ตอนที่ 112. ความดื้อรั้นของวัวชน
เล่าปี่ละชีวิตของเล่าต้ายและอองต๋งสองแม่ทัพของโจโฉที่ยกมาตีเมืองชีจิ๋ว แล้วปล่อยสองซากศพเดินได้ให้กลับไปเมืองฮูโต๋เพื่อช่วยเจรจาความเมืองกับโจโฉว่าเล่าปี่นั้นยังมีใจภักดีต่อโจโฉอยู่ แต่ที่ต้องฆ่ากีเหมาก็เพื่อป้องกันตนเองเท่านั้น
ในขณะที่สองแม่ทัพกำลังเดินทางกลับเมืองฮูโต๋นั้น เตียวหุยได้นำทหารไล่ติดตามไป พอทันกันแล้วเตียวหุยได้ขี่ม้ารำทวนไปขวางทางข้างหน้าไว้แล้วด่าว่าสองแม่ทัพว่าใช้คำลวงหลอกจนเล่าปี่หลงเชื่อปล่อยตัวกลับไป แต่ตัวเตียวหุยนั้นรู้ดีว่าสองแม่ทัพลวงเล่าปี่ จึงตามมาเพื่อจะสังหารเสียให้สิ้น
สองแม่ทัพและบรรดาทหารเห็นเตียวหุยแสดงความโกรธและจะเอาชีวิตก็ตกใจ ตัวสั่นอยู่ทั่วทุกตัวคน ในทันใดนั้นก็มีเสียงทหารม้าไล่ตามมาอีกหน่วยหนึ่ง ปรากฏว่าเป็นกวนอูนำทหารตรงมาที่เตียวหุย แล้วว่าน้องเราเจ้าอย่าทำวุ่นวายไป พี่ใหญ่ได้ออกปากปล่อยเขาไปแล้ว เจ้าจะทำให้พี่ใหญ่เราเสียคำสัตย์ไม่ได้
เตียวหุยจึงว่าหากปล่อยสองคนนี้ไปแล้ว วันหน้ายกกองทัพกลับมาอีกพี่รองจะว่าประการใด กวนอูจึงว่าไว้ถึงเวลานั้นเราค่อยฆ่าสองคนนี้ก็ยังไม่สาย วันนี้จำเป็นที่จะต้องรักษาคำสัตย์ของพี่ใหญ่ไว้ก่อน
เล่าต้ายและอองต๋งได้ยินกวนอู เตียวหุย โต้ตอบกันเช่นนั้นจึงกล่าวสอดขึ้นว่า การที่เล่าปี่ไว้ชีวิตไว้ในครั้งนี้เป็นพระคุณที่ไม่อาจลืมเลือนได้ตลอดไป ดังนั้นสืบไปภายหน้าถ้าแม้นโจโฉจะสั่งการให้ยกกองทัพมารบกับเล่าปี่ก็จะไม่ยอมยกมารบด้วยเป็นอันขาด ถึงแม้โจโฉจะฆ่าบุตรภรรยาเสียทั้งสิ้นก็จะไม่เปลี่ยนใจ ขอท่านทั้งสองจงวางใจพวกเรา ปล่อยกลับไปตามความตั้งใจของเล่าปี่เถิด
เตียวหุยจึงว่า พวกเจ้าโชคดีที่พี่รองของเรามาห้ามไว้ มิฉะนั้นเราจะไม่ละชีวิต เมื่อเป็นเช่นนี้พวกเจ้ารีบกลับไปเถิด อย่าอยู่ให้เราเหม็นหน้าอีกต่อไป เพราะหากเปลี่ยนใจแล้วพวกเจ้าจะลำบาก
เล่าต้ายและอองต๋งได้ยินดังนั้นจึงรีบชักม้านำทหารหนีไปอย่างรวดเร็ว
สามก๊กฉบับภาษาไทยได้พรรณนาเป็นทำนองว่าเตียวหุยและกวนอูนำทหารออกมาครั้งนี้เป็นเพราะเตียวหุยมีความแค้นชิงชังเล่าต้ายและอองต๋งที่หลอกลวงเล่าปี่จนทำให้เล่าปี่หลงเชื่อแล้วปล่อยตัวไป จากนั้นมีเหตุบังเอิญให้กวนอูสงสัยว่าเตียวหุยจะตามไล่ล่าสองแม่ทัพ จึงรีบนำทหารยกมาแล้วห้ามปรามไว้ แต่ฉบับภาษาจีนได้แสดงความชัดเจนว่าการกระทำของเตียวหุยและกวนอูครั้งนี้เป็นแผนการของเล่าปี่ที่ต้องการย้ำกับสองแม่ทัพให้มีใจยึดมั่นในไมตรีของเล่าปี่ ที่มีความสุจริตใจต่อโจโฉ เพื่อเร่งเร้าให้สองแม่ทัพได้ทำหน้าที่ทูตเจรจาความเมืองกับโจโฉโดยยืนอยู่ข้างเล่าปี่อย่างเต็มที่
และเพราะเหตุนี้กระมัง หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช จึงตั้งข้อสงสัยเอาว่าคนแต่งหนังสือสามก๊กซึ่งย่อมหมายถึงคณะผู้แปลที่นำโดยเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ว่าเป็นพวกของเล่าปี่
กวนอู เตียวหุย ปล่อยเล่าต้ายและอองต๋งไปแล้วจึงพากันยกกลับเข้าเมืองชีจิ๋ว เล่าปี่เห็นน้องร่วมสาบานทั้งสองกลับมาจึงเรียกประชุมที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกอง เพื่อหารือเกี่ยวกับการรับมือกับโจโฉต่อไป เพราะเล่าปี่คาดหมายว่าแม้จะใช้ความพยายามใช้ซากศพเดินได้ทั้งสองคนไปเป็นทูตเจรจาความแล้ว ในที่สุดโจโฉคงจะไม่รับฟัง และคงจะยกกองทัพมา
ที่ประชุมเห็นพ้องต้องกันว่าการเตรียมการรับมือกับโจโฉจะเป็นการรอบคอบยิ่งกว่าการที่จะตั้งความหวังว่าสองแม่ทัพกลับไปแล้วจะเจรจาความจนสามารถห้ามทัพ โจโฉไว้ได้ และเห็นว่าการตั้งรับศึกเฉพาะที่เมืองชีจิ๋วนั้นจะไม่เป็นการปลอดภัย
ดังนั้นจึงกำหนดแผนการรับมือโจโฉว่าให้กวนอูคุมทหารนำครอบครัวของเล่าปี่ไปอยู่ที่เมืองแห้ฝือ ให้ซุนเขียนกับตันหยง บิต๊ก บิฮอง คุมทหารอยู่รักษาเมืองชีจิ๋ว ส่วนเล่าปี่กับเตียวหุยคุมทหารไปรักษาเมืองเสียวพ่าย ถ้าหากโจโฉยกมาตีเมืองชีจิ๋วก็ให้ทหารทั้งเมืองแห้ฝือและเมืองเสียวพ่ายยกเข้ามาตีกระหนาบ หรือถ้าหากโจโฉยกไปตีเมืองใดเมืองหนึ่งก็ให้สองเมืองที่เหลือยกออกไปตีกระหนาบ
แผนการดังกล่าวดูผิวเผินแล้วคล้ายกับเป็นแผนการที่ดี แต่แท้จริงเป็นแผนการที่จะนำมาซึ่งความผิดพลาดล้มเหลวอย่างใหญ่หลวงของกองทัพเล่าปี่ เพราะการแบ่งทหารออกเป็นสามกอง แยกไปตั้งรับในสามเมือง ทำให้กำลังทหารของเล่าปี่ซึ่งมีน้อยอยู่แล้วต้องแยกย่อยเหลืออยู่ในแต่ละเมืองน้อยลงอีก ทำให้แต่ละเมืองไม่มีกำลังเพียงพอที่จะรับมือกับกองทัพของโจโฉได้
นอกจากนั้นระยะทางระหว่างเมืองก็ต้องใช้เวลาในการเดินทาง ซึ่งขณะนั้นระบบการสื่อสารยังไม่ทันสมัย หากเกิดศึกก็ไม่อาจสื่อสารประสานการรบเข้ากันเป็นเอกภาพได้
เป็นที่น่าสังเกตว่าการหารือในครั้งนี้ไม่มีตันเต๋งเข้าร่วมประชุมด้วย แต่สามก๊กทุกฉบับไม่ได้ระบุสาเหตุว่าเหตุใดจึงไม่มีตันเต๋งเข้าร่วมประชุม ทั้ง ๆ ที่เล่าปี่ได้สัมผัสและรับรู้แล้วว่าความคิด สติปัญญาการสงครามของตันเต๋งนั้นเป็นยอดกว่าทุกคนในบรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองของเล่าปี่
เหตุทั้งนี้คงจะเป็นความจริงตามที่นักสังเกตการณ์สามก๊กหลายท่านได้ตั้งความสังเกตว่าภายในกองทัพของเล่าปี่นั้นล้วนแล้วแต่ผู้คนซึ่งมีจิตใจคับแคบ ขาดการเปิดกว้างทั้งในด้านการแสวงหาคนดีมีสติปัญญาเข้ามาร่วมการ และในด้านการแสวงหาความคิดเห็นนอกพวก นอกหมู่เหล่า จึงทำให้กองทัพของเล่าปี่มีแต่คนหน้าเดิมมาเป็นเวลายาวนาน
ความจริงแผนการรับศึกดังกล่าวนั้นมีจุดอ่อนที่เห็นได้ชัด และจุดอ่อนนี้เป็นจุดอ่อนที่ตันเต๋งเคยวางแผนกับตันกุ๋ยผู้บิดาในการสลายกำลังของลิโป้ โดยหลอกลิโป้ให้แบ่งกำลังออกจากเมืองชีจิ๋วไปอยู่เมืองแห้ฝือส่วนหนึ่งและเมืองเสียวพ่ายอีกส่วนหนึ่ง แผนการความคิดของตันเต๋งในการศึกระหว่างโจโฉกับลิโป้ครั้งนั้นเป็นไปเพื่อทำลาย ลิโป้จึงให้แยกสลายทหารของลิโป้จากเมืองชีจิ๋วเป็นสามส่วน เป็นผลให้ลิโป้ต้องแพ้สงครามจนตัวตาย แต่มาครั้งนี้คณะที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองของเล่าปี่ไม่ได้ถูกใครหลอก ไม่ได้ถูกใครลวง แต่กลับพร่ากำลังของตนเอง แยกสลายกำลังของตนเอง ทำให้แต่ละเมืองเหลือกำลังทหารอยู่เพียงหนึ่งในสามเท่านั้น
คัมภีร์พิชัยสงครามว่าไว้ว่า แพ้ชนะของสงครามนั้นย่อมประจักษ์ตั้งแต่ในชั้นการวางแผนการศึกแล้ว หาต้องรอจนกระทั่งประดาบจนเลือดเดือดไม่ แผนการรับศึกครั้งนี้ของกองทัพเล่าปี่จึงเป็นแผนที่นำมาซึ่งความพ่ายแพ้ตั้งแต่ต้นมือแล้ว
ฝ่ายเล่าต้ายกับอองต๋งซึ่งบัดนี้มีสภาพเป็นทูตที่เป็นซากศพเดินได้ เมื่อเดินทางกลับถึงเมืองฮูโต๋จึงเข้าไปรายงานการศึกให้โจโฉทราบ แล้วว่า “เล่าปี่มีใจสุจริตคิดถึงคุณท่านอยู่มิได้ขาด จะได้คิดร้ายต่อท่านหามิได้ ซึ่งให้กวนอู เตียวหุย ออกมารบด้วยข้าพเจ้านั้นเป็นธรรมดารักษาชีวิต บัดนี้เล่าปี่ปล่อยข้าพเจ้ามาให้แจ้งข้อราชการแก่ท่านโดยสุจริต”
พลันที่โจโฉได้ฟังรายงานของสองซากศพนี้แล้วมีความโกรธสองแม่ทัพถึงขีดสุดร้องด่าสวนกลับมาในทันทีว่า “อ้ายทหารเดนตายเช่นนี้จะเลี้ยงไว้มิได้” ซึ่งแสดงว่าสิ่งที่เล่าปี่หลอกใช้สองแม่ทัพนั้นไม่สามารถตบตาโจโฉได้ และโจโฉก็รู้ทันความคิดของ เล่าปี่ ดังนั้นจึงโกรธสองแม่ทัพอย่างรุนแรง แล้วสั่งให้จับสองแม่ทัพเอาตัวไปประหารในทันที
ขงหยงซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ด้วยได้ห้ามโจโฉและเตือนสติโจโฉว่า “อันฝีมือเล่าต้าย อองต๋ง ซึ่งจะทานฝีมือความคิดเล่าปี่นั้นไม่ได้ แลท่านจะให้ฆ่าเล่าต้าย อองต๋งเสีย ทหารทั้งปวงจะทำการสืบไปก็จะเสียใจ”
อันขงหยงผู้นี้เคยเป็นเจ้าเมืองปักไฮเมื่อครั้งที่โจโฉยกไปรบกับโตเกี๋ยมเจ้าเมืองชีจิ๋ว ขงหยงและเล่าปี่ได้ยกกองทัพมาช่วยโตเกี๋ยม ในที่สุดโจโฉต้องเลิกทัพกลับเมือง ฮูโต๋ ดังนั้นขงหยงกับเล่าปี่จึงมีไมตรีกันตั้งแต่บัดนั้นมา ครั้นโจโฉได้เมืองปักไฮแล้ว ขงหยงได้เข้าสวามิภักดิ์และถูกเรียกตัวมารับราชการในเมืองหลวง และโจโฉก็รู้ดีว่า ขงหยงนั้นยังคงมีน้ำใจฝักใฝ่กับเล่าปี่แต่ยังไม่เห็นทีจะทำการ ครั้งนี้คำทักท้วงของ ขงหยงแม้จะมีผลเป็นการช่วยเหลือสองแม่ทัพให้รอดจากประหาร ซึ่งนับว่าเป็นการเกื้อกูลเล่าปี่โดยทางอ้อมอยู่อีกทางหนึ่ง แต่โจโฉก็เห็นว่ามีเหตุผลเพราะตัวเองก็รู้ดีว่าการใช้สองคนนี้ไปทำการศึกกับเล่าปี่นั้นเป็นความผิดพลาด แต่วิสัยโจโฉเป็นคนดื้อรั้นแบบวัวชน ถึงแม้จะคิดผิด ทำผิดก็ไม่มีวันจะรับผิด
หากพิเคราะห์ดูน้ำใจของโจโฉแล้วคงจะรู้สำนึกภายในใจตนเองว่ามีส่วนต้องรับผิดชอบในความพ่ายแพ้ของสองแม่ทัพที่ใช้คนผิด แต่แม้กระนั้นเมื่อสองแม่ทัพแพ้ศึกมาก็ต้องลงโทษประหาร ครั้นขงหยงขอชีวิตไว้จึงได้ช่องที่จะไม่ต้องทำบาปเอากับผู้ใต้บังคับบัญชาของตัวโดยไม่จำเป็น ดังนั้นโจโฉจึงรีบสั่งให้ทหารปล่อยตัวสองแม่ทัพเป็นอิสระ แต่ให้ถอดเสียจากตำแหน่งเป็นพลทหาร
สองแม่ทัพเมื่อได้รับการปล่อยตัวแล้วรีบคำนับลาโจโฉกลับไปบ้านด้วยความดีใจที่รอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด
เหลืออยู่เพียงโจโฉกับขงหยง โจโฉจึงปรึกษาลองใจขงหยงว่าเล่าปี่ได้รับชัยชนะครั้งนี้แล้วคงจะมีใจกำเริบและเติบใหญ่ขึ้นในวันหน้า หากละไว้นานไปจะปราบปรามได้ยากลำบาก จำจะรีบยกกองทัพไปกำจัดเล่าปี่เสีย
ในขณะที่โจโฉปรึกษาความนี้เป็นช่วงกลางฤดูหนาว หิมะตกขาวโพลนทั่วทั้งแผ่นดิน แต่ขงหยงไม่ทันความคิดโจโฉเกรงว่าเล่าปี่จะเป็นอันตราย จึงคิดหาทางออกเพื่อให้เล่าปี่มีเวลาตั้งตัวและเสนอโจโฉว่า หากท่านยกกองทัพไปในช่วงเวลานี้ ทหารจะได้ยากลำบากเพราะเป็นเทศกาลฤดูหนาว พื้นที่หลายแห่งเป็นน้ำแข็ง แม้บางที่ไม่เป็นน้ำแข็งก็มีหิมะตก ดังนั้นควรรอให้พ้นฤดูหนาวไปก่อน และควรอาศัยช่วงเวลานี้หาหนทางเกลี้ยกล่อมเล่าเปียวกับเตียวสิ้วเพื่อมิให้ต้องพะวงหลังในวันหน้า
โจโฉปรึกษาลองใจแล้วก็ประจักษ์ความคิดของขงหยง แต่ข้อที่ขงหยงได้เสนอขึ้นนั้นเป็นคุณประโยชน์แก่การศึกในวันหน้า ดังนั้นแม้ว่าจะไม่พอใจ ไม่ไว้วางใจ ขงหยง แต่ข้อเสนอที่เป็นประโยชน์นี้โจโฉกลับรับเอา นี่คือลักษณะพิเศษของโจโฉที่สามารถจำแนกแยกแยะมิตรศัตรู จำแนกผิดถูก จำแนกประโยชน์และโทษได้ชัดเจน
ดังนั้นโจโฉจึงสั่งให้เล่าหัวซึ่งเป็นที่ปรึกษาไปทำการเกลี้ยกล่อมเตียวสิ้ว เพราะเห็นว่าหากเตียวสิ้วยอมเข้าเป็นพวกแล้วจะมีผลต่อการเกลี้ยกล่อมเล่าเปียวให้เข้าเป็นพวกได้โดยง่ายต่อไปด้วย
เล่าหัวรับคำสั่งแล้วออกเดินทางจากเมืองหลวงไปเมืองเชงเอี๋ยง เข้าไปขอพบกาเซี่ยงซึ่งเป็นที่ปรึกษาคนสำคัญของเตียวสิ้ว เล่าหัวและกาเซี่ยงคารวะโอภาปราศรัยกันตามธรรมเนียมแล้ว เล่าหัวจึงว่าความพิพาทบาดหมางระหว่างโจโฉกับเตียวสิ้วแต่ครั้งก่อนนั้น โจโฉได้สำนึกแล้วว่าได้ล่วงเกินน้ำใจของเตียวสิ้ว และที่เตียวสิ้วล้างผลาญกองทัพโจโฉเสียเป็นอันมากนั้น โจโฉก็สิ้นความพยาบาทแล้ว บัดนี้มีความประสงค์ที่จะฟื้นฟูไมตรีระหว่างกันให้แน่นแฟ้นดังเดิม เพื่อจะได้ร่วมกันทำนุบำรุงแผ่นดินให้เป็นสุขสืบไป
กาเซี่ยงได้ฟังคำของเล่าหัวแล้ว น้ำใจก็เอนเอียงไปในทางที่จะผูกไมตรีกับโจโฉ ด้วยเหตุสองสถานคือสถานหนึ่งนั้นโจโฉครองอำนาจในเมืองหลวง เติบใหญ่กล้าแข็งมากขึ้นทุกวัน ยากที่จะมีหัวเมืองใดตั้งตัวเป็นศัตรูซึ่งหน้าได้ หากแข็งข้อกับโจโฉก็จะเกิดศึกสงครามให้เป็นที่เดือดร้อนต่อไป สถานที่สองนั้นโจโฉเคยเอื้อไมตรีไว้กับ กาเซี่ยงด้วยการเชิญให้กาเซี่ยงมาเป็นที่ปรึกษา แต่ในขณะนั้นกาเซี่ยงยังคงเห็นว่าพันธมิตรเล่าเปียว เตียวสิ้วเข้มแข็งเติบใหญ่อยู่ ทั้งเตียวสิ้วก็เชื่อฟังและเห็นความสำคัญของกาเซี่ยงอยู่แต่ผู้เดียวจึงบ่ายเบี่ยงไม่ยอมรับคำเชิญ
แต่มาครั้งนี้สถานการณ์ผันแปรไปเกือบหมดสิ้น กาเซี่ยงจึงตอบเล่าหัวว่าวันนี้เป็นเวลาค่ำแล้ว ขอเชิญท่านไปพักผ่อนที่บ้านพักรับรองแขกเมืองเสียเพลาหนึ่งก่อน ต่อพรุ่งนี้ข้าพเจ้าจะพาท่านไปพบปรึกษาหารือด้วยเตียวสิ้ว เล่าหัวฟังคำกาเซี่ยงดังนั้นก็รับคำ.
ในขณะที่สองแม่ทัพกำลังเดินทางกลับเมืองฮูโต๋นั้น เตียวหุยได้นำทหารไล่ติดตามไป พอทันกันแล้วเตียวหุยได้ขี่ม้ารำทวนไปขวางทางข้างหน้าไว้แล้วด่าว่าสองแม่ทัพว่าใช้คำลวงหลอกจนเล่าปี่หลงเชื่อปล่อยตัวกลับไป แต่ตัวเตียวหุยนั้นรู้ดีว่าสองแม่ทัพลวงเล่าปี่ จึงตามมาเพื่อจะสังหารเสียให้สิ้น
สองแม่ทัพและบรรดาทหารเห็นเตียวหุยแสดงความโกรธและจะเอาชีวิตก็ตกใจ ตัวสั่นอยู่ทั่วทุกตัวคน ในทันใดนั้นก็มีเสียงทหารม้าไล่ตามมาอีกหน่วยหนึ่ง ปรากฏว่าเป็นกวนอูนำทหารตรงมาที่เตียวหุย แล้วว่าน้องเราเจ้าอย่าทำวุ่นวายไป พี่ใหญ่ได้ออกปากปล่อยเขาไปแล้ว เจ้าจะทำให้พี่ใหญ่เราเสียคำสัตย์ไม่ได้
เตียวหุยจึงว่าหากปล่อยสองคนนี้ไปแล้ว วันหน้ายกกองทัพกลับมาอีกพี่รองจะว่าประการใด กวนอูจึงว่าไว้ถึงเวลานั้นเราค่อยฆ่าสองคนนี้ก็ยังไม่สาย วันนี้จำเป็นที่จะต้องรักษาคำสัตย์ของพี่ใหญ่ไว้ก่อน
เล่าต้ายและอองต๋งได้ยินกวนอู เตียวหุย โต้ตอบกันเช่นนั้นจึงกล่าวสอดขึ้นว่า การที่เล่าปี่ไว้ชีวิตไว้ในครั้งนี้เป็นพระคุณที่ไม่อาจลืมเลือนได้ตลอดไป ดังนั้นสืบไปภายหน้าถ้าแม้นโจโฉจะสั่งการให้ยกกองทัพมารบกับเล่าปี่ก็จะไม่ยอมยกมารบด้วยเป็นอันขาด ถึงแม้โจโฉจะฆ่าบุตรภรรยาเสียทั้งสิ้นก็จะไม่เปลี่ยนใจ ขอท่านทั้งสองจงวางใจพวกเรา ปล่อยกลับไปตามความตั้งใจของเล่าปี่เถิด
เตียวหุยจึงว่า พวกเจ้าโชคดีที่พี่รองของเรามาห้ามไว้ มิฉะนั้นเราจะไม่ละชีวิต เมื่อเป็นเช่นนี้พวกเจ้ารีบกลับไปเถิด อย่าอยู่ให้เราเหม็นหน้าอีกต่อไป เพราะหากเปลี่ยนใจแล้วพวกเจ้าจะลำบาก
เล่าต้ายและอองต๋งได้ยินดังนั้นจึงรีบชักม้านำทหารหนีไปอย่างรวดเร็ว
สามก๊กฉบับภาษาไทยได้พรรณนาเป็นทำนองว่าเตียวหุยและกวนอูนำทหารออกมาครั้งนี้เป็นเพราะเตียวหุยมีความแค้นชิงชังเล่าต้ายและอองต๋งที่หลอกลวงเล่าปี่จนทำให้เล่าปี่หลงเชื่อแล้วปล่อยตัวไป จากนั้นมีเหตุบังเอิญให้กวนอูสงสัยว่าเตียวหุยจะตามไล่ล่าสองแม่ทัพ จึงรีบนำทหารยกมาแล้วห้ามปรามไว้ แต่ฉบับภาษาจีนได้แสดงความชัดเจนว่าการกระทำของเตียวหุยและกวนอูครั้งนี้เป็นแผนการของเล่าปี่ที่ต้องการย้ำกับสองแม่ทัพให้มีใจยึดมั่นในไมตรีของเล่าปี่ ที่มีความสุจริตใจต่อโจโฉ เพื่อเร่งเร้าให้สองแม่ทัพได้ทำหน้าที่ทูตเจรจาความเมืองกับโจโฉโดยยืนอยู่ข้างเล่าปี่อย่างเต็มที่
และเพราะเหตุนี้กระมัง หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช จึงตั้งข้อสงสัยเอาว่าคนแต่งหนังสือสามก๊กซึ่งย่อมหมายถึงคณะผู้แปลที่นำโดยเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ว่าเป็นพวกของเล่าปี่
กวนอู เตียวหุย ปล่อยเล่าต้ายและอองต๋งไปแล้วจึงพากันยกกลับเข้าเมืองชีจิ๋ว เล่าปี่เห็นน้องร่วมสาบานทั้งสองกลับมาจึงเรียกประชุมที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกอง เพื่อหารือเกี่ยวกับการรับมือกับโจโฉต่อไป เพราะเล่าปี่คาดหมายว่าแม้จะใช้ความพยายามใช้ซากศพเดินได้ทั้งสองคนไปเป็นทูตเจรจาความแล้ว ในที่สุดโจโฉคงจะไม่รับฟัง และคงจะยกกองทัพมา
ที่ประชุมเห็นพ้องต้องกันว่าการเตรียมการรับมือกับโจโฉจะเป็นการรอบคอบยิ่งกว่าการที่จะตั้งความหวังว่าสองแม่ทัพกลับไปแล้วจะเจรจาความจนสามารถห้ามทัพ โจโฉไว้ได้ และเห็นว่าการตั้งรับศึกเฉพาะที่เมืองชีจิ๋วนั้นจะไม่เป็นการปลอดภัย
ดังนั้นจึงกำหนดแผนการรับมือโจโฉว่าให้กวนอูคุมทหารนำครอบครัวของเล่าปี่ไปอยู่ที่เมืองแห้ฝือ ให้ซุนเขียนกับตันหยง บิต๊ก บิฮอง คุมทหารอยู่รักษาเมืองชีจิ๋ว ส่วนเล่าปี่กับเตียวหุยคุมทหารไปรักษาเมืองเสียวพ่าย ถ้าหากโจโฉยกมาตีเมืองชีจิ๋วก็ให้ทหารทั้งเมืองแห้ฝือและเมืองเสียวพ่ายยกเข้ามาตีกระหนาบ หรือถ้าหากโจโฉยกไปตีเมืองใดเมืองหนึ่งก็ให้สองเมืองที่เหลือยกออกไปตีกระหนาบ
แผนการดังกล่าวดูผิวเผินแล้วคล้ายกับเป็นแผนการที่ดี แต่แท้จริงเป็นแผนการที่จะนำมาซึ่งความผิดพลาดล้มเหลวอย่างใหญ่หลวงของกองทัพเล่าปี่ เพราะการแบ่งทหารออกเป็นสามกอง แยกไปตั้งรับในสามเมือง ทำให้กำลังทหารของเล่าปี่ซึ่งมีน้อยอยู่แล้วต้องแยกย่อยเหลืออยู่ในแต่ละเมืองน้อยลงอีก ทำให้แต่ละเมืองไม่มีกำลังเพียงพอที่จะรับมือกับกองทัพของโจโฉได้
นอกจากนั้นระยะทางระหว่างเมืองก็ต้องใช้เวลาในการเดินทาง ซึ่งขณะนั้นระบบการสื่อสารยังไม่ทันสมัย หากเกิดศึกก็ไม่อาจสื่อสารประสานการรบเข้ากันเป็นเอกภาพได้
เป็นที่น่าสังเกตว่าการหารือในครั้งนี้ไม่มีตันเต๋งเข้าร่วมประชุมด้วย แต่สามก๊กทุกฉบับไม่ได้ระบุสาเหตุว่าเหตุใดจึงไม่มีตันเต๋งเข้าร่วมประชุม ทั้ง ๆ ที่เล่าปี่ได้สัมผัสและรับรู้แล้วว่าความคิด สติปัญญาการสงครามของตันเต๋งนั้นเป็นยอดกว่าทุกคนในบรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองของเล่าปี่
เหตุทั้งนี้คงจะเป็นความจริงตามที่นักสังเกตการณ์สามก๊กหลายท่านได้ตั้งความสังเกตว่าภายในกองทัพของเล่าปี่นั้นล้วนแล้วแต่ผู้คนซึ่งมีจิตใจคับแคบ ขาดการเปิดกว้างทั้งในด้านการแสวงหาคนดีมีสติปัญญาเข้ามาร่วมการ และในด้านการแสวงหาความคิดเห็นนอกพวก นอกหมู่เหล่า จึงทำให้กองทัพของเล่าปี่มีแต่คนหน้าเดิมมาเป็นเวลายาวนาน
ความจริงแผนการรับศึกดังกล่าวนั้นมีจุดอ่อนที่เห็นได้ชัด และจุดอ่อนนี้เป็นจุดอ่อนที่ตันเต๋งเคยวางแผนกับตันกุ๋ยผู้บิดาในการสลายกำลังของลิโป้ โดยหลอกลิโป้ให้แบ่งกำลังออกจากเมืองชีจิ๋วไปอยู่เมืองแห้ฝือส่วนหนึ่งและเมืองเสียวพ่ายอีกส่วนหนึ่ง แผนการความคิดของตันเต๋งในการศึกระหว่างโจโฉกับลิโป้ครั้งนั้นเป็นไปเพื่อทำลาย ลิโป้จึงให้แยกสลายทหารของลิโป้จากเมืองชีจิ๋วเป็นสามส่วน เป็นผลให้ลิโป้ต้องแพ้สงครามจนตัวตาย แต่มาครั้งนี้คณะที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองของเล่าปี่ไม่ได้ถูกใครหลอก ไม่ได้ถูกใครลวง แต่กลับพร่ากำลังของตนเอง แยกสลายกำลังของตนเอง ทำให้แต่ละเมืองเหลือกำลังทหารอยู่เพียงหนึ่งในสามเท่านั้น
คัมภีร์พิชัยสงครามว่าไว้ว่า แพ้ชนะของสงครามนั้นย่อมประจักษ์ตั้งแต่ในชั้นการวางแผนการศึกแล้ว หาต้องรอจนกระทั่งประดาบจนเลือดเดือดไม่ แผนการรับศึกครั้งนี้ของกองทัพเล่าปี่จึงเป็นแผนที่นำมาซึ่งความพ่ายแพ้ตั้งแต่ต้นมือแล้ว
ฝ่ายเล่าต้ายกับอองต๋งซึ่งบัดนี้มีสภาพเป็นทูตที่เป็นซากศพเดินได้ เมื่อเดินทางกลับถึงเมืองฮูโต๋จึงเข้าไปรายงานการศึกให้โจโฉทราบ แล้วว่า “เล่าปี่มีใจสุจริตคิดถึงคุณท่านอยู่มิได้ขาด จะได้คิดร้ายต่อท่านหามิได้ ซึ่งให้กวนอู เตียวหุย ออกมารบด้วยข้าพเจ้านั้นเป็นธรรมดารักษาชีวิต บัดนี้เล่าปี่ปล่อยข้าพเจ้ามาให้แจ้งข้อราชการแก่ท่านโดยสุจริต”
พลันที่โจโฉได้ฟังรายงานของสองซากศพนี้แล้วมีความโกรธสองแม่ทัพถึงขีดสุดร้องด่าสวนกลับมาในทันทีว่า “อ้ายทหารเดนตายเช่นนี้จะเลี้ยงไว้มิได้” ซึ่งแสดงว่าสิ่งที่เล่าปี่หลอกใช้สองแม่ทัพนั้นไม่สามารถตบตาโจโฉได้ และโจโฉก็รู้ทันความคิดของ เล่าปี่ ดังนั้นจึงโกรธสองแม่ทัพอย่างรุนแรง แล้วสั่งให้จับสองแม่ทัพเอาตัวไปประหารในทันที
ขงหยงซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ด้วยได้ห้ามโจโฉและเตือนสติโจโฉว่า “อันฝีมือเล่าต้าย อองต๋ง ซึ่งจะทานฝีมือความคิดเล่าปี่นั้นไม่ได้ แลท่านจะให้ฆ่าเล่าต้าย อองต๋งเสีย ทหารทั้งปวงจะทำการสืบไปก็จะเสียใจ”
อันขงหยงผู้นี้เคยเป็นเจ้าเมืองปักไฮเมื่อครั้งที่โจโฉยกไปรบกับโตเกี๋ยมเจ้าเมืองชีจิ๋ว ขงหยงและเล่าปี่ได้ยกกองทัพมาช่วยโตเกี๋ยม ในที่สุดโจโฉต้องเลิกทัพกลับเมือง ฮูโต๋ ดังนั้นขงหยงกับเล่าปี่จึงมีไมตรีกันตั้งแต่บัดนั้นมา ครั้นโจโฉได้เมืองปักไฮแล้ว ขงหยงได้เข้าสวามิภักดิ์และถูกเรียกตัวมารับราชการในเมืองหลวง และโจโฉก็รู้ดีว่า ขงหยงนั้นยังคงมีน้ำใจฝักใฝ่กับเล่าปี่แต่ยังไม่เห็นทีจะทำการ ครั้งนี้คำทักท้วงของ ขงหยงแม้จะมีผลเป็นการช่วยเหลือสองแม่ทัพให้รอดจากประหาร ซึ่งนับว่าเป็นการเกื้อกูลเล่าปี่โดยทางอ้อมอยู่อีกทางหนึ่ง แต่โจโฉก็เห็นว่ามีเหตุผลเพราะตัวเองก็รู้ดีว่าการใช้สองคนนี้ไปทำการศึกกับเล่าปี่นั้นเป็นความผิดพลาด แต่วิสัยโจโฉเป็นคนดื้อรั้นแบบวัวชน ถึงแม้จะคิดผิด ทำผิดก็ไม่มีวันจะรับผิด
หากพิเคราะห์ดูน้ำใจของโจโฉแล้วคงจะรู้สำนึกภายในใจตนเองว่ามีส่วนต้องรับผิดชอบในความพ่ายแพ้ของสองแม่ทัพที่ใช้คนผิด แต่แม้กระนั้นเมื่อสองแม่ทัพแพ้ศึกมาก็ต้องลงโทษประหาร ครั้นขงหยงขอชีวิตไว้จึงได้ช่องที่จะไม่ต้องทำบาปเอากับผู้ใต้บังคับบัญชาของตัวโดยไม่จำเป็น ดังนั้นโจโฉจึงรีบสั่งให้ทหารปล่อยตัวสองแม่ทัพเป็นอิสระ แต่ให้ถอดเสียจากตำแหน่งเป็นพลทหาร
สองแม่ทัพเมื่อได้รับการปล่อยตัวแล้วรีบคำนับลาโจโฉกลับไปบ้านด้วยความดีใจที่รอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด
เหลืออยู่เพียงโจโฉกับขงหยง โจโฉจึงปรึกษาลองใจขงหยงว่าเล่าปี่ได้รับชัยชนะครั้งนี้แล้วคงจะมีใจกำเริบและเติบใหญ่ขึ้นในวันหน้า หากละไว้นานไปจะปราบปรามได้ยากลำบาก จำจะรีบยกกองทัพไปกำจัดเล่าปี่เสีย
ในขณะที่โจโฉปรึกษาความนี้เป็นช่วงกลางฤดูหนาว หิมะตกขาวโพลนทั่วทั้งแผ่นดิน แต่ขงหยงไม่ทันความคิดโจโฉเกรงว่าเล่าปี่จะเป็นอันตราย จึงคิดหาทางออกเพื่อให้เล่าปี่มีเวลาตั้งตัวและเสนอโจโฉว่า หากท่านยกกองทัพไปในช่วงเวลานี้ ทหารจะได้ยากลำบากเพราะเป็นเทศกาลฤดูหนาว พื้นที่หลายแห่งเป็นน้ำแข็ง แม้บางที่ไม่เป็นน้ำแข็งก็มีหิมะตก ดังนั้นควรรอให้พ้นฤดูหนาวไปก่อน และควรอาศัยช่วงเวลานี้หาหนทางเกลี้ยกล่อมเล่าเปียวกับเตียวสิ้วเพื่อมิให้ต้องพะวงหลังในวันหน้า
โจโฉปรึกษาลองใจแล้วก็ประจักษ์ความคิดของขงหยง แต่ข้อที่ขงหยงได้เสนอขึ้นนั้นเป็นคุณประโยชน์แก่การศึกในวันหน้า ดังนั้นแม้ว่าจะไม่พอใจ ไม่ไว้วางใจ ขงหยง แต่ข้อเสนอที่เป็นประโยชน์นี้โจโฉกลับรับเอา นี่คือลักษณะพิเศษของโจโฉที่สามารถจำแนกแยกแยะมิตรศัตรู จำแนกผิดถูก จำแนกประโยชน์และโทษได้ชัดเจน
ดังนั้นโจโฉจึงสั่งให้เล่าหัวซึ่งเป็นที่ปรึกษาไปทำการเกลี้ยกล่อมเตียวสิ้ว เพราะเห็นว่าหากเตียวสิ้วยอมเข้าเป็นพวกแล้วจะมีผลต่อการเกลี้ยกล่อมเล่าเปียวให้เข้าเป็นพวกได้โดยง่ายต่อไปด้วย
เล่าหัวรับคำสั่งแล้วออกเดินทางจากเมืองหลวงไปเมืองเชงเอี๋ยง เข้าไปขอพบกาเซี่ยงซึ่งเป็นที่ปรึกษาคนสำคัญของเตียวสิ้ว เล่าหัวและกาเซี่ยงคารวะโอภาปราศรัยกันตามธรรมเนียมแล้ว เล่าหัวจึงว่าความพิพาทบาดหมางระหว่างโจโฉกับเตียวสิ้วแต่ครั้งก่อนนั้น โจโฉได้สำนึกแล้วว่าได้ล่วงเกินน้ำใจของเตียวสิ้ว และที่เตียวสิ้วล้างผลาญกองทัพโจโฉเสียเป็นอันมากนั้น โจโฉก็สิ้นความพยาบาทแล้ว บัดนี้มีความประสงค์ที่จะฟื้นฟูไมตรีระหว่างกันให้แน่นแฟ้นดังเดิม เพื่อจะได้ร่วมกันทำนุบำรุงแผ่นดินให้เป็นสุขสืบไป
กาเซี่ยงได้ฟังคำของเล่าหัวแล้ว น้ำใจก็เอนเอียงไปในทางที่จะผูกไมตรีกับโจโฉ ด้วยเหตุสองสถานคือสถานหนึ่งนั้นโจโฉครองอำนาจในเมืองหลวง เติบใหญ่กล้าแข็งมากขึ้นทุกวัน ยากที่จะมีหัวเมืองใดตั้งตัวเป็นศัตรูซึ่งหน้าได้ หากแข็งข้อกับโจโฉก็จะเกิดศึกสงครามให้เป็นที่เดือดร้อนต่อไป สถานที่สองนั้นโจโฉเคยเอื้อไมตรีไว้กับ กาเซี่ยงด้วยการเชิญให้กาเซี่ยงมาเป็นที่ปรึกษา แต่ในขณะนั้นกาเซี่ยงยังคงเห็นว่าพันธมิตรเล่าเปียว เตียวสิ้วเข้มแข็งเติบใหญ่อยู่ ทั้งเตียวสิ้วก็เชื่อฟังและเห็นความสำคัญของกาเซี่ยงอยู่แต่ผู้เดียวจึงบ่ายเบี่ยงไม่ยอมรับคำเชิญ
แต่มาครั้งนี้สถานการณ์ผันแปรไปเกือบหมดสิ้น กาเซี่ยงจึงตอบเล่าหัวว่าวันนี้เป็นเวลาค่ำแล้ว ขอเชิญท่านไปพักผ่อนที่บ้านพักรับรองแขกเมืองเสียเพลาหนึ่งก่อน ต่อพรุ่งนี้ข้าพเจ้าจะพาท่านไปพบปรึกษาหารือด้วยเตียวสิ้ว เล่าหัวฟังคำกาเซี่ยงดังนั้นก็รับคำ.