ตอนที่ 111. อุบาย "ใช้ศพเดินได้ไปเป็นทูต"

ฝ่ายเล่าต้ายทราบว่าอองต๋งเสียทีถูกกวนอูจับเป็นได้และบัดนี้เตียวหุยยกทหารมาท้ารบอยู่หน้าค่ายก็เกรงว่าจะเสียทีจึงนิ่งเสียไม่ยอมออกรบพุ่ง เตียวหุยคุมทหารท้ารบอยู่หน้าค่ายของเล่าต้ายท่ามกลางลมหนาวถึงห้าวัน เห็นเล่าต้ายไม่ออกมารบจึงคิดกลอุบายเพื่อจะลวงให้เล่าต้ายยกออกมารบ

            คนวู่วามแบบเตียวหุยซึ่งไม่เคยใช้สติปัญญาหรืออุบายในการศึกกำลังคิดเอาจุดอ่อนตัวแปรเป็นจุดแข็งเพื่อจะจับเป็นเล่าต้ายให้ได้ เมื่อคิดเช่นนี้แล้วเตียวหุยจึงสั่งเรียกประชุมบรรดาทหารเพื่อทำการตรวจพล แล้วกล่าวกับที่ชุมนุมทหารนั้นว่าคืนวันนี้เวลาสองยามให้ทุกหน่วยเตรียมกำลังไว้ให้พร้อม เราจะยกกำลังเข้าปล้นเอาค่ายเล่าต้ายให้จงได้ และให้ปกปิดแผนการเข้าปล้นค่ายครั้งนี้อย่าให้ล่วงรู้ถึงเล่าต้ายเป็นอันขาด

            สั่งการเสร็จเตียวหุยสั่งให้ทหารคนสนิทนำสุรามาดื่มที่หน้าค่ายของตัว ทำทีเป็นเมามายแล้วพาลหาเหตุเอากับทหารเลวคนหนึ่งว่าไม่ใส่ใจในการเฝ้าเวรยาม ให้ลงโทษโบยสามสิบที แล้วให้คุมตัวไปขังไว้

            จากนั้นเตียวหุยได้เรียกทหารคนสนิทมาสั่งว่าย่ำค่ำวันนี้ให้เจ้าเข้าไปปล่อยตัวทหารเลวผู้นั้นเสีย และให้อ้างว่ามีน้ำใจสงสารที่ถูกลงโทษโดยไม่มีความผิดจึงลอบมาปล่อยตัวให้พ้นจากโทษ และให้ชี้แนะทหารเลวนั้นให้หนีไปสวามิภักดิ์กับเล่าต้าย

            ครั้นค่ำลงทหารคนสนิทของเตียวหุยจึงลอบเข้าไปยังที่คุมขังซึ่งทหารเลวถูกลงโทษอยู่นั้น ทหารเลวผู้นั้นเห็นทหารเข้ามาในที่คุมขังก็ตกใจกลัวคิดว่าจะถูกเอาตัวไปประหาร จึงคุกเข่าลงขอความเห็นใจว่าไม่ได้กระทำความผิด แต่ถูกเตียวหุยซึ่งเมาสุราพาลหาเหตุลงโทษ ขอให้หาหนทางช่วยเหลือแล้วจะไม่ลืมพระคุณ

            ทหารคนสนิทของเตียวหุยจึงว่าเราสองคนล้วนมีหัวอกเป็นอย่างเดียวกัน ทุกวันนี้อยู่กับเตียวหุยด้วยความชอกช้ำระกำใจ เพราะตัวเรานั้นแท้จริงเป็นทหารของโจโฉ เมื่อโจโฉให้เล่าปี่ยืมทหารแล้วเราจึงตกอยู่กับเล่าปี่ด้วยความจำใจ เราเห็นท่านถูกกลั่นแกล้งลงโทษอย่างไม่เป็นธรรมก็มีใจสงสาร จึงลอบมาถึงที่นี่เพื่อจะปล่อยตัวท่านไป

            ทหารเลวผู้นั้นรีบคำนับแสดงความขอบคุณแล้วว่า เวลานี้ค่ำแล้วไม่รู้ที่จะไปหนทางใด ข้าพเจ้าจะไปเข้าด้วยเล่าต้ายจึงจะปลอดภัย ทหารคนสนิทของเตียวหุยจึงว่าความคิดของท่านต้องด้วยความเห็นของเรา เพราะเล่าต้ายเป็นแม่ทัพของโจโฉคงจะอุปการะท่านมิให้อนาทร ขอท่านได้แจ้งให้เล่าต้ายทราบด้วยว่าตัวเรานี้ก็เป็นพวกเดียวกัน เมื่อเป็นทีแล้วก็จะหาทางให้เตียวหุยพ่ายแพ้จงได้ ว่าแล้วก็ปล่อยตัวทหารเลวผู้นั้นออกจากที่คุมขังไป

            ทหารเลวที่ต้องโทษออกจากที่คุมขังแล้วรีบหนีไปยังค่ายของเล่าต้ายแล้วเล่าความตามที่ตัวประสบให้เล่าต้ายฟังทุกประการ เล่าต้ายได้ฟังดังนั้นจึงสั่งทหารให้ตรวจสอบร่างกายของทหารเลวผู้นั้น ครั้นปรากฏรอยแผลต้องโทษโบยตรงกับคำพูดจึงเชื่อว่าความที่ทหารเลวนั้นนำมาแจ้งเป็นความจริง ก็ดีใจเห็นเป็นโอกาสที่จะจับตัวเตียวหุยเป็นความชอบได้จึงรีบเรียกแม่ทัพนายกองมาปรึกษาเพื่อรับมือกับการปล้นค่ายของเตียวหุยในคืนวันนี้

            ปรึกษากันเสร็จเล่าต้ายจึงสั่งการให้ยกทหารออกจากค่ายไปซุ่มไว้ด้านหลังค่าย เมื่อใดที่เตียวหุยยกเข้าปล้นค่ายก็จะจุดประทัดสัญญาณขึ้น แล้วให้ทุกหน่วยตีกระหนาบเข้ามาพร้อมกันก็จะจับเตียวหุยได้โดยสะดวก

            ฝ่ายทหารคนสนิทของเตียวหุยเมื่อปล่อยทหารเลวผู้ต้องโทษไปแล้วก็กลับไปรายงานให้เตียวหุยทราบ เตียวหุยจึงว่าเมื่อเล่าต้ายได้ข่าวจากทหารเลวว่าเราจะเข้าปล้นค่ายตอนสองยามคืนนี้ คงจะยกทหารออกไปซุ่มไว้หลังค่ายแล้วตีกระหนาบเรา ดังนั้นเราจะซ้อนกลเล่าต้ายเพื่อจับเป็นเล่าต้ายให้จงได้

            ว่าแล้วเตียวหุยจึงเรียกแม่ทัพนายกองมาสั่งการ แบ่งทหารออกเป็นสามกอง ตัวเตียวหุยคุมทหารเพียงสามสิบคนเพื่อบุกเข้าไปในค่ายของเล่าต้าย ส่วนอีกสองกองมีจำนวนแต่ละกองเท่ากัน ให้ลอบยกอ้อมไปทางด้านหลังค่ายของเล่าต้ายอย่างเงียบกริบ ถ้าเมื่อใดเห็นแสงเพลิงไหม้ค่ายเล่าต้ายแล้วก็ให้ตีกระหนาบเข้ามา

            พิเคราะห์แผนการดังนี้ของเตียวหุยแล้ว เห็นได้ว่าเตียวหุยนั้นมิใช่แต่จะเป็นคนวู่วามด้วยโทสะจริตเพียงอย่างเดียว แต่ความคิดอ่านวางแผนและกำหนดแผนการซ้อนกลครั้งนี้นับว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่คนแบบเตียวหุยสามารถคิดอ่านได้ลึกซึ้งถึงขนาดนี้ และย่อมเป็นที่แน่นอนว่าเป็นเรื่องนอกเหนือความคิดของข้าศึกด้วย อย่าว่าแต่คนระดับเล่าต้ายที่จะต้องกลดังกล่าว ต่อให้โจโฉบัญชาการทัพเองก็ย่อมคาดคิดไปไม่ถึงว่าคนแบบเตียวหุยจะมีการคิดอ่านวางแผนการรบได้เช่นนี้

            ความคิดครั้งนี้ของเตียวหุยจะว่าเป็นความบังเอิญหรือจะว่าเป็นบุญของเล่าปี่ก็สุดยากจะคาดคิด แต่สถานการณ์ที่เป็นจริงก็คือเตียวหุยได้คิดอ่านวางกลอุบายหลอกเล่าต้ายให้ต้องกลแล้วคิดอ่านซ้อนกลเล่าต้ายอีกชั้นหนึ่ง

            ครั้นสั่งการเสร็จทหารสองกองของเตียวหุยจึงอาศัยความมืดเป็นเครื่องกำบังกายลอบยกไปซุ่มอยู่ด้านหลังค่ายของเล่าต้ายห่างระยะทางประมาณหนึ่งร้อยเส้น พอได้เวลาสองยามเตียวหุยก็นำทหารสามสิบคนตรงไปที่ค่ายของเล่าต้าย

            เตียวหุยได้นำทหารสามสิบคนฝ่าเข้าไปในค่ายร้างของเล่าต้ายโดยสะดวก แล้วให้ทหารจุดเพลิงเผาค่ายเล่าต้าย ฝ่ายทหารของเล่าต้ายซึ่งซุ่มอยู่ด้านหลังค่ายเมื่อรู้ว่าเตียวหุยยกมาปล้นค่ายแต่ไม่รู้ว่ามีกำลังทหารมามากน้อยเท่าใดเพราะเป็นเวลากลางคืนเดือนมืด จึงจุดประทัดสัญญาณขึ้นตามแผนที่เล่าต้ายสั่งไว้

            ทหารของเล่าต้ายทุกหน่วยจึงโห่ร้องออกจากที่ซุ่ม รุมล้อมเข้ามาที่ในค่าย ฝ่ายทหารของเตียวหุยที่ซุ่มซ้อนอยู่ทางด้านหลังค่ายของเล่าต้ายเห็นแสงเพลิงสัญญาณไหม้ขึ้นในค่ายของเล่าต้ายจึงพากันโห่ร้องรีบยกตีกระหนาบเข้ามาพร้อมกันทั้งสองกอง

            เล่าต้ายและทหารตกอยู่ในท่ามกลางวงล้อมของทหารเตียวหุยทั้งสามด้านจึงพากันตื่นตกใจ ละล้าละลังไปทุกตัวคน ทหารของเตียวหุยเห็นเป็นทีจึงรุกตีกระหนาบฆ่าฟันทหารเล่าต้ายล้มตายลงเป็นอันมาก ตัวเล่าต้ายซึ่งคุมทหารล่วงหน้าเข้ามาในค่ายปะทะเข้ากับเตียวหุย รบกันได้เพลงเดียวเตียวหุยก็จับเป็นเล่าต้ายได้

            ทหารของเล่าต้ายเห็นเล่าต้ายถูกจับก็พากันแตกหนีอย่างไม่เป็นกระบวน พวกที่หนีไม่ทันก็ยอมเข้าสวามิภักดิ์ด้วยเตียวหุยเป็นจำนวนมาก เตียวหุยจึงให้ทหารมัดเล่าต้ายแล้วยกกลับเข้าเมืองชีจิ๋ว และให้ทหารสื่อสารรีบล่วงหน้าเข้าไปรายงานเล่าปี่ก่อน

            เล่าปี่ทราบความศึกแล้วมีความยินดีเป็นอันมาก จึงว่ากับกวนอูว่า “เตียวหุยเป็นคนใจเร็วดื้อดึง ครั้งนี้คิดเป็นกลอุบายจับตัวเล่าต้ายได้ ซึ่งเตียวหุยมีสติปัญญาขึ้นดังนี้เห็นจะประกอบบุญเราขึ้น เราค่อยมีความสบายนัก”

            เล่าปี่ได้ประเมินสถานการณ์ที่เตียวหุยคิดอ่านวางแผนซ้อนกลเล่าต้ายว่าเป็นเพราะบุญวาสนาของตัว จึงทำให้เตียวหุยเกิดความคิดอ่านและมีสติปัญญาวางแผนการได้ถึงเพียงนี้

            ครั้นรุ่งขึ้นเล่าปี่จึงพากวนอูออกไปรับเตียวหุยถึงนอกเมือง เตียวหุยเห็นเล่าปี่ออกมารับก็ดีใจ รีบเข้าไปคำนับเล่าปี่ แล้วกล่าวในเชิงกระทบเล่าปี่ว่า “พี่ติเตียนข้าพเจ้าว่าเป็นคนใจเร็ว ดื้อดึง บัดนี้ข้าพเจ้าคิดอ่านจับตัวเล่าต้าย พี่ยังเห็นปัญญาข้าพเจ้าแล้วหรือ”

            เตียวหุยกล่าวโอ่เล่าปี่ว่าทำการด้วยสติปัญญาเหนือความคาดคิด ดูประหนึ่งคล้ายกับเป็นเด็ก ๆ ที่ทำความชอบแล้วก็โอ่อวดความคิดสติปัญญาตัว เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นจึงว่า “ถ้าพี่ไม่ข่มเจ้าไว้ เจ้าก็เลินเล่อใจ ที่ไหนจะจับตัวเล่าต้ายได้”

            คำพูดของเล่าปี่ดังนี้แสดงให้เห็นว่าแม้เตียวหุยจะเป็นน้องร่วมสาบาน ซึ่งเล่าปี่วางใจเป็นที่สุด แต่ครั้นถึงบทจะใช้ทำการแล้วก็ยังคงต้องใช้กลวิธีในการใช้คนเพื่อให้เตียวหุยทำการบรรลุผลสำเร็จดังประสงค์

            เล่าปี่กล่าวกับเตียวหุยแล้วรีบลงจากหลังม้าเข้าไปแก้มัดเล่าต้าย คำนับเล่าต้ายแล้วว่าน้องร่วมสาบานของข้าพเจ้าได้กระทำล่วงเกินต่อท่าน ข้าพเจ้าขออภัยแทนน้องด้วยเถิด ขอท่านอย่าได้ถือโทษโกรธพยาบาทต่อไปเลย แล้วเล่าปี่จึงสั่งให้ทหารเอาม้ามาให้เล่าต้ายขี่ แล้วขับม้าเคียงคู่กันเข้าไปในเมืองชีจิ๋ว

            เล่าปี่พาเล่าต้ายมาที่จวนเจ้าเมือง แล้วให้แต่งโต๊ะเลี้ยงรับขวัญเล่าต้ายและให้นำตัวอองต๋งมาร่วมโต๊ะด้วย จากนั้นจึงกล่าวกลับเล่าต้ายว่า “เดิมเรายกมานี้จะได้คิดร้ายต่อมหาอุปราชนั้นหามิได้ เราคิดจะสนองคุณมหาอุปราชอยู่ทุกเวลามิได้ขาด แลกีเหมาเป็นคนหยาบช้า คิดจะทำร้ายเราให้ถึงสิ้นชีวิตเราจึงฆ่ากีเหมาเสีย มหาอุปราชมิได้แจ้งว่ากีเหมาคิดร้ายต่อเราก่อน จึงให้ท่านทั้งสองคุมทหารเป็นแม่ทัพมาจับเรา ธรรมดาเกิดมาก็ย่อมรักชีวิตอยู่เหมือนกันทุกคน เราจึงคิดรักษาตัวด้วยความจำเป็น ซึ่งกวนอู เตียวหุย ทำแก่ท่านทั้งสองนั้นท่านอย่าได้พยาบาทเลย บัดนี้เราจะให้ท่านทั้งสองกลับไปแจ้งข้อราชการแก่มหาอุปราช ท่านช่วยว่ากล่าวให้เห็นความจริงของเรา ไมตรีท่านทั้งสองจะได้มีต่อเราสืบไป”

            ความในตอนนี้ได้แสดงให้เห็นความคิดของเล่าปี่ที่ทำศึกกับเล่าต้ายและอองต๋งมาตั้งแต่ต้นว่าเล่าปี่นั้นยังไม่ประสงค์จะแตกหักกับโจโฉ และหวังจะได้ตัวสองแม่ทัพเป็นปากเสียงไปเจรจาความแทนตัวกับโจโฉ จึงคิดจับเป็นสองแม่ทัพตั้งแต่ต้น เหตุนี้จึงให้กวนอูออกไปรบเพื่อจับอองต๋งก่อน แล้วใช้กลวิธีที่ทำให้เตียวหุยต้องอาสาออกไปจับเป็นเล่าต้ายอีกคนหนึ่ง ครั้นจับได้แล้วก็พยายามแสดงไมตรีผูกน้ำใจและมอบหมายภารกิจอย่างแยบยลให้สองแม่ทัพไปเจรจาความกับโจโฉแทนตัว

            การที่เล่าปี่ละชีวิตสองแม่ทัพไว้และผูกใจใช้ให้เป็นทูตไปเจรจาความกับโจโฉครั้งนี้คืออุบายที่เรียกว่า “ใช้ศพเดินได้ไปเป็นทูตเจรจาความเมือง” หากเจรจาความสำเร็จก็จะเกิดผลดีสถานเดียว หากเจรจาความไม่สำเร็จแล้วซากศพเดินได้ทั้งสองคนนี้ถูกประหารชีวิต ก็เท่ากับเป็นการยืมมือข้าศึกให้ประหัตประหารกันเอง นับว่าเป็นแผนการความคิดที่ลึกล้ำจริง ๆ

            สองแม่ทัพได้รับไมตรีของเล่าปี่ด้วยท่าทีท่วงทำนองที่อ่อนน้อมและเต็มไปด้วยความสุจริตต่อโจโฉก็เชื่อคำเล่าปี่ เพราะความที่ว่าโจโฉไม่รู้ว่ากีเหมาคิดร้ายต่อเล่าปี่นั้นแท้จริงแล้วเล่าปี่รู้อยู่เต็มอกว่าโจโฉเป็นผู้สั่งให้กีเหมาทำร้ายตัว แต่ความแตกด้วยตันเต๋งเอาความมาแจ้งแก่กวนอู เตียวหุยเสียก่อน แต่เล่าปี่ก็เปิดทางถอยให้กับโจโฉ โดยแสร้งทำเป็นไม่รู้ว่าโจโฉเป็นผู้สั่งให้กีเหมากำจัดเล่าปี่ จึงกล่าวเปิดทางว่าโจโฉไม่ทราบความว่ากีเหมาคิดร้ายต่อตัว จึงจำเป็นต้องป้องกันตัว ทั้ง ๆ ที่ยังมีใจจงรักภักดีต่อโจโฉอยู่

            ดังนั้นสองแม่ทัพของโจโฉจึงว่า การที่ท่านไว้ชีวิตข้าพเจ้าทั้งสองนี้เป็นพระคุณที่ไม่อาจจะลืมเลือนได้ชั่วชีวิต เมื่อกลับไปแล้วข้าพเจ้าทั้งสองจะเล่าความจริงใจและความภักดีของท่านให้โจโฉทราบว่าท่านมีความจำเป็นต้องป้องกันตัวจากการคิดร้ายของกีเหมา

            และว่า “ถ้ามหาอุปราชไม่เชื่อข้าพเจ้าจะเอาบุตรภรรยาไว้เป็นจำนำ แม้สืบไปเมื่อหน้าท่านคิดร้ายประการใดก็ให้ฆ่าบุตรภรรยาข้าพเจ้าเสีย”

            เล่าปี่ลงทุนแสดงอัธยาศัยไมตรีแก้มัดสองแม่ทัพแล้วแต่งโต๊ะเลี้ยง ตลอดจนกล่าวปิยวาจาผูกใจสองแม่ทัพ แม้จะนับว่าเป็นการลงทุนที่ไม่มากนัก แต่ได้ผลเกินค่าเพราะสองแม่ทัพเชื่อคำเล่าปี่สนิทใจถึงขนาดยอมเอาลูกเมียเข้าเป็นจำนำค้ำประกันความสุจริตของเล่าปี่ไว้กับโจโฉ หากเมื่อใดเล่าปี่เอาใจออกหากคิดร้ายกับโจโฉแล้วก็ยอมให้โจโฉฆ่าบุตรภรรยาของตัวเสีย และต้องนับว่าการที่โจโฉใช้สองคนนี้มารบกับ เล่าปี่นั้นเป็นการใช้คนผิดจริง ๆ

            เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ยินดี ลุกขึ้นคำนับสองแม่ทัพแล้วสั่งให้ทหารจัดเตรียมการให้สองแม่ทัพกลับไปเมืองฮูโต๋โดยคืนทั้งม้าและคนที่จับไว้ได้ให้กับสองแม่ทัพไปจนหมดสิ้น แล้วเล่าปี่ได้ออกมาส่งสองแม่ทัพจนพ้นประตูเมือง

            สองแม่ทัพนำทหารที่ได้รับคืนมาออกจากเมืองชีจิ๋วไปได้ประมาณห้าร้อยเส้น พลันได้ยินเสียงทหารม้าไล่ตามมาข้างหลัง ปรากฏว่าเป็นเตียวหุยนำทหารไล่ตามสองแม่ทัพไป.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร