครั้นได้เวลากวนอูก็ลากลับ

            ต่อมาโจโฉได้พากวนอูเข้าเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ ในระหว่างออกว่าราชการพระเจ้าเหี้ยนเต้ทอดพระเนตรเห็นกวนอูใส่ถุงหนวดเป็นที่ประหลาด จึงรับสั่งถามกวนอูว่าถุงแพรขาวซึ่งแขวนอยู่ที่คอเจ้านั้นคือสิ่งใด

            กวนอูกราบบังคมทูลว่าถุงนี้เป็นถุงที่ท่านอัครมหาเสนาบดีสั่งทำแล้วมอบแก่ข้าพระพุทธเจ้าสำหรับใส่หนวด พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงสงสัยจึงรับสั่งให้กวนอูถอดถุงหนวดให้ทอดพระเนตร กวนอูจึงถอดถุงหนวดออก พระเจ้าเหี้ยนเต้ทอดพระเนตรเห็นหนวดของกวนอู “ยาวถึงอก เส้นละเอียดงามเสมอกัน” ก็ทรงตรัสชมว่ากวนอูนี้หนวดงามยิ่งนัก และโปรดเกล้าพระราชทานชื่อสมญาแก่กวนอูว่า “เจ้าหนวดงาม”

            ครั้นเสด็จขึ้นแล้วโจโฉจึงชวนกวนอูไปที่จวน กวนอูได้ขี่ม้าตามโจโฉไป ครั้นไปถึงจวนโจโฉลงจากหลังม้าก่อน เหลียวกลับมาเห็นกวนอูขี่ม้าตามมา แต่ม้านั้นผอมโซจึงถามกวนอูว่าเหตุใดม้าจึงผอมนัก กวนอูตอบว่าม้าตัวนี้กำลังน้อย ทานกำลังและน้ำหนักของข้าพเจ้าไม่ได้จึงผอมเช่นนี้

            โจโฉได้ยินคำตอบก็นึกขึ้นได้ถึงม้าเซ็กเธาว์ของลิโป้ที่ได้ยึดไว้ จึงสั่งทหารให้ไปนำม้าเซ็กเธาว์มาให้กวนอูชม แล้วถามว่าท่านรู้จักม้าตัวนี้หรือไม่

            กวนอูจึงว่าม้านี้ชื่อเซ็กเธาว์ เดิมเป็นของลิโป้ ข้าพเจ้ารู้จักดีอยู่ โจโฉได้ฟังดังนั้นก็ยินดีจึงสั่งทหารให้จัดเครื่องม้าประดับเข้ากับม้าเซ็กเธาว์แล้วว่าม้าเซ็กเธาว์นี้เป็นม้าศึกสำคัญ มีกำลังและฝีเท้าเป็นอันมาก เราขอมอบให้ท่านเป็นกำนัลจะได้คู่ควรกัน

            กวนอูได้ยินเช่นนั้นก็ดีใจ รีบลงจากหลังม้าคุกเข่าลงกับพื้นคำนับโจโฉแล้วว่าท่านอัครมหาเสนาบดีมอบม้าเซ็กเธาว์ให้ข้าพเจ้าครั้งนี้เป็นพระคุณหาที่สุดมิได้ โจโฉได้ยินก็กริ่งใจสงสัยจึงถามว่าเราได้มอบทรัพย์สิ่งสินให้แก่ท่านเป็นอันมาก ไม่เคยเห็นครั้งใดที่ท่านจะดีใจเหมือนครั้งนี้ เหตุไฉนท่านจึงรักม้าซึ่งเป็นสัตว์เดรัจฉานยิ่งกว่าทรัพย์สินเงินทองอันเป็นที่ต้องใจคนเล่า

            กวนอูจึงว่า “ข้าพเจ้าแจ้งว่าม้าเซ็กเธาว์ตัวนี้มีกำลังมาก เดินทางได้วันละหมื่นเส้น แม้ข้าพเจ้ารู้ข่าวว่าเล่าปี่อยู่ที่ใด ถึงมาตรว่าไกลก็จะไปหาได้โดยเร็ว เหตุฉะนี้ข้าพเจ้าจึงมีความยินดี ขอบคุณมหาอุปราชมากกว่าให้สิ่งของทั้งปวง”

            คำตอบของกวนอูแสดงถึงความยึดถือมั่นคงในคำสัตย์ปฏิญาณแห่งสวนท้อ บรรดาทรัพย์สิ่งสินทั้งปวงล้วนเป็นสิ่งที่จะทำให้คำสาบานแห่งสวนท้อคลอนแคลนไป แต่ม้าเซ็กเธาว์จะเป็นสิ่งที่ทำให้พี่น้องร่วมสาบานแห่งสวนท้อได้ไปถึงกันได้ เหตุนี้กวนอูจึงมีความดีใจมากกว่าข้าวของอย่างอื่น แต่ในความดีใจของกวนอูนั้นได้ทำให้โจโฉมีความรู้สึกน้อยใจเป็นอันมากที่เป็นใหญ่กว่าใครทั้งปวงในแผ่นดิน แต่กลับไม่สามารถผูกน้ำใจกวนอูเอาไว้ได้

            ครั้นกวนอูลากลับไปแล้วโจโฉจึงเรียกเตียวเลี้ยวซึ่งเป็นต้นคิดให้รับข้อสัญญาของกวนอูมาปรึกษาว่า “เราเลี้ยงดูกวนอูก็ถึงขนาดฉะนี้แล้ว กวนอูยังมีน้ำใจผูกพันรักเล่าปี่อยู่ เราจะคิดอ่านประการใดกวนอูจึงจะเอาใจออกหากจากเล่าปี่”

            โจโฉนั้นเป็นคนไม่ยอมแพ้คน กวนอูแม้มีฝีมือฉกาจแต่หากจะสู้รบกับโจโฉแล้วก็ยังห่างไกลกันมาก แต่เพราะความปรารถนาที่จะได้คนมีฝีมือกล้าหาญมาไว้ใช้ในราชการของโจโฉซึ่งเป็นทั้งข้อเด่นและข้อด้อยอยู่ในตัว โจโฉจึงทุ่มเททุกสิ่งอย่างเพื่อจะเอาชนะใจกวนอูให้จงได้ แต่เมื่อเห็นว่าได้ปรนเปรอถึงเพียงนี้แล้วก็ยังไม่เป็นผลก็รู้สึกท้อถอย เตียวเลี้ยวได้ฟังคำปรารภของโจโฉดั่งนั้นแล้วจึงว่าขอเวลาให้ข้าพเจ้าไปว่ากล่าวทดสอบจิตใจของกวนอูอีกสักครั้งหนึ่ง โจโฉก็เห็นชอบ

            รุ่งขึ้นเตียวเลี้ยวจึงทำทีแวะไปเยี่ยมกวนอูที่บ้านพัก ถ้อยทีถ้อยคำนับกันตามธรรมเนียมแล้ว เตียวเลี้ยวจึงว่านับแต่ท่านมาอยู่รับราชการในเมืองหลวงแล้ว โจโฉก็ได้ให้ความเมตตาทำนุบำรุงถึงขนาด ท่านมีความรู้สึกประการใด

            กวนอูจึงว่าคุณของท่านอัครมหาเสนาบดีที่ได้ชุบเลี้ยงเราและได้ดูแลครอบครัวของเล่าปี่พี่เราเป็นอย่างดีนั้นเป็นอันมาก แต่ความสุขความพึงใจทั้งปวงนั้นไม่อาจทำให้เราลืมเล่าปี่ได้

            เตียวเลี้ยวจึงกล่อมว่า “ธรรมดาเกิดมาเป็นชายให้รู้จักที่หนักที่เบา ถ้าผู้ใดมิได้รู้จักที่หนักที่เบา คนทั้งปวงก็จะล่วงติเตียนว่าผู้นั้นหาสติปัญญาไม่ อันมหาอุปราชมีน้ำใจเมตตาท่าน ทำนุบำรุงท่านยิ่งกว่าเล่าปี่อีก เหตุใดท่านจึงมีใจคิดถึงเล่าปี่อยู่”

            กวนอูได้ฟังดังนั้นจึงว่าการที่โจโฉได้ทำคุณไว้แก่เราแม้สักเพียงไหน ก็ไม่อาจเทียบได้กับเล่าปี่ เพราะเล่าปี่ได้มีคุณต่อเรามาแต่ก่อน ทั้งได้ร่วมสาบานเป็นพี่น้องและตัวเราก็จะยึดมั่นในคำสัตย์ยิ่งกว่าชีวิตของเราเอง บุญคุณอันโจโฉได้กระทำไว้แก่ใจเรานี้เราก็คิดแทนคุณให้ถึงขนาด แม้มาตรว่าเราจะจากไปก็จะทำการแทนคุณให้ปรากฏไว้แก่คนทั้งปวงเราจึงจะไป

            เตียวเลี้ยวได้ถามกวนอูต่อไปว่า ถ้าหากเล่าปี่ตายท่านจะอยู่กับโจโฉด้วยความพร้อมใจหรือไม่

            กวนอูตอบว่า “ตัวเราเกิดมาเป็นชาย รักษาสัตย์มิให้เสียวาจา ถึงมาตรว่าเล่าปี่จะถึงแก่ความตาย เราก็จะตายไปตามความที่ได้สาบานไว้”

            คำของกวนอูนี้เป็นไม้ตายอย่างหนึ่งเพราะนอกจากจะเป็นการยืนหยัดในจุดยืนที่มั่นคงจงรักภักดีต่อพี่ร่วมน้ำสาบานแล้ว ยังคล้ายประหนึ่งเกราะทิพย์ที่คุ้มกันเป็นประกันตัวเล่าปี่ไว้มิให้เป็นอันตรายเพราะถ้าหากเล่าปี่ตายลงเมื่อใด กวนอูก็จะตายตามไปด้วย นี่คืออานุภาพของความไม่กลัวตาย ในขณะที่ทุกคนกลัวตาย แต่ทุกคนก็ต้องตาย.
 

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร