ตอนที่ 123. เงินซื้อใครได้
ด้วยจิตใจใคร่ได้ผู้มีฝีมือสัตย์ซื่อมาเป็นกำลัง โจโฉได้กำหนดนโยบายที่จะเอาตัวกวนอูไว้ใช้ในราชการ ได้วางแผนอุบาย “ล่อเสือออกจากถ้ำ” เพื่อให้กวนอูพลัดกับพี่สะใภ้ทั้งสอง แล้วใช้ให้เตียวเลี้ยวไปเกลี้ยกล่อมหว่านล้อมจนกวนอูตัดสินใจละโทษสามประการ หวังเอาประโยชน์สามประการ
แม้หวังละโทษกุมประโยชน์สามประการแล้ว กวนอูยังคงตั้งมั่นในความสัตย์ซื่อและมั่นคงต่อคำสัตย์ปฏิญาณในสวนท้อที่มีต่อเล่าปี่และเตียวหุย เสนอเงื่อนไขสามประการต่อโจโฉ
ในเงื่อนไขสามประการนั้น ข้อแรกไม่ยอมเป็นข้าของโจโฉ แต่ให้ถือว่าเป็นข้าแผ่นดินในพระเจ้าเหี้ยนเต้ ข้อนี้เป็นเรื่องของศักดิ์ศรีแห่งชายชาติทหารที่มุ่งธำรงไว้ซึ่งศักดิ์ศรีและเกียรติศักดิ์ของตน ข้อสองเพื่อปกป้องรักษาพี่สะใภ้ทั้งสองตามภาระหน้าที่ ที่เล่าปี่ได้มอบหมายไม่ให้เป็นอันตราย ข้อนี้เป็นเรื่องของความรับผิดชอบที่เต็มเปี่ยมไม่ยอมละทิ้งไม่ว่าจะตกอยู่ในความยากลำบากสถานใด ส่วนข้อสามนั้นเป็นข้อสำคัญที่สุดคือเมื่อใดรู้ว่าเล่าปี่อยู่แห่งหนตำบลใดแล้วก็จะไปหาในทันที เป็นข้อที่แสดงถึงความซื่อตรงมั่นคงในคำสัตย์ต่อคำสาบานของสามพี่น้องแห่งสวนท้ออันลือลั่นในประวัติศาสตร์ของจีน และเป็นต้นแบบของการคบหาเพื่อนร่วมน้ำมิตรตั้งแต่อดีตจวบปัจจุบัน
โจโฉเชื่อมั่นในอำนาจวาสนาที่มีอยู่เหนือเล่าปี่ว่าจะสามารถผูกใจกวนอูให้ทอดทิ้งเล่าปี่มาสวามิภักดิ์ตัวด้วยพร้อมใจได้ ดังนั้นเมื่อโจโฉทราบว่ากวนอูมาพบตามคำสัญญาจึงเริ่มดำเนินการที่จะผูกใจกวนอูตั้งแต่ต้นด้วยการออกมาต้อนรับกวนอูซึ่งมีฐานะเป็นเพียงเชลยศึกด้วยตนเอง
หลังจากคำนับโอภาปราศรัยตามอย่างธรรมเนียมแล้ว กวนอูได้ย้ำคำสัญญากับโจโฉว่า “เตียวเลี้ยวไปบอกข้าพเจ้าว่ามหาอุปราชรับปฏิญญาทั้งสามประการแล้ว ข้าพเจ้าก็มีความยินดี เห็นว่าถึงนานไปเมื่อหน้ามหาอุปราชก็จะไม่คืนคำ”
นี่คือความฉลาดและความรอบคอบของกวนอูเพราะคำที่ได้รับการยืนยันจากเตียวเลี้ยวนั้น ถือได้ว่าเป็นความชั้นที่สองเพราะไม่ได้ออกจากปากของโจโฉโดยตรง ครั้นมาอยู่เฉพาะหน้ากันแล้ว กวนอูจึงยกความนี้ขึ้นด้วยหวังให้โจโฉยืนยันมั่นคงด้วยวาจาต่อหน้ากัน
โจโฉก็สมเป็นผู้นำยินคำกวนอูแล้วจึงว่า “ซึ่งปฏิญาณของท่านนั้นเราได้ออกปากรับแล้ว ถึงจะเป็นประการใดเราก็มิให้เสียวาจา”
นี่คือคำมั่นสัญญาของโจโฉที่มีผลทำให้ข้อสัญญาสามข้อของกวนอูเป็นผล ข้อสัญญานี้แม้ว่าจะไม่ได้ทำกันเป็นหนังสือหรือไม่ได้ลงนามเป็นสัตยาบันเหมือนกับที่พรรคการเมืองลงนามกันแล้วฉีกทิ้งลงถังขยะ แต่นับได้ว่าเป็นสัญญาสุภาพบุรุษที่มั่นคงเที่ยงตรงดุจขุนเขาไม่คลอนแคลนด้วยแรงลม
โจโฉนั้นแม้ว่าจะเป็นนักการเมืองที่เปี่ยมด้วยเล่ห์เพทุบาย ไม่เป็นสองรองใครในประวัติศาสตร์การเมืองของโลก แต่คำใดที่ลั่นจากปากคำนั้นจะถือเป็นคำสัตย์ที่ยึดมั่นปฏิบัติไม่คืนคำ นี่คือธรรมประการหนึ่งของพระมหากษัตริย์คือตรัสแล้วไม่คืนคำ ส่วนอีกชายหนึ่งนั้นแม้บัดนี้มีฐานะเป็นเพียงเชลยศึก แต่ด้วยธรรมข้อซื่อสัตย์สุจริต กตัญญูรู้คุณคน จึงมีความเป็นคนอย่างสมบูรณ์อยู่ในตัว สัญญาระหว่างชายทั้งสองนี้จึงนับเป็นสัญญาสุภาพบุรุษแห่งประวัติศาสตร์
ที่เป็นสัญญาแห่งประวัติศาสตร์ก็เพราะว่าเป็นสัญญาที่กระทำขึ้นระหว่างวีรชนกับทรชน แต่กลับมีผลมั่นคงที่ทำให้นักการเมืองวิญญูชนจอมปลอมในชั้นหลังต้องได้อาย
ครั้นกวนอูได้ยินคำยืนยันมั่นเหมาะจากปากโจโฉเองก็มีความยินดียิ่งนัก จึงว่า “แม้ข้าพเจ้ารู้ว่าเล่าปี่อยู่ที่ใด ถึงมาตรว่าจะเป็นทางกันดาร จะต้องข้ามพระมหาสมุทรแลลุยเพลิงก็ดี ข้าพเจ้าจะไปหาเล่าปี่ให้จงได้ แม้ข้าพเจ้ายังมิทันลามหาอุปราชก็ดี ขอให้ท่านให้อภัยแก่ข้าพเจ้า อย่าเคืองด้วยเนื้อความข้อนี้เลย”
กวนอูเป็นน้องร่วมสาบานของเล่าปี่ย่อมได้ยินได้ฟังคำของเล่าปี่เกี่ยวด้วยโจโฉหลายครั้งหลายหน เพราะระหว่างโจโฉกับเล่าปี่นั้น โจโฉถือว่าเป็นคู่แข่ง ดังนั้นบรรดาเล่ห์กลอุบายประการใดที่จะพึงนำมาใช้ได้ โจโฉก็ไม่ละเว้นและไม่ละโอกาสที่จะใช้เล่ห์กลอุบายประการนั้น เหตุนี้ในสายตาของเล่าปี่จึงถือว่าโจโฉเป็นคนเจ้าเล่ห์ที่ไว้วางใจสิ่งใดมิได้ กวนอูได้รับทัศนะเช่นนี้มาจากเล่าปี่ ดังนั้นจึงกล่าวความเผื่อเงื่อนไขและวันเวลาข้างหน้าเสียในโอกาสนี้ โดยขออภัยโจโฉไว้ล่วงหน้าว่าหากวันเวลานั้นมาถึงแล้วมิได้ร่ำลาก็อย่าได้ตำหนิติเตียนกัน
โจโฉได้ฟังเช่นนั้นก็สะอึกแต่ก็ยังคงยืนยันในคำมั่นสัญญาแล้วชวนให้กวนอูกินโต๊ะ ก่อนที่กวนอูจะอำลากลับไปที่พัก โจโฉได้แจ้งข่าวให้ทราบว่าในวันพรุ่งนี้เพลาเช้าจะยกกองทัพกลับเมืองหลวง ให้กวนอูและพี่สะใภ้เตรียมตัวเดินทางให้พร้อม
ครั้นรุ่งขึ้นถึงเวลากำหนด โจโฉจึงสั่งให้เคลื่อนพลออกจากเมืองแห้ฝือเดินทางกลับเมืองหลวง สำหรับครอบครัวของเล่าปี่นั้นโจโฉได้สั่งให้จัดรถม้าสำหรับภรรยาทั้งสองของเล่าปี่ โดยมีกวนอูขี่ม้านำหน้าไป
เมื่อกองทัพรอนแรมหยุดพักค้างคืน ณ ที่ใด โจโฉได้สั่งให้จัดที่พักให้ภรรยาทั้งสองของเล่าปี่และกวนอูพักรวมอยู่ในห้องเดียวกัน โดยวาดหวังว่าวิสัยประเวณีแห่งหญิงชายอยู่ร่วมเรือนเดียวกัน เมื่อโอกาสอำนวยแล้วอำนาจแห่งพิศวาสของชายหญิงอาจกำเริบขึ้นและถ้ากวนอูละเมิดประเวณีกับพี่สะใภ้แล้ว คำสาบานแห่งสวนท้อก็จะถูกทำลายลง กวนอูก็จำเป็นที่จะต้องอยู่กับโจโฉตลอดไป
แต่โจโฉต้องผิดหวังเพราะน้ำใจกวนอูนั้นมีความภักดีสัตย์ซื่อมั่นคง และยึดมั่นในธรรมเนียมประเพณีอย่างเคร่งครัด ดังนั้นแม้ว่าจะถูกจัดให้อยู่ร่วมชายคาเดียวกับพี่สะใภ้แต่กวนอูกลับให้พี่สะใภ้ทั้งสองนอนอยู่ห้องเดียวกันที่ด้านใน ตัวกวนอูนั่งจุดเทียนดูหนังสือเป็นยามเฝ้าอยู่ที่ประตูด้านหน้าตลอดทั้งคืน
สามก๊กทุกฉบับได้พรรณนาความลักษณาการของกวนอูว่าจุดเทียนนั่งดูหนังสือจนสว่างทั้งคืนตลอดระยะเวลาการเดินทาง เป็นเหตุให้เกิดภาพวาดกวนอูในขณะจุดเทียนนั่งดูหนังสืออันงามสง่าน่านับถืออย่างกว้างขวางแพร่หลาย และเป็นภาพประวัติศาสตร์ที่มีการถ่ายทอดลอกเลียนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แต่ทว่าอาการที่คนเราสามารถนั่งดูหนังสือทั้งคืนนั้นหาใช่อาการของคนธรรมดาไม่
พิเคราะห์แล้วเห็นได้ชัดว่าฉายาเทพเจ้าแห่งความซื่อสัตย์ของกวนอูนั้นมิใช่ได้มาเพราะคำยกย่องอันเลื่อนลอย หากได้มาเพราะอำนาจแห่งจิตบางชนิดที่ขุนพลผู้นี้ได้ฝึกฝนเป็นที่อาศัยแห่งจิตตัว การนั่งดูหนังสือในอาการสงบนิ่งตลอดทั้งคืนก็คืออาการของการเข้าสมาธิจิตชนิดหนึ่ง ซึ่งส่งผลให้กวนอูเป็นนักรบที่มีจิตใจมั่นคง มีจิตใจบริสุทธิ์ และมีพลังซึ่งเรื่องราวในสามก๊กได้เผยให้เห็นหลายครั้งหลายหน
ร่างกายของคนเราต้องอาศัยอาคารบ้านเรือนเป็นที่พัก จิตใจก็เช่นเดียวกันย่อมมีที่พักที่พิง เป็นแต่ว่าคนโดยทั่วไปไม่รู้และไม่เข้าใจ ที่อาศัยอันเป็นที่พักพิงของจิตนี้เรียกว่า “วิหาร” คืออาศัยวิหารธรรมข้อใดก็เรียกวิหารธรรมข้อนั้นว่าเป็นที่อาศัยของจิต อาการนั่งดูหนังสือตลอดรุ่งน่าจะเป็นกรณีที่จิตได้พึ่งพิงอาศัยการกำหนดสติมั่นอยู่กับการกำหนดลมหายใจหรืออานาปาณสติวิหาร หรือมิฉะนั้นการที่มีดวงเทียนวางอยู่เบื้องหน้าก็อาจเป็นการเจริญกสิณชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “เตโชกสิณ”
หลังจากโจโฉได้รับทราบรายงานจากทหารที่เฝ้าสังเกตการณ์ถึงพฤติกรรมของกวนอูปฏิบัติต่อพี่สะใภ้ก็ทอดถอนใจใหญ่ที่การไม่สมความคิด แต่จิตใจก็นึกสรรเสริญกวนอูที่มั่นคงในความสัตย์สุจริตต่อเล่าปี่ ดังนั้นในการค้างแรมคืนถัดมาโจโฉจึงจัดบ้านสองหลังให้เป็นที่พักของภรรยาเล่าปี่หลังหนึ่ง และเป็นที่พักของกวนอูอีกหลังหนึ่ง
ครั้นถึงเมืองหลวงโจโฉจึงนำกวนอูเข้าเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ตามคำมั่นสัญญาข้อแรกที่รับปากกับกวนอูคือกวนอูจะเป็นข้าของพระเจ้าเหี้ยนเต้ ไม่ใช่ข้าของโจโฉ แต่ในอีกมุมหนึ่งนั้นก็อาจมองไปได้ว่านี่คือการเริ่มต้นแผนการผูกใจกวนอูนั่นเอง
โจโฉได้กราบบังคมทูลเสนอพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้แต่งตั้งกวนอูเป็นนายทหารประจำกองทัพเมืองหลวง พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งตามที่โจโฉเสนอ
ออกจากที่เฝ้าแล้วโจโฉได้ชวนกวนอูไปที่จวน แล้วสั่งให้ตั้งโต๊ะเลี้ยงฉลองตำแหน่งใหม่และเชิญขุนนางจำนวนหนึ่งมาร่วมงานเลี้ยง ในงานเลี้ยงครั้งนี้โจโฉได้จัดที่นั่งกวนอูอยู่ใกล้กับตัวอันแสดงถึงการให้เกียรติที่สูงส่งกว่าขุนนางอื่น ครั้นเสร็จงานเลี้ยงโจโฉจึงสั่งให้นำ “เครื่องเงิน เครื่องทอง แลแพรอย่างดี” มามอบแก่กวนอูเป็นจำนวนมาก เป็นการใช้ทรัพย์สินซื้อน้ำใจกวนอูต่อเนื่องจากการที่ได้มอบตำแหน่งนายทหารให้แล้ว
กวนอูรับทรัพย์สินและสิ่งของที่โจโฉมอบให้แล้วกลับมาที่พัก นำเอาทรัพย์สินทั้งสิ้นที่ได้รับจากโจโฉไปมอบแก่พี่สะใภ้ทั้งสอง เล่าความทั้งปวงให้พี่สะใภ้ทั้งสองฟังแล้วลากลับไปที่พัก
โจโฉได้ทุ่มเทผูกใจกวนอูอย่างต่อเนื่อง สามก๊กทุกฉบับระบุความตรงกันว่า “โจโฉทำนุบำรุงกวนอูมิได้อนาทร สามวันแต่งโต๊ะไปให้ครั้งหนึ่ง ห้าวันครั้งหนึ่ง แล้วจัดหญิงสาวที่รูปงามสิบคนให้ไปอยู่ปฏิบัติกวนอู”
มาถึงตอนนี้ก็เห็นได้ชัดว่านอกจากตำแหน่งและทรัพย์สินเงินทองแล้ว โจโฉยังให้เกียรติยศและไมตรีหวังผูกใจกวนอูอีกเปราะหนึ่ง ทั้งยังมอบสตรีรูปงามถึงสิบคนเพื่อเป็นโซ่ตรวนผูกใจกวนอูให้มั่นคง
กวนอูตั้งใจไว้มั่นคงที่จะดำรงพรหมจรรย์ตลอดช่วงระยะเวลาที่อยู่กับโจโฉเพื่อมิให้จิตใจหวั่นไหวไปกับลาภ ยศ สุข สรรเสริญ ที่โจโฉปรนเปรอให้ ดังนั้นกวนอูจึงส่งหญิงรูปงามทั้งสิบคนให้ไปปรนนิบัติพี่สะใภ้ทั้งสอง
ส่วนตัวกวนอูเองจัดกำหนดเวลาสามวันไปเยี่ยมพี่สะใภ้ครั้งหนึ่ง ไปเยี่ยมพี่สะใภ้ครั้งใดก็นั่งอยู่ที่นอกประตูถามสารทุกข์สุขดิบ ทุกครั้งพี่สะใภ้ทั้งสองก็จะไต่ถามข่าวคราวของเล่าปี่ แต่กวนอูก็ต้องตอบว่าไม่ทราบ เพราะข่าวคราวเกี่ยวกับเล่าปี่นั้นถูกปิดไว้ในทุกด้าน
โจโฉวาดหวังว่าลาภ ยศ สุข สรรเสริญที่ปรนเปรอให้กับกวนอูจะสามารถซื้อกวนอูให้ตีตัวออกหากจากเล่าปี่ได้ แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปความซื่อสัตย์ภักดีที่กวนอูมีต่อเล่าปี่ก็มิได้คลอนแคลนลง โจโฉได้แต่ทอดถอนใจใหญ่ แต่ในขณะเดียวกันก็นึกนับถือสรรเสริญกวนอูที่มีความซื่อสัตย์สุจริตยากที่จะหาผู้ใดเสมอเหมือน
อันลาภ ยศ สุข สรรเสริญนั้น แม้เป็นโลกธรรมที่ปุถุชนทั้งปวงปรารถนาแต่ใช่ว่าจะสามารถใช้ซื้อน้ำใจคนได้ทุกคนไป คนจำนวนมากอาจจะยอมตัวขายตนให้กับโลกธรรมทั้งสี่นี้ แต่สำหรับกวนอูนั้นสิ่งเหล่านี้กลับไร้ค่า ไม่อาจยกขึ้นเทียบได้เลยกับพันธะจิตใจที่ผูกพันต่อคำมั่นสัญญาแห่งสวนท้อ
การปรนเปรอของโจโฉแม้ถึงขนาด แต่ใจกวนอูยังคงรำพึงอยู่กับตัวว่า
“เงินซื้อใครได้จริงทุกสิ่งหรือ
ค่าเงินซื้อได้จริงเพียงสิ่งของ
ใครยอมตัวขายตนให้เงินทอง
เป็นผู้มองไม่เห็นความเป็นคน
ถึงกระนั้นวันนี้เท่าที่รู้
ยังมีผู้ขายตัวยอมชั่วฉล
เงินซื้อคนพ้นจากความยากจน
ใครจะทนหยิ่งได้…แทบไม่มี
สินค้าคนล้นตลาดอนาถไฉน
คนพอใจเป็นทาสเงินกว่าเดินหนี
โลกจึงวุ่นคุณธรรมถูกย่ำยี
แต่กูนี้…ยอมตาย…ไม่ขายตัว.”
แม้หวังละโทษกุมประโยชน์สามประการแล้ว กวนอูยังคงตั้งมั่นในความสัตย์ซื่อและมั่นคงต่อคำสัตย์ปฏิญาณในสวนท้อที่มีต่อเล่าปี่และเตียวหุย เสนอเงื่อนไขสามประการต่อโจโฉ
ในเงื่อนไขสามประการนั้น ข้อแรกไม่ยอมเป็นข้าของโจโฉ แต่ให้ถือว่าเป็นข้าแผ่นดินในพระเจ้าเหี้ยนเต้ ข้อนี้เป็นเรื่องของศักดิ์ศรีแห่งชายชาติทหารที่มุ่งธำรงไว้ซึ่งศักดิ์ศรีและเกียรติศักดิ์ของตน ข้อสองเพื่อปกป้องรักษาพี่สะใภ้ทั้งสองตามภาระหน้าที่ ที่เล่าปี่ได้มอบหมายไม่ให้เป็นอันตราย ข้อนี้เป็นเรื่องของความรับผิดชอบที่เต็มเปี่ยมไม่ยอมละทิ้งไม่ว่าจะตกอยู่ในความยากลำบากสถานใด ส่วนข้อสามนั้นเป็นข้อสำคัญที่สุดคือเมื่อใดรู้ว่าเล่าปี่อยู่แห่งหนตำบลใดแล้วก็จะไปหาในทันที เป็นข้อที่แสดงถึงความซื่อตรงมั่นคงในคำสัตย์ต่อคำสาบานของสามพี่น้องแห่งสวนท้ออันลือลั่นในประวัติศาสตร์ของจีน และเป็นต้นแบบของการคบหาเพื่อนร่วมน้ำมิตรตั้งแต่อดีตจวบปัจจุบัน
โจโฉเชื่อมั่นในอำนาจวาสนาที่มีอยู่เหนือเล่าปี่ว่าจะสามารถผูกใจกวนอูให้ทอดทิ้งเล่าปี่มาสวามิภักดิ์ตัวด้วยพร้อมใจได้ ดังนั้นเมื่อโจโฉทราบว่ากวนอูมาพบตามคำสัญญาจึงเริ่มดำเนินการที่จะผูกใจกวนอูตั้งแต่ต้นด้วยการออกมาต้อนรับกวนอูซึ่งมีฐานะเป็นเพียงเชลยศึกด้วยตนเอง
หลังจากคำนับโอภาปราศรัยตามอย่างธรรมเนียมแล้ว กวนอูได้ย้ำคำสัญญากับโจโฉว่า “เตียวเลี้ยวไปบอกข้าพเจ้าว่ามหาอุปราชรับปฏิญญาทั้งสามประการแล้ว ข้าพเจ้าก็มีความยินดี เห็นว่าถึงนานไปเมื่อหน้ามหาอุปราชก็จะไม่คืนคำ”
นี่คือความฉลาดและความรอบคอบของกวนอูเพราะคำที่ได้รับการยืนยันจากเตียวเลี้ยวนั้น ถือได้ว่าเป็นความชั้นที่สองเพราะไม่ได้ออกจากปากของโจโฉโดยตรง ครั้นมาอยู่เฉพาะหน้ากันแล้ว กวนอูจึงยกความนี้ขึ้นด้วยหวังให้โจโฉยืนยันมั่นคงด้วยวาจาต่อหน้ากัน
โจโฉก็สมเป็นผู้นำยินคำกวนอูแล้วจึงว่า “ซึ่งปฏิญาณของท่านนั้นเราได้ออกปากรับแล้ว ถึงจะเป็นประการใดเราก็มิให้เสียวาจา”
นี่คือคำมั่นสัญญาของโจโฉที่มีผลทำให้ข้อสัญญาสามข้อของกวนอูเป็นผล ข้อสัญญานี้แม้ว่าจะไม่ได้ทำกันเป็นหนังสือหรือไม่ได้ลงนามเป็นสัตยาบันเหมือนกับที่พรรคการเมืองลงนามกันแล้วฉีกทิ้งลงถังขยะ แต่นับได้ว่าเป็นสัญญาสุภาพบุรุษที่มั่นคงเที่ยงตรงดุจขุนเขาไม่คลอนแคลนด้วยแรงลม
โจโฉนั้นแม้ว่าจะเป็นนักการเมืองที่เปี่ยมด้วยเล่ห์เพทุบาย ไม่เป็นสองรองใครในประวัติศาสตร์การเมืองของโลก แต่คำใดที่ลั่นจากปากคำนั้นจะถือเป็นคำสัตย์ที่ยึดมั่นปฏิบัติไม่คืนคำ นี่คือธรรมประการหนึ่งของพระมหากษัตริย์คือตรัสแล้วไม่คืนคำ ส่วนอีกชายหนึ่งนั้นแม้บัดนี้มีฐานะเป็นเพียงเชลยศึก แต่ด้วยธรรมข้อซื่อสัตย์สุจริต กตัญญูรู้คุณคน จึงมีความเป็นคนอย่างสมบูรณ์อยู่ในตัว สัญญาระหว่างชายทั้งสองนี้จึงนับเป็นสัญญาสุภาพบุรุษแห่งประวัติศาสตร์
ที่เป็นสัญญาแห่งประวัติศาสตร์ก็เพราะว่าเป็นสัญญาที่กระทำขึ้นระหว่างวีรชนกับทรชน แต่กลับมีผลมั่นคงที่ทำให้นักการเมืองวิญญูชนจอมปลอมในชั้นหลังต้องได้อาย
ครั้นกวนอูได้ยินคำยืนยันมั่นเหมาะจากปากโจโฉเองก็มีความยินดียิ่งนัก จึงว่า “แม้ข้าพเจ้ารู้ว่าเล่าปี่อยู่ที่ใด ถึงมาตรว่าจะเป็นทางกันดาร จะต้องข้ามพระมหาสมุทรแลลุยเพลิงก็ดี ข้าพเจ้าจะไปหาเล่าปี่ให้จงได้ แม้ข้าพเจ้ายังมิทันลามหาอุปราชก็ดี ขอให้ท่านให้อภัยแก่ข้าพเจ้า อย่าเคืองด้วยเนื้อความข้อนี้เลย”
กวนอูเป็นน้องร่วมสาบานของเล่าปี่ย่อมได้ยินได้ฟังคำของเล่าปี่เกี่ยวด้วยโจโฉหลายครั้งหลายหน เพราะระหว่างโจโฉกับเล่าปี่นั้น โจโฉถือว่าเป็นคู่แข่ง ดังนั้นบรรดาเล่ห์กลอุบายประการใดที่จะพึงนำมาใช้ได้ โจโฉก็ไม่ละเว้นและไม่ละโอกาสที่จะใช้เล่ห์กลอุบายประการนั้น เหตุนี้ในสายตาของเล่าปี่จึงถือว่าโจโฉเป็นคนเจ้าเล่ห์ที่ไว้วางใจสิ่งใดมิได้ กวนอูได้รับทัศนะเช่นนี้มาจากเล่าปี่ ดังนั้นจึงกล่าวความเผื่อเงื่อนไขและวันเวลาข้างหน้าเสียในโอกาสนี้ โดยขออภัยโจโฉไว้ล่วงหน้าว่าหากวันเวลานั้นมาถึงแล้วมิได้ร่ำลาก็อย่าได้ตำหนิติเตียนกัน
โจโฉได้ฟังเช่นนั้นก็สะอึกแต่ก็ยังคงยืนยันในคำมั่นสัญญาแล้วชวนให้กวนอูกินโต๊ะ ก่อนที่กวนอูจะอำลากลับไปที่พัก โจโฉได้แจ้งข่าวให้ทราบว่าในวันพรุ่งนี้เพลาเช้าจะยกกองทัพกลับเมืองหลวง ให้กวนอูและพี่สะใภ้เตรียมตัวเดินทางให้พร้อม
ครั้นรุ่งขึ้นถึงเวลากำหนด โจโฉจึงสั่งให้เคลื่อนพลออกจากเมืองแห้ฝือเดินทางกลับเมืองหลวง สำหรับครอบครัวของเล่าปี่นั้นโจโฉได้สั่งให้จัดรถม้าสำหรับภรรยาทั้งสองของเล่าปี่ โดยมีกวนอูขี่ม้านำหน้าไป
เมื่อกองทัพรอนแรมหยุดพักค้างคืน ณ ที่ใด โจโฉได้สั่งให้จัดที่พักให้ภรรยาทั้งสองของเล่าปี่และกวนอูพักรวมอยู่ในห้องเดียวกัน โดยวาดหวังว่าวิสัยประเวณีแห่งหญิงชายอยู่ร่วมเรือนเดียวกัน เมื่อโอกาสอำนวยแล้วอำนาจแห่งพิศวาสของชายหญิงอาจกำเริบขึ้นและถ้ากวนอูละเมิดประเวณีกับพี่สะใภ้แล้ว คำสาบานแห่งสวนท้อก็จะถูกทำลายลง กวนอูก็จำเป็นที่จะต้องอยู่กับโจโฉตลอดไป
แต่โจโฉต้องผิดหวังเพราะน้ำใจกวนอูนั้นมีความภักดีสัตย์ซื่อมั่นคง และยึดมั่นในธรรมเนียมประเพณีอย่างเคร่งครัด ดังนั้นแม้ว่าจะถูกจัดให้อยู่ร่วมชายคาเดียวกับพี่สะใภ้แต่กวนอูกลับให้พี่สะใภ้ทั้งสองนอนอยู่ห้องเดียวกันที่ด้านใน ตัวกวนอูนั่งจุดเทียนดูหนังสือเป็นยามเฝ้าอยู่ที่ประตูด้านหน้าตลอดทั้งคืน
สามก๊กทุกฉบับได้พรรณนาความลักษณาการของกวนอูว่าจุดเทียนนั่งดูหนังสือจนสว่างทั้งคืนตลอดระยะเวลาการเดินทาง เป็นเหตุให้เกิดภาพวาดกวนอูในขณะจุดเทียนนั่งดูหนังสืออันงามสง่าน่านับถืออย่างกว้างขวางแพร่หลาย และเป็นภาพประวัติศาสตร์ที่มีการถ่ายทอดลอกเลียนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แต่ทว่าอาการที่คนเราสามารถนั่งดูหนังสือทั้งคืนนั้นหาใช่อาการของคนธรรมดาไม่
พิเคราะห์แล้วเห็นได้ชัดว่าฉายาเทพเจ้าแห่งความซื่อสัตย์ของกวนอูนั้นมิใช่ได้มาเพราะคำยกย่องอันเลื่อนลอย หากได้มาเพราะอำนาจแห่งจิตบางชนิดที่ขุนพลผู้นี้ได้ฝึกฝนเป็นที่อาศัยแห่งจิตตัว การนั่งดูหนังสือในอาการสงบนิ่งตลอดทั้งคืนก็คืออาการของการเข้าสมาธิจิตชนิดหนึ่ง ซึ่งส่งผลให้กวนอูเป็นนักรบที่มีจิตใจมั่นคง มีจิตใจบริสุทธิ์ และมีพลังซึ่งเรื่องราวในสามก๊กได้เผยให้เห็นหลายครั้งหลายหน
ร่างกายของคนเราต้องอาศัยอาคารบ้านเรือนเป็นที่พัก จิตใจก็เช่นเดียวกันย่อมมีที่พักที่พิง เป็นแต่ว่าคนโดยทั่วไปไม่รู้และไม่เข้าใจ ที่อาศัยอันเป็นที่พักพิงของจิตนี้เรียกว่า “วิหาร” คืออาศัยวิหารธรรมข้อใดก็เรียกวิหารธรรมข้อนั้นว่าเป็นที่อาศัยของจิต อาการนั่งดูหนังสือตลอดรุ่งน่าจะเป็นกรณีที่จิตได้พึ่งพิงอาศัยการกำหนดสติมั่นอยู่กับการกำหนดลมหายใจหรืออานาปาณสติวิหาร หรือมิฉะนั้นการที่มีดวงเทียนวางอยู่เบื้องหน้าก็อาจเป็นการเจริญกสิณชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “เตโชกสิณ”
หลังจากโจโฉได้รับทราบรายงานจากทหารที่เฝ้าสังเกตการณ์ถึงพฤติกรรมของกวนอูปฏิบัติต่อพี่สะใภ้ก็ทอดถอนใจใหญ่ที่การไม่สมความคิด แต่จิตใจก็นึกสรรเสริญกวนอูที่มั่นคงในความสัตย์สุจริตต่อเล่าปี่ ดังนั้นในการค้างแรมคืนถัดมาโจโฉจึงจัดบ้านสองหลังให้เป็นที่พักของภรรยาเล่าปี่หลังหนึ่ง และเป็นที่พักของกวนอูอีกหลังหนึ่ง
ครั้นถึงเมืองหลวงโจโฉจึงนำกวนอูเข้าเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ตามคำมั่นสัญญาข้อแรกที่รับปากกับกวนอูคือกวนอูจะเป็นข้าของพระเจ้าเหี้ยนเต้ ไม่ใช่ข้าของโจโฉ แต่ในอีกมุมหนึ่งนั้นก็อาจมองไปได้ว่านี่คือการเริ่มต้นแผนการผูกใจกวนอูนั่นเอง
โจโฉได้กราบบังคมทูลเสนอพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้แต่งตั้งกวนอูเป็นนายทหารประจำกองทัพเมืองหลวง พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งตามที่โจโฉเสนอ
ออกจากที่เฝ้าแล้วโจโฉได้ชวนกวนอูไปที่จวน แล้วสั่งให้ตั้งโต๊ะเลี้ยงฉลองตำแหน่งใหม่และเชิญขุนนางจำนวนหนึ่งมาร่วมงานเลี้ยง ในงานเลี้ยงครั้งนี้โจโฉได้จัดที่นั่งกวนอูอยู่ใกล้กับตัวอันแสดงถึงการให้เกียรติที่สูงส่งกว่าขุนนางอื่น ครั้นเสร็จงานเลี้ยงโจโฉจึงสั่งให้นำ “เครื่องเงิน เครื่องทอง แลแพรอย่างดี” มามอบแก่กวนอูเป็นจำนวนมาก เป็นการใช้ทรัพย์สินซื้อน้ำใจกวนอูต่อเนื่องจากการที่ได้มอบตำแหน่งนายทหารให้แล้ว
กวนอูรับทรัพย์สินและสิ่งของที่โจโฉมอบให้แล้วกลับมาที่พัก นำเอาทรัพย์สินทั้งสิ้นที่ได้รับจากโจโฉไปมอบแก่พี่สะใภ้ทั้งสอง เล่าความทั้งปวงให้พี่สะใภ้ทั้งสองฟังแล้วลากลับไปที่พัก
โจโฉได้ทุ่มเทผูกใจกวนอูอย่างต่อเนื่อง สามก๊กทุกฉบับระบุความตรงกันว่า “โจโฉทำนุบำรุงกวนอูมิได้อนาทร สามวันแต่งโต๊ะไปให้ครั้งหนึ่ง ห้าวันครั้งหนึ่ง แล้วจัดหญิงสาวที่รูปงามสิบคนให้ไปอยู่ปฏิบัติกวนอู”
มาถึงตอนนี้ก็เห็นได้ชัดว่านอกจากตำแหน่งและทรัพย์สินเงินทองแล้ว โจโฉยังให้เกียรติยศและไมตรีหวังผูกใจกวนอูอีกเปราะหนึ่ง ทั้งยังมอบสตรีรูปงามถึงสิบคนเพื่อเป็นโซ่ตรวนผูกใจกวนอูให้มั่นคง
กวนอูตั้งใจไว้มั่นคงที่จะดำรงพรหมจรรย์ตลอดช่วงระยะเวลาที่อยู่กับโจโฉเพื่อมิให้จิตใจหวั่นไหวไปกับลาภ ยศ สุข สรรเสริญ ที่โจโฉปรนเปรอให้ ดังนั้นกวนอูจึงส่งหญิงรูปงามทั้งสิบคนให้ไปปรนนิบัติพี่สะใภ้ทั้งสอง
ส่วนตัวกวนอูเองจัดกำหนดเวลาสามวันไปเยี่ยมพี่สะใภ้ครั้งหนึ่ง ไปเยี่ยมพี่สะใภ้ครั้งใดก็นั่งอยู่ที่นอกประตูถามสารทุกข์สุขดิบ ทุกครั้งพี่สะใภ้ทั้งสองก็จะไต่ถามข่าวคราวของเล่าปี่ แต่กวนอูก็ต้องตอบว่าไม่ทราบ เพราะข่าวคราวเกี่ยวกับเล่าปี่นั้นถูกปิดไว้ในทุกด้าน
โจโฉวาดหวังว่าลาภ ยศ สุข สรรเสริญที่ปรนเปรอให้กับกวนอูจะสามารถซื้อกวนอูให้ตีตัวออกหากจากเล่าปี่ได้ แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปความซื่อสัตย์ภักดีที่กวนอูมีต่อเล่าปี่ก็มิได้คลอนแคลนลง โจโฉได้แต่ทอดถอนใจใหญ่ แต่ในขณะเดียวกันก็นึกนับถือสรรเสริญกวนอูที่มีความซื่อสัตย์สุจริตยากที่จะหาผู้ใดเสมอเหมือน
อันลาภ ยศ สุข สรรเสริญนั้น แม้เป็นโลกธรรมที่ปุถุชนทั้งปวงปรารถนาแต่ใช่ว่าจะสามารถใช้ซื้อน้ำใจคนได้ทุกคนไป คนจำนวนมากอาจจะยอมตัวขายตนให้กับโลกธรรมทั้งสี่นี้ แต่สำหรับกวนอูนั้นสิ่งเหล่านี้กลับไร้ค่า ไม่อาจยกขึ้นเทียบได้เลยกับพันธะจิตใจที่ผูกพันต่อคำมั่นสัญญาแห่งสวนท้อ
การปรนเปรอของโจโฉแม้ถึงขนาด แต่ใจกวนอูยังคงรำพึงอยู่กับตัวว่า
“เงินซื้อใครได้จริงทุกสิ่งหรือ
ค่าเงินซื้อได้จริงเพียงสิ่งของ
ใครยอมตัวขายตนให้เงินทอง
เป็นผู้มองไม่เห็นความเป็นคน
ถึงกระนั้นวันนี้เท่าที่รู้
ยังมีผู้ขายตัวยอมชั่วฉล
เงินซื้อคนพ้นจากความยากจน
ใครจะทนหยิ่งได้…แทบไม่มี
สินค้าคนล้นตลาดอนาถไฉน
คนพอใจเป็นทาสเงินกว่าเดินหนี
โลกจึงวุ่นคุณธรรมถูกย่ำยี
แต่กูนี้…ยอมตาย…ไม่ขายตัว.”