ตอนที่ 118. ไฟสุมใต้บัลลังก์จักรพรรดิ
โจโฉให้ทหารเร่งโบยเกียดเป๋งให้หนักมือขึ้น เกียดเป๋งต้องโบยเป็นที่ทรมานนักก็เปิดปากด่าโจโฉว่า “ตัวมึงทำการหยาบช้าเป็นศัตรูราชสมบัติ ซึ่งกูคิดทำการทั้งนี้ใช่จะมีผู้ใดสั่งสอนกูหาไม่ ด้วยเหตุว่าแผ่นดินร้อนทุกเส้นหญ้า กูจึงคิดจะฆ่ามึงเสีย ถึงคนทั้งปวงก็หมายใจจะล้างชีวิตมึงเสียให้ได้ แต่หากว่าเกรงอยู่ด้วยจะทำการไม่ตลอด ชีวิตกูจะตาย มึงจะมาถามเซ้าซี้ไปไย”
โจโฉลงทัณฑ์ทรมานสักเท่าใด เกียดเป๋งก็ยังคงรักษาคำสัตย์ที่ได้กระทำไว้กับพรรคพวก ไม่ยอมซัดทอด โจโฉอับจนปัญญาจึงให้เอาเกียดเป๋งไปขังไว้
หลังจากขังเกียดเป๋งแล้ว โจโฉจึงให้ทหารจับตัวจูฮก จูลัน ตันอิบ โงห้วน อีกสี่คนมาไต่สวนในข้อหาร่วมสมคบกับพวกจะก่อการกบฏ และให้เอาเคงต๋องมายัน แต่ขุนนางผู้ภักดีต่อแผ่นดินทั้งสี่คนต่างปฏิเสธตลอดข้อหา และไม่ยอมซัดทอดผู้ใด โดยแก้ตัวว่าเกิดเหตุทั้งนี้เนื่องจากเคงต๋องลอบเป็นชู้ด้วยภรรยาน้อยของตังสิน ถูกตังสินจับได้แล้วลงโทษ ครั้นหลบหนีมาได้จึงเอาความมาใส่ร้าย
โจโฉคาดคั้นขุนนางทั้งสี่ไม่ได้ความจึงสั่งให้จับไปขังไว้ในคุกหลวง ครั้นรุ่งเช้า โจโฉจึงนำทหารแสร้งไปเยี่ยมตังสินซึ่งอ้างว่าป่วย แล้วสอบถามตังสินถึงเรื่องเกียดเป๋งมุ่งร้ายต่อตัวเอง ตังสินอ้างว่าไม่ทราบเรื่อง
โจโฉได้แจ้งให้ตังสินทราบว่าได้จับตัวเพื่อนขุนนางทั้งสิ้นไว้แล้ว ตังสินทราบความก็ตกใจแต่ยังคงยืนยันปฏิเสธไม่รู้ไม่เห็น โจโฉให้เอาตัวเกียดเป๋งมายันต่อหน้าตังสิน แต่เกียดเป๋งยังคงปฏิเสธ โจโฉจึงสั่งทหารให้โบยเกียดเป๋งต่อหน้าตังสิน
โจโฉแสร้งถามเกียดเป๋งว่าตัวมีนิ้วมือครบทั้งสิบนิ้ว บัดนี้หายไปไหนนิ้วหนึ่ง เกียดเป๋งย้อนกลับโจโฉว่า ได้ตัดนิ้วตัวเองเพื่อสาบานว่าจะต้องล้างโจโฉให้ได้ โจโฉโกรธสั่งทหารให้ตัดนิ้วเกียดเป๋งอีกเก้านิ้วที่เหลือ เกียดเป๋งยังคงร้องด่าโจโฉแล้วว่าแม้ไร้นิ้วมือก็ยังคงมีปากมีลิ้นที่จะด่าโจโฉได้ต่อไป โจโฉจึงสั่งทหารให้ตัดลิ้นเกียดเป๋ง
เกียดเป๋งถูกตัดลิ้นแล้วได้รับความทรมานเป็นอันมาก จึงบอกโจโฉให้แก้มัดแล้วจะบอกความตามจริง ครั้นโจโฉสั่งทหารให้แก้มัด เกียดเป๋งได้คุกเข่าลงหันหน้าไปทางพระราชวัง ก้มลงกราบถวายบังคมว่า “ตัวข้าพเจ้าเป็นข้าราชการในแผ่นดิน บัดนี้มีศัตรูทำจลาจลต่อราชสมบัติ ข้าพเจ้าคิดจะทำนุบำรุงแผ่นดิน บัดนี้ไม่สมความคิด”
สิ้นคำเกียดเป๋งจึงลุกขึ้นวิ่งเอาศีรษะชนเสาศิลาในบ้านของตังสิน ศีรษะแตกถึงแก่ความตาย ณ ที่นั้น โจโฉเห็นเช่นนั้นก็โกรธสั่งให้ทหารแล่เนื้อศพเกียดเป๋งออกเป็นชิ้น ๆ แล้วตัดศีรษะไปเสียบประจานไว้ที่หน้าประตูเมือง
โจโฉสั่งให้นำเคงต๋องมายันความกับตังสิน ครั้นตังสินเห็นหน้าเคงต๋องก็โกรธ ด่าว่าเป็นบ่าวขายนาย แล้วถอดกระบี่จะเข้าฟันเคงต๋อง แต่โจโฉให้ทหารชิงกระบี่จากมือตังสิน หาว่าตังสินจะทำลายพยานหลักฐานและสั่งทหารให้ค้นบ้านตังสิน
ทหารค้นบ้านตังสินจนทั่วพบพระบรมราชโองการลับและหนังสือปฏิญญาซึ่งขุนนางทั้งเจ็ดได้ลงนามร่วมกันไว้ โจโฉทราบความในพระบรมราชโองการลับแล้วก็โกรธเพราะทราบว่าการครั้งนี้เกิดขึ้นเนื่องจากพระเจ้าเหี้ยนเต้มีพระบรมราชโองการให้ขุนนางเหล่านั้นกระทำการ
จึงสั่งให้ทหารริบทรัพย์ของตังสิน และจับเอาตัวตังสินพร้อมกับบุตรภรรยาและผู้คนในบ้านไปขังไว้ในคุกที่จวนของโจโฉ และเรียกบรรดาที่ปรึกษาเข้ามาหารือว่าการครั้งนี้เกิดขึ้นเนื่องจากพระเจ้าเหี้ยนเต้คิดร้ายต่อตัว จำเป็นที่จะต้องถอดพระเจ้าเหี้ยนเต้ออกจากราชสมบัติแล้วเนรเทศไปอยู่เสียที่เมืองอื่น จากนั้นจึงค่อยแต่งตั้งเชื้อพระวงศ์ผู้มีสติปัญญาขึ้นครองราชย์แทน
เทียหยกที่ปรึกษาได้ทักท้วงว่าแผ่นดินบัดนี้ยังไม่สงบราบคาบเพราะมีหัวเมืองเป็นจำนวนมากที่ยังคงจงรักภักดีต่อราชสำนัก และอีกบางส่วนก็ฉวยโอกาสตั้งตัวขึ้นเป็นใหญ่ ดังนั้นหากท่านถอดพระเจ้าเหี้ยนเต้ออกจากราชสมบัติเสียแล้ว หัวเมืองทั้งปวงก็จะถือเป็นเหตุช่วยเหลือฮ่องเต้ยกกองทัพเข้ามาเมืองหลวง การรับมือกับหัวเมืองจำนวนมากจะเป็นการเสี่ยงภัยอย่างยิ่ง ขอท่านจงไตร่ตรองจงดี
โจโฉได้ฟังคำท้วงก็เห็นชอบด้วยเหตุผลจึงว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ก็จำเป็นที่จะต้องกำจัดเสี้ยนหนามภายในเสียให้สิ้นซากจะได้ไม่เป็นกังวลในภายหลัง ปรารภเช่นนั้นแล้วจึงออกคำสั่งให้ทหารไปจับบุตรภรรยาและพรรคพวกของเพื่อนขุนนางของตังสินที่ถูกจับได้รวมเป็นผู้คนทั้งสิ้นกว่าเจ็ดร้อยคน และสั่งให้เอาตัวไปประหารหมู่พร้อมกันที่นอกกำแพงเมือง
บรรดาขุนนางข้าราชการและราษฎรทั้งปวงได้รู้ได้เห็นเหตุการณ์สังหารหมู่นี้แล้ว ต่างมีความสงสารขุนนางผู้ภักดีต่อแผ่นดิน และผู้คนในครอบครัวซึ่งไม่รู้อิโหน่อิเหน่แต่ต้องตกตายตามไปด้วยจึงมีใจเคียดแค้นโจโฉเป็นอันมาก
โจโฉในวันนี้มีความคิดที่จะล้มราชวงศ์ฮั่น ถอดพระเจ้าเหี้ยนเต้ออกจากราชสมบัติ แต่ต้องละความคิดนั้นไว้ชั่วคราวเพราะเหตุเกรงภัยที่หัวเมืองต่าง ๆ จะยกเข้ามาทำร้าย แต่ถึงกระนั้นเส้นสายมือไม้ของราชสำนักก็ถูกบั่นทอนริดรอนลงทุกวัน ในขณะที่เส้นสายมือไม้ของเผด็จการทรราชย์ก็เข้มแข็งเติบใหญ่มากขึ้นทุกวันเช่นเดียวกัน
อำนาจของราชสำนักในบางยุคบางสมัยเข้มแข็งเกรียงไกรเป็นที่ยำเกรงของขุนนางข้าราชการและอาณาประชาราษฎรก็เพราะว่าฮ่องเต้กุมกำลังทหารและแสวงหาคนดีมีฝีมือมารับใช้การแผ่นดิน แต่ประวัติศาสตร์ก็ได้บ่งชี้ว่าอำนาจราชสำนักที่ถูกโค่นล้มไปก็มีจำนวนมาก ส่วนใหญ่การโค่นล้มไม่ได้มาจากฝ่ายประชาชน หากมาจากคนสองจำพวกคือพวกขุนศึกหนึ่ง และพวกขุนนางหนึ่ง
สถาบันพระมหากษัตริย์ที่ถูกโค่นล้มโดยพวกขุนศึกนั้นน้อยว่าที่จะถูกโค่นล้มโดยขุนนาง เพราะวิสัยขุนศึกย่อมมีจิตใจเป็นชายชาติทหาร เมื่อได้สาบานปฏิญาณตนเป็นข้าแผ่นดินรับใช้ฮ่องเต้แล้ว ก็จะรักษาคำสัตย์และตั้งหน้าทำหน้าที่ของตัวอย่างเต็มที่ และหน้าที่ส่วนใหญ่นั้นก็เป็นหน้าที่ในการปกปักษ์รักษาเอกราชอธิปไตยของชาติ จึงยุ่งเกี่ยวข้องแวะด้วยการแผ่นดินน้อย ดังนั้นปัญหาความขัดแย้งระหว่างพระมหากษัตริย์กับขุนศึกจึงมีโอกาสเกิดขึ้นน้อย
ผิดกับพวกขุนนาง คนพวกนี้แม้ไม่ถืออาวุธในมือเองแต่พวกนี้เกี่ยวข้องอยู่ด้วยอำนาจรัฐ มีความกระทบกระทั่งกับอำนาจแห่งราชสำนักอยู่เป็นเนืองนิจ เพราะเหตุที่อยู่ในอำนาจจึงหวงแหนกระหายและติดยึดในอำนาจ พร้อมที่จะทำการทุกอย่างเพื่อรักษาอำนาจ เพื่อขยายอำนาจ และช่วงชิงอำนาจ ดังนั้นพวกขุนนางจึงค่อย ๆ สร้างเส้นสายข่ายใยแห่งอำนาจจนกระทั่งครอบงำราชสำนักอย่างเป็นขั้นตอน เมื่ออำนาจนั้นยิ่งใหญ่เข้มแข็งขึ้นแล้วก็จะย่ำยีพระมหากษัตริย์ และในที่สุดก็จะล้มล้างราชบัลลังก์และแย่งชิงอำนาจไว้เป็นของตน
ประวัติศาสตร์ได้บ่งบอกด้วยว่ากระบวนการแย่งยึดอำนาจของขุนนางนั้นจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป มีลักษณะคล้ายงูเหลือมกินสัตว์ คือค่อย ๆ รัดจนกระดูกและเนื้อแหลกเหลวก่อน เป็นทีแล้วจึงค่อยกลืนกิน เมื่อใดที่รู้ว่าอำนาจยังไม่เติบใหญ่เข้มแข็งก็แสร้งทำเป็นอ่อนน้อมปากหวาน เบื้องบนเพื่อลวงราชสำนัก เบื้องล่างเพื่อลวงอาณาประชาราษฎร แต่ครั้นเป็นทีแล้วก็จะฉกเอาซึ่งราชบัลลังก์และย่ำยีเอากับราษฎรทั้งประเทศ
ประวัติศาสตร์ได้สอนบทเรียนที่คนไม่ค่อยจดไม่ค่อยจำว่าศัตรูราชสมบัติ ศัตรูของบ้านเมืองและประชาชนนั้นแท้จริงก็คือพวกขุนนางที่ชอบตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ มีท่วงทีเจรจาวาทีอ่อนหวาน ซึ่งเป็นกระบวนการ “งูเหลือมกินสัตว์” นั่นเอง
จากความคิดของโจโฉและจากการขยายตัวเติบใหญ่เช่นนี้ ราชบัลลังก์ของพระเจ้าเหี้ยนเต้จึงประดุจดั่งถูกสุมไว้ด้วยกองไฟที่ไม่รู้ว่าจะมอดไหม้เป็นจุณในวันไหน
โจโฉทำลายเส้นสายของราชสำนัก สังหารขุนนางผู้ภักดีต่อแผ่นดินทั้งห้าคนพร้อมทั้งครอบครัวและผู้คนในครอบครัวจนหมดสิ้นแต่ยังไม่สิ้นแค้น รุ่งขึ้นจึงเหน็บกระบี่เข้าไปในพระตำหนักที่ประทับของพระเจ้าเหี้ยนเต้ โดยนำทหารติดตามเข้าไปกว่าสามร้อยคน
พระเจ้าเหี้ยนเต้ขณะนั้นกำลังทรงพระสำราญอยู่กับพระมเหสีฮกเฮา และพระสนมเอกตังกุยหุยซึ่งเป็นน้องสาวของตังสิน ครั้นทอดพระเนตรเห็นโจโฉเหน็บกระบี่และนำทหารรุกเข้ามาถึงที่ประทับก็ตกพระทัย โจโฉเข้าไปถึงหน้าที่ประทับของฮ่องเต้โดยมิได้ถวายบังคม แล้วกราบทูลว่าบัดนี้ตังสินและเพื่อนขุนนางได้คิดทำร้ายข้าพระพุทธเจ้า ความปรากฏแล้วจึงได้สั่งประหารชีวิตเสียทั้งสิ้น
โจโฉได้ทูลถามว่าการที่ตังสินและพวกคิดการร้ายครั้งนี้พระองค์ทรงรู้เห็นด้วยหรือไม่ พระเจ้าเหี้ยนเต้ฟังคำทูลของโจโฉแล้วตกพระทัยเป็นอันมาก แต่แสร้งตรัสว่า “ตั๋งโต๊ะทำการหยาบช้าต่อแผ่นดิน เขาชวนกันฆ่าเสียแล้ว เป็นไฉนมหาอุปราชจึงว่าตั๋งโต๊ะจะทำร้ายอีกเล่า”
โจโฉฟังคำตรัสของพระเจ้าเหี้ยนเต้ที่แสร้งทำเป็นไม่เข้าใจเรื่องและตรัสเบี่ยงเบนไปเป็นเรื่องตั๋งโต๊ะก็โกรธ จึงตวาดใส่พระเจ้าเหี้ยนเต้ว่าตังสินคิดร้ายต่อข้าพระพุทธเจ้า เหตุไฉนพระองค์จึงเอาเรื่องตั๋งโต๊ะซึ่งตายไปนานแล้วมาตรัส
พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงตรัสว่าเราไม่ทราบความเรื่องนี้ โจโฉจึงยันว่าพระองค์ทรงมีพระบรมราชโองการเลือดแล้วพระราชทานแก่ตังสิน ความข้อนี้พระองค์ทรงลืมเสียแล้วหรือ พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ฟังดังนั้นก็มิได้ตรัสตอบประการใด ด้วยจำนนต่อหลักฐานที่โจโฉค้นได้จากบ้านของตังสินนั้น
โจโฉนั้นตัดสินใจในทางการเมืองมาก่อนแล้วว่าจะยังคงให้พระเจ้าเหี้ยนเต้ครองราชย์ต่อไป ดังนั้นแม้จะโกรธแม้จะเกลียดพระเจ้าเหี้ยนเต้สักเท่าใดแต่ก็สู้อดกลั้นไว้เพราะเป้าหมายทางการเมืองที่เกรงหัวเมืองต่าง ๆ จะยกเข้ามาทำร้ายนั่นเอง แต่ถึงกระนั้นก็ต้องการลงโทษพระเจ้าเหี้ยนเต้ ดังนั้นจึงสั่งทหารให้จับพระสนมเอกตังกุยหุยเพื่อเอาไปประหาร
ทั้งสองพระองค์ได้ยินคำสั่งของโจโฉก็ตกพระทัย พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ขอชีวิตพระสนมเอกโดยทรงอ้างว่าขณะนี้กำลังทรงพระครรภ์ถึงห้าเดือนแล้ว แต่โจโฉไม่ยอมอ้างว่าการครั้งนี้หากรู้ตัวไม่ทัน ตัวเองก็ต้องตาย ดังนั้นหากเหลือเชื้อสายของตังสินไว้วันหนึ่งข้างหน้าอันตรายจะมาถึงตัว
พระสนมเอกตังกุยหุยตกใจจนตัวสั่น พอตั้งสติได้ก็ขอร้องโจโฉว่าอย่าใช้วิธีประหารที่รุนแรง ขอความกรุณาให้ใช้ผ้าแพรขาวรัดคอเถิด พระเจ้าเหี้ยนเต้และพระมเหสีฮกเฮาครั้นทรงทราบว่าพระสนมเอกไม่มีทางรอดชีวิตและทอดพระเนตรเห็นกิริยาอาการของพระสนมเอกตังกุยหุย ดังนั้นก็มีน้ำพระทัยสงสารจึงทรงพระกันแสงทั้งสองพระองค์
โจโฉจึงสั่งทหารให้คุมตัวพระสนมเอกตังกุยหุย แล้วพาไปที่ประตูพระราชวังสั่งทหารให้เอาผ้าแพรขาวรัดคอจนสิ้นใจ แล้วโจโฉจึงพาทหารกลับไปที่จวน สั่งให้ตามตัวเจ้ากรมวังเข้ามาพบแล้วมีคำสั่งว่านับแต่บัดนี้เป็นต้นไปห้ามมิให้ผู้ใดเข้าไปในที่ประทับของฮ่องเต้ เว้นแต่จะได้ขออนุญาตและได้รับอนุญาตจากโจโฉเสียก่อน ส่วนพระองค์ของพระเจ้าเหี้ยนเต้และพระมเหสีนั้นก็ห้ามออกจากพระตำหนัก เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากโจโฉก่อน ผู้ใดฝ่าฝืนจะลงโทษประหารชีวิต
เจ้ากรมวังรับคำโจโฉแล้วลากลับไป โจโฉจึงสั่งการให้โจหองคุมทหารสามพันไปทำการอารักขาพระตำหนักที่ประทับไว้ ห้ามผู้ใดเข้าออกเว้นแต่จะได้รับคำสั่งอนุญาตจากโจโฉก่อน
สถานการณ์ภายในราชสำนักขณะนี้จึงเท่ากับโจโฉได้กระทำการรัฐประหาร ยึดอำนาจโดยเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแล้ว เป็นแต่ให้คงองค์พระมหากษัตริย์ไว้เพื่อลวงหัวเมืองทั้งปวงและราษฎรทั่วแผ่นดินว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ยังคงอยู่ ราชวงศ์ฮั่นยังคงอยู่และพระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ยังคงอยู่ในราชสมบัติ นับเป็นเรื่องน่าอนาถใจดังคำตรัสของพระเจ้าเหี้ยนเต้เองที่ทรงตรัสกับตังสินว่า “บรรพบุรุษทรงเป็นวีรชนที่เข้มแข็งแต่กลับมีลูกหลานที่อ่อนแอช่างน่าสลดใจนัก.”
โจโฉลงทัณฑ์ทรมานสักเท่าใด เกียดเป๋งก็ยังคงรักษาคำสัตย์ที่ได้กระทำไว้กับพรรคพวก ไม่ยอมซัดทอด โจโฉอับจนปัญญาจึงให้เอาเกียดเป๋งไปขังไว้
หลังจากขังเกียดเป๋งแล้ว โจโฉจึงให้ทหารจับตัวจูฮก จูลัน ตันอิบ โงห้วน อีกสี่คนมาไต่สวนในข้อหาร่วมสมคบกับพวกจะก่อการกบฏ และให้เอาเคงต๋องมายัน แต่ขุนนางผู้ภักดีต่อแผ่นดินทั้งสี่คนต่างปฏิเสธตลอดข้อหา และไม่ยอมซัดทอดผู้ใด โดยแก้ตัวว่าเกิดเหตุทั้งนี้เนื่องจากเคงต๋องลอบเป็นชู้ด้วยภรรยาน้อยของตังสิน ถูกตังสินจับได้แล้วลงโทษ ครั้นหลบหนีมาได้จึงเอาความมาใส่ร้าย
โจโฉคาดคั้นขุนนางทั้งสี่ไม่ได้ความจึงสั่งให้จับไปขังไว้ในคุกหลวง ครั้นรุ่งเช้า โจโฉจึงนำทหารแสร้งไปเยี่ยมตังสินซึ่งอ้างว่าป่วย แล้วสอบถามตังสินถึงเรื่องเกียดเป๋งมุ่งร้ายต่อตัวเอง ตังสินอ้างว่าไม่ทราบเรื่อง
โจโฉได้แจ้งให้ตังสินทราบว่าได้จับตัวเพื่อนขุนนางทั้งสิ้นไว้แล้ว ตังสินทราบความก็ตกใจแต่ยังคงยืนยันปฏิเสธไม่รู้ไม่เห็น โจโฉให้เอาตัวเกียดเป๋งมายันต่อหน้าตังสิน แต่เกียดเป๋งยังคงปฏิเสธ โจโฉจึงสั่งทหารให้โบยเกียดเป๋งต่อหน้าตังสิน
โจโฉแสร้งถามเกียดเป๋งว่าตัวมีนิ้วมือครบทั้งสิบนิ้ว บัดนี้หายไปไหนนิ้วหนึ่ง เกียดเป๋งย้อนกลับโจโฉว่า ได้ตัดนิ้วตัวเองเพื่อสาบานว่าจะต้องล้างโจโฉให้ได้ โจโฉโกรธสั่งทหารให้ตัดนิ้วเกียดเป๋งอีกเก้านิ้วที่เหลือ เกียดเป๋งยังคงร้องด่าโจโฉแล้วว่าแม้ไร้นิ้วมือก็ยังคงมีปากมีลิ้นที่จะด่าโจโฉได้ต่อไป โจโฉจึงสั่งทหารให้ตัดลิ้นเกียดเป๋ง
เกียดเป๋งถูกตัดลิ้นแล้วได้รับความทรมานเป็นอันมาก จึงบอกโจโฉให้แก้มัดแล้วจะบอกความตามจริง ครั้นโจโฉสั่งทหารให้แก้มัด เกียดเป๋งได้คุกเข่าลงหันหน้าไปทางพระราชวัง ก้มลงกราบถวายบังคมว่า “ตัวข้าพเจ้าเป็นข้าราชการในแผ่นดิน บัดนี้มีศัตรูทำจลาจลต่อราชสมบัติ ข้าพเจ้าคิดจะทำนุบำรุงแผ่นดิน บัดนี้ไม่สมความคิด”
สิ้นคำเกียดเป๋งจึงลุกขึ้นวิ่งเอาศีรษะชนเสาศิลาในบ้านของตังสิน ศีรษะแตกถึงแก่ความตาย ณ ที่นั้น โจโฉเห็นเช่นนั้นก็โกรธสั่งให้ทหารแล่เนื้อศพเกียดเป๋งออกเป็นชิ้น ๆ แล้วตัดศีรษะไปเสียบประจานไว้ที่หน้าประตูเมือง
โจโฉสั่งให้นำเคงต๋องมายันความกับตังสิน ครั้นตังสินเห็นหน้าเคงต๋องก็โกรธ ด่าว่าเป็นบ่าวขายนาย แล้วถอดกระบี่จะเข้าฟันเคงต๋อง แต่โจโฉให้ทหารชิงกระบี่จากมือตังสิน หาว่าตังสินจะทำลายพยานหลักฐานและสั่งทหารให้ค้นบ้านตังสิน
ทหารค้นบ้านตังสินจนทั่วพบพระบรมราชโองการลับและหนังสือปฏิญญาซึ่งขุนนางทั้งเจ็ดได้ลงนามร่วมกันไว้ โจโฉทราบความในพระบรมราชโองการลับแล้วก็โกรธเพราะทราบว่าการครั้งนี้เกิดขึ้นเนื่องจากพระเจ้าเหี้ยนเต้มีพระบรมราชโองการให้ขุนนางเหล่านั้นกระทำการ
จึงสั่งให้ทหารริบทรัพย์ของตังสิน และจับเอาตัวตังสินพร้อมกับบุตรภรรยาและผู้คนในบ้านไปขังไว้ในคุกที่จวนของโจโฉ และเรียกบรรดาที่ปรึกษาเข้ามาหารือว่าการครั้งนี้เกิดขึ้นเนื่องจากพระเจ้าเหี้ยนเต้คิดร้ายต่อตัว จำเป็นที่จะต้องถอดพระเจ้าเหี้ยนเต้ออกจากราชสมบัติแล้วเนรเทศไปอยู่เสียที่เมืองอื่น จากนั้นจึงค่อยแต่งตั้งเชื้อพระวงศ์ผู้มีสติปัญญาขึ้นครองราชย์แทน
เทียหยกที่ปรึกษาได้ทักท้วงว่าแผ่นดินบัดนี้ยังไม่สงบราบคาบเพราะมีหัวเมืองเป็นจำนวนมากที่ยังคงจงรักภักดีต่อราชสำนัก และอีกบางส่วนก็ฉวยโอกาสตั้งตัวขึ้นเป็นใหญ่ ดังนั้นหากท่านถอดพระเจ้าเหี้ยนเต้ออกจากราชสมบัติเสียแล้ว หัวเมืองทั้งปวงก็จะถือเป็นเหตุช่วยเหลือฮ่องเต้ยกกองทัพเข้ามาเมืองหลวง การรับมือกับหัวเมืองจำนวนมากจะเป็นการเสี่ยงภัยอย่างยิ่ง ขอท่านจงไตร่ตรองจงดี
โจโฉได้ฟังคำท้วงก็เห็นชอบด้วยเหตุผลจึงว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ก็จำเป็นที่จะต้องกำจัดเสี้ยนหนามภายในเสียให้สิ้นซากจะได้ไม่เป็นกังวลในภายหลัง ปรารภเช่นนั้นแล้วจึงออกคำสั่งให้ทหารไปจับบุตรภรรยาและพรรคพวกของเพื่อนขุนนางของตังสินที่ถูกจับได้รวมเป็นผู้คนทั้งสิ้นกว่าเจ็ดร้อยคน และสั่งให้เอาตัวไปประหารหมู่พร้อมกันที่นอกกำแพงเมือง
บรรดาขุนนางข้าราชการและราษฎรทั้งปวงได้รู้ได้เห็นเหตุการณ์สังหารหมู่นี้แล้ว ต่างมีความสงสารขุนนางผู้ภักดีต่อแผ่นดิน และผู้คนในครอบครัวซึ่งไม่รู้อิโหน่อิเหน่แต่ต้องตกตายตามไปด้วยจึงมีใจเคียดแค้นโจโฉเป็นอันมาก
โจโฉในวันนี้มีความคิดที่จะล้มราชวงศ์ฮั่น ถอดพระเจ้าเหี้ยนเต้ออกจากราชสมบัติ แต่ต้องละความคิดนั้นไว้ชั่วคราวเพราะเหตุเกรงภัยที่หัวเมืองต่าง ๆ จะยกเข้ามาทำร้าย แต่ถึงกระนั้นเส้นสายมือไม้ของราชสำนักก็ถูกบั่นทอนริดรอนลงทุกวัน ในขณะที่เส้นสายมือไม้ของเผด็จการทรราชย์ก็เข้มแข็งเติบใหญ่มากขึ้นทุกวันเช่นเดียวกัน
อำนาจของราชสำนักในบางยุคบางสมัยเข้มแข็งเกรียงไกรเป็นที่ยำเกรงของขุนนางข้าราชการและอาณาประชาราษฎรก็เพราะว่าฮ่องเต้กุมกำลังทหารและแสวงหาคนดีมีฝีมือมารับใช้การแผ่นดิน แต่ประวัติศาสตร์ก็ได้บ่งชี้ว่าอำนาจราชสำนักที่ถูกโค่นล้มไปก็มีจำนวนมาก ส่วนใหญ่การโค่นล้มไม่ได้มาจากฝ่ายประชาชน หากมาจากคนสองจำพวกคือพวกขุนศึกหนึ่ง และพวกขุนนางหนึ่ง
สถาบันพระมหากษัตริย์ที่ถูกโค่นล้มโดยพวกขุนศึกนั้นน้อยว่าที่จะถูกโค่นล้มโดยขุนนาง เพราะวิสัยขุนศึกย่อมมีจิตใจเป็นชายชาติทหาร เมื่อได้สาบานปฏิญาณตนเป็นข้าแผ่นดินรับใช้ฮ่องเต้แล้ว ก็จะรักษาคำสัตย์และตั้งหน้าทำหน้าที่ของตัวอย่างเต็มที่ และหน้าที่ส่วนใหญ่นั้นก็เป็นหน้าที่ในการปกปักษ์รักษาเอกราชอธิปไตยของชาติ จึงยุ่งเกี่ยวข้องแวะด้วยการแผ่นดินน้อย ดังนั้นปัญหาความขัดแย้งระหว่างพระมหากษัตริย์กับขุนศึกจึงมีโอกาสเกิดขึ้นน้อย
ผิดกับพวกขุนนาง คนพวกนี้แม้ไม่ถืออาวุธในมือเองแต่พวกนี้เกี่ยวข้องอยู่ด้วยอำนาจรัฐ มีความกระทบกระทั่งกับอำนาจแห่งราชสำนักอยู่เป็นเนืองนิจ เพราะเหตุที่อยู่ในอำนาจจึงหวงแหนกระหายและติดยึดในอำนาจ พร้อมที่จะทำการทุกอย่างเพื่อรักษาอำนาจ เพื่อขยายอำนาจ และช่วงชิงอำนาจ ดังนั้นพวกขุนนางจึงค่อย ๆ สร้างเส้นสายข่ายใยแห่งอำนาจจนกระทั่งครอบงำราชสำนักอย่างเป็นขั้นตอน เมื่ออำนาจนั้นยิ่งใหญ่เข้มแข็งขึ้นแล้วก็จะย่ำยีพระมหากษัตริย์ และในที่สุดก็จะล้มล้างราชบัลลังก์และแย่งชิงอำนาจไว้เป็นของตน
ประวัติศาสตร์ได้บ่งบอกด้วยว่ากระบวนการแย่งยึดอำนาจของขุนนางนั้นจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป มีลักษณะคล้ายงูเหลือมกินสัตว์ คือค่อย ๆ รัดจนกระดูกและเนื้อแหลกเหลวก่อน เป็นทีแล้วจึงค่อยกลืนกิน เมื่อใดที่รู้ว่าอำนาจยังไม่เติบใหญ่เข้มแข็งก็แสร้งทำเป็นอ่อนน้อมปากหวาน เบื้องบนเพื่อลวงราชสำนัก เบื้องล่างเพื่อลวงอาณาประชาราษฎร แต่ครั้นเป็นทีแล้วก็จะฉกเอาซึ่งราชบัลลังก์และย่ำยีเอากับราษฎรทั้งประเทศ
ประวัติศาสตร์ได้สอนบทเรียนที่คนไม่ค่อยจดไม่ค่อยจำว่าศัตรูราชสมบัติ ศัตรูของบ้านเมืองและประชาชนนั้นแท้จริงก็คือพวกขุนนางที่ชอบตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ มีท่วงทีเจรจาวาทีอ่อนหวาน ซึ่งเป็นกระบวนการ “งูเหลือมกินสัตว์” นั่นเอง
จากความคิดของโจโฉและจากการขยายตัวเติบใหญ่เช่นนี้ ราชบัลลังก์ของพระเจ้าเหี้ยนเต้จึงประดุจดั่งถูกสุมไว้ด้วยกองไฟที่ไม่รู้ว่าจะมอดไหม้เป็นจุณในวันไหน
โจโฉทำลายเส้นสายของราชสำนัก สังหารขุนนางผู้ภักดีต่อแผ่นดินทั้งห้าคนพร้อมทั้งครอบครัวและผู้คนในครอบครัวจนหมดสิ้นแต่ยังไม่สิ้นแค้น รุ่งขึ้นจึงเหน็บกระบี่เข้าไปในพระตำหนักที่ประทับของพระเจ้าเหี้ยนเต้ โดยนำทหารติดตามเข้าไปกว่าสามร้อยคน
พระเจ้าเหี้ยนเต้ขณะนั้นกำลังทรงพระสำราญอยู่กับพระมเหสีฮกเฮา และพระสนมเอกตังกุยหุยซึ่งเป็นน้องสาวของตังสิน ครั้นทอดพระเนตรเห็นโจโฉเหน็บกระบี่และนำทหารรุกเข้ามาถึงที่ประทับก็ตกพระทัย โจโฉเข้าไปถึงหน้าที่ประทับของฮ่องเต้โดยมิได้ถวายบังคม แล้วกราบทูลว่าบัดนี้ตังสินและเพื่อนขุนนางได้คิดทำร้ายข้าพระพุทธเจ้า ความปรากฏแล้วจึงได้สั่งประหารชีวิตเสียทั้งสิ้น
โจโฉได้ทูลถามว่าการที่ตังสินและพวกคิดการร้ายครั้งนี้พระองค์ทรงรู้เห็นด้วยหรือไม่ พระเจ้าเหี้ยนเต้ฟังคำทูลของโจโฉแล้วตกพระทัยเป็นอันมาก แต่แสร้งตรัสว่า “ตั๋งโต๊ะทำการหยาบช้าต่อแผ่นดิน เขาชวนกันฆ่าเสียแล้ว เป็นไฉนมหาอุปราชจึงว่าตั๋งโต๊ะจะทำร้ายอีกเล่า”
โจโฉฟังคำตรัสของพระเจ้าเหี้ยนเต้ที่แสร้งทำเป็นไม่เข้าใจเรื่องและตรัสเบี่ยงเบนไปเป็นเรื่องตั๋งโต๊ะก็โกรธ จึงตวาดใส่พระเจ้าเหี้ยนเต้ว่าตังสินคิดร้ายต่อข้าพระพุทธเจ้า เหตุไฉนพระองค์จึงเอาเรื่องตั๋งโต๊ะซึ่งตายไปนานแล้วมาตรัส
พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงตรัสว่าเราไม่ทราบความเรื่องนี้ โจโฉจึงยันว่าพระองค์ทรงมีพระบรมราชโองการเลือดแล้วพระราชทานแก่ตังสิน ความข้อนี้พระองค์ทรงลืมเสียแล้วหรือ พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ฟังดังนั้นก็มิได้ตรัสตอบประการใด ด้วยจำนนต่อหลักฐานที่โจโฉค้นได้จากบ้านของตังสินนั้น
โจโฉนั้นตัดสินใจในทางการเมืองมาก่อนแล้วว่าจะยังคงให้พระเจ้าเหี้ยนเต้ครองราชย์ต่อไป ดังนั้นแม้จะโกรธแม้จะเกลียดพระเจ้าเหี้ยนเต้สักเท่าใดแต่ก็สู้อดกลั้นไว้เพราะเป้าหมายทางการเมืองที่เกรงหัวเมืองต่าง ๆ จะยกเข้ามาทำร้ายนั่นเอง แต่ถึงกระนั้นก็ต้องการลงโทษพระเจ้าเหี้ยนเต้ ดังนั้นจึงสั่งทหารให้จับพระสนมเอกตังกุยหุยเพื่อเอาไปประหาร
ทั้งสองพระองค์ได้ยินคำสั่งของโจโฉก็ตกพระทัย พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ขอชีวิตพระสนมเอกโดยทรงอ้างว่าขณะนี้กำลังทรงพระครรภ์ถึงห้าเดือนแล้ว แต่โจโฉไม่ยอมอ้างว่าการครั้งนี้หากรู้ตัวไม่ทัน ตัวเองก็ต้องตาย ดังนั้นหากเหลือเชื้อสายของตังสินไว้วันหนึ่งข้างหน้าอันตรายจะมาถึงตัว
พระสนมเอกตังกุยหุยตกใจจนตัวสั่น พอตั้งสติได้ก็ขอร้องโจโฉว่าอย่าใช้วิธีประหารที่รุนแรง ขอความกรุณาให้ใช้ผ้าแพรขาวรัดคอเถิด พระเจ้าเหี้ยนเต้และพระมเหสีฮกเฮาครั้นทรงทราบว่าพระสนมเอกไม่มีทางรอดชีวิตและทอดพระเนตรเห็นกิริยาอาการของพระสนมเอกตังกุยหุย ดังนั้นก็มีน้ำพระทัยสงสารจึงทรงพระกันแสงทั้งสองพระองค์
โจโฉจึงสั่งทหารให้คุมตัวพระสนมเอกตังกุยหุย แล้วพาไปที่ประตูพระราชวังสั่งทหารให้เอาผ้าแพรขาวรัดคอจนสิ้นใจ แล้วโจโฉจึงพาทหารกลับไปที่จวน สั่งให้ตามตัวเจ้ากรมวังเข้ามาพบแล้วมีคำสั่งว่านับแต่บัดนี้เป็นต้นไปห้ามมิให้ผู้ใดเข้าไปในที่ประทับของฮ่องเต้ เว้นแต่จะได้ขออนุญาตและได้รับอนุญาตจากโจโฉเสียก่อน ส่วนพระองค์ของพระเจ้าเหี้ยนเต้และพระมเหสีนั้นก็ห้ามออกจากพระตำหนัก เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากโจโฉก่อน ผู้ใดฝ่าฝืนจะลงโทษประหารชีวิต
เจ้ากรมวังรับคำโจโฉแล้วลากลับไป โจโฉจึงสั่งการให้โจหองคุมทหารสามพันไปทำการอารักขาพระตำหนักที่ประทับไว้ ห้ามผู้ใดเข้าออกเว้นแต่จะได้รับคำสั่งอนุญาตจากโจโฉก่อน
สถานการณ์ภายในราชสำนักขณะนี้จึงเท่ากับโจโฉได้กระทำการรัฐประหาร ยึดอำนาจโดยเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแล้ว เป็นแต่ให้คงองค์พระมหากษัตริย์ไว้เพื่อลวงหัวเมืองทั้งปวงและราษฎรทั่วแผ่นดินว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ยังคงอยู่ ราชวงศ์ฮั่นยังคงอยู่และพระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ยังคงอยู่ในราชสมบัติ นับเป็นเรื่องน่าอนาถใจดังคำตรัสของพระเจ้าเหี้ยนเต้เองที่ทรงตรัสกับตังสินว่า “บรรพบุรุษทรงเป็นวีรชนที่เข้มแข็งแต่กลับมีลูกหลานที่อ่อนแอช่างน่าสลดใจนัก.”