ตอนที่ 12. สถานการณ์ยามดาวมังกรลับ

ขอเวลาให้สภาคนเครียดที่ประชุมปรึกษากันอยู่ ณ จวนของโฮจิ๋นได้ครุ่นคิดหาทางออกสักระยะหนึ่ง และอาศัยช่วงเวลานี้ทบทวนถึงสถานการณ์บ้านเมือง ณ ยามสิ้นแผ่นดินเลนเต้  เพื่อที่จะได้มองและเข้าใจสถานการณ์ที่จะดำเนินต่อไปได้แจ่มชัดยิ่งขึ้น

            ตลอดยี่สิบปีแห่งอายุรัชกาลของเลนเต้ แม้ว่าการบริหารราชการแผ่นดินจะเหลวแหลกสักเพียงไหน แต่ความมั่นคงเข้มแข็งที่ราชสำนักฮั่นได้วางไว้เป็นเวลาสี่ร้อยปีเศษยังไม่ถึงกับพังทลายลง อำนาจรัฐของราชสำนักยังคงเป็นที่ยอมรับเชื่อฟังและปฏิบัติตามทั่วราชอาณาจักร

            เป็นแต่อำนาจรัฐนั้น แทนที่จะเป็นอำนาจบริหารของฮ่องเต้ กลับเป็นอำนาจที่ถูกครอบงำโดยสิบขันที ถึงขนาดที่สิบขันทีได้แอบอ้างใช้พระราชอำนาจของฮ่องเต้เป็นเนืองนิจ

            สิบขันทีเรืองอำนาจขึ้นแล้วได้ใช้อำนาจรัฐไปในทางเบียดเบียนกดขี่ข่มเหงขูดรีด ขุนนางข้าราชการ ไม่เว้นแม้กระทั่งพวกขุนศึก การสร้างคุณงามความดีและผลงานไว้กับแผ่นดินไม่ว่าสักเท่าใด ไม่มีวันที่จะเป็นความดีความชอบในราชการ นอกเสียจากจะได้บรรณาการส่วยสินบนให้กับสิบขันที

            ความก้าวหน้าในราชการของขุนนางข้าราชการทั้งปวง ที่เกิดจากแรงระบบส่วยสินบนเช่นนี้ เป็นต้นเหตุของความเดือดร้อนทุกข์เข็ญแก่อาณาประชาราษฎร์ เกิดการปล้นชิงวิ่งราวทั่วทั้งแผ่นดินแล้วกลายเป็นการจลาจลขึ้น

            เหตุนี้จึงเกิดความขัดแย้งหลักขึ้นในบ้านเมืองถึงสองชนิดคือ ระหว่างอำนาจรัฐส่วนกลางกับประชาชนชนิดหนึ่ง และระหว่างสิบขันทีกับขุนนางข้าราชการ โดยเฉพาะเหล่าขุนศึกอีกชนิดหนึ่ง ความขัดแย้งทั้งสองชนิดนี้ย่อมกระทบบัลลังก์มังกรให้สั่นไหวแล้วสั่นคลอนลงอย่างซึมลึก รอวันคืนที่จะพังทลายดับสูญไปเท่านั้น

            ความไม่พอใจ ความคับแค้นใจที่กลายเป็นความชิงชัง อาฆาตพยาบาทถูกบ่มไว้ในใจของเหล่าขุนนางและขุนศึกเฝ้าคอยหาโอกาสชำระแค้นว่า ต้องมาถึงเข้าสักวันหนึ่ง

            การลุกขึ้นสู้ของประชาชนทั้งสองครั้ง แม้จะถูกปราบปรามจนราบคาบไปแล้ว แต่ความราบคาบนั้นมีลักษณะชั่วคราว ตราบใดที่ต้นเหตุของการกดขี่ข่มเหงราษฎรและการปกครองที่อธรรมดำรงอยู่ ตราบนั้นเชื้อไฟปฏิวัติของประชาชนย่อมไม่มีวันดับสูญ หากรอวันคืนที่จะลุกโชติช่วงขึ้นมาใหม่เท่านั้น

            แต่ทว่าการลุกขึ้นสู้กู้ชาติของประชาชนได้ก่อให้เกิดจินตนภาพใหม่ขึ้นในห้วงใจของเหล่าขุนศึก เพราะท้าทายต่ออำนาจรัฐและมีเจตนาช่วงชิงอำนาจรัฐ โดยอาศัยกำลังอาวุธของประชาชนโดยตรง ดังนั้นขุนศึกจำนวนหนึ่งจึงก่อรูปความคิดขึ้นภายในใจที่จะช่วงชิงอำนาจรัฐจากสิบขันที

            แต่จินตนภาพของพวกขุนศึกยังคงอยู่ที่ระดับครอบงำอำนาจรัฐของฮ่องเต้เท่านั้น ยังไม่ไปไกลถึงขนาดล้มราชวงศ์ฮั่น ยึดบัลลังก์มังกรเสียทีเดียว เพราะย่อมแลเห็นว่ายังมีขุนนางข้าราชการอีกจำนวนหนึ่ง และยังมีราษฎรอีกจำนวนมากที่ยังไม่รู้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับความชั่วร้ายที่ครอบงำอำนาจรัฐอยู่

            คนเหล่านี้อาจอาศัยจิตใจจงรักภักดีต่อราชวงศ์ฮั่นหรือแกล้งอาศัยความจงรักภักดีต่อราชวงศ์ฮั่นต่อต้านทำลายการก่อรัฐประหาร จึงทำให้คนที่คิดก่อรัฐประหารเกรงกลัว ไม่กล้าคิดไปไกลถึงขนาดล้มราชบัลลังก์ฮั่น จึงคิดได้แต่เพียงการครอบงำอำนาจรัฐโดยผ่านทางฮ่องเต้เท่านั้น

            ส่วนการณ์ข้างฝ่ายในราชสำนักนั้น พลันที่ตั๋งไทเฮาและเลนเต้ละเมิดกฏมณเฑียรบาลจะสถาปนาหองจูเหียบผู้น้องขึ้นเป็นที่รัชทายาทแทนหองจูเปียนผู้พี่แล้ว กลิ่นอายของการฆ่าฟันกันข้างฝ่ายในราชสำนักจึงก่อตัวขึ้น

            สถานการณ์ในส่วนที่เกี่ยวกับบุคคลสำคัญที่จะก่อตัวขึ้นกลายเป็นสามก๊กในอนาคตนั้น ปรากฏว่าแต่ละคนได้เข้าสู่กระแสแห่งอำนาจในลักษณะที่แตกต่างกัน และมีสภาพการณ์ยามสิ้นแผ่นดินเลนเต้ที่แตกต่างกันด้วย

            โจโฉได้เคลื่อนตัวเข้าใกล้อำนาจรัฐมากที่สุด มีตำแหน่งเป็นนายพันสารวัตรทหารประจำกองกำลังรักษาพระนคร ได้ใกล้ชิดสนิทสนมกับโฮจิ๋นผู้คุมอำนาจทางทหารสูงสุดในขณะนั้น ได้มีโอกาสเสวนาคบหากับขุนนางข้าราชการในเมืองหลวงเป็นจำนวนมาก ซึ่งจะกลายเป็นกำลังสำคัญของโจโฉในวันข้างหน้า

            ความที่รับราชการอยู่ในเมืองหลวง ใกล้ชิดกับอำนาจรัฐ โจโฉจึงได้เรียนรู้ถึงอำนาจรัฐว่าย่อมประกอบด้วยองค์สามคือ อำนาจรัฐนั้นจะได้มาก็แต่โดยการช่วงชิง จะปล่อยให้เป็นไปตามบุญทำกรรมแต่งไม่ได้เป็นอันขาด อำนาจรัฐนั้นจะต้องใช้ด้วยตนเองอย่างเฉียบขาด จะประนีประนอมแบบไร้หลักการหรือโลเลเหลวไหล หรือให้คนอื่นใช้อำนาจแทนไม่ได้เป็นอันขาด และอำนาจรัฐนั้นจะต้องรักษาด้วยความทะนุถนอมให้ปลอดภัยดุจดวงใจ

            ดังนั้นเมื่อหวังครองอำนาจรัฐย่อมจำเป็นต้องแสวงหาคนดีมีฝีมือจำนวนมากมาทำการ ซึ่งนับเป็นเรื่องยากอย่างหนึ่งเพราะเบื้องแรกต้องรู้จักคนดี รู้จักแล้วต้องหาวิธีเชิญชวนมาร่วมทำการ แต่การรักษาคนดีส่งเสริมให้คนดีมีอำนาจกลับยากกว่า แม้กระนั้นการใช้คนดีมีฝีมือให้เหมาะกับการยังจัดเป็นเรื่องยากที่สุด

            แม้ตนเองเล่าย่อมต้องฝึกฝนจนสันทัดในการเป็นศูนย์รวมของคนดีมีฝีมือ สามารถสร้างเอกภาพทางความคิด ทางความรับรู้และทางการปฏิบัติให้เกิดขึ้นอย่างมั่นคง ทั้งยังต้องฝึกฝนจนมีวิสัยทัศน์กว้างไกลบนพื้นฐานความเป็นจริงแห่งสถานการณ์เพื่อนำมาใช้ชี้นำขบวนการของตน และนำขบวนการของตนไปบรรลุซึ่งเป้าหมาย ทักษะและประสบการณ์ตลอดจนความรับรู้ ความขัดแย้งและเส้นสายภายในราชสำนักและอำนาจรัฐก่อเกิดขึ้นแก่โจโฉทุกวันคืน

            ส่วนซุนเกี๋ยนนั้นได้ครองเมืองกังแฮตามความชอบในการสงครามโจรโพกผ้าเหลืองครั้งล่าสุด แม้จะห่างไกลจากนครหลวงลกเอี๋ยงทำให้ขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสภาพการณ์ในเมืองหลวงอันนับเป็นจุดอ่อนก็จริงอยู่ แต่ความที่กังแฮเป็นเมืองใหญ่เป็นเมืองท่าข้าวปลาอุดมสมบูรณ์ การค้าขายก็เจริญรุ่งเรือง มีผู้คนมากกำลังทหารก็มากตาม

            ซุนเกี๋ยนได้ปกครองโดยเมตตาธรรม รวมน้ำใจผู้คนให้สวามิภักดิ์ได้เป็นอันมาก เกียรติภูมิของซุนเกี๋ยนเลื่องระบือไกลไปทั่วหัวเมืองข้างเคียง ก่อตัวเป็นบารมีที่จะตั้งตัวเป็นใหญ่ในวันหน้า

            สถานการณ์ในภาคใต้ที่ซุนเกี๋ยนปกครองอยู่โดยมีกังแฮเป็นศูนย์กลางนั้นจึงเกิดภาวะสันติเป็นรากฐานให้แก่การพัฒนาในทุกด้าน คนดีมีฝีมือจำนวนมากจึงหลั่งไหลเข้าสวามิภักดิ์เข้าทำราชการด้วยซุนเกี๋ยน

            ฝ่ายเล่าปี่ครองเมืองเพงง้วนก๋วนตามความชอบที่ได้รับจากการปราบสงครามโจรโพกผ้าเหลืองครั้งล่าสุด อยู่ห่างไกลเมืองหลวง ขาดความรับรู้ข้อมูลข่าวสารในเมืองหลวงนับเป็นจุดอ่อนเช่นเดียวกับซุนเกี๋ยน

             แต่เมืองเพงง้วนก๋วนนั้นเป็นเมืองเก่ามีความสงบสุขสันติตลอดมา ราษฎรอยู่เย็นเป็นสุขมีฐานะอาชีพที่ดีถ้วนหน้า  เมืองนี้แม้ไม่ใหญ่นักแต่มีผู้คนมากหนาแน่นเป็นที่ตั้งของกองกำลังทหารม้า โดยที่เล่าปี่ก็ได้รับพระราชทานยศเป็นนายพันทหารม้าคุมกำลังทหารม้าและรถศึกอยู่อีกตำแหน่งหนึ่ง  และความที่เล่าปี่เป็นมือแม่นเกาทัณฑ์อันประจักษ์ในสงครามโจรโพกผ้าเหลือง จึงเป็นที่เลื่อมใสของบรรดาเหล่าทหารม้า

            เล่าปี่เป็นนักปกครองที่อาศัยเมตตาธรรมและคุณธรรมเป็นหลัก บ้านเมืองจึงอยู่เย็นเป็นสุข ปราศจากโจรผู้ร้าย คดีความของราษฎรก็ลดเหลือน้อยลงและได้รับการประสาธน์ความยุติธรรมโดยถ้วนหน้า   เล่าปี่จึงได้รับความรักภักดีจากราษฎรทั้งเมืองเพงง้วนก๋วนและหัวเมืองข้างเคียง กลายเป็นบารมีและเกียรติภูมิที่จะทำการใหญ่ในภายหน้าเช่นเดียวกัน

            เมื่อบ้านเมืองสงบสุขกวนอู เตียวหุยน้องร่วมสาบานทั้งสองของเล่าปี่ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นนักรบโดยเนื้อแท้ เปรียบได้กับดาบเหล็กน้ำพี้ที่มีคุณสมบัติวิเศษในตัว ดังนั้นยามว่างศึกทั้งกวนอู เตียวหุยจึงต่างได้ฝึกปรือวิทยายุทธจนเชี่ยวชาญจัดจ้าน ทั้งฝีมืออาวุธสั้นและอาวุธยาว ได้ฝึกปรือยุทธวิธีการรบและการบัญชาการทหารจนเชี่ยวชาญทั้งได้เรียนรู้การปกครองบ้านเมือง และการระงับข้อพิพาทบาดหมางของราษฎรโดยลำดับ  หล่อหลอมตนเองจนมีคุณสมบัติพร้อมที่จะเป็นนายทหารเอก ที่สามารถคุมและบัญชาทัพขนาดใหญ่ได้

            พัฒนาการของความรับรู้ความสามารถและประสบการณ์ของทั้งโจโฉ  ซุนเกี๋ยนและเล่าปี่ จึงเป็นรากฐานสำคัญของพัฒนาการที่ทำให้แผ่นดินจีนกลายเป็นสามก๊กในอนาคต

            ในยามสิ้นแผ่นดินเลนเต้ ตัวละครต่างๆที่ดำเนินไปในยุคสมัยของพระองค์ แม้มีอยู่เป็นจำนวนมากแต่ได้ล้มหายตายจาก ไม่ก็ถูกถอดถูกปลดออกจากตำแหน่งหน้าที่ในทางราชการ ไปทำไร่ไถนาค้าขายตามอัตภาพ

            แม่ทัพใหญ่เตาบูและราชครูตันผวนขุนนางผู้ใหญ่สองแผ่นดิน ผู้ภักดีต่อพระราชวงศ์ฮั่นถูกสังหารอย่างโหดร้ายทั้งครอบครัว กลายเป็นรอยบาปแห่งยุคสมัยของพระเจ้าเลนเต้

            พระพี่เลี้ยงเล่าโต๋ซึ่งเคยเลี้ยงดูอบรมสั่งสอนเลนเต้มาแต่ครั้งยังน้อยและรองอัครมหาเสนาบดีตันต๋ำขุนนางสองแผ่นดินผู้ภักดีต่อพระราชวงศ์ฮั่นและมีคุณต่อเลนเต้มาแต่น้อย ถูกพระราชอาชญาโดยสุดยอดวิชาของขันทีต้องโทษจำคุก และต่อมาถูกขันทีลอบสังหาร เป็นบาปกรรมฐานเนรคุณผู้มีคุณของเลนเต้ที่ติดตัวไปในสัมปรายภพ

            ฮองฮูสงและจูฮีขุนนางระดับแม่ทัพปราบโจรโพกผ้าเหลือง ผู้มีความชอบต่อแผ่นดินแต่ไม่ยอมเข้าสู่ระบบส่วยสินบนของขันที ถูกสิบขันทียุยงให้พระเจ้าเลนเต้ปลดออกจากตำแหน่งหน้าที่ราชการ กลับไปอยู่ภูมิลำเนาเดิม

            ในขณะที่คนชั่วช้าแบบตั๋งโต๊ะ ซึ่งไร้สติปัญญาความสามารถ รบทัพจับศึกกี่ครั้งก็ตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้แต่ด้วยแรงหนักของสินบนที่บรรณาการให้แก่สิบขันที จึงกลับได้ดีมีอำนาจวาสนา ได้ครองเมืองซีหลงซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่มีกำลังทหารมากถึงยี่สิบหมื่น

            ส่วนอ้วนเสี้ยวแม้จะเป็นบุตรชายของอัครมหาเสนาบดีเชื้อสายขุนนางที่สืบทอดมาหลายชั่วอายุคนและมียศทางทหารเป็นถึงนายพัน มีตำแหน่งเป็นผู้คุมหน่วยทหารสารวัตรของกองกำลังรักษาพระนคร  แต่ทั้งพ่อลูกก็ยังถูกระบบส่วยสินบนของสิบขันทีรีดไถไม่ไว้หน้า ดังนั้นอ้วนเสี้ยวในด้านหนึ่งแม้จำใจยินยอมอยู่ในระบบส่วยสินบนของขันที แต่ในอีกด้านหนึ่งได้ผูกใจเจ็บแค้นอยากกินเลือดกินเนื้อสิบขันทีมากกว่าใคร

            ด้านสกุลโฮ ที่โฮจิ๋นครองอำนาจทางทหารสูงสุด ในขณะที่โฮฮองเฮาผู้น้องได้เปลี่ยนฐานะพระมเหสีเป็นพระราชนนีหลังเหตุการณ์สวรรคต จึงเป็นสกุลที่มีบทบาทสูงสุดต่ออำนาจรัฐ แต่สกุลนี้มีรากฐานมาจากพ่อค้าเนื้อคุ้นเคยแต่เรื่องค้าขายและกำไร ขาดประสบการณ์เกี่ยวกับอำนาจรัฐทั้งคนในสกุลนี้ ล้วนมีจุดอ่อนทั้งเรื่อง โลภในทรัพย์สิน บ้ายศบ้าอย่างและหูเบา  อันตรายจึงกรายเข้ามาเยือนสกุลโฮใกล้เข้ามาทุกทีคือยิ่งใกล้อำนาจรัฐเท่าใด อันตรายก็ยิ่งใกล้สกุลโฮมากยิ่งขึ้นเท่านั้น

            ฝ่ายสิบขันทีนั้น หลังจากฮองสีขันทีต้องโทษจำคุกฐานรับสินบนเป็นไส้ศึกให้กับโจรโพกผ้าเหลืองแล้ว ข่าวคราวของฮองสีขันทีก็เงียบหายไป ครั้นสิ้นแผ่นดินพระเจ้าเลนเต้แล้ว สิบขันทีก็เป็นดังไม้เลื้อยที่ไม้หลักหักโค่นลงต้องปรับปรุงท่าทีและแสวงหาหลักยึดใหม่ต่อไป ในขณะที่ความขัดแย้งภายในได้เกิดขึ้นตั้งแต่กรณีฮองสีขันทีรับสินบนแล้วแบ่งปันไม่ทั่วถึง ความหวาดระแวงไม่พอใจกันจึงเกิดขึ้นโดยเฉพาะคู่ของเกียน สิดและก๊กเสงนั้นขัดแย้งกันหนักถึงขนาดจ้องล้างผลาญกันและกัน

            แต่พวกขันทีนั้นเล่นการเมืองได้เก่ง แม้ว่าจะมีความขัดแย้งภายในประการใด ก็สามารถปกปิดความขัดแย้งนั้นไว้แต่เฉพาะกลุ่มตน ไม่เปิดเผยแพร่งพรายสู่ภายนอก แต่ถ้าหากมีปัญหาขัดแย้งกับต่างกลุ่ม ก็พร้อมที่จะรวมตัวกันตั้งรับหรือโจมตีฝ่ายอื่นจนย่อยยับไป ต่างกับนักการเมืองบางพรรค ไม่พอใจกันเพียงเรื่องเล็กน้อยก็ป่าวร้องออกเป็นความขัดแย้งใหญ่สู่ภายนอก
             เหล่านี้คือสภาพการณ์ที่เกิดขึ้นและดำรงอยู่ ณ ยามสิ้นแผ่นดินของเลนเต้ สภาพการณ์เช่นนี้แหละได้กลายเป็นพลังวัตต์ขับเคลื่อนให้สถานการณ์หลังการสวรรคตของพระเจ้าเลนเต้ดำเนินไป.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร