ตอนที่ 116. อุบายสร้าง "สนิมเนื้อในเหล็ก"
ทางด้านเมืองเกงจิ๋วเมื่อยีเอ๋งออกจากเมืองไปแล้ว อ้วนเสี้ยวได้ให้ทหารสื่อสารส่งหนังสือมาเชิญเล่าเปียวเข้าเป็นพันธมิตรเพื่อกำจัดโจโฉซึ่งเป็นศัตรูแผ่นดิน เล่าเปียวได้รับหนังสือของอ้วนเสี้ยวแล้วจึงเรียกประชุมที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองทั้งปวง
เล่าเปียวได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าบัดนี้อ้วนเสี้ยวกับโจโฉกำลังเตรียมทำสงครามต่อกัน ทั้งสองฝ่ายต่างต้องการเกลี้ยกล่อมให้เราเข้าเป็นพวก ท่านทั้งปวงจะมีความเห็นเป็นประการใด
ฮันสงซึ่งเป็นที่ปรึกษาได้เสนอว่าการจะเข้าเป็นพวกฝ่ายใดนั้นควรต้องประมาณการในภายหน้าว่าฝ่ายใดจะเป็นฝ่ายชนะสถานหนึ่ง หรือหน่วงเหนี่ยวไว้ปล่อยให้ทั้งสองฝ่ายล้างผลาญกันเองจนอ่อนกำลังลง แล้วค่อยซ้ำเติมเอาในภายหลังอีกสถานหนึ่ง ดังนั้นในขณะที่การสงครามยังไม่ปรากฏผลแตกหัก ท่านควรจะต้องรั้งรอดูท่วงทีก่อน แต่ข้าพเจ้านี้เห็นว่าโจโฉมีสติปัญญาชำนาญการสงครามยิ่งกว่าอ้วนเสี้ยว รู้จักเลี้ยงคนมีสติปัญญาความสามารถ ทั้งรู้จักใช้คนให้เหมาะแก่ความสามารถ เหตุนี้คนทั้งปวงจึงเข้าด้วยโจโฉไม่ขาดสาย ข้าพเจ้าจึงประมาณสถานการณ์ศึกว่าผลสุดท้ายแห่งสงครามโจโฉจะเป็นฝ่ายชนะอ้วนเสี้ยว และถ้าเมื่อใดที่โจโฉได้รับชัยชนะแล้วคงจะยาตราทัพลงมาตีหัวเมืองทางภาคใต้และภาคตะวันออกจนถึงเมืองกังตั๋ง และเมื่อถึงวันนั้นย่อมยากที่จะตั้งรับโจโฉได้ ดังนั้นหากท่านเห็นชอบด้วยการประมาณการศึกฉะนี้แล้ว ก็ควรที่จะเข้าร่วมกับโจโฉเสียตั้งแต่ตอนนี้ ความชอบก็จะมีอยู่แก่ท่าน
บรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองทั้งปวงต่างเห็นชอบกับข้อเสนอของฮันสง แต่เล่าเปียวนั้นเป็นคนสุขุมลุ่มลึก เห็นว่าสถานการณ์ยังคงอยู่ห่างไกลจึงว่า บัดนี้การสงครามยังไม่เริ่มขึ้น ยังไม่ควรที่จะตัดสินใจไปทางใดทางหนึ่ง ชอบที่จะต้องติดตามสถานการณ์ไปอีกระยะหนึ่ง เพื่อการนี้จึงให้ฮันสงเดินทางไปเมืองหลวงเพื่อสืบทราบข้อมูลข่าวสารเสียชั้นหนึ่งก่อน ผลเป็นประการใดแล้วค่อยปรึกษาหารือต่อภายหลัง
ฮันสงจึงว่าตัวข้าพเจ้ารับราชการอยู่ด้วยท่าน มีความเต็มใจที่จะไปทำการครั้งนี้ แต่เกรงว่าเมื่อไปถึงเมืองหลวงแล้วทางเมืองหลวงอาจแต่งตั้งให้ข้าพเจ้าเป็นขุนนาง และเป็นเหตุให้ข้าพเจ้าไม่สามารถกลับมาทำราชการรับใช้ท่านได้สืบไป และตัวท่านก็อาจมีความระแวงแคลงใจว่าข้าพเจ้าเปลี่ยนแปลงไป
เล่าเปียวจึงว่าความกริ่งใจของท่านทั้งนี้ก็มีเหตุผล แต่ทว่าเราท่านได้อยู่ด้วยกันมาเป็นเวลานานช้า ถึงมาตรแม้นว่าจะอยู่ไกลกันก็ดี ขอเพียงแต่มีน้ำใจรักไว้ให้มั่นคงก็เสมือนหนึ่งอยู่ใกล้ หากตัวท่านไปแล้วไม่อาจกลับมาก็ขอให้แจ้งข้อราชการมาให้เราทราบจะได้คิดอ่านทำการสืบไป
ฮันสงผู้นี้เป็นที่ปรึกษาที่มีความคิดยาวไกล ล่วงรู้อัธยาศัยและความมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวทางการเมืองของโจโฉ ประมาณสถานการณ์ในภายหน้ากระจ่างชัดว่าการเดินทางเข้าเมืองหลวงของตนในครั้งนี้คงไม่อาจรอดพ้นสายตาของโจโฉไปได้ว่าเป็นการเข้าเมืองหลวงเพื่อสืบทราบความศึก ดังนั้นคนแบบโจโฉจึงต้องหาทางวางอุบายไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งที่จะทำให้ตัวเองและเล่าเปียวต้องกินแหนงแคลงใจกัน หรือมิฉะนั้นก็อาจหน่วงเหนี่ยวไว้ในเมืองหลวงด้วยวิธีการอย่างใดอย่างหนึ่ง ฮันสงจึงแจ้งเล่าเปียวเพื่อเป็นทางถอยไว้แก่ตัวในวันหน้า
แต่เล่าเปียวนั้นเป็นคนซื่อตรง วางใจมิตร มั่นใจว่าฮันสงซึ่งรับราชการอยู่ด้วยกันมาเป็นเวลานาน รู้อกรู้ใจกันเป็นอย่างดี ไม่น่าที่จะทรยศหรือผันแปรเป็นอื่นไปได้ จึงวางใจ ทั้ง ๆ ที่เล็งเห็นอยู่เหมือนกันว่าฮันสงอาจไม่ได้กลับคืนมาเมืองเกงจิ๋วอีก แต่ก็เชื่อความผูกพันมั่นคงที่มีมายาวนานว่าฮันสงจะไม่แปรพักตร์แล้วจะส่งข่าวคราวข้อราชการมาให้ทราบ ดังนั้นเล่าเปียวจึงยืนยันความเห็นเดิมให้ฮันสงไปสืบข่าวในเมืองหลวง
ฮันสงจึงลาเล่าเปียวเดินทางเข้าเมืองฮูโต๋ ครั้นถึงเมืองหลวงแล้วได้เข้าไปขอพบโจโฉตามธรรมเนียมราชการ โจโฉเห็นฮันสงมาพบก็มีความยินดี หลังจากโอภาปราศรัยกันตามธรรมเนียมแล้ว โจโฉได้แต่งตั้งให้ฮันสงเป็นขุนนางในพระเจ้าเหี้ยนเต้ และให้เป็นเจ้าเมืองเลงเหลง ซึ่งเป็นหัวเมืองชั้นโทขึ้นกับเมืองเกงจิ๋ว และสั่งการให้ฮันสงรีบกลับไปเมืองเกงจิ๋วแจ้งข้อราชการให้เล่าเปียวทราบ และให้หาทางเกลี้ยกล่อมเล่าเปียวให้ยินยอมขึ้นต่อราชสำนักฮั่น
โจโฉได้แต่งตั้งฮันสงเป็นขุนนางตามที่ฮันสงและเล่าเปียวได้คาดคิดไว้แต่ก่อน แต่ที่เหนือความคาดหมายก็คือแทนที่โจโฉจะหน่วงเหนี่ยวฮันสงไว้รับราชการในเมืองหลวง กลับตั้งให้เป็นเจ้าเมืองเลงเหลงซึ่งขึ้นต่อเมืองเกงจิ๋วอีกตำแหน่งหนึ่ง และมอบหน้าที่ให้เกลี้ยกล่อมเล่าเปียวเพื่อให้ยินยอมขึ้นต่อราชสำนัก โจโฉทำการทั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความคิดอ่านที่เหนือชั้นกว่าความคิดของฮันสงและเล่าเปียว เพราะโจโฉคงจะเห็นว่าหากหน่วงเหนี่ยวฮันสงไว้ในเมืองหลวงก็เพียงแต่ทำให้เล่าเปียวขาดพวกพ้องไปคนหนึ่งเท่านั้น ในขณะที่โจโฉก็ไม่ได้ประโยชน์อันใด แต่การตั้งให้ฮันสงเป็นเจ้าเมืองเลงเหลง โจโฉก็มิได้เสียหายหรือเสียเปรียบแต่ประการใด เพราะเป็นหัวเมืองที่ขึ้นต่อเมืองเกงจิ๋วอยู่แล้ว เท่ากับเป็นการยกสมบัติของเล่าเปียวให้กับฮันสงนั่นเอง
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะเกิดความกินแหนงแคลงใจกันขึ้นระหว่างเล่าเปียวกับฮันสง และเมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนั้น ฮันสงก็ต้องยืนอยู่ข้างโจโฉเพราะได้รับผลประโยชน์ที่ โจโฉหยิบยื่นให้ นี่เป็นประโยชน์สถานแรกที่โจโฉจะได้รับโดยไม่ต้องลงทุนลงแรงแม้แต่น้อย นอกจากนั้นการมอบภาระหน้าที่ให้ฮันสงไปเกลี้ยกล่อมเล่าเปียว หากเกิดผลสำเร็จก็จะเกิดประโยชน์ใหญ่สถานที่สอง ทำให้โจโฉได้รับชัยชนะและมีอำนาจเหนือแดนเกงจิ๋วโดยไม่ต้องรบ หรือแม้นหากฮันสงเกลี้ยกล่อมไม่สำเร็จ ไม่ว่าฮันสงจะถูกเล่าเปียวฆ่าเสียก็ดี หรือไม่ฆ่าแต่ปล่อยไว้ก็ดี พรรคพวกของฮันสงก็จะเอาใจออกหากเล่าเปียว นี่เป็นประโยชน์สถานที่สาม
การแต่งตั้งฮันสงเป็นขุนนางและการมอบหมายภาระหน้าที่ดังกล่าวนี้จึงเป็นอุบายชั้นครูชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “อุบายสร้างสนิมขึ้นในเนื้อในเหล็ก”
โจโฉจำเป็นต้องวางอุบายนี้เพราะเหตุที่ต้องการทำศึกกับอ้วนเสี้ยวให้แตกหักไปเสียด้านหนึ่งก่อน แต่ในระหว่างการศึกที่จะกระทำกับอ้วนเสี้ยวนั้น โจโฉยังคงระวังหลังทางด้านเตียวสิ้วและเล่าเปียว ซึ่งบัดนี้ได้เกลี้ยกล่อมเตียวสิ้วไว้เป็นพวกสำเร็จแล้ว คงเหลือแต่เล่าเปียวซึ่งยังเข้มแข็งบริบูรณ์พร้อมทุกด้าน ดังนั้นวิธีการที่จะหยุดยั้งป้องกันมิให้เล่าเปียวเป็นอันตรายแก่ตัวจึงต้องสร้างสนิมเหล็กไว้ในเนื้อในเหล็กนั้น อย่างน้อยก็จะทำให้เล่าเปียวทำการไม่สะดวก อย่างมากก็อาจอาศัยฮันสงเป็นเครื่องมือเพื่อให้ได้เมืองเกงจิ๋ว นับเป็นอุบายที่ล้ำลึกของโจโฉ
หลังจากฮันสงลาโจโฉกลับออกไปแล้ว ซุนฮกซึ่งเป็นที่ปรึกษาเกิดความสงสัยว่าฮันสงไม่ได้มีความชอบสิ่งหนึ่งสิ่งใดเพียงแค่พบกันครั้งแรก ไฉนโจโฉจึงแต่งตั้งเป็นขุนนางและให้เป็นเจ้าเมือง จึงกระซิบถามโจโฉว่ามีเหตุผลประการใด “ประการหนึ่งยีเอ๋งซึ่งไปเกลี้ยกล่อมเล่าเปียวนั้นก็ยังมิได้เนื้อความประการใด ท่านยังมิได้ไต่ถามฮันสง”
ความตอนนี้แสดงให้เห็นว่าโจโฉมิได้สนใจเรื่องอื่นใดเพียงแค่สนทนากับฮันสงในการพบกันครั้งแรกก็ใช้อุบาย “สร้างสนิมขึ้นในเนื้อในเหล็ก” ในทันที ครั้นซุนฮก กระซิบถามความดังนี้พอโจโฉได้ยินชื่อยีเอ๋งกระทบหูเท่านั้น ความโกรธก็พลุ่งพล่านขึ้นมาในทันที ไม่คิดที่จะตอบข้อที่ซุนฮกถาม แต่กลับตอบเฉพาะเรื่องยีเอ๋งว่า “ยีเอ๋งนั้นหยาบช้าต่อเราเป็นอันมาก เรามีความแค้นมันอยู่ ครั้นจะฆ่ามันเสียคนทั้งปวงก็จะครหานินทาว่ามีวาสนาแล้วข่มเหงผู้น้อย เราจึงให้ไปเกลี่ยกล่อมเล่าเปียว หวังจะยืมมือเล่าเปียวฆ่ายีเอ๋งเสีย ซึ่งจะให้ถามข่าวถึงมันนั้นจะต้องการสิ่งใด”
โจโฉตอบซุนฮกในเรื่องของยีเอ๋งเพียงเรื่องเดียวใบหน้าก็แดงกล่ำ แล้วรีบลุกกลับเข้าไปข้างใน ซุนฮกจึงต้องกลับออกไปโดยปริยาย เนื้อความที่โจโฉตอบซุนฮกครั้งนี้คือเจตนาและใจจริงของโจโฉในการใช้ยีเอ๋งไปเกลี้ยกล่อมเล่าเปียวว่าหาได้ประสงค์ต่อผลสำเร็จแต่ประการใดไม่ เจตนาที่แท้จริงคือการยืมมือเล่าเปียวฆ่ายีเอ๋งเสียเท่านั้น
ฝ่ายฮันสงเมื่อออกจากเมืองหลวงแล้วได้เดินทางกลับเมืองเกงจิ๋ว เล่าความทั้งปวงให้เล่าเปียวฟัง และแจ้งเล่าเปียวว่าได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองเลงเหลง แล้วว่า “โจโฉนั้นมีใจโอบอ้อมอารีกว้างขวาง ควรที่ท่านจะทำราชการด้วย ขอให้ท่านแต่งบุตรขึ้นไปถวายพระเจ้าเหี้ยนเต้จะได้ทำราชการเป็นที่ขุนนาง”
ฮันสงได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วจริง ๆ กลับมาจากเมืองหลวงครั้งนี้อามิสที่โจโฉตั้งให้เป็นเจ้าเมืองเลงเหลงได้ผูกใจฮันสงไว้แน่น จึงกล้ากล่าวถึงขนาดว่าโจโฉมีน้ำใจโอบอ้อมอารีกว้างขวาง ซึ่งย่อมหมายถึงความอารีที่ตัวเองได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองนั่นเอง แต่ข้อเสนอที่จะให้เล่าเปียวส่งบุตรเข้าไปอยู่ในเมืองหลวงนั้น เนื้อแท้ก็คือการเสนอให้เล่าเปียวส่งบุตรชายเข้าไปเป็นตัวประกันในเมืองหลวงไว้กับโจโฉ เท่ากับเสนอให้เล่าเปียวยอมสวามิภักดิ์ต่อโจโฉนั่นเอง
ฮันสงได้ขายนายตัวเอง ขายชาติตัวเอง เพียงเพราะตำแหน่งเจ้าเมืองเลงเหลงที่โจโฉมอบให้ เพียงเท่านี้ก็จะเห็นได้ชัดว่าอุบายของโจโฉประสบความสำเร็จเกือบสมบูรณ์แล้ว อุบายชนิดนี้ได้ถูกต่างชาตินำมาใช้ในการซื้อคนให้ทรยศต่อบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง ยอมขายชาติ ยอมขายทรัพย์สมบัติของชาติให้แก่ทุนต่างชาติในราคาต่ำ และทำทุกอย่างเพื่อให้ต่างชาติเข้ายึดครองบ้านเมืองของตัว ซึ่งเป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวงต่อบ้านเมืองและราษฎร พฤติกรรมเช่นนี้ถ้าเป็นสมัยโบราณก็ต้องมีโทษตัดหัวเจ็ดชั่วโคตร แต่ทว่าในยุคสมัยที่ผู้คนหลงใหลติดยึดในผลประโยชน์ทำให้จิตวิญญาณที่ซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินและความคิดที่จะกอบกู้ชาติบ้านเมืองอ่อนคลายลง จึงต้องนับว่าเป็นชะตากรรมของบ้านเมือง แต่แผ่นดินนี้มีความศักดิ์สิทธิ์ คนคิดคดทรยศชาติและขายชาติย่อมไม่อาจมีชะตากรรมที่ดีงามไปได้ อามิสและวาสนาที่ได้รับย่อมเป็นประโยชน์เพียงชั่วครั้งชั่วคราว ในช่วงที่วิบากกรรมยังตามไม่ทันเท่านั้น วันใดที่วิบากกรรมตามทันแล้ว วันนั้นประชาทัณฑ์ย่อมลงแก่อาชญากรที่ขายชาติ ขายแผ่นดินนั้นจนสาสม
เล่าเปียวได้ยินคำฮันสงก็รู้ความนัยที่ซ่อนไว้ในข้อเสนอนั้นก็โกรธฮันสงว่าได้ ทรยศหักหลัง ทำลายน้ำมิตรไปสิ้นแล้ว จึงสั่งทหารให้จับฮันสงไปตัดศีรษะ ฮันสงได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจ รีบแก้ตัวว่า “ข้าพเจ้าจะได้คิดร้ายเอาใจออกหากแลทิ้งท่านเสียนั้นหามิได้ ท่านมิได้มีความเอ็นดู ทิ้งข้าพเจ้าเสียอีก”
ทั้ง ๆ ที่เพิ่งเสนอไปหยก ๆ ให้เล่าเปียวสวามิภักดิ์กับโจโฉ แต่ฮันสงก็ยังแก้ตัวในลักษณะที่เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่เล่าเปียว ว่าตัวมิได้เอาใจออกหากทอดทิ้ง กรณีเป็นเรื่องที่เล่าเปียวละความเป็นน้ำมิตรเสียเอง ดังนั้นคำคนที่พลิกพลิ้วด้วยชั้นเชิงแลลีลาวาจาโดยไม่ตั้งอยู่กับความเป็นจริงชนิดนี้จึงถือเป็นสาระแก่นสารอันใดไม่ได้ เพราะผู้ใดหลงเชื่อก็มีแต่ต้องได้รับความเสียหาย หรือเป็นอันตรายในภายหน้า การที่คนไทยทั่วประเทศต้องรับชะตากรรมอยู่ในขณะนี้ ก็มิใช่เพราะหลงลิ้นลมชนิดที่เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่เพื่อนดอกหรือ
เก๊งเหลียงที่ปรึกษาของเล่าเปียวอยู่ในเหตุการณ์ครั้งนี้ด้วยจึงว่าแก่เล่าเปียวว่า ก่อนที่ท่านจะให้ฮันสงไปเมืองหลวงก็ได้พิจารณาถึงเรื่องนี้เห็นเป็นที่วางใจแล้วจึงได้ตัดสินใจใช้ฮันสงไปเมืองหลวง ครั้นเหตุการณ์เกิดขึ้นตามที่ได้คาดหมายและ ฮันสงได้กลับมาแจ้งข้อราชการต่อท่านดังนี้ จึงไม่สมควรประหารฮันสง
คำทักท้วงของเก๊งเหลียงซึ่งเป็นที่ปรึกษาที่เล่าเปียววางใจทำให้เล่าเปียวซึ่งปกติมีน้ำใจเมตตาได้ยั้งคิด เมื่อทวนถึงความหลังแล้วโทสะก็คลายลง เล่าเปียวจึงสั่งให้ปล่อยตัวฮันสงเสีย แต่ในขณะเดียวกันเล่าเปียวก็ไม่ยอมปฏิบัติตามที่ฮันสงได้เสนอให้สวามิภักดิ์กับโจโฉ
ในขณะนั้นเจ้าหน้าที่ได้เข้ามารายงานกับเล่าเปียวว่าตามที่ยีเอ๋งได้ไปเกลี้ยกล่อมหองจอที่เมืองกังแฮนั้น บัดนี้หองจอได้ฆ่ายีเอ๋งเสียแล้ว เล่าเปียวฟังรายงานแล้วก็รู้สึกสงสารยีเอ๋ง และสำนึกว่าตัวก็มีส่วนในการทำให้ยีเอ๋งต้องตาย น้ำใจกรุณาก็เปี่ยมขึ้นในอก เล่าเปียวจึงสั่งทหารให้ไปขอรับศพยีเอ๋งจากหองจอเจ้าเมืองกังแฮ แล้วนำมาแต่งการพิธีศพและฝังไว้ที่ตำบลเอ๋งบูจิ๋ว
ทางด้านโจโฉก็ได้รับรายงานข่าวเช่นเดียวกันว่ายีเอ๋งตายก็ดีใจ หัวเราะแล้วว่า “ยีเอ๋งนั้นเป็นคนหยาบช้า ปากของมันเป็นอาวุธฆ่าตัวมันเสียเอง” แต่ครั้นโจโฉได้รับทราบว่าคนที่ฆ่ายีเอ๋งไม่ใช่เล่าเปียวเพราะเล่าเปียวเกี่ยงให้ยีเอ๋งไปเกลี้ยกล่อมหองจอก่อนแล้วหองจอฆ่ายีเอ๋งเสีย โจโฉก็พรั่นใจเพราะรู้ว่าเล่าเปียวรู้ทันความคิดของตัว แล้วแก้กลยืมมือหองจอฆ่ายีเอ๋งได้สำเร็จ.
เล่าเปียวได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าบัดนี้อ้วนเสี้ยวกับโจโฉกำลังเตรียมทำสงครามต่อกัน ทั้งสองฝ่ายต่างต้องการเกลี้ยกล่อมให้เราเข้าเป็นพวก ท่านทั้งปวงจะมีความเห็นเป็นประการใด
ฮันสงซึ่งเป็นที่ปรึกษาได้เสนอว่าการจะเข้าเป็นพวกฝ่ายใดนั้นควรต้องประมาณการในภายหน้าว่าฝ่ายใดจะเป็นฝ่ายชนะสถานหนึ่ง หรือหน่วงเหนี่ยวไว้ปล่อยให้ทั้งสองฝ่ายล้างผลาญกันเองจนอ่อนกำลังลง แล้วค่อยซ้ำเติมเอาในภายหลังอีกสถานหนึ่ง ดังนั้นในขณะที่การสงครามยังไม่ปรากฏผลแตกหัก ท่านควรจะต้องรั้งรอดูท่วงทีก่อน แต่ข้าพเจ้านี้เห็นว่าโจโฉมีสติปัญญาชำนาญการสงครามยิ่งกว่าอ้วนเสี้ยว รู้จักเลี้ยงคนมีสติปัญญาความสามารถ ทั้งรู้จักใช้คนให้เหมาะแก่ความสามารถ เหตุนี้คนทั้งปวงจึงเข้าด้วยโจโฉไม่ขาดสาย ข้าพเจ้าจึงประมาณสถานการณ์ศึกว่าผลสุดท้ายแห่งสงครามโจโฉจะเป็นฝ่ายชนะอ้วนเสี้ยว และถ้าเมื่อใดที่โจโฉได้รับชัยชนะแล้วคงจะยาตราทัพลงมาตีหัวเมืองทางภาคใต้และภาคตะวันออกจนถึงเมืองกังตั๋ง และเมื่อถึงวันนั้นย่อมยากที่จะตั้งรับโจโฉได้ ดังนั้นหากท่านเห็นชอบด้วยการประมาณการศึกฉะนี้แล้ว ก็ควรที่จะเข้าร่วมกับโจโฉเสียตั้งแต่ตอนนี้ ความชอบก็จะมีอยู่แก่ท่าน
บรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองทั้งปวงต่างเห็นชอบกับข้อเสนอของฮันสง แต่เล่าเปียวนั้นเป็นคนสุขุมลุ่มลึก เห็นว่าสถานการณ์ยังคงอยู่ห่างไกลจึงว่า บัดนี้การสงครามยังไม่เริ่มขึ้น ยังไม่ควรที่จะตัดสินใจไปทางใดทางหนึ่ง ชอบที่จะต้องติดตามสถานการณ์ไปอีกระยะหนึ่ง เพื่อการนี้จึงให้ฮันสงเดินทางไปเมืองหลวงเพื่อสืบทราบข้อมูลข่าวสารเสียชั้นหนึ่งก่อน ผลเป็นประการใดแล้วค่อยปรึกษาหารือต่อภายหลัง
ฮันสงจึงว่าตัวข้าพเจ้ารับราชการอยู่ด้วยท่าน มีความเต็มใจที่จะไปทำการครั้งนี้ แต่เกรงว่าเมื่อไปถึงเมืองหลวงแล้วทางเมืองหลวงอาจแต่งตั้งให้ข้าพเจ้าเป็นขุนนาง และเป็นเหตุให้ข้าพเจ้าไม่สามารถกลับมาทำราชการรับใช้ท่านได้สืบไป และตัวท่านก็อาจมีความระแวงแคลงใจว่าข้าพเจ้าเปลี่ยนแปลงไป
เล่าเปียวจึงว่าความกริ่งใจของท่านทั้งนี้ก็มีเหตุผล แต่ทว่าเราท่านได้อยู่ด้วยกันมาเป็นเวลานานช้า ถึงมาตรแม้นว่าจะอยู่ไกลกันก็ดี ขอเพียงแต่มีน้ำใจรักไว้ให้มั่นคงก็เสมือนหนึ่งอยู่ใกล้ หากตัวท่านไปแล้วไม่อาจกลับมาก็ขอให้แจ้งข้อราชการมาให้เราทราบจะได้คิดอ่านทำการสืบไป
ฮันสงผู้นี้เป็นที่ปรึกษาที่มีความคิดยาวไกล ล่วงรู้อัธยาศัยและความมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวทางการเมืองของโจโฉ ประมาณสถานการณ์ในภายหน้ากระจ่างชัดว่าการเดินทางเข้าเมืองหลวงของตนในครั้งนี้คงไม่อาจรอดพ้นสายตาของโจโฉไปได้ว่าเป็นการเข้าเมืองหลวงเพื่อสืบทราบความศึก ดังนั้นคนแบบโจโฉจึงต้องหาทางวางอุบายไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งที่จะทำให้ตัวเองและเล่าเปียวต้องกินแหนงแคลงใจกัน หรือมิฉะนั้นก็อาจหน่วงเหนี่ยวไว้ในเมืองหลวงด้วยวิธีการอย่างใดอย่างหนึ่ง ฮันสงจึงแจ้งเล่าเปียวเพื่อเป็นทางถอยไว้แก่ตัวในวันหน้า
แต่เล่าเปียวนั้นเป็นคนซื่อตรง วางใจมิตร มั่นใจว่าฮันสงซึ่งรับราชการอยู่ด้วยกันมาเป็นเวลานาน รู้อกรู้ใจกันเป็นอย่างดี ไม่น่าที่จะทรยศหรือผันแปรเป็นอื่นไปได้ จึงวางใจ ทั้ง ๆ ที่เล็งเห็นอยู่เหมือนกันว่าฮันสงอาจไม่ได้กลับคืนมาเมืองเกงจิ๋วอีก แต่ก็เชื่อความผูกพันมั่นคงที่มีมายาวนานว่าฮันสงจะไม่แปรพักตร์แล้วจะส่งข่าวคราวข้อราชการมาให้ทราบ ดังนั้นเล่าเปียวจึงยืนยันความเห็นเดิมให้ฮันสงไปสืบข่าวในเมืองหลวง
ฮันสงจึงลาเล่าเปียวเดินทางเข้าเมืองฮูโต๋ ครั้นถึงเมืองหลวงแล้วได้เข้าไปขอพบโจโฉตามธรรมเนียมราชการ โจโฉเห็นฮันสงมาพบก็มีความยินดี หลังจากโอภาปราศรัยกันตามธรรมเนียมแล้ว โจโฉได้แต่งตั้งให้ฮันสงเป็นขุนนางในพระเจ้าเหี้ยนเต้ และให้เป็นเจ้าเมืองเลงเหลง ซึ่งเป็นหัวเมืองชั้นโทขึ้นกับเมืองเกงจิ๋ว และสั่งการให้ฮันสงรีบกลับไปเมืองเกงจิ๋วแจ้งข้อราชการให้เล่าเปียวทราบ และให้หาทางเกลี้ยกล่อมเล่าเปียวให้ยินยอมขึ้นต่อราชสำนักฮั่น
โจโฉได้แต่งตั้งฮันสงเป็นขุนนางตามที่ฮันสงและเล่าเปียวได้คาดคิดไว้แต่ก่อน แต่ที่เหนือความคาดหมายก็คือแทนที่โจโฉจะหน่วงเหนี่ยวฮันสงไว้รับราชการในเมืองหลวง กลับตั้งให้เป็นเจ้าเมืองเลงเหลงซึ่งขึ้นต่อเมืองเกงจิ๋วอีกตำแหน่งหนึ่ง และมอบหน้าที่ให้เกลี้ยกล่อมเล่าเปียวเพื่อให้ยินยอมขึ้นต่อราชสำนัก โจโฉทำการทั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความคิดอ่านที่เหนือชั้นกว่าความคิดของฮันสงและเล่าเปียว เพราะโจโฉคงจะเห็นว่าหากหน่วงเหนี่ยวฮันสงไว้ในเมืองหลวงก็เพียงแต่ทำให้เล่าเปียวขาดพวกพ้องไปคนหนึ่งเท่านั้น ในขณะที่โจโฉก็ไม่ได้ประโยชน์อันใด แต่การตั้งให้ฮันสงเป็นเจ้าเมืองเลงเหลง โจโฉก็มิได้เสียหายหรือเสียเปรียบแต่ประการใด เพราะเป็นหัวเมืองที่ขึ้นต่อเมืองเกงจิ๋วอยู่แล้ว เท่ากับเป็นการยกสมบัติของเล่าเปียวให้กับฮันสงนั่นเอง
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะเกิดความกินแหนงแคลงใจกันขึ้นระหว่างเล่าเปียวกับฮันสง และเมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนั้น ฮันสงก็ต้องยืนอยู่ข้างโจโฉเพราะได้รับผลประโยชน์ที่ โจโฉหยิบยื่นให้ นี่เป็นประโยชน์สถานแรกที่โจโฉจะได้รับโดยไม่ต้องลงทุนลงแรงแม้แต่น้อย นอกจากนั้นการมอบภาระหน้าที่ให้ฮันสงไปเกลี้ยกล่อมเล่าเปียว หากเกิดผลสำเร็จก็จะเกิดประโยชน์ใหญ่สถานที่สอง ทำให้โจโฉได้รับชัยชนะและมีอำนาจเหนือแดนเกงจิ๋วโดยไม่ต้องรบ หรือแม้นหากฮันสงเกลี้ยกล่อมไม่สำเร็จ ไม่ว่าฮันสงจะถูกเล่าเปียวฆ่าเสียก็ดี หรือไม่ฆ่าแต่ปล่อยไว้ก็ดี พรรคพวกของฮันสงก็จะเอาใจออกหากเล่าเปียว นี่เป็นประโยชน์สถานที่สาม
การแต่งตั้งฮันสงเป็นขุนนางและการมอบหมายภาระหน้าที่ดังกล่าวนี้จึงเป็นอุบายชั้นครูชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “อุบายสร้างสนิมขึ้นในเนื้อในเหล็ก”
โจโฉจำเป็นต้องวางอุบายนี้เพราะเหตุที่ต้องการทำศึกกับอ้วนเสี้ยวให้แตกหักไปเสียด้านหนึ่งก่อน แต่ในระหว่างการศึกที่จะกระทำกับอ้วนเสี้ยวนั้น โจโฉยังคงระวังหลังทางด้านเตียวสิ้วและเล่าเปียว ซึ่งบัดนี้ได้เกลี้ยกล่อมเตียวสิ้วไว้เป็นพวกสำเร็จแล้ว คงเหลือแต่เล่าเปียวซึ่งยังเข้มแข็งบริบูรณ์พร้อมทุกด้าน ดังนั้นวิธีการที่จะหยุดยั้งป้องกันมิให้เล่าเปียวเป็นอันตรายแก่ตัวจึงต้องสร้างสนิมเหล็กไว้ในเนื้อในเหล็กนั้น อย่างน้อยก็จะทำให้เล่าเปียวทำการไม่สะดวก อย่างมากก็อาจอาศัยฮันสงเป็นเครื่องมือเพื่อให้ได้เมืองเกงจิ๋ว นับเป็นอุบายที่ล้ำลึกของโจโฉ
หลังจากฮันสงลาโจโฉกลับออกไปแล้ว ซุนฮกซึ่งเป็นที่ปรึกษาเกิดความสงสัยว่าฮันสงไม่ได้มีความชอบสิ่งหนึ่งสิ่งใดเพียงแค่พบกันครั้งแรก ไฉนโจโฉจึงแต่งตั้งเป็นขุนนางและให้เป็นเจ้าเมือง จึงกระซิบถามโจโฉว่ามีเหตุผลประการใด “ประการหนึ่งยีเอ๋งซึ่งไปเกลี้ยกล่อมเล่าเปียวนั้นก็ยังมิได้เนื้อความประการใด ท่านยังมิได้ไต่ถามฮันสง”
ความตอนนี้แสดงให้เห็นว่าโจโฉมิได้สนใจเรื่องอื่นใดเพียงแค่สนทนากับฮันสงในการพบกันครั้งแรกก็ใช้อุบาย “สร้างสนิมขึ้นในเนื้อในเหล็ก” ในทันที ครั้นซุนฮก กระซิบถามความดังนี้พอโจโฉได้ยินชื่อยีเอ๋งกระทบหูเท่านั้น ความโกรธก็พลุ่งพล่านขึ้นมาในทันที ไม่คิดที่จะตอบข้อที่ซุนฮกถาม แต่กลับตอบเฉพาะเรื่องยีเอ๋งว่า “ยีเอ๋งนั้นหยาบช้าต่อเราเป็นอันมาก เรามีความแค้นมันอยู่ ครั้นจะฆ่ามันเสียคนทั้งปวงก็จะครหานินทาว่ามีวาสนาแล้วข่มเหงผู้น้อย เราจึงให้ไปเกลี่ยกล่อมเล่าเปียว หวังจะยืมมือเล่าเปียวฆ่ายีเอ๋งเสีย ซึ่งจะให้ถามข่าวถึงมันนั้นจะต้องการสิ่งใด”
โจโฉตอบซุนฮกในเรื่องของยีเอ๋งเพียงเรื่องเดียวใบหน้าก็แดงกล่ำ แล้วรีบลุกกลับเข้าไปข้างใน ซุนฮกจึงต้องกลับออกไปโดยปริยาย เนื้อความที่โจโฉตอบซุนฮกครั้งนี้คือเจตนาและใจจริงของโจโฉในการใช้ยีเอ๋งไปเกลี้ยกล่อมเล่าเปียวว่าหาได้ประสงค์ต่อผลสำเร็จแต่ประการใดไม่ เจตนาที่แท้จริงคือการยืมมือเล่าเปียวฆ่ายีเอ๋งเสียเท่านั้น
ฝ่ายฮันสงเมื่อออกจากเมืองหลวงแล้วได้เดินทางกลับเมืองเกงจิ๋ว เล่าความทั้งปวงให้เล่าเปียวฟัง และแจ้งเล่าเปียวว่าได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองเลงเหลง แล้วว่า “โจโฉนั้นมีใจโอบอ้อมอารีกว้างขวาง ควรที่ท่านจะทำราชการด้วย ขอให้ท่านแต่งบุตรขึ้นไปถวายพระเจ้าเหี้ยนเต้จะได้ทำราชการเป็นที่ขุนนาง”
ฮันสงได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วจริง ๆ กลับมาจากเมืองหลวงครั้งนี้อามิสที่โจโฉตั้งให้เป็นเจ้าเมืองเลงเหลงได้ผูกใจฮันสงไว้แน่น จึงกล้ากล่าวถึงขนาดว่าโจโฉมีน้ำใจโอบอ้อมอารีกว้างขวาง ซึ่งย่อมหมายถึงความอารีที่ตัวเองได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองนั่นเอง แต่ข้อเสนอที่จะให้เล่าเปียวส่งบุตรเข้าไปอยู่ในเมืองหลวงนั้น เนื้อแท้ก็คือการเสนอให้เล่าเปียวส่งบุตรชายเข้าไปเป็นตัวประกันในเมืองหลวงไว้กับโจโฉ เท่ากับเสนอให้เล่าเปียวยอมสวามิภักดิ์ต่อโจโฉนั่นเอง
ฮันสงได้ขายนายตัวเอง ขายชาติตัวเอง เพียงเพราะตำแหน่งเจ้าเมืองเลงเหลงที่โจโฉมอบให้ เพียงเท่านี้ก็จะเห็นได้ชัดว่าอุบายของโจโฉประสบความสำเร็จเกือบสมบูรณ์แล้ว อุบายชนิดนี้ได้ถูกต่างชาตินำมาใช้ในการซื้อคนให้ทรยศต่อบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง ยอมขายชาติ ยอมขายทรัพย์สมบัติของชาติให้แก่ทุนต่างชาติในราคาต่ำ และทำทุกอย่างเพื่อให้ต่างชาติเข้ายึดครองบ้านเมืองของตัว ซึ่งเป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวงต่อบ้านเมืองและราษฎร พฤติกรรมเช่นนี้ถ้าเป็นสมัยโบราณก็ต้องมีโทษตัดหัวเจ็ดชั่วโคตร แต่ทว่าในยุคสมัยที่ผู้คนหลงใหลติดยึดในผลประโยชน์ทำให้จิตวิญญาณที่ซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินและความคิดที่จะกอบกู้ชาติบ้านเมืองอ่อนคลายลง จึงต้องนับว่าเป็นชะตากรรมของบ้านเมือง แต่แผ่นดินนี้มีความศักดิ์สิทธิ์ คนคิดคดทรยศชาติและขายชาติย่อมไม่อาจมีชะตากรรมที่ดีงามไปได้ อามิสและวาสนาที่ได้รับย่อมเป็นประโยชน์เพียงชั่วครั้งชั่วคราว ในช่วงที่วิบากกรรมยังตามไม่ทันเท่านั้น วันใดที่วิบากกรรมตามทันแล้ว วันนั้นประชาทัณฑ์ย่อมลงแก่อาชญากรที่ขายชาติ ขายแผ่นดินนั้นจนสาสม
เล่าเปียวได้ยินคำฮันสงก็รู้ความนัยที่ซ่อนไว้ในข้อเสนอนั้นก็โกรธฮันสงว่าได้ ทรยศหักหลัง ทำลายน้ำมิตรไปสิ้นแล้ว จึงสั่งทหารให้จับฮันสงไปตัดศีรษะ ฮันสงได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจ รีบแก้ตัวว่า “ข้าพเจ้าจะได้คิดร้ายเอาใจออกหากแลทิ้งท่านเสียนั้นหามิได้ ท่านมิได้มีความเอ็นดู ทิ้งข้าพเจ้าเสียอีก”
ทั้ง ๆ ที่เพิ่งเสนอไปหยก ๆ ให้เล่าเปียวสวามิภักดิ์กับโจโฉ แต่ฮันสงก็ยังแก้ตัวในลักษณะที่เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่เล่าเปียว ว่าตัวมิได้เอาใจออกหากทอดทิ้ง กรณีเป็นเรื่องที่เล่าเปียวละความเป็นน้ำมิตรเสียเอง ดังนั้นคำคนที่พลิกพลิ้วด้วยชั้นเชิงแลลีลาวาจาโดยไม่ตั้งอยู่กับความเป็นจริงชนิดนี้จึงถือเป็นสาระแก่นสารอันใดไม่ได้ เพราะผู้ใดหลงเชื่อก็มีแต่ต้องได้รับความเสียหาย หรือเป็นอันตรายในภายหน้า การที่คนไทยทั่วประเทศต้องรับชะตากรรมอยู่ในขณะนี้ ก็มิใช่เพราะหลงลิ้นลมชนิดที่เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่เพื่อนดอกหรือ
เก๊งเหลียงที่ปรึกษาของเล่าเปียวอยู่ในเหตุการณ์ครั้งนี้ด้วยจึงว่าแก่เล่าเปียวว่า ก่อนที่ท่านจะให้ฮันสงไปเมืองหลวงก็ได้พิจารณาถึงเรื่องนี้เห็นเป็นที่วางใจแล้วจึงได้ตัดสินใจใช้ฮันสงไปเมืองหลวง ครั้นเหตุการณ์เกิดขึ้นตามที่ได้คาดหมายและ ฮันสงได้กลับมาแจ้งข้อราชการต่อท่านดังนี้ จึงไม่สมควรประหารฮันสง
คำทักท้วงของเก๊งเหลียงซึ่งเป็นที่ปรึกษาที่เล่าเปียววางใจทำให้เล่าเปียวซึ่งปกติมีน้ำใจเมตตาได้ยั้งคิด เมื่อทวนถึงความหลังแล้วโทสะก็คลายลง เล่าเปียวจึงสั่งให้ปล่อยตัวฮันสงเสีย แต่ในขณะเดียวกันเล่าเปียวก็ไม่ยอมปฏิบัติตามที่ฮันสงได้เสนอให้สวามิภักดิ์กับโจโฉ
ในขณะนั้นเจ้าหน้าที่ได้เข้ามารายงานกับเล่าเปียวว่าตามที่ยีเอ๋งได้ไปเกลี้ยกล่อมหองจอที่เมืองกังแฮนั้น บัดนี้หองจอได้ฆ่ายีเอ๋งเสียแล้ว เล่าเปียวฟังรายงานแล้วก็รู้สึกสงสารยีเอ๋ง และสำนึกว่าตัวก็มีส่วนในการทำให้ยีเอ๋งต้องตาย น้ำใจกรุณาก็เปี่ยมขึ้นในอก เล่าเปียวจึงสั่งทหารให้ไปขอรับศพยีเอ๋งจากหองจอเจ้าเมืองกังแฮ แล้วนำมาแต่งการพิธีศพและฝังไว้ที่ตำบลเอ๋งบูจิ๋ว
ทางด้านโจโฉก็ได้รับรายงานข่าวเช่นเดียวกันว่ายีเอ๋งตายก็ดีใจ หัวเราะแล้วว่า “ยีเอ๋งนั้นเป็นคนหยาบช้า ปากของมันเป็นอาวุธฆ่าตัวมันเสียเอง” แต่ครั้นโจโฉได้รับทราบว่าคนที่ฆ่ายีเอ๋งไม่ใช่เล่าเปียวเพราะเล่าเปียวเกี่ยงให้ยีเอ๋งไปเกลี้ยกล่อมหองจอก่อนแล้วหองจอฆ่ายีเอ๋งเสีย โจโฉก็พรั่นใจเพราะรู้ว่าเล่าเปียวรู้ทันความคิดของตัว แล้วแก้กลยืมมือหองจอฆ่ายีเอ๋งได้สำเร็จ.