ตอนที่ 114. สุภาสิตาจะยาวาจา เป็นมงคลสูงสุด

 ครั้นถึงวันเข้าเฝ้าขงหยงจึงแต่งฎีกากราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ว่า “ด้วยยีเอ๋งคนหนึ่งอายุยี่สิบปี อยู่ในเมืองหล่อ มีสติปัญญารู้หลักมาก จักษุแลไปเห็นสิ่งใด แลหูได้ยินเสียงอันใด ใจนั้นก็คิดตลอดไม่ขัดขวาง ประมาณการถูกทุกประการ” จึงขอกราบบังคมทูลเสนอให้แต่งตั้งยีเอ๋งเป็นขุนนางเพื่อจะได้มอบหมายภาระหน้าที่ให้ไปเกลี้ยกล่อมเล่าเปียวให้ยอมขึ้นต่อราชสำนัก ทำนุบำรุงแผ่นดินให้เป็นสุขสืบไป

            พระเจ้าเหี้ยนเต้ทอดพระเนตรฎีกาของขงหยงแล้วมิได้ตรัสประการใด และพระราชทานฎีกานั้นแก่โจโฉพร้อมกับตรัสว่าการทั้งนี้สุดแต่ท่านอัครมหาเสนาบดีจะพิจารณาดำเนินการ

            โจโฉออกจากที่เฝ้าแล้ว สั่งทหารให้ไปเชิญตัวยีเอ๋งมาพบที่จวน

            ครั้นยีเอ๋งมาถึงจวนของโจโฉแล้ว ทหารที่ไปเชิญจึงได้นำยีเอ๋งเข้าไปคารวะโจโฉ โจโฉเห็นกิริยาท่าทางของยีเอ๋งน่าหมั่นไส้จึงไม่เชิญให้ยีเอ๋งนั่ง และเบือนหน้าไปสนทนากับทหารรับใช้แทน

            ยีเอ๋งเห็นโจโฉมีท่าทีเหยียดหยามตัวก็น้อยใจ ทอดถอนใจใหญ่และรำพึงเป็นโวหารว่า เสียดายยิ่งนัก ทอดตาทั่วแผ่นดินกว้างใหญ่ ไม่เห็นคนดีมีสติปัญญาแม้แต่สักคนเดียว

            สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ได้บรรยายความตอนนี้ว่า ยีเอ๋งกล่าวขึ้นด้วยกำลังโวหารว่า “แผ่นดินนี้กว้างขวางนัก ถ้าจะขาดคน ๆ หนึ่งก็จะเป็นไรนักหนา” ในขณะที่ฉบับสมบูรณ์ระบุว่า “แผ่นดินนี้ถึงแม้นจะกว้างใหญ่ไพศาล เหตุใดมองหาสักคนเดียวก็ไม่มี”

            โจโฉได้ยินคำยีเอ๋งเช่นนี้ก็รู้ความหมายว่ายีเอ๋งหมายความอย่างไร แต่ในสามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่าโจโฉได้ยินคำยีเอ๋งไม่ถนัด สำคัญผิดว่ายีเอ๋งดูหมิ่นบรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกอง แต่ทุกฉบับมีข้อความตรงกันว่าหลังจากยีเอ๋งได้กล่าวความนี้แล้ว โจโฉได้ย้อนถามยีเอ๋งว่า “แผ่นดินเรานี้ที่ปรึกษาแลทหารที่มีฝีมือก็มีเป็นอันมาก เหตุไฉนตัวจึงว่าไม่มีคนดี”

            เพียงพบหน้ากันครั้งแรกโจโฉกับยีเอ๋งก็ได้ก่อวิวาทต่อกัน เพียงเพราะโจโฉไม่พอใจกิริยาอาการของยีเอ๋งที่น่าหมั่นไส้ ส่วนยีเอ๋งนั้นทะนงในความคิดสติปัญญาตัว มองไม่เห็นผู้ใดในแผ่นดินอยู่ในสายตา ครั้นได้ฟังโจโฉย้อนถามเช่นนั้น แทนที่ยีเอ๋งจะเกรงอกเกรงใจคนที่มีตำแหน่งเป็นถึงอัครมหาเสนาบดี กลับย้อนถามโจโฉต่อไปว่าที่ท่านว่ามีที่ปรึกษาและทหารซึ่งมีสติปัญญาและฝีมือนั้นข้าพเจ้ายังมองไม่เห็น ไหนลองเอ่ยนามให้ข้าพเจ้าฟังหน่อยเป็นไร

            โจโฉจึงว่าซุนฮก ซุนฮิว กุยแก เทียหยก ทั้งสี่คนนี้เป็นที่ปรึกษาซึ่งมีสติปัญญาเป็นอันมาก และสติปัญญาของทั้งสี่คนนี้ยังเหนือกว่าเสียวโหกับตันเผง ซึ่งเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ตำแหน่งที่ปรึกษาของพระเจ้าฮั่นโกโจเสียอีก ส่วนทหารเอกที่มีฝีมือนั้นคือเตียวเลี้ยว เคาทู ลิเตียน งักจิ้น ทั้งสี่คนนี้มีฝีมือกล้าแข็งในการสงคราม เหนือกว่าเงียมเหงกับม้าบู๊ซึ่งเป็นทหารเอกของพระเจ้าฮั่นกองบู๊ นอกจากนี้ยังมีลิยอย หมันทอง เป็นที่ปรึกษารอง และแฮหัวตุ้น อิกิ๋ม ซิหลง เป็นทหารรอง และยังมีระดับเดียวกันนี้อีกเป็นจำนวนมาก เหตุไฉนเจ้าจึงว่าแผ่นดินนี้หาผู้มีสติปัญญากล้าหาญมิได้

            โจโฉได้โอ้อวดถึงสติปัญญาความสามารถของที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองว่ายิ่งกว่าที่ปรึกษาและทหารเอกของอดีตพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์ฮั่น นับเป็นการตีตนเสมอหรือยิ่งกว่าพระเจ้าฮั่นโกโจองค์ปฐมกษัตริย์ การโอ้อวดเช่นนี้ออกจะเกินความเป็นจริงไป ทั้งนี้คงเนื่องจากโจโฉมุ่งหวังที่จะยั่วโทสะของยีเอ๋ง

            ยีเอ๋งฟังคำโอ้อวดของโจโฉแล้วไม่ยอมลดราวาศอก พอสิ้นคำโจโฉยีเอ๋งก็หัวเราะขึ้นด้วยเสียงอันดังแล้วว่าคนเหล่านี้นะหรือที่จะเรียกว่าเป็นคนมีสติปัญญาความสามารถ ว่าแล้วก็วิพากษ์บุคคลต่าง ๆ ที่โจโฉยกขึ้นโอ้อวดว่า

            “อันซุนฮกนั้นหน้าเหมือนหนึ่งจะร้องไห้ ชอบแต่ให้เยี่ยมไข้ส่งสักการศพ  ซุนฮิวนั้นชอบแต่ให้เป็นสัปเหร่อรักษาศพ เทียหยกนั้นชอบแต่ใช้ให้เฝ้าจำหล่อ   กุยแกนั้นชอบแต่ให้แต่งโคลงและอ่านบัตรหมาย เตียวเลี้ยวนั้นชอบแต่ให้ตีกลองแลระฆัง เคาทูนั้นชอบแต่ให้เลี้ยงวัวแลม้า ลิเตียนนั้นชอบแต่ให้อ่านฟ้อง งักจิ้นนั้นชอบแต่ให้เดินหมาย ลิยอยนั้นชอบแต่ใช้ให้ชำระอาวุธ หมันทองนั้นชอบแต่ให้เสพสุรากับกระดูกสุกร อิกิ๋มนั้นชอบแต่ให้แบกกระดานไปทำค่าย ซิหลงนั้นชอบแต่ให้ฆ่าสุกรขาย แฮหัวตุ้นนั้นชอบแต่ให้คอยรักษาตัวอย่าให้ข้าศึกตัดเอาศีรษะแลแขนซ้ายขวาไปได้ อันที่ปรึกษาแลทหารนอกนั้นชอบแต่ให้หาบเสบียงส่งกองทัพ ซึ่งท่านนับถือว่ามีสติปัญญากล้าหาญนั้นไม่เห็นด้วย”

            โจโฉกล่าวยกย่องที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองสุดโต่งไปทางขั้วหนึ่ง ยีเอ๋งจึงเหยียบย่ำที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองเหล่านั้นสุดโต่งไปทางอีกขั้วหนึ่ง โจโฉกล่าวความก็เพราะหวังยั่วโทสะยีเอ๋ง ส่วนยีเอ๋งกล่าวความก็หวังยั่วโทสะโจโฉเช่นเดียวกัน ดังนั้นแทนที่โจโฉจะได้รับประโยชน์จากการเรียกตัวยีเอ๋งมาพบ กลับได้รับวิวาทไว้แทน ในขณะที่ยีเอ๋งแทนที่จะได้รับประโยชน์จากการใช้สติปัญญาความสามารถในการแผ่นดินก็กลับได้รับวิวาทไว้แทนเช่นเดียวกัน

            โจโฉครองอำนาจรัฐมีอำนาจครอบคลุมทั่วทั้งแผ่นดิน ไม่เคยมีผู้ใดหาญกล้ามาต่อปากต่อคำเช่นนี้ ครั้นได้ฟังคำยีเอ๋งกล่าวเหยียดหยามบรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองเช่นนั้นเพลิงแห่งโทสะก็ลุกโพลงขึ้นแล้วว่าตัวเจ้ากล่าวดูหมิ่นเหยียดหยามบรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองดังนี้แล้วตัวเจ้ามีความดีเด่นอะไรบ้าง

            โจโฉเป็นคนที่น่ายกย่องในเรื่องความอดทน เพราะหากเป็นคนอื่นคงจะสั่งประหารยีเอ๋งไปแล้ว แต่นี่เป็นวิสัยของโจโฉซึ่งเป็นคนชอบต่อล้อต่อคำอย่างหนึ่ง และเป็นคนขี้ระแวงสงสัยอีกอย่างหนึ่ง โจโฉฟังคำยีเอ๋งแล้วใจหนึ่งก็ยังคงลังเลสงสัยว่ายีเอ๋งเป็นยอดคน จึงหวังซักไซร้ไล่เลียงทั้ง ๆ ที่ในใจเปี่ยมด้วยโทสะ

            ยีเอ๋งจึงโอ้อวดบ้างว่า ตัวเรานี้มีความรู้เจนจบทั้งเดือนดาวในนภากาศ และฮวงจุ๊ยหรือภูมิสถาปัตย์ว่าอย่างใดเป็นมงคล อย่างใดเป็นอัปมงคล การศาสนาไม่ว่าลัทธิขงจื๊อ ลัทธิเต๋า หรือศาสนาพุทธ และลัทธิทั้งเก้าอันประกอบด้วยลัทธิขงจื๊อ ลัทธิเหลา  จื๊อ ลัทธิหยินหยาง ลัทธินิตินิยม ลัทธิศิลปิน ลัทธิบักจื๊อ ลัทธิการทูต ลัทธิประนีประนอม และลัทธิเกษตรกรรม ล้วนรู้แจ้งโดยทั่ว แม้ในการปกครองแผ่นดินเราก็สามารถถวายคำแนะนำให้ฮ่องเต้ประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในราชธรรมเสมอด้วยพระเจ้าเงี้ยวเต้ และพระเจ้าซุ่งเต้ ซึ่งทรงทำนุบำรุงแผ่นดินให้ร่มเย็นเป็นสุข เปี่ยมพระบารมีมากพ้นสุดรำพันก็ได้ สามารถอบรมแนะนำสั่งสอนอาณาประชาราษฎรทั่วแผ่นดินให้ประพฤติคุณธรรมและสัตย์ซื่อต่อแผ่นดินเหมือนกับขงจื๊อก็ได้ ฉะนี้แล้วท่านจะเอาตัวเราไปเปรียบเทียบกับคนสามัญได้อย่างไร

            สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ได้ระบุว่ายีเอ๋งตำหนิโจโฉในตอนนี้ว่า “ซึ่งเราสนทนาแก่ท่านบัดนี้อุปมาเหมือนพูดกับคนบ้าอันมิได้รู้ภาษาคน” ซึ่งออกจะเป็นคำแปลที่ดุเดือด และไม่ไว้หน้าโจโฉแม้แต่น้อย จึงไม่น่าที่จะเป็นไปได้

            โจโฉได้ฟังคำโอ้อวดของยีเอ๋งและเห็นกิริยาท่าทีเย่อหยิ่งจองหองของยีเอ๋งแล้วก็โกรธหนักขึ้น ในขณะนั้นเตียวเลี้ยวยืนฟังคำยีเอ๋งอยู่ด้วยก็โกรธตาม ถอดกระบี่ออกจากฝักจะฟันยีเอ๋งเสีย

            ตัวโจโฉแม้โกรธและอยากจะฆ่ายีเอ๋งให้ดับดิ้นไปในทันที แต่โจโฉนั้นเป็นผู้ใหญ่คิดการกว้างไกล เห็นว่าหากฆ่ายีเอ๋งเสียด้วยน้ำมือตัวก็จะไม่คุ้มกับความครหาเพราะคนทั่วไปยังมีความเชื่อมีความเข้าใจว่ายีเอ๋งเป็นนักปราชญ์ เป็นคนมีสติปัญญาความสามารถเป็นอันมาก คนเช่นนี้จึงฆ่าไม่ได้ ก็เหมือนกับนักการเมืองบางคนแม้ประพฤติตนเป็นคนชั่วช้าเลวทราม เป็นทรราชย์ เป็นเผด็จการ และขายชาติ แต่ถ้าตราบใดคนจำนวนมากยังหลงเชื่อว่าเป็นคนดี ก็ยากที่จะกำจัดนักการเมืองชั่วนั้นได้ สิ่งที่จะพึงกระทำก็คือจำต้องกระชากหน้ากากที่ทรงคุณธรรมนั้นออกเสียก่อน เผยให้ปวงชนได้เห็นถึงความเลวทรามต่ำช้าอันเป็นตัวตนที่แท้จริง หากกระชากหน้ากากได้สำเร็จแล้วปวงชนทั่วแผ่นดินก็ย่อมกำจัดคนชั่วนั้นด้วยน้ำมือของประชาชนเอง

            ดังนั้นโจโฉจึงห้ามเตียวเลี้ยวไว้แล้วว่า ท่านอย่าใจร้อนวู่วามไป ทางราชการขณะนี้ยังขาดคนตีกลองต้อนรับแขก ดังนั้นจึงให้รับยีเอ๋งไว้ในราชการให้มีหน้าที่ตีกลองต้อนรับแขกเวลามีงานเลี้ยง

            โจโฉทั้งโกรธทั้งเกลียด แต่รู้ดีว่าคนแบบยีเอ๋งนั้นยังฆ่าด้วยน้ำมือตัวไม่ได้ ดังนั้นจึงคิดเหยียดหยามยีเอ๋งให้ได้รับความอัปยศด้วยการมอบหน้าที่ให้เป็นคนตีกลองในงานเลี้ยง

            ยีเอ๋งได้ยินโจโฉสั่งเช่นนั้นก็ไม่โต้ตอบประการใด ทหารของโจโฉจึงนำตัวยีเอ๋งไปพักที่เรือนพักทหาร

            ครั้นยีเอ๋งไปแล้ว เตียวเลี้ยวสงสัยที่โจโฉไว้ชีวิตยีเอ๋ง จึงถามโจโฉว่าเหตุใดจึงไม่ฆ่ายีเอ๋งเสีย

            โจโฉได้เฉลยว่า “เราได้ยินกิตติศัพท์ลืออยู่ว่ายีเอ๋งคนนี้มีสติปัญญากล้าหาญ มิได้ยำเกรงผู้ใด ซึ่งมันมาว่าหยาบช้าแก่เรานั้น ครั้นเราจะให้ฆ่าเสีย คนทั้งปวงก็จะครหานินทาว่ามีผู้รู้เท่าสิฆ่าเสีย ประการหนึ่งผู้มีสติปัญญาจะเข้ามาอยู่ด้วยเราก็จะคิดท้อใจว่าเรามิได้เลี้ยงคนดี แลยีเอ๋งเป็นคนอวดรู้เราจึงเอามันไว้ให้เป็นคนตีกลอง”

            ในบรรดาอายตนะทั้งหก ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนั้น แม้ว่าใจจะมีความสำคัญสูงสุด เป็นหลักเป็นประธานแห่งการกระทำทั้งปวงของคนเรา แต่ทว่าในการแสดงออกนั้นปากซึ่งมีลิ้นอยู่ภายในกลับมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด สามารถทำให้คนเจริญรุ่งเรืองก็ได้ สามารถทำให้คนตายก็ได้ ดังนั้นโลกนิติจึงถือว่า “ปากเป็นเอก เลขเป็นโท”

            พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสสอนเกี่ยวกับวาจาของผู้คนไว้หลายที่หลายแห่ง ตั้งแต่ระดับสูงสุดในอริยมรรคคือสัมมาวาจาซึ่งหมายถึงวาจาที่ไกลจากกิเลส และในระดับปุถุชนธรรมดาก็ทรงตรัสไว้ในหลายที่หลายแห่ง โดยเฉพาะคือในมงคลสามสิบแปด ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติเพื่อความเป็นมงคลนั้น ทรงตรัสว่า “สุภาสิตา จะ ยา วาจา … เอตัมมัง คะละมุตตะมัง” ซึ่งแปลโดยความหมายได้ว่า “การกล่าววาจาด้วยดีโดยชอบแล้ว ย่อมเป็นมงคลสูงสุดอย่างหนึ่ง”

            วาจาที่กล่าวด้วยดีโดยชอบนั้นทรงแสดงว่าต้องเป็นการกล่าวความจริง ต้องเป็นการกล่าวด้วยประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน และต้องประกอบด้วยกาล คือเวลาอันเหมาะสมในการกล่าว เพราะแม้ว่าจะเป็นเรื่องจริง จะเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ แต่หากกล่าวผิดกาลเวลาแล้ว ก็อาจจะได้ผลในทางตรงกันข้ามหรือผิดเพี้ยนไปได้

            นั่นเป็นเนื้อหาของวาจา แต่ท่วงทำนองวิธีการก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง หากวาจากล่าวด้วยท่าทีที่ยโสโอหังเย่อหยิ่งจองหองแล้ว ก็ไม่อาจถือว่าวาจานั้นเป็นวาจาสุภาสิตาได้ นอกจากนี้การกล่าวเสียดสี ประชดประชัน กระทบกระเทียบเปรียบเปรย หรือที่เรียกว่าปากมีดโกนนั้น ถึงแม้หากเนื้อหาจะเป็นเรื่องจริง เป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์และถูกกาลแล้ว ก็ไม่อาจนับเป็นวาจาสุภาสิตาได้

            วาจาแบบใบมีดโกนนั้นไม่อาจนับว่าเป็นวาจาที่สร้างสรรค์ การเมืองไทยที่ต่ำทรามอยู่ในทุกวันนี้ก็เพราะผู้คนจำนวนหนึ่งหลงเชิดชูยกย่องวาจาแบบใบมีดโกนที่ทำร้ายและทำลายผู้คนทั่วทั้งแผ่นดิน เป็นวาจาที่ทำให้อธรรมมีอำนาจรุ่งเรืองขึ้นในแผ่นดิน และกลายเป็นเครื่องมือของทรชนในการประพฤติตนเป็นเผด็จการทรราชย์และขายชาติ สร้างความวินาศย่อยยับให้เกิดขึ้นแก่บ้านเมืองและราษฎร

            ตัวยีเอ๋งนั้นเป็นคนมีสติปัญญาความสามารถสูง ถ้อยคำที่ยีเอ๋งตอบโจโฉเกี่ยวกับความสามารถของตัวนั้น ไม่ได้เกินเลยไปจากความจริง แต่ทว่าบนความจริงนั้นวาจาของยีเอ๋งไม่เป็นวาจาสุภาสิตา เพราะเป็นการกล่าวด้วยท่าทีที่เย่อหยิ่งจองหองพองขน ไม่เห็นผู้คนในแผ่นดินอยู่ในสายตาตัว แม้โจโฉจะเป็นคนชั่วช้าเลวทราม แต่ใช่ว่าจะไร้ซึ่งข้อดีไปเสียเลย ก็เพราะมีข้อดีอยู่ไม่น้อย โจโฉจึงได้ครองอำนาจรัฐอย่างมั่นคง มีคนมีฝีมือและสติปัญญาเป็นจำนวนมากมาเข้าร่วมทำการด้วย หากยีเอ๋งไว้ท่าทีกิริยาและวาจาที่เหมาะสม การก็จะสมประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย

            ส่วนทางด้านโจโฉนั้นก็พอกัน เพียงเท่าที่เห็นกิริยาเย่อหยิ่งของคนซึ่งเป็นอาการที่ไม่คุ้นเคยสำหรับผู้มีอำนาจกลับไม่พอใจ เสียมารยาทไม่เชิญให้ยีเอ๋งนั่งตามที่ควรกระทำ มิหนำซ้ำยังเบือนหน้าหนีไปพูดคุยเสียกับทหารรับใช้ ซึ่งเป็นอาการที่เหยียดหยามยีเอ๋งโดยตรง ดังนั้นประโยชน์ของโจโฉจึงเสียไป

            เพราะกิริยาวาจาของทั้งโจโฉและยีเอ๋งเป็นเช่นนี้ ทั้งสองฝ่ายจึงต่างทำลายประโยชน์ของตนลงอย่างสิ้นเชิง.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร