ตอนที่ 120. เทพยดาสังหรณ์

ในขณะที่เล่าปี่กำลังเตรียมการรับศึกใหญ่กับกองทัพโจโฉอยู่นั้น กองทัพโจโฉก็ได้เคลื่อนทัพจากเมืองหลวงล่วงเข้ามาใกล้เขตแดนเมืองเสียวพ่าย ในขณะที่กองทัพของโจโฉย่างเข้าเขตแดนเมืองเสียวพ่าย ก็ได้เกิดนิมิตประหลาดขึ้นกับกองทัพของโจโฉ

            ลมพายุใหญ่โหมกรรโชกหนักมาแต่ทิศตะวันออก เป็นพายุหมุนเคลื่อนตัวมาทางกองทัพหน้าของโจโฉ ฝุ่นคลุ้งตลบ ครั้นพายุหมุนนั้นเคลื่อนตัวมาถึงกองทัพหลวงก็พัดเอาธงชัยประจำกองทัพของโจโฉซึ่งปักอยู่บนเกวียนนำหน้ากองทัพหลวงหักทบลงมา

            ปรากฏการณ์ดังกล่าวทำให้กองทัพของโจโฉแตกตื่น โจโฉจึงสั่งให้หยุดกองทัพไว้ ณ ที่นั้น ให้ตั้งค่ายมั่นไว้ แล้วให้เชิญบรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองมาหารือในทันที

            โจโฉได้ปรารภขึ้นในที่ประชุมว่า ปรากฏการณ์ทั้งนี้จะดีร้ายประการใด

            ซุนฮกจึงว่า “ซึ่งเกิดพายุใหญ่พัดธงชัยหักทบลงมานั้นเป็นลมตะวันออก เวลาค่ำวันนี้ดีร้ายเล่าปี่จะยกออกมาปล้นค่ายเราเป็นมั่นคง”

            มอกายนายทหารตรีของโจโฉ ซึ่งมีความรู้เรื่องนิมิตและลางได้เสนอขึ้นว่า “ลมตะวันออกพัดมาถูกธงชัยหักนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่ากลางคืนวันนี้จะมีผู้มาปล้นค่าย”

            โจโฉฟังที่ปรึกษาและนายทหารใหญ่ออกความเห็นเกี่ยวกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นว่าในคืนวันนี้ฝ่ายเล่าปี่อาจยกกองทัพมาปล้นค่าย จึงว่า “ซึ่งเกิดลมมาทั้งนี้ หากเทพยดาสำแดงเหตุให้รู้เพราะบุญของเรา”

            ปรากฏการณ์ที่ลมตะวันออกพัดกรรโชกเป็นพายุหมุน เคลื่อนตัวจากตะวันออกสู่ตะวันตก ต้องเอาธงชัยประจำทัพโจโฉหักล้มลงถือเป็นนิมิตชนิดหนึ่งในการสงคราม โจโฉซึ่งเป็นแม่ทัพใหญ่แม้ไม่มีความรู้ในเรื่องนี้โดยตรง แต่ก็เป็นคนช่างสังเกต ดังนั้นเมื่อปรากฏเหตุแล้วจึงรีบสั่งให้หยุดทัพแล้วตั้งค่ายมั่นลงเพราะในใจนั้นหวั่นว่าจะต้องเกิดเหตุไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง และปรากฏการณ์เช่นนี้ที่ปรึกษาและนายทหารใหญ่ได้ให้ความเห็นต้องกันว่าข้าศึกจะยกกองทัพมาปล้นค่าย โจโฉเชื่อความเห็นนี้จึงว่าเป็นบุญของตัวและเห็นว่าเป็นปรากฏการณ์ที่เทพยดาแสดง “เทพยดาสังหรณ์” แสดงนิมิตให้ปรากฏ

            ลมพายุหมุนที่เคลื่อนมาแต่ทิศตะวันออกสู่ทิศตะวันตกอันเป็นทิศที่โจโฉเคลื่อนทัพถือเป็นลมที่มาจากปูมธาตุดิน และตัวโจโฉนั้นก็เป็นคนที่กำเนิดในราศีธาตุดิน เมื่อลมนั้นต้องธงชัยประจำกองทัพ ที่ปรึกษาและนายทหารใหญ่ของโจโฉจึงวินิจฉัยว่าข้าศึกจะเข้าปล้นค่าย และที่ประมาณการเป็นเวลากลางคืนก็เพราะว่าปลายทิศที่ลมพายุหมุนเคลื่อนมานั้นเป็นทิศตะวันตกอันเป็นทิศแห่งราตรี

            ในตำราพิชัยสงครามของไทยบทว่าด้วยฤกษ์ในการเดินทัพ หมวดว่าด้วยกลุ่มเมฆ ซึ่งรวมถึงพายุหมุนที่มาแต่ทิศดังกล่าวได้ระบุว่า

            “เมฆมาแต่บูรทิศ สถิตปราจิมโดยวาร กลุ้มดวงพระสุริฉาน บ่สายแสงให้ยกธง

            เมฆมาแต่ทิศนั้น มิทันกลุ้มเข้าในวง ถอยคืนมาแต่ทิศจง อย่ายาตราจะภัยยัน”

            ความหมายของตำราพิชัยสงครามฝ่ายไทยตรงกับปูมแห่งคัมภีร์อี้จิงของจีนคือ ให้หยุดทัพไว้ แล้วตั้งค่ายไว้ให้มั่นคง ถ้าขืนรุดหน้าไปจะเกิดภัยอันตราย การกำหนดให้หยุดทัพตั้งค่ายไว้ให้มั่นคงย่อมบ่งความหมายอยู่ในตัวว่าเป็นการตั้งรับข้าศึกเพราะอาจมีการปล้นค่าย หรือมีการซุ่มตีทัพอยู่ข้างหน้าเป็นสองกรณี เมื่อยั้งทัพลงแล้วก็จะเหลือเพียงกรณีเดียวเท่านั้นคือข้าศึกจะยกเข้าปล้นค่าย

            ศาสตร์ที่ลี้ลับเหล่านี้หาเหตุผลที่ไปที่มาไม่ได้ และยังไร้กฎเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์สำหรับใช้ในการพิสูจน์ แต่เป็นสิ่งที่นักพิชัยสงครามและขุนพลผู้นำทัพในสมัยโบราณต้องเรียนรู้และสังเกตนิมิตลางดังกล่าว จากนั้นจึงนำนิมิตลางเหล่านั้นมาใช้ประกอบการวางแผนการรบ การที่กองทัพโจโฉสังเกตปรากฏการณ์ดังกล่าวแล้วใช้ศาสตร์ลี้ลับแห่งพิชัยสงครามมากำหนดแผนการรบ จึงนับว่าเป็นเรื่องเหนือธรรมดา เหตุนี้โจโฉจึงลำพองใจว่านี่เป็นเพราะบุญของตัว แต่ที่โจโฉไม่ได้พูดก็คือเป็นคราวเคราะห์ของราชวงศ์ฮั่น และย่อมเป็นคราวเคราะห์ของเล่าปี่ด้วย

            ในตำราพิชัยสงครามของไทยนั้น นอกจากกำหนดให้ต้องสังเกตนิมิตจากลมธรรมชาติแล้ว ยังกำหนดให้สังเกตจากลมภายในหรือปรานที่แล่นเข้าออกอยู่ในตัวของผู้นำทัพด้วยว่า

            “อาจารย์กล่าวไว้โดยบรรพ์ ฤกษ์นอกนี้อัน ย่อมมีอยู่สิ้นทุกคน
            คือพัดเข้าออกในตน ดีร้ายเหตุผล ก็พึงสังเกตอาตมา
            ลมเดินจงพิจารณา เหตุพัดซ้ายขวา กล่าวฝ่ายละห้านาที
            ปลงปลอดวิหิทจงดี อาโปปถวี ฤกษ์นั้นสวัสดีมีชัย
            พัดตามเกล็ดนาคคลาไคล เร่งให้ยกไป จะได้นิกรโยธา
            อาจารย์กล่าวไว้โดยตรา ลมในอาตมา เอนกนานุปประการ
            ถ้าออกเบื้องซ้ายเปรมปราน ยุรยาตรอย่านาน นามเรียกว่าจันทร์กระลา
            ผิออกเบื้องขวา คือสุริยกระลา ท่านห้ามอย่ายกพล
            ออกซ้ายคือสวัสดิมงคล อาวุธของตน จงกุมข้างซ้ายมีชัย
            ออกขวาอย่ายาตราไป ถืออาวุธไว้ ให้หัตถ์ข้างขวาแบกชู
            ผิลมออกเสมอสองประตู อาวุธถืออยู่ ทั้งสองหัตถายืนยัน
            ธนู ปืน ไม้ เกาทัณฑ์ กุมสองมือขยัน แล้วยืนให้มั่นคงตรง
            สองหัตถ์มั่นคง กุมขอแลเครื่องศาสตรา มณฑกเดินพลโยธา”

            นิมิตจากลมปรานภายในตัวนี้ นักวิทยาคมได้นิยมนำมาใช้พิจารณาก่อนย่างเท้าออกจากบ้าน ความหมายโดยรวมก็คือกำหนดการเดินของลมหายใจที่เข้าออกทางจมูกซ้ายขวาว่าคล่องขัดข้างใด หากคล่องทางข้างซ้ายเรียกว่าจันทร์กระลา เป็นนิมิตดี แต่ถ้าออกข้างขวาเรียกว่าอาทิตย์กระลาเป็นนิมิตร้าย แต่ถ้าคล่องทั้งสองข้างให้เดินทางได้แต่ต้องระมัดระวัง นิมิตชนิดนี้สังเกตได้โดยง่าย จึงเป็นเรื่องที่น่าลองสังเกตดู

            โจโฉเชื่อตามคำที่ปรึกษาและนายทหารใหญ่ว่าฝ่ายเล่าปี่จะยกมาปล้นค่ายในคืนนี้ จึงวางแผนการรบหวังทำลายกองทัพเล่าปี่ให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดเสียแต่คืนนี้ ดังนั้น  โจโฉจึงสั่งให้จัดทหารออกเป็นสิบเอ็ดกอง

            กองหนึ่งให้อยู่รักษาค่าย แปดกองให้แยกออกไปตั้งซุ่มอยู่นอกค่ายทั้งแปดทิศอย่างเงียบกริบ อีกสองกองให้แยกไปตั้งสกัดอยู่ปากทางที่จะมาจากเมืองชีจิ๋วกองหนึ่ง และปากทางที่จะมาจากเมืองแห้ฝืออีกกองหนึ่ง

            ได้กำหนดแผนยุทธการว่ากองทัพที่จะยกมาปล้นค่ายครั้งนี้จะเป็นกองทัพที่ยกมาจากเมืองเสียวพ่ายเพราะเป็นยุทธภูมิที่ใกล้ที่สุด ดังนั้นเมื่อมีเหตุการณ์ข้าศึกยกมาปล้นค่ายก็ให้กองทหารที่ซุ่มอยู่ทั้งแปดทิศยกตีกระหนาบเข้ามาพร้อมกัน ส่วนกองที่รักษาค่ายให้เพียงแต่ตั้งรับไว้เท่านั้น ส่วนกองสกัดอีกสองกองเป็นกองคอยระวังเหตุไม่ให้กองทัพที่หากจะยกมาจากเมืองชีจิ๋วและเมืองแห้ฝือยกมาช่วยสมทบได้

            แผนยุทธการของโจโฉครั้งนี้นับว่ารอบคอบรัดกุมยิ่งนัก หากมีการปล้นค่ายเกิดขึ้นแล้วย่อมเห็นได้ชัดว่าฝ่ายเข้าปล้นยากที่จะหลุดรอดไปได้ เพราะจะถูกตีกระหนาบเข้ามาจากแปดทิศ ในขณะที่ภายในค่ายก็ตั้งรับไว้อย่างมั่นคง ถึงแม้จะมีกำลังหนุนมาจากทางด้านเมืองชีจิ๋วหรือเมืองแห้ฝือก็ไม่อาจยกเข้ามาช่วยได้เพราะจะถูกสกัดไว้เสียตั้งแต่ที่ปากทาง

            คราวเคราะห์เป็นของฝ่ายเล่าปี่ ซึ่งได้กำหนดแผนการตามข้อเสนอของเตียวหุยที่จะยกกองทัพออกปล้นค่ายโจโฉไม่ให้ทันได้ตั้งตัว กองทัพเล่าปี่ไม่ได้ระแคะระคายข่าวคราวการเตรียมรับมือของกองทัพโจโฉแม้แต่น้อย ดังนั้นเมื่อเวลาล่วงเข้าปลายสองยาม เล่าปี่และเตียวหุยจึงยกกองทหารออกจากเมืองเสียวพ่ายเตรียมเข้าปล้นค่ายโจโฉ ในขณะที่เตียวหุยนั้นกำลังลำพองใจว่าครั้งก่อนก็สามารถคิดกลอุบายเอาชนะเล่าต้ายได้มาครั้งนี้เล่าปี่ก็สรรเสริญความคิดเป็นอันมาก เตียวหุยจึงขี่ม้านำหน้าทหารของกองทัพหน้า ตรงรี่ไปที่ค่ายหลวงของโจโฉ

            ครั้นเข้าไปถึงหน้าค่ายเห็นค่ายนั้นเงียบสงบอยู่และมีทหารเพียงไม่กี่คนระแวดระวังรักษาค่ายก็รู้ว่าต้องกลอุบาย ในทันใดนั้นเสียงประทัดดังขึ้นสนั่นหวั่นไหว ทหารโจโฉได้โห่ร้องขานรับกันทั้งแปดทิศ แล้วจุดคบเพลิงขึ้นสว่างไสวทุกด้าน เตียวหุยตกใจจึงสั่งทหารให้ถอยกลับมาทางด้านเล่าปี่

            พลันที่ชักม้ากลับหลังก็ปะทะเข้ากับเตียวเลี้ยว เคาทู อิกิ๋ม ลิเตียน ซิหลง งักจิ้น แฮหัวตุ้น แฮหัวเอี๋ยน นำทหารล้อมเข้ามาทั้งแปดทิศ ทหารของโจโฉได้รุมฆ่าฟันทหารของเตียวหุยล้มตายลงเป็นอันมาก ประกอบกับทหารที่เตียวหุยยกมานั้นเคยเป็นทหารเก่าของโจโฉ ทหารเหล่านั้นเห็นทหารโจโฉยกล้อมเข้ามาก็พากันแปรพักตร์ เตียวหุยจึงเหลือทหารสนิทอยู่เพียงสี่สิบคนเศษ

            แต่เตียวหุยนั้นมีฝีมือการรบเข้มแข็งกล้าหาญ เห็นเหตุการณ์คับขันจึงรีบตีฝ่าออกมาทางด้านที่คิดว่าเล่าปี่ยกหนุนมาแต่ไม่พบกับเล่าปี่ จึงบ่ายหน้าตีฝ่าไปทางด้านเมืองชีจิ๋วก็ปะทะเข้ากับทหารโจโฉซึ่งตั้งสกัดอยู่ เตียวหุยจึงหลีกมาทางด้านที่จะไปยังเมืองแห้ฝือ แต่ก็ไม่สามารถจะฝ่าไปได้เพราะทหารโจโฉอีกกองหนึ่งได้ตั้งสกัดอยู่อีกเช่นเดียวกัน

            เตียวหุยหมดหนทางที่จะไปเมืองชีจิ๋วและเมืองแห้ฝือจึงพาทหารที่ติดตามมาหนีขึ้นไปอยู่บนเขาบองเอี๋ยงสัน

            ทางด้านเล่าปี่ขี่ม้านำกองทัพหลวงหนุนตามเตียวหุยตรงไปที่กองทัพหลวงของโจโฉแต่ไม่ทันกับกองทัพหน้า ก็ได้เห็นแสงเพลิงจากทั้งแปดทิศและเสียงทหารของ   โจโฉโห่ร้องก้องกระหึ่ม รุมล้อมเข้าไปทางค่ายหลวงของโจโฉ เล่าปี่ก็รู้ว่าต้องกลและเตียวหุยตกอยู่ในที่ล้อม ขณะที่กำลังลังเลอยู่ว่าจะรุกไปข้างหน้าหรือถอยกลับนั้น แฮหัวตุ้น ได้คุมทหารยกตรงมาที่กองทัพหลวงของเล่าปี่

            ทหารของเล่าปี่ส่วนที่เป็นทหารเก่าของกองทัพโจโฉเห็นเหตุการณ์เช่นนั้นก็แปรพักตร์ พากันวิ่งเข้าไปหาแฮหัวตุ้นถึงครึ่งหนึ่ง พอดีแฮหัวตุ้นขับม้ามาถึงหน้าเล่าปี่ทั้งสองฝ่ายได้สู้รบกัน แต่ทันใดนั้นแฮหัวเอี๋ยนก็คุมทหารอีกกองหนึ่งตรงเข้ามา รุมล้อมฆ่าทหารเล่าปี่ล้มตายลงเป็นอันมาก เล่าปี่เหลือทหารเพียงประมาณสามสิบคนเศษ เห็นเป็นการคับขันจึงตีฝ่าจะกลับไปทางเมืองเสียวพ่าย แต่เห็นแสงเพลิงภายในเมืองเสียวพ่ายสว่างขึ้นก็คิดว่าโจโฉคงยึดเมืองเสียวพ่ายได้แล้ว จึงขับม้าพาทหารจะหนีไปเมืองแห้ฝือก็ถูกทหารโจโฉสกัดไว้ จึงเบนหน้าไปทางด้านเมืองชีจิ๋วก็เห็นทหารโจโฉตั้งสกัดอยู่อีก เล่าปี่ไม่รู้ที่จะไปทางใดก็นึกถึงคำของซุนเขียนที่นำคำอ้วนเสี้ยวมาบอกว่าถ้าขัดสนประการใดก็ให้ไปเมืองกิจิ๋ว ดังนั้นเล่าปี่จึงขับม้านำทหารหนีไปทางเมืองกิจิ๋ว แต่พบกับลิเตียนคุมทหารสกัดทางอยู่

            เล่าปี่ได้พยายามตีฝ่ากองทหารของลิเตียนแต่ทหารที่ติดตามมาถูกทหารลิเตียนจับได้จนหมดสิ้น ส่วนตัวเล่าปี่หนีไปได้แต่ลำพัง

            ครั้นเล่าปี่หนีมาถึงเมืองเชียงจิ๋ว ซึ่งเป็นหัวเมืองขึ้นต่อเมืองกิจิ๋ว และอ้วนเสี้ยวได้ให้อ้วนถำผู้บุตรเป็นผู้รักษาเมือง เล่าปี่จึงขอเข้าพบอ้วนถำ

            อ้วนถำครั้นทราบว่าเล่าปี่มาก็มีความยินดี นำทหารออกมาต้อนรับเล่าปี่ถึงนอกประตูเมือง เล่าปี่ได้เล่าความตั้งแต่ครั้งที่เข้าร่วมในกองทัพปฏิวัติกับอ้วนเสี้ยวเป็นลำดับมาจนถึงการเสียทีแก่โจโฉในครั้งนี้ให้อ้วนถำฟังทุกประการ อ้วนถำฟังความที่เล่าปี่เล่าแล้วก็รู้สึกสงสารเป็นอันมาก จัดแจงรับรองต้อนรับเล่าปี่เป็นอย่างดี แล้วให้ทหารถือหนังสือรีบไปแจ้งให้อ้วนเสี้ยวทราบล่วงหน้า และให้ทหารอีกกองหนึ่งนำเล่าปี่ไปเมืองกิจิ๋ว.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร