ตอนที่ 119. ปรากฏการณ์กับธาตุแท้
โจโฉสั่งประหารตังสินและเพื่อนขุนนางที่ร่วมคิดก่อการตามพระบรมราชโองการเลือด แล้วประหารพระสนมเอกตังกุยหุยรวมเป็นผู้คนเกือบแปดร้อยคน เสร็จสิ้นแล้วแทนที่จะทบทวนถึงความผิดพลาดในการกระทำของตนอันเป็นเหตุให้เกิดความยุ่งยากทางการเมืองขึ้นภายในราชสำนัก กลับดึงดันดื้อรั้นประดุจวัวชน ถลำลึกลงไปในความผิดพลาดต่อไปอีก
โจโฉได้เรียกบรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองมาประชุมปรึกษาว่าบัดนี้เสี้ยนหนามภายในราชสำนักได้กำจัดเสร็จสิ้นไปโดยรากฐานแล้ว คนที่ร่วมคิดก่อการกับ ตังสินยังเหลืออีกสองคนคือเล่าปี่และม้าเท้ง แต่สองคนนี้ไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง ดังนั้นจึงปรึกษาว่าทำอย่างไรจึงจะกำจัดเล่าปี่และม้าเท้งเสียได้
เทียหยกที่ปรึกษาได้เสนอว่าม้าเท้งเจ้าเมืองเสเหลียงนั้นมีกองทัพม้าที่เข้มแข็งและอยู่ระยะทางไกลจากเมืองหลวง หากยกกองทัพไปปราบม้าเท้งทหารจะได้ความยากลำบาก และอาจมีเมืองอื่นยกเข้ามายึดเอาเมืองฮูโต๋ ท่านก็จะได้ความขัดสน ดังนั้นจึงควรใช้วิธีการทางการทูตหลอกให้ม้าเท้งเข้ามาในเมืองหลวงแล้วจับฆ่าเสียคงจะทำการสำเร็จได้โดยง่าย
เทียหยกได้เสนอต่อไปว่าส่วนเล่าปี่นั้นไปตั้งหลักอยู่ที่เมืองชีจิ๋ว หากเราจะยกไปตีเล่าปี่ก็จะเกิดความยุ่งยากขึ้นเนื่องจากกองทัพของเมืองหลวงขณะนี้ยังคงตั้งยันอยู่กับกองทัพของอ้วนเสี้ยว ณ ตำบลกัวต่อ สถานการณ์ ณ บัดนี้มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าอ้วนเสี้ยวกับเล่าปี่จะเป็นพันธมิตรกัน เพราะมีผลประโยชน์ทางการเมืองร่วมกัน ดังนั้นหากท่านยกไปตีเล่าปี่เห็นทีอ้วนเสี้ยวจะยกเข้ามาตีเมืองหลวง ดังนั้นจึงควรกำจัดม้าเท้งเป็นลำดับแรก ส่วนเล่าปี่และอ้วนเสี้ยวไว้เป็นลำดับหลัง
โจโฉไม่เห็นด้วยกับความคิดของเทียหยก โดยท้วงว่า “เล่าปี่นั้นเป็นคนมีสติปัญญา ถ้าละไว้ช้าก็จะมีกำลังมากขึ้น อุปมาเหมือนลูกนกอันขนปีกยังไม่ขึ้นพร้อม แม้เราจะนิ่งไว้ให้อยู่ในรังฉะนี้ ถ้าขนขึ้นพร้อมแล้วก็จะบินไปทางไกลได้ ซึ่งจะจับตัวนั้นเห็นจะได้ความขัดสน อ้วนเสี้ยวนั้นมีทหารมากก็จริงแต่สติปัญญาน้อย ถึงจะคิดประการใดเราก็ไม่กลัว”
ตามความคิดอ่านของโจโฉนั้น ไม่ได้เกรงกำลังผู้คนว่ามากหรือน้อย แต่เกรงผู้มีสติปัญญามากกว่า เป็นหลักคิดตามภาษิตจีนบทหนึ่งที่ว่า
“ความสำคัญของแม่น้ำไม่ได้อยู่ที่ความลึก หากอยู่ที่ว่ามีมังกรสิงสถิตหรือไม่ ถ้ามีมังกรสิงสถิตผู้คนก็ยำเกรง
ความสำคัญของภูเขาไม่ได้อยู่ที่ความสูง หากอยู่ที่ว่ามีเทพสิงสถิตหรือไม่ หากมีเทพสิงสถิตผู้คนก็นับถือ
ความสำคัญของบ้านไม่ได้อยู่ที่ความใหญ่โตอัครฐาน หากอยู่ที่ว่ามีปราชญ์สิงสถิตอยู่หรือไม่ หากมีปราชญ์สิงสถิต แม้ฮ่องเต้ผ่านมาก็ทรงแวะ”
ด้วยเหตุนี้โจโฉจึงยึดกุมเอาความสำคัญของธาตุแท้ของเล่าปี่ที่ถึงแม้ปัจจุบันจะยังคงมีกำลังเล็กอยู่แต่มีอนาคตที่จะเติบใหญ่เข้มแข็งว่าเป็นอันตรายมากที่สุด จำเป็นต้องปราบปรามเสียก่อน แทนที่จะถือเอาปรากฏการณ์ที่กองทัพอ้วนเสี้ยวซึ่งเป็นกองทัพขนาดใหญ่ว่าเป็นอันตรายที่สุด
ดังนั้นโจโฉจึงมีความคิดที่จะกำจัดเล่าปี่ก่อน ส่วนอ้วนเสี้ยวและม้าเท้งไว้เป็นเรื่องที่คิดอ่านในภายหลังได้ แต่ในขณะที่โจโฉยังไม่ทันตกลงใจนั้น กุยแกซึ่งเป็นที่ปรึกษาประเภทสายเสมอก็เดินเข้ามาในที่ประชุม โจโฉเห็นกุยแกเข้ามาก็ดีใจ จึงว่าท่านมาก็ดีแล้ว เรามีปัญหาที่จะปรึกษาท่าน
แล้วโจโฉจึงเล่าความคิดให้กุยแกฟังว่า “เราจะยกกองทัพไปรบเล่าปี่ ณ เมืองชีจิ๋วฝ่ายทิศตะวันออก แต่คิดเกรงอยู่ข้างฝ่ายทิศเหนือ เกลือกอ้วนเสี้ยวรู้จะยกกองทัพมาตีเมืองฮูโต๋”
แม้ว่าจะเป็นคำปรึกษาแต่คนที่เป็นผู้นำแบบโจโฉนั้นก็ยังกล้าออกความคิดตัดสินใจ ไม่เหมือนกับนายกรัฐมนตรีขี้เท่อบางคนที่ไม่รู้จักความคิด ไม่รู้จักตัดสินใจแม้แต่เรื่องเดียว เอาแต่เล่นลิ้นโวหารเป็นศรีธนญชัยไปวันหนึ่ง ๆ ข้อปรึกษาของกุยแกนี้แท้จริงโจโฉได้ตัดสินใจที่จะยกกองทัพไปปราบเล่าปี่ก่อนแล้ว แต่ยังมีความกริ่งเกรงอยู่ว่าอ้วนเสี้ยวจะฉวยโอกาสยกกองทัพมายึดเมืองหลวง
กุยแกฟังข้อปรึกษาแล้วจึงว่า “อันความคิดอ้วนเสี้ยวนั้นถ้าจะทำการสิ่งใดก็รวดเร็ว จะใช้ผู้ใดอ้วนเสี้ยวมักคิดสงสัยไม่วางใจ ประการหนึ่งทหารทั้งปวงก็แก่งแย่งกัน ถึงจะยกมาตีเมืองฮูโต๋ก็เห็นจะไม่สมความคิด อันเล่าปี่นั้นก็เพิ่งได้กลับไปอยู่เมืองชีจิ๋ว แล้วทหารของเราก็ติดไปด้วย ซึ่งจะคิดการศึกไปนั้นเห็นทหารทั้งปวงยังไม่พร้อมเป็นใจเดียวกัน ครั้นจะนิ่งไว้ทหารก็จะเป็นใจประนอมกันเข้า ขอเร่งยกกองทัพไปตีเมืองชีจิ๋วเสียก่อน”
กุยแกเห็นด้วยกับความคิดของโจโฉที่จะต้องกำจัดเล่าปี่เสียก่อน แต่ข้อที่กริ่งว่าอ้วนเสี้ยวจะฉวยโอกาสมายึดเมืองหลวงนั้น กุยแกมองว่าเหตุปัจจัยภายในของกองทัพอ้วนเสี้ยวจะทำให้อ้วนเสี้ยวไม่อาจยกกองทัพมายึดเมืองหลวงได้ หรือแม้หากจะยกกองทัพมาก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรกริ่งเกรงใจแต่ประการใด
โจโฉได้ฟังความเห็นของกุยแกแล้วตบมือหัวเราะชอบใจ แล้วว่าเราคิดเช่นนี้อยู่ก่อนแล้ว จึงลองถามความเห็นท่านดูก็ปรากฏผลว่าความคิดของท่านต้องด้วยความคิดของเรา ว่าแล้วโจโฉจึงประกาศให้เตรียมกองทัพเพื่อยกไปปราบเล่าปี่
ถ้าจะสังเกตอัธยาศัยของโจโฉแล้วก็จะเห็นชัดว่าเป็นคนชอบโอ่มากกว่าชอบรั้น ทั้ง ๆ ที่ขอคำปรึกษาจากที่ปรึกษาแต่พอสิ่งไหนต้องด้วยความคิดตัว หรือเห็นว่าเป็นประโยชน์ก็จะพูดว่าได้คิดเช่นนั้นอยู่ก่อนแล้วเสมอไป ส่วนข้อที่ว่าชอบรั้นนั้นแม้มีอยู่ประจำอัธยาศัยของโจโฉ แต่หากได้ฟังคำทักท้วงที่มีเหตุมีผล โจโฉก็จะเปลี่ยนความคิด ดังนั้นหากจะว่าโจโฉเหมือนวัวชน ความจริงก็ไม่ค่อยถนัดเท่าใดนัก เพราะถ้าจะว่านักการเมืองคนใดเป็นพวกหัวรั้นแบบวัวชน ทอดตาดูทั่วทั้งเรื่องของสามก๊กแล้วยังไม่เห็นผู้ใดที่จะเทียบเปรียบได้กับนักการเมืองไทยบางคน
ทางด้านเมืองชีจิ๋ว เล่าปี่ได้คาดหมายเหตุการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้วว่าโจโฉจะต้องยกกองทัพมาตีเมืองชีจิ๋ว จะช้าหรือเร็วเท่านั้น ดังนั้นจึงวางหน่วยลาดตระเวนคอยติดตามสถานการณ์อย่างเข้มงวดกวดขัน เหตุนี้พอกองทัพของโจโฉเคลื่อนออกจากเมืองหลวง หน่วยลาดตระเวนของเล่าปี่ก็ได้ข่าวศึก จึงนำความไปรายงานให้ซุนเขียนทราบ
ซุนเขียนทราบความแล้วรีบมีใบบอกแจ้งข่าวศึกแก่กวนอู ณ เมืองแห้ฝือ ส่วนตัวซุนเขียนรีบไปเมืองเสียวพ่ายรายงานการศึกให้เล่าปี่ทราบ
เล่าปี่ทราบความแล้วจึงแต่งหนังสือให้ซุนเขียนถือไปหาอ้วนเสี้ยว ณ เมืองกิจิ๋ว ขอให้อ้วนเสี้ยวยกกองทัพมาช่วย ซุนเขียนรับหนังสือแล้วรีบเดินทางไปเมืองกิจิ๋ว
แต่พออ้วนเสี้ยวทราบความกลับไม่โต้ตอบประการใด แสร้งตีหน้าเศร้าแล้วเฉยอยู่ เตียนห้องที่ปรึกษาจึงถามอ้วนเสี้ยวว่าเหตุใดท่านจึงมีอาการดั่งนี้
อ้วนเสี้ยวตอบว่าบัดนี้เราใกล้จะตายแล้ว เตียนห้องตกใจจึงถามต่อไปว่าท่านมีวิตกด้วยเหตุใด หรือมีเรื่องราวประการใดเกิดขึ้นจึงได้เจรจาความอันเป็นอัปมงคลเช่นนี้
อ้วนเสี้ยวแทนที่จะตอบเกี่ยวกับการศึกด้านโจโฉ หรือการศึกด้านที่เล่าปี่ขอความช่วยเหลือกลับพูดไปเสียอีกทางหนึ่งว่าชีวิตเรานี้จะตายเร็ว ตายช้าก็ไม่อาจรู้ได้ แต่วิตกด้วยบุตรห้าคน บุตรทุกคนยกเว้นคนสุดท้องไร้สติปัญญาความสามารถ เห็นจะรักษาเมืองกิจิ๋วและอำนาจของตระกูล “อ้วน” ไว้ไม่ได้ ส่วนบุตรคนสุดท้องมีสติปัญญาแต่อายุยังน้อย และยังป่วยหนัก เหตุนี้เราจึงเป็นทุกข์ไม่เป็นอันคิดอ่านทำการสิ่งใด
เตียนห้องได้ฟังอ้วนเสี้ยวกล่าวความมีลักษณะประหลาดจึงว่า ความที่ท่านกล่าวนั้นเป็นเรื่องในภายหน้า ไม่อาจมีผู้ใดล่วงรู้ลิขิตสวรรค์ได้ จึงหาควรที่จะต้องวิตกทุกข์ร้อนในขณะนี้ไม่ บัดนี้โจโฉกำลังยกกองทัพไปตีเมืองชีจิ๋ว เมืองหลวงก็ย่อมมีทหารน้อยลง ทั้งเล่าปี่ก็ได้ขอให้ท่านยกกองทัพไปช่วย ดังนั้นหากท่านช่วยเล่าปี่โดยยกกองทัพไปตีเมืองฮูโต๋ ก็จะสำเร็จประโยชน์ทั้งสองฝ่าย คือช่วยเล่าปี่ได้สำเร็จอย่างหนึ่งและยึดเมืองฮูโต๋ได้สำเร็จประโยชน์แก่ท่านอีกอย่างหนึ่ง
อ้วนเสี้ยวแทนที่จะไตร่ตรองพิจารณาความตามที่เตียนห้องได้เสนอแนะ กลับพร่ำบ่นในเรื่องเดิมว่าที่ท่านกล่าวมาเราก็แจ้งอยู่ แต่ใจเรานั้นยังเป็นห่วงเรื่องบุตร เพราะถ้าบุตรเป็นอันตรายเราก็จะถึงแก่ความตายด้วย นอกจากนี้หากเรายกกองทัพไปในขณะที่ใจเรายังไม่สบายก็คงจะไม่ได้ชัยชนะ ดังนั้นในครั้งนี้เราเห็นจะยกกองทัพไปช่วยเล่าปี่ไม่ได้ ให้ซุนเขียนกลับไปแจ้งให้เล่าปี่ทราบเถิด แต่ถ้าขัดสนประการใดก็ให้มาหาเราที่เมืองกิจิ๋ว จะช่วยเหลือไว้ไม่ให้ขัดสน
เตียนห้องได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงว่าบัดนี้การสงครามได้ทีอยู่แล้ว แต่ท่านกลับไม่คิดช่วงชิงโอกาส มัวห่วงแต่เรื่องลูกเล็กเด็กน้อย ซึ่งเป็นการในอนาคตอันไม่แน่นอน ว่าแล้วเตียนห้องก็กระทืบเท้าจูงมือซุนเขียนเดินออกไป ซุนเขียนมาเจรจาความไม่สมความคิดจึงรีบกลับไปเมืองเสียวพ่ายรายงานให้เล่าปี่ทราบ
เหตุใดอ้วนเสี้ยวจึงไม่คิดยกกองทัพไปช่วยเหลือเล่าปี่ ไม่ว่าจะยกกองทัพไปช่วยเล่าปี่โดยตรง หรือจะยกกองทัพไปยึดเอาเมืองฮูโต๋ ในปัญหานี้สามก๊กฉบับวิจารณ์บางฉบับได้ตั้งความสังเกตว่าอ้วนเสี้ยวยังผูกใจแค้นเล่าปี่ที่เป็นเหตุหนึ่งซึ่งทำให้อ้วนสุดผู้น้องต้องตายอย่างน่าอนาถ บางฉบับก็ว่าเป็นแผนการของอ้วนเสี้ยวที่ต้องการให้โจโฉกับเล่าปี่ล้างผลาญกันให้สิ้นก่อน ตัวเองจะได้เป็นใหญ่ในภายหลังแต่ผู้เดียว แต่เมื่อพิจารณาจากสติปัญญาอัธยาศัยของอ้วนเสี้ยวแล้ว การตั้งความสังเกตเช่นนั้นออกจะเป็นการให้เกียรติอ้วนเสี้ยวมากเกินไป
ความจริงคงเป็นดังเหตุผลที่ออกจากปากของอ้วนเสี้ยวเองนั่นแหละว่าไม่มีความคิดจิตใจที่จะคิดอ่านเรื่องสิ่งใดเพราะมัวกังวลด้วยเรื่องบุตร ที่สี่คนไม่มีสติปัญญา ส่วนอีกคนหนึ่งอายุยังน้อย ความกังวลแบบนี้เป็นความกังวลของคนโง่บัดซบเพราะเป็นเรื่องอนาคตซึ่งไม่แน่นอนอย่างหนึ่ง และถึงแม้จะกังวลประการใดก็แก้ไขสิ่งใดไม่ได้ กลับจะทำให้ประโยชน์ในปัจจุบันเสื่อมสิ้นสูญไปอีกอย่างหนึ่ง
เหตุผลของคนแบบอ้วนเสี้ยวนี้ใช่ว่าจะมีเฉพาะตัวอ้วนเสี้ยวเท่านั้น นักการเมืองในชั้นหลัง ๆ ก็ยังคิดอ่านเหตุผลชนิดนี้ให้ได้เห็นประจักษ์อยู่เป็นเนืองนิจ ให้ดูตัวอย่างการแก้ปัญหาราคาน้ำดื่มที่ว่าแพงกว่าน้ำมันโดยการปล่อยให้น้ำมันขึ้นราคาอย่างไม่หยุดยั้ง จนราคาน้ำมันแพงกว่าน้ำดื่ม แล้วยังหน้าด้านมาพูดว่าบัดนี้ราคาน้ำดื่มถูกกว่าราคาน้ำมันแล้ว หรือว่าในกรณีที่ถูกชาวบ้านถามว่าจะแก้ไขปัญหาน้ำท่วมอย่างไร ก็ตอบไปว่าบัดนี้รัฐบาลได้แก้ไขปัญหาฝนแล้งได้ผลแล้ว เหตุผลแบบนี้น่าจะเป็นเหตุผลที่บัดซบยิ่งกว่าเหตุผลของคนแบบอ้วนเสี้ยว เพราะเหตุผลของอ้วนเสี้ยวนั้นเป็นเรื่องของคนโง่บัดซบ แต่เหตุผลประการหลังนั้นเป็นเหตุผลของคนเจ้าเล่ห์บัดซบ
เล่าปี่ครั้นได้ทราบความจากซุนเขียนแล้วก็ตกใจ จึงปรึกษาด้วยที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองว่าจะวางแผนรับมือกับการศึกอย่างไร
เตียวหุยได้เสนอขึ้นว่า “อันทัพโจโฉยกมาครั้งนี้ถ้าจะละให้ตั้งลงได้ก็จะมีกำลังทำการศึกคิดร้ายแก่เรา บัดนี้กองทัพโจโฉก็ยกมาใกล้เมืองเราแล้ว เวลาค่ำวันนี้ข้าพเจ้าจะอาสาคุมทหารยกออกไปโจมตีกองทัพโจโฉอย่าให้ตั้งมั่นลงได้ เห็นโจโฉจะเสียทีเป็นมั่นคง”
เตียวหุยระยะนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นเตียวหุยคนใหม่เพราะรู้จักใช้สติปัญญาคิดอ่านการศึก เนื่องจากแผนการที่เตียวหุยเสนอขึ้นในครั้งนี้ก็คือแผนการอย่างเดียวกันกับแผนการที่ตันก๋งเคยเสนอให้ลิโป้ยกกองทัพเข้าโจมตีกองทัพของโจโฉที่ช่องแคบภูเขาไทสัน เพื่อตีทัพโจโฉให้แตกเสียก่อนที่จะตั้งมั่น แต่ครั้งนั้นลิโป้ไม่ยอมรับแผนการของตันก๋ง อ้างว่าเป็นการเอาเปรียบกองทัพข้าศึก
แต่สำหรับเล่าปี่ไม่ใช่คนแบบลิโป้ ครั้นได้ยินข้อเสนอของเตียวหุยจึงว่า “น้องเราแต่ก่อนมาเห็นว่าไม่มีความคิด มีแต่ฝีมือรบพุ่งกล้าหาญ เราพึ่งได้เห็นความคิดน้องเราทำกลอุบายจับเล่าต้ายได้ครั้งหนึ่ง มาครั้งนี้จะยกออกโจมตีกองทัพโจโฉมิให้ตั้งมั่นลงได้นั้นต้องใจเรานัก”
ว่าแล้วเล่าปี่จึงสั่งให้จัดกำลังทหารเป็นสองกอง ให้เตียวหุยคุมทหารกองหนึ่งเป็นกองหน้า ยกไปโจมตีกองทัพโจโฉในทันทีที่โจโฉปลงทัพเตรียมตั้งค่าย ส่วนเล่าปี่คุมทหารอีกกองหนึ่งเป็นกองหนุนเตรียมหนุนช่วยเตียวหุย
สั่งการเสร็จเล่าปี่จึงสั่งให้ทหารลาดตระเวนติดตามข่าวคราวการเคลื่อนทัพของโจโฉว่ามาถึงแดนเมืองเสียวพ่ายเตรียมตั้งค่ายเมื่อใดแล้วให้รีบกลับมารายงานให้ทราบ.
โจโฉได้เรียกบรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองมาประชุมปรึกษาว่าบัดนี้เสี้ยนหนามภายในราชสำนักได้กำจัดเสร็จสิ้นไปโดยรากฐานแล้ว คนที่ร่วมคิดก่อการกับ ตังสินยังเหลืออีกสองคนคือเล่าปี่และม้าเท้ง แต่สองคนนี้ไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง ดังนั้นจึงปรึกษาว่าทำอย่างไรจึงจะกำจัดเล่าปี่และม้าเท้งเสียได้
เทียหยกที่ปรึกษาได้เสนอว่าม้าเท้งเจ้าเมืองเสเหลียงนั้นมีกองทัพม้าที่เข้มแข็งและอยู่ระยะทางไกลจากเมืองหลวง หากยกกองทัพไปปราบม้าเท้งทหารจะได้ความยากลำบาก และอาจมีเมืองอื่นยกเข้ามายึดเอาเมืองฮูโต๋ ท่านก็จะได้ความขัดสน ดังนั้นจึงควรใช้วิธีการทางการทูตหลอกให้ม้าเท้งเข้ามาในเมืองหลวงแล้วจับฆ่าเสียคงจะทำการสำเร็จได้โดยง่าย
เทียหยกได้เสนอต่อไปว่าส่วนเล่าปี่นั้นไปตั้งหลักอยู่ที่เมืองชีจิ๋ว หากเราจะยกไปตีเล่าปี่ก็จะเกิดความยุ่งยากขึ้นเนื่องจากกองทัพของเมืองหลวงขณะนี้ยังคงตั้งยันอยู่กับกองทัพของอ้วนเสี้ยว ณ ตำบลกัวต่อ สถานการณ์ ณ บัดนี้มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าอ้วนเสี้ยวกับเล่าปี่จะเป็นพันธมิตรกัน เพราะมีผลประโยชน์ทางการเมืองร่วมกัน ดังนั้นหากท่านยกไปตีเล่าปี่เห็นทีอ้วนเสี้ยวจะยกเข้ามาตีเมืองหลวง ดังนั้นจึงควรกำจัดม้าเท้งเป็นลำดับแรก ส่วนเล่าปี่และอ้วนเสี้ยวไว้เป็นลำดับหลัง
โจโฉไม่เห็นด้วยกับความคิดของเทียหยก โดยท้วงว่า “เล่าปี่นั้นเป็นคนมีสติปัญญา ถ้าละไว้ช้าก็จะมีกำลังมากขึ้น อุปมาเหมือนลูกนกอันขนปีกยังไม่ขึ้นพร้อม แม้เราจะนิ่งไว้ให้อยู่ในรังฉะนี้ ถ้าขนขึ้นพร้อมแล้วก็จะบินไปทางไกลได้ ซึ่งจะจับตัวนั้นเห็นจะได้ความขัดสน อ้วนเสี้ยวนั้นมีทหารมากก็จริงแต่สติปัญญาน้อย ถึงจะคิดประการใดเราก็ไม่กลัว”
ตามความคิดอ่านของโจโฉนั้น ไม่ได้เกรงกำลังผู้คนว่ามากหรือน้อย แต่เกรงผู้มีสติปัญญามากกว่า เป็นหลักคิดตามภาษิตจีนบทหนึ่งที่ว่า
“ความสำคัญของแม่น้ำไม่ได้อยู่ที่ความลึก หากอยู่ที่ว่ามีมังกรสิงสถิตหรือไม่ ถ้ามีมังกรสิงสถิตผู้คนก็ยำเกรง
ความสำคัญของภูเขาไม่ได้อยู่ที่ความสูง หากอยู่ที่ว่ามีเทพสิงสถิตหรือไม่ หากมีเทพสิงสถิตผู้คนก็นับถือ
ความสำคัญของบ้านไม่ได้อยู่ที่ความใหญ่โตอัครฐาน หากอยู่ที่ว่ามีปราชญ์สิงสถิตอยู่หรือไม่ หากมีปราชญ์สิงสถิต แม้ฮ่องเต้ผ่านมาก็ทรงแวะ”
ด้วยเหตุนี้โจโฉจึงยึดกุมเอาความสำคัญของธาตุแท้ของเล่าปี่ที่ถึงแม้ปัจจุบันจะยังคงมีกำลังเล็กอยู่แต่มีอนาคตที่จะเติบใหญ่เข้มแข็งว่าเป็นอันตรายมากที่สุด จำเป็นต้องปราบปรามเสียก่อน แทนที่จะถือเอาปรากฏการณ์ที่กองทัพอ้วนเสี้ยวซึ่งเป็นกองทัพขนาดใหญ่ว่าเป็นอันตรายที่สุด
ดังนั้นโจโฉจึงมีความคิดที่จะกำจัดเล่าปี่ก่อน ส่วนอ้วนเสี้ยวและม้าเท้งไว้เป็นเรื่องที่คิดอ่านในภายหลังได้ แต่ในขณะที่โจโฉยังไม่ทันตกลงใจนั้น กุยแกซึ่งเป็นที่ปรึกษาประเภทสายเสมอก็เดินเข้ามาในที่ประชุม โจโฉเห็นกุยแกเข้ามาก็ดีใจ จึงว่าท่านมาก็ดีแล้ว เรามีปัญหาที่จะปรึกษาท่าน
แล้วโจโฉจึงเล่าความคิดให้กุยแกฟังว่า “เราจะยกกองทัพไปรบเล่าปี่ ณ เมืองชีจิ๋วฝ่ายทิศตะวันออก แต่คิดเกรงอยู่ข้างฝ่ายทิศเหนือ เกลือกอ้วนเสี้ยวรู้จะยกกองทัพมาตีเมืองฮูโต๋”
แม้ว่าจะเป็นคำปรึกษาแต่คนที่เป็นผู้นำแบบโจโฉนั้นก็ยังกล้าออกความคิดตัดสินใจ ไม่เหมือนกับนายกรัฐมนตรีขี้เท่อบางคนที่ไม่รู้จักความคิด ไม่รู้จักตัดสินใจแม้แต่เรื่องเดียว เอาแต่เล่นลิ้นโวหารเป็นศรีธนญชัยไปวันหนึ่ง ๆ ข้อปรึกษาของกุยแกนี้แท้จริงโจโฉได้ตัดสินใจที่จะยกกองทัพไปปราบเล่าปี่ก่อนแล้ว แต่ยังมีความกริ่งเกรงอยู่ว่าอ้วนเสี้ยวจะฉวยโอกาสยกกองทัพมายึดเมืองหลวง
กุยแกฟังข้อปรึกษาแล้วจึงว่า “อันความคิดอ้วนเสี้ยวนั้นถ้าจะทำการสิ่งใดก็รวดเร็ว จะใช้ผู้ใดอ้วนเสี้ยวมักคิดสงสัยไม่วางใจ ประการหนึ่งทหารทั้งปวงก็แก่งแย่งกัน ถึงจะยกมาตีเมืองฮูโต๋ก็เห็นจะไม่สมความคิด อันเล่าปี่นั้นก็เพิ่งได้กลับไปอยู่เมืองชีจิ๋ว แล้วทหารของเราก็ติดไปด้วย ซึ่งจะคิดการศึกไปนั้นเห็นทหารทั้งปวงยังไม่พร้อมเป็นใจเดียวกัน ครั้นจะนิ่งไว้ทหารก็จะเป็นใจประนอมกันเข้า ขอเร่งยกกองทัพไปตีเมืองชีจิ๋วเสียก่อน”
กุยแกเห็นด้วยกับความคิดของโจโฉที่จะต้องกำจัดเล่าปี่เสียก่อน แต่ข้อที่กริ่งว่าอ้วนเสี้ยวจะฉวยโอกาสมายึดเมืองหลวงนั้น กุยแกมองว่าเหตุปัจจัยภายในของกองทัพอ้วนเสี้ยวจะทำให้อ้วนเสี้ยวไม่อาจยกกองทัพมายึดเมืองหลวงได้ หรือแม้หากจะยกกองทัพมาก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรกริ่งเกรงใจแต่ประการใด
โจโฉได้ฟังความเห็นของกุยแกแล้วตบมือหัวเราะชอบใจ แล้วว่าเราคิดเช่นนี้อยู่ก่อนแล้ว จึงลองถามความเห็นท่านดูก็ปรากฏผลว่าความคิดของท่านต้องด้วยความคิดของเรา ว่าแล้วโจโฉจึงประกาศให้เตรียมกองทัพเพื่อยกไปปราบเล่าปี่
ถ้าจะสังเกตอัธยาศัยของโจโฉแล้วก็จะเห็นชัดว่าเป็นคนชอบโอ่มากกว่าชอบรั้น ทั้ง ๆ ที่ขอคำปรึกษาจากที่ปรึกษาแต่พอสิ่งไหนต้องด้วยความคิดตัว หรือเห็นว่าเป็นประโยชน์ก็จะพูดว่าได้คิดเช่นนั้นอยู่ก่อนแล้วเสมอไป ส่วนข้อที่ว่าชอบรั้นนั้นแม้มีอยู่ประจำอัธยาศัยของโจโฉ แต่หากได้ฟังคำทักท้วงที่มีเหตุมีผล โจโฉก็จะเปลี่ยนความคิด ดังนั้นหากจะว่าโจโฉเหมือนวัวชน ความจริงก็ไม่ค่อยถนัดเท่าใดนัก เพราะถ้าจะว่านักการเมืองคนใดเป็นพวกหัวรั้นแบบวัวชน ทอดตาดูทั่วทั้งเรื่องของสามก๊กแล้วยังไม่เห็นผู้ใดที่จะเทียบเปรียบได้กับนักการเมืองไทยบางคน
ทางด้านเมืองชีจิ๋ว เล่าปี่ได้คาดหมายเหตุการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้วว่าโจโฉจะต้องยกกองทัพมาตีเมืองชีจิ๋ว จะช้าหรือเร็วเท่านั้น ดังนั้นจึงวางหน่วยลาดตระเวนคอยติดตามสถานการณ์อย่างเข้มงวดกวดขัน เหตุนี้พอกองทัพของโจโฉเคลื่อนออกจากเมืองหลวง หน่วยลาดตระเวนของเล่าปี่ก็ได้ข่าวศึก จึงนำความไปรายงานให้ซุนเขียนทราบ
ซุนเขียนทราบความแล้วรีบมีใบบอกแจ้งข่าวศึกแก่กวนอู ณ เมืองแห้ฝือ ส่วนตัวซุนเขียนรีบไปเมืองเสียวพ่ายรายงานการศึกให้เล่าปี่ทราบ
เล่าปี่ทราบความแล้วจึงแต่งหนังสือให้ซุนเขียนถือไปหาอ้วนเสี้ยว ณ เมืองกิจิ๋ว ขอให้อ้วนเสี้ยวยกกองทัพมาช่วย ซุนเขียนรับหนังสือแล้วรีบเดินทางไปเมืองกิจิ๋ว
แต่พออ้วนเสี้ยวทราบความกลับไม่โต้ตอบประการใด แสร้งตีหน้าเศร้าแล้วเฉยอยู่ เตียนห้องที่ปรึกษาจึงถามอ้วนเสี้ยวว่าเหตุใดท่านจึงมีอาการดั่งนี้
อ้วนเสี้ยวตอบว่าบัดนี้เราใกล้จะตายแล้ว เตียนห้องตกใจจึงถามต่อไปว่าท่านมีวิตกด้วยเหตุใด หรือมีเรื่องราวประการใดเกิดขึ้นจึงได้เจรจาความอันเป็นอัปมงคลเช่นนี้
อ้วนเสี้ยวแทนที่จะตอบเกี่ยวกับการศึกด้านโจโฉ หรือการศึกด้านที่เล่าปี่ขอความช่วยเหลือกลับพูดไปเสียอีกทางหนึ่งว่าชีวิตเรานี้จะตายเร็ว ตายช้าก็ไม่อาจรู้ได้ แต่วิตกด้วยบุตรห้าคน บุตรทุกคนยกเว้นคนสุดท้องไร้สติปัญญาความสามารถ เห็นจะรักษาเมืองกิจิ๋วและอำนาจของตระกูล “อ้วน” ไว้ไม่ได้ ส่วนบุตรคนสุดท้องมีสติปัญญาแต่อายุยังน้อย และยังป่วยหนัก เหตุนี้เราจึงเป็นทุกข์ไม่เป็นอันคิดอ่านทำการสิ่งใด
เตียนห้องได้ฟังอ้วนเสี้ยวกล่าวความมีลักษณะประหลาดจึงว่า ความที่ท่านกล่าวนั้นเป็นเรื่องในภายหน้า ไม่อาจมีผู้ใดล่วงรู้ลิขิตสวรรค์ได้ จึงหาควรที่จะต้องวิตกทุกข์ร้อนในขณะนี้ไม่ บัดนี้โจโฉกำลังยกกองทัพไปตีเมืองชีจิ๋ว เมืองหลวงก็ย่อมมีทหารน้อยลง ทั้งเล่าปี่ก็ได้ขอให้ท่านยกกองทัพไปช่วย ดังนั้นหากท่านช่วยเล่าปี่โดยยกกองทัพไปตีเมืองฮูโต๋ ก็จะสำเร็จประโยชน์ทั้งสองฝ่าย คือช่วยเล่าปี่ได้สำเร็จอย่างหนึ่งและยึดเมืองฮูโต๋ได้สำเร็จประโยชน์แก่ท่านอีกอย่างหนึ่ง
อ้วนเสี้ยวแทนที่จะไตร่ตรองพิจารณาความตามที่เตียนห้องได้เสนอแนะ กลับพร่ำบ่นในเรื่องเดิมว่าที่ท่านกล่าวมาเราก็แจ้งอยู่ แต่ใจเรานั้นยังเป็นห่วงเรื่องบุตร เพราะถ้าบุตรเป็นอันตรายเราก็จะถึงแก่ความตายด้วย นอกจากนี้หากเรายกกองทัพไปในขณะที่ใจเรายังไม่สบายก็คงจะไม่ได้ชัยชนะ ดังนั้นในครั้งนี้เราเห็นจะยกกองทัพไปช่วยเล่าปี่ไม่ได้ ให้ซุนเขียนกลับไปแจ้งให้เล่าปี่ทราบเถิด แต่ถ้าขัดสนประการใดก็ให้มาหาเราที่เมืองกิจิ๋ว จะช่วยเหลือไว้ไม่ให้ขัดสน
เตียนห้องได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงว่าบัดนี้การสงครามได้ทีอยู่แล้ว แต่ท่านกลับไม่คิดช่วงชิงโอกาส มัวห่วงแต่เรื่องลูกเล็กเด็กน้อย ซึ่งเป็นการในอนาคตอันไม่แน่นอน ว่าแล้วเตียนห้องก็กระทืบเท้าจูงมือซุนเขียนเดินออกไป ซุนเขียนมาเจรจาความไม่สมความคิดจึงรีบกลับไปเมืองเสียวพ่ายรายงานให้เล่าปี่ทราบ
เหตุใดอ้วนเสี้ยวจึงไม่คิดยกกองทัพไปช่วยเหลือเล่าปี่ ไม่ว่าจะยกกองทัพไปช่วยเล่าปี่โดยตรง หรือจะยกกองทัพไปยึดเอาเมืองฮูโต๋ ในปัญหานี้สามก๊กฉบับวิจารณ์บางฉบับได้ตั้งความสังเกตว่าอ้วนเสี้ยวยังผูกใจแค้นเล่าปี่ที่เป็นเหตุหนึ่งซึ่งทำให้อ้วนสุดผู้น้องต้องตายอย่างน่าอนาถ บางฉบับก็ว่าเป็นแผนการของอ้วนเสี้ยวที่ต้องการให้โจโฉกับเล่าปี่ล้างผลาญกันให้สิ้นก่อน ตัวเองจะได้เป็นใหญ่ในภายหลังแต่ผู้เดียว แต่เมื่อพิจารณาจากสติปัญญาอัธยาศัยของอ้วนเสี้ยวแล้ว การตั้งความสังเกตเช่นนั้นออกจะเป็นการให้เกียรติอ้วนเสี้ยวมากเกินไป
ความจริงคงเป็นดังเหตุผลที่ออกจากปากของอ้วนเสี้ยวเองนั่นแหละว่าไม่มีความคิดจิตใจที่จะคิดอ่านเรื่องสิ่งใดเพราะมัวกังวลด้วยเรื่องบุตร ที่สี่คนไม่มีสติปัญญา ส่วนอีกคนหนึ่งอายุยังน้อย ความกังวลแบบนี้เป็นความกังวลของคนโง่บัดซบเพราะเป็นเรื่องอนาคตซึ่งไม่แน่นอนอย่างหนึ่ง และถึงแม้จะกังวลประการใดก็แก้ไขสิ่งใดไม่ได้ กลับจะทำให้ประโยชน์ในปัจจุบันเสื่อมสิ้นสูญไปอีกอย่างหนึ่ง
เหตุผลของคนแบบอ้วนเสี้ยวนี้ใช่ว่าจะมีเฉพาะตัวอ้วนเสี้ยวเท่านั้น นักการเมืองในชั้นหลัง ๆ ก็ยังคิดอ่านเหตุผลชนิดนี้ให้ได้เห็นประจักษ์อยู่เป็นเนืองนิจ ให้ดูตัวอย่างการแก้ปัญหาราคาน้ำดื่มที่ว่าแพงกว่าน้ำมันโดยการปล่อยให้น้ำมันขึ้นราคาอย่างไม่หยุดยั้ง จนราคาน้ำมันแพงกว่าน้ำดื่ม แล้วยังหน้าด้านมาพูดว่าบัดนี้ราคาน้ำดื่มถูกกว่าราคาน้ำมันแล้ว หรือว่าในกรณีที่ถูกชาวบ้านถามว่าจะแก้ไขปัญหาน้ำท่วมอย่างไร ก็ตอบไปว่าบัดนี้รัฐบาลได้แก้ไขปัญหาฝนแล้งได้ผลแล้ว เหตุผลแบบนี้น่าจะเป็นเหตุผลที่บัดซบยิ่งกว่าเหตุผลของคนแบบอ้วนเสี้ยว เพราะเหตุผลของอ้วนเสี้ยวนั้นเป็นเรื่องของคนโง่บัดซบ แต่เหตุผลประการหลังนั้นเป็นเหตุผลของคนเจ้าเล่ห์บัดซบ
เล่าปี่ครั้นได้ทราบความจากซุนเขียนแล้วก็ตกใจ จึงปรึกษาด้วยที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองว่าจะวางแผนรับมือกับการศึกอย่างไร
เตียวหุยได้เสนอขึ้นว่า “อันทัพโจโฉยกมาครั้งนี้ถ้าจะละให้ตั้งลงได้ก็จะมีกำลังทำการศึกคิดร้ายแก่เรา บัดนี้กองทัพโจโฉก็ยกมาใกล้เมืองเราแล้ว เวลาค่ำวันนี้ข้าพเจ้าจะอาสาคุมทหารยกออกไปโจมตีกองทัพโจโฉอย่าให้ตั้งมั่นลงได้ เห็นโจโฉจะเสียทีเป็นมั่นคง”
เตียวหุยระยะนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นเตียวหุยคนใหม่เพราะรู้จักใช้สติปัญญาคิดอ่านการศึก เนื่องจากแผนการที่เตียวหุยเสนอขึ้นในครั้งนี้ก็คือแผนการอย่างเดียวกันกับแผนการที่ตันก๋งเคยเสนอให้ลิโป้ยกกองทัพเข้าโจมตีกองทัพของโจโฉที่ช่องแคบภูเขาไทสัน เพื่อตีทัพโจโฉให้แตกเสียก่อนที่จะตั้งมั่น แต่ครั้งนั้นลิโป้ไม่ยอมรับแผนการของตันก๋ง อ้างว่าเป็นการเอาเปรียบกองทัพข้าศึก
แต่สำหรับเล่าปี่ไม่ใช่คนแบบลิโป้ ครั้นได้ยินข้อเสนอของเตียวหุยจึงว่า “น้องเราแต่ก่อนมาเห็นว่าไม่มีความคิด มีแต่ฝีมือรบพุ่งกล้าหาญ เราพึ่งได้เห็นความคิดน้องเราทำกลอุบายจับเล่าต้ายได้ครั้งหนึ่ง มาครั้งนี้จะยกออกโจมตีกองทัพโจโฉมิให้ตั้งมั่นลงได้นั้นต้องใจเรานัก”
ว่าแล้วเล่าปี่จึงสั่งให้จัดกำลังทหารเป็นสองกอง ให้เตียวหุยคุมทหารกองหนึ่งเป็นกองหน้า ยกไปโจมตีกองทัพโจโฉในทันทีที่โจโฉปลงทัพเตรียมตั้งค่าย ส่วนเล่าปี่คุมทหารอีกกองหนึ่งเป็นกองหนุนเตรียมหนุนช่วยเตียวหุย
สั่งการเสร็จเล่าปี่จึงสั่งให้ทหารลาดตระเวนติดตามข่าวคราวการเคลื่อนทัพของโจโฉว่ามาถึงแดนเมืองเสียวพ่ายเตรียมตั้งค่ายเมื่อใดแล้วให้รีบกลับมารายงานให้ทราบ.