ตอนที่ 109. อุบาย "เขียนเสือให้วัวกลัว"
แถลงการณ์ของตันหลิมที่ขุดโคตรเหง้าและความชั่วช้าสารเลวของโจโฉในครั้งนี้นับเป็นแถลงการณ์ทางการเมืองฉบับประวัติศาสตร์ฉบับหนึ่งก่อนที่ปิงอ๋องได้ทำแถลงการณ์ประณามพระนางบูเช็กเทียนว่าเป็นสตรีที่ชั่วร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์จีน เป็นสตรีที่มีร้อยชู้พันผัวเมื่อครั้งปลายแผ่นดินพระเจ้าถังไท้จงฮ่องเต้
แถลงการณ์ฉบับนี้เป็นเชิงเปรียบเทียบให้เห็นว่า โจโฉซึ่งแม้ครองตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี แต่พื้นเพเดิมก็เป็นเชื้อสายคนขอทานที่ถูกอุปโลกขึ้นมาเป็นเชื้อสายขุนนาง เทียบไม่ได้กับอ้วนเสี้ยวซึ่งเป็นเชื้อสายขุนนางแท้ถึงสามชั่วอายุคน แถลงการณ์ในประเด็นนี้มุ่งหมายที่จะดึงความนิยมเลื่อมใสจากผู้คนที่ยังมีความคิดเห็นเชื่อถือว่าความดีความชั่วขึ้นอยู่กับเชื้อสายวงศ์ตระกูล
ในประการถัดมาได้ชี้ให้เห็นถึงการล่วงละเมิดหลักการปกครองสำคัญอันเป็นที่ตั้งแห่งความร่มเย็นของบ้านเมือง และความผาสุขของปวงชน ซึ่งประกอบขึ้นด้วยองค์สามคือโลกนิติหนึ่ง ธรรมนิติหนึ่ง และราชนิติอีกหนึ่ง
โลกนิตินั้น คือหลักว่าด้วยความนิยม เชื่อถือในเรื่องความดี ความงาม ความชั่ว ความหมอง และความผิด ความถูกในสายตาปุถุชนทั่วไปในโลก โดยไม่จำเป็นที่จะต้องตราเป็นบทกฎหมาย
ธรรมนิตินั้น คือหลักว่าด้วยความเป็นไปที่สอดคล้องกับธรรมชาติ หน้าที่ ๆ ต้องกระทำตามธรรมชาติ กฎแห่งธรรมชาติ และผลที่จะได้รับจากการกระทำตามธรรมชาตินั้น หรืออีกนัยหนึ่งก็คือหลักปฏิบัติเกี่ยวกับพระธรรมคำสอนอันเป็นที่นับถือศรัทธาของปวงชนในแต่ละถิ่น ในแต่ละที่ว่าสิ่งใดเป็นความถูกต้อง สิ่งใดเป็นความผิดพลาด สิ่งใดเป็นความชั่ว สิ่งใดเป็นความดี
ส่วนราชนิตินั้นเล่า ได้แก่บทกฎหมายพระอัยการทั้งปวง ที่มีมาสำหรับปกครองแผ่นดิน
ผู้ปกครองคนใดประพฤติตน ปฏิบัติตน และวางตนสอดคล้องต้องกับนิติทั้งสามนี้แล้วย่อมเกิดอานุภาพยิ่งใหญ่ กลายเป็นศูนย์รวมจิตใจของปวงชน ก่อเป็นบารมีธรรมที่นำพาบ้านเมืองแลราษฎรให้ร่มเย็นเป็นสุข ในทางตรงกันข้ามหากประพฤติตน ปฏิบัติตน และวางตนไม่สอดคล้องหรือสวนทางกับนิติทั้งสามนี้แล้ว ก็จะเกิดผลในทางตรงกันข้ามเช่นเดียวกัน
โจโฉนั้นแม้ว่าจะประพฤติตน ปฏิบัติตน และวางตนที่ถือเอาตัวตนของตนเองเป็นใหญ่ แต่ก็กล้าหาญที่จะประกาศตนว่าพร้อมที่จะทรยศต่อคนทั้งโลก โดยจะไม่ยอมให้โลกทรยศตัวเองเป็นอันขาด กระทั่งประกาศเป็นสัจวาจาอันลือลั่นว่าหากทำคุณงามความดีร้อยครั้งไม่ได้ ก็พร้อมจะทำชั่วหมื่นครั้ง เพื่อให้ความชั่วร้ายนั้นได้จารึกเล่าขานไว้ในประวัติศาสตร์
ยังดีเสียกว่าผู้มีอำนาจบางคนที่ประพฤติตนชั่วช้าเลวทรามเป็นเผด็จการทรราชย์ขายชาติบ้านเมืองของตนเอง เหยียบย่ำราษฎรซึ่งเป็นรากฐานที่มาแห่งอำนาจของตัว แต่กลับทาสีตีหน้าว่าเป็นนักประชาธิปไตย เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งคุณธรรมและศีลธรรม ผู้มีอำนาจชนิดนี้จึงเป็นอันตรายต่อบ้านเมืองและราษฎรยิ่งกว่าคนแบบโจโฉมากนัก แต่น่าอนาถที่กว่าผู้คนจะจับได้ไล่ทันและแลเห็นโฉมหน้าอันจอมปลอมที่ปิดบังอยู่ บ้านเมืองและการปกครองก็พังพินาศไปจนหมดสิ้นแล้ว
ตันหลิมจัดทำแถลงการณ์เสร็จแล้วเสนอให้อ้วนเสี้ยวพิจารณา เป็นที่ถูกอกถูกใจของอ้วนเสี้ยวยิ่งนัก จึงสั่งให้ทำสำเนาจากต้นฉบับเป็นจำนวนมากแล้วแจกจ่ายไปปิดประกาศตามหัวเมืองทั้งสิบแปดหัวเมืองอย่างทั่วถึง
ข้อเสนอของกัวเต๋าที่ให้อ้วนเสี้ยวจัดทำแถลงการณ์ประวัติศาสตร์นี้เป็นข้อเสนอเพื่อการรณรงค์ทางการเมืองชนิดหนึ่ง เพื่อตัดกำลังทางการเมืองของโจโฉ อันจะส่งผลต่อไปถึงการตัดกำลังทางทหารของโจโฉด้วย และได้กลายเป็นแบบอย่างของการสงครามในรุ่นหลังที่ต้องทำสงครามทางการเมืองให้ได้ทีเสียก่อนแล้วจึงเปิดสงครามทางการทหาร แบบอย่างนี้เหมาเจ๋อตงได้นำมาใช้อย่างได้ผลในการชี้นำและบัญชาการสงครามในประเทศจีน ไม่ว่าจะเป็นสงครามต่อต้านญี่ปุ่น หรือสงครามกับพรรคก๊กมินตั๋ง และเป็นที่มาของการกำหนดบทบาทความสัมพันธ์ระหว่างการเมืองกับการทหาร และระหว่างการเมืองกับพรรค
พรรคคอมมิวนิสต์จีนภายใต้การนำของเหมาเจ๋อตงได้กำหนดว่า ในบทบาทความสัมพันธ์ระหว่างการทหารกับการเมือง หรือระหว่างพรรคกับการเมืองนั้น ต้องถือเอาการเมืองมีบทบาทนำเพราะเมื่อการเมืองถูกต้องแล้วก็จะได้มาซึ่งอำนาจรัฐ กองทัพและดินแดน แต่ถ้าหากการเมืองผิดพลาดก็จะสูญเสียไปทั้งอำนาจรัฐ กองทัพ และดินแดน
ในส่วนความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพกับพรรคนั้น เนื่องจากพรรคเป็นองค์กรนำทางการเมือง ดังนั้นพรรคจึงต้องนำกองทัพ เหมาเจ๋อตงจึงกำหนดว่า “พรรคต้องบงการปืน จะยินยอมให้ปืนบงการพรรคไม่ได้เป็นอันขาด”
หลังจากส่งแถลงการณ์ประวัติศาสตร์ไปปิดตามหัวเมืองต่าง ๆ แล้ว คำกล่าวเล่าขานเกี่ยวกับความเลวร้ายของโจโฉได้ก้องกระหึ่มไปทั่วทั้งแผ่นดิน และแถลงการณ์ดังกล่าวบางฉบับได้ตกไปถึงมือของฝ่ายโจโฉ จึงถูกนำส่งเข้าไปรายงานให้โจโฉได้รับทราบ
ขณะนั้นโจโฉเริ่มป่วยทางประสาท มีอาการเครียดและปวดศีรษะเป็นประจำ แต่อาการยังไม่รุนแรงนัก ในขณะที่โจหองนำสำเนาแถลงการณ์ของอ้วนเสี้ยวไปมอบนั้น โจโฉกำลังนอนรักษาตัวอยู่ ครั้นได้อ่านแถลงการณ์จบแล้ว “โจโฉโกรธเหงื่อออกทุกเส้นขน” จึงถามโจหองว่าใครเป็นผู้แต่งแถลงการณ์ฉบับนี้ โจหองรายงานว่าเท่าที่ทราบมานั้นตันหลิมอดีตอาลักษณ์ในพระเจ้าฮั่นเต้เป็นผู้แต่งแถลงการณ์ฉบับนี้
โจโฉได้ยินชื่อตันหลิมจึงว่า “อ้วนเสี้ยวคิดทำการใหญ่ก็มีสติปัญญาอยู่ แต่หาทหารเอกที่มีฝีมือมิได้ ถ้าพร้อมกันทั้งสองประการ เห็นอ้วนเสี้ยวจะคิดการใหญ่ตลอด เสียดายตันหลิมเป็นคนมีสติปัญญา ซึ่งไปอยู่กับอ้วนเสี้ยวนั้นเห็นจะป่วยการเสียเปล่า”
เพียงเท่าที่เห็นจากแถลงการณ์ประวัติศาสตร์นี้ โจโฉก็ได้แลเห็นถึงสติปัญญาความรอบรู้ของตันหลิมจึงประเมินถึงการกระทำของอ้วนเสี้ยวในครั้งนี้ว่ามีสติปัญญา คือใช้การเมืองนำการทหาร แต่ก็ยังคงตำหนิว่าในส่วนของการทหารนั้นอ้วนเสี้ยวยังขาดไร้คนมีฝีมือ และเสียดายตันหลิมที่ไปอยู่กับอ้วนเสี้ยวอันเป็นความนัยว่าหากตันหลิมมาอยู่กับตัวแล้วก็จะประเสริฐยิ่งกว่า
แถลงการณ์ของตันหลิมทำให้โจโฉหายป่วยอย่างปลิดทิ้ง ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าอาการปวดศีรษะของโจโฉนั้นเกิดจากเส้นเลือดในสมองตีบตัน ครั้นได้เห็นแถลงการณ์ไฟแห่งโทสะกำเริบขึ้นในกาย เลือดลมจึงเดินแรงผิดปกติ อาการตีบตันที่เพิ่งเริ่มจะเป็นจึงทะลุทะลวงเป็นปกติ ดังนั้นโจโฉจึงสั่งให้เรียกประชุมบรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกอง ปรึกษาว่าอ้วนเสี้ยวจะยกทัพใหญ่มาครั้งนี้จะคิดอ่านรบพุ่งประการใด
ขงหยงซึ่งขณะนั้นเข้ามารับราชการในเมืองหลวง จึงเสนอว่าอ้วนเสี้ยวยกทัพมาครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก ยากที่จะรับมือจึงควรที่จะเจรจาประนีประนอมกัน เห็นทีอ้วนเสี้ยวจะเลิกทัพกลับไป
ซุนฮกที่ปรึกษาของโจโฉได้แย้งว่าอ้วนเสี้ยวผู้นี้แม้จะมีกำลังทหารเป็นอันมาก แต่ขาดสติปัญญาความคิด การที่จะไปเจรจาประนีประนอมตามที่ขงหยงเสนอย่อมเป็นการไม่ชอบ
ขงหยงโต้กลับว่าจะว่าอ้วนเสี้ยวไม่มีสติปัญญาความคิดอ่านก็คงจะไม่ถูกต้อง เพราะบรรดาที่ปรึกษาของอ้วนเสี้ยวก็มีอยู่หลายคน เช่น สิมโพย เขาฮิว กัวเต๋า ฮองกี๋ทหารเอกก็ยังมีงันเหลียง บุนทิว เตียนห้อง ชีสิว โกหลำ เตียวคับ อิเขง และยังมีทหารเลวร่วมร้อยหมื่น นอกจากนี้ยังมีดินแดนในปกครองกว้างขวาง เสบียงอาหารก็บริบูรณ์ จึงไม่ควรที่จะดูหมิ่นอ้วนเสี้ยว มิฉะนั้นก็จะเสียทีแก่ข้าศึก
ซุนฮกได้ฟังคำขงหยงแล้วก็หัวเราะ แล้วว่าทหารของอ้วนเสี้ยวเป็นพวกร้อยพ่อพันแม่ ไม่เป็นเอกภาพ ฝีไม้ลายมือก็พอประมาณเท่านั้น ส่วนที่ปรึกษาก็แก่งแย่งแข่งดีกันเอง “อันเตียนห้องนั้นเป็นคนหยาบช้าดื้อดึง แลเขาฮิวนั้นมีปัญญาก็จริงแต่เป็นคนโลภ ทำสิ่งใดก็มักเสียการ สิมโพยนั้นเป็นคนอวดรู้ ถึงผู้ใดว่าชอบก็ถือว่าผิด ฮองกี๋นั้นเป็นคนโวหารเอาการมิได้ ทั้งสี่คนซึ่งเป็นที่ปรึกษาของอ้วนเสี้ยวนั้นต่างคนถือตัวแก่งแย่งมิได้ประนอมกัน อันทหารเอกมีฝีมือทั้งเจ็ดคนนั้นมิรู้จักทีเสียทีได้ ถ้าได้ทำศึกใหญ่ครั้งนี้เห็นจะจับตัวได้เป็นมั่นคง อันทหารเลวถึงจะมีมากสักเท่าใดก็เป็นแต่พลอยแพ้ พลอยชนะด้วย”
ซุนฮกได้วิพากษ์วิจารณ์กองทัพของอ้วนเสี้ยว ทั้งส่วนที่ปรึกษา ส่วนทหารเอก และทหารเลวอย่างแจ่มแจ้ง ขงหยงได้ฟังคำวิจารณ์ซึ่งแสดงให้เห็นได้ว่าซุนฮกได้ทราบสภาพการของกองทัพอ้วนเสี้ยวเป็นอย่างดีก็จำนน ไม่อาจตอบถ้อยคำประการใดได้ โจโฉเห็นดังนั้นจึงสรรเสริญซุนฮกว่ารู้ข้อมูลความเป็นไปในกองทัพของอ้วนเสี้ยวกระจ่างแจ้ง ต้องด้วยความคิดของตัว
ด้วยเหตุนี้โจโฉจึงตัดสินใจเข้าสู่สงครามกับอ้วนเสี้ยว แต่เกรงว่าเล่าปี่จะยกกองทัพวกเข้ามายึดเมืองหลวง ดังนั้นในด้านหนึ่งต้องทำสงครามกับอ้วนเสี้ยว แต่อีกด้านหนึ่งก็ต้องป้องกันสกัดมิให้เล่าปี่ล่วงเข้ามายึดเมืองหลวงได้
เพื่อที่จะป้องกันเล่าปี่มิให้ล่วงเข้ามายึดเมืองฮูโต๋ โจโฉจึงวางอุบายแต่งให้เล่าต้ายกับอองต๋งคุมทหารห้าหมื่นยกไปเมืองชีจิ๋ว ทำทีว่าจะตีเมืองชีจิ๋ว โดยให้เอาธงสำคัญสำหรับตัวโจโฉไปในกองทัพด้วย เพื่อลวงให้เล่าปี่หลงผิดว่าโจโฉยกกองทัพมาตีเมืองชีจิ๋วด้วยตนเอง และสั่งเล่าต้ายกับอองต๋งว่าการยกทัพไปครั้งนี้อย่าได้ยกเข้ารบพุ่งกับเล่าปี่เป็นอันขาด เว้นแต่เราจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น และให้ปิดความลับที่ตัวเรามิได้ไปในกองทัพให้มิดชิด เพราะหากล่วงรู้ถึงเล่าปี่แล้วเล่าปี่ก็จะยกกองทัพออกมาโจมตี ท่านจะรับมือไม่ได้
เทียหยกที่ปรึกษาของโจโฉได้ทัดทานว่า การแต่งตั้งเล่าต้ายและอองต๋งไปลวงเล่าปี่ครั้งนี้เห็นทีจะไม่สำเร็จ เพราะทั้งสองคนนี้คงจะรับมือกับความคิดสติปัญญาของเล่าปี่และกำลังทหารของกวนอู เตียวหุย ไม่ได้
โจโฉจึงว่าเรารู้ดีอยู่ว่าสองคนนี้ไม่มีทางที่จะรับมือเล่าปี่ได้ แต่ก็หวังว่าจะสามารถลวงเล่าปี่ได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง เมื่อเราตีทัพอ้วนเสี้ยวแตกไปแล้วจะได้ยกไปสมทบตีเมืองชีจิ๋วกำจัดเล่าปี่ต่อไป เทียหยกได้ฟังคำโจโฉเช่นนั้นก็พยักหน้าเป็นทีเห็นชอบด้วย
อันเล่าต้ายผู้นี้เดิมเป็นเจ้าเมืองอิวจิ๋ว เมื่อครั้งโจโฉจัดตั้งกองทัพปฏิวัติเพื่อล้มล้างอำนาจของตั๋งโต๊ะ ก็ได้เข้าร่วมในกองทัพปฏิวัตินั้น ต่อมาโจโฉยึดเมืองอิวจิ๋วได้ เล่าต้ายจึงเข้าสวามิภักดิ์ด้วยโจโฉ และโจโฉได้บัญชาให้เล่าต้ายเข้ามารับราชการในเมืองหลวงในฝ่ายทหาร
เล่าต้ายกับอองต๋งรับคำสั่งแล้วจึงนำทหารห้าหมื่นยกออกจากเมืองฮูโต๋ไปเมืองชีจิ๋ว
ทางด้านโจโฉสั่งให้จัดทหารกำลังยี่สิบหมื่นยกออกจากเมืองฮูโต๋ไปตั้งรับกองทัพอ้วนเสี้ยวที่ตำบลกัวต่อ ตั้งค่ายไว้ห่างจากกองทัพของอ้วนเสี้ยวเป็นระยะทางแปดร้อยเส้น สำหรับค่ายบัญชาการของโจโฉนั้น ไม่ให้ปักธงประจำตัวของโจโฉไว้ เพื่อให้สอดคล้องกับแผนการลวงเล่าปี่ว่าโจโฉนำทัพไปเมืองชีจิ๋วด้วยตนเอง และอีกด้านหนึ่งเพื่อสร้างความสงสัยแก่กองทัพของอ้วนเสี้ยวว่ากองทัพของโจโฉที่ยกมาครั้งนี้ผู้ใดเป็นผู้นำทัพกันแน่
จากแผนยุทธการของโจโฉที่แบ่งทหารออกเป็นสองกอง โดยโจโฉยกกองทัพใหญ่มารับมือกับอ้วนเสี้ยวด้วยตนเอง และให้เล่าต้ายกับอองต๋งยกไปลวงสกัดเล่าปี่ไว้นั้น แสดงให้เห็นว่าโจโฉได้ประเมินการศึกว่าถึงแม้อ้วนเสี้ยวจะเป็นกองทัพใหญ่ แต่สามารถตีให้แตกไปได้โดยง่าย หลังจากเสร็จศึกทางด้านอ้วนเสี้ยวแล้วก็จะยกไปสมทบกับเล่าต้ายเพื่อกำจัดเล่าปี่ต่อไป.
แถลงการณ์ฉบับนี้เป็นเชิงเปรียบเทียบให้เห็นว่า โจโฉซึ่งแม้ครองตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี แต่พื้นเพเดิมก็เป็นเชื้อสายคนขอทานที่ถูกอุปโลกขึ้นมาเป็นเชื้อสายขุนนาง เทียบไม่ได้กับอ้วนเสี้ยวซึ่งเป็นเชื้อสายขุนนางแท้ถึงสามชั่วอายุคน แถลงการณ์ในประเด็นนี้มุ่งหมายที่จะดึงความนิยมเลื่อมใสจากผู้คนที่ยังมีความคิดเห็นเชื่อถือว่าความดีความชั่วขึ้นอยู่กับเชื้อสายวงศ์ตระกูล
ในประการถัดมาได้ชี้ให้เห็นถึงการล่วงละเมิดหลักการปกครองสำคัญอันเป็นที่ตั้งแห่งความร่มเย็นของบ้านเมือง และความผาสุขของปวงชน ซึ่งประกอบขึ้นด้วยองค์สามคือโลกนิติหนึ่ง ธรรมนิติหนึ่ง และราชนิติอีกหนึ่ง
โลกนิตินั้น คือหลักว่าด้วยความนิยม เชื่อถือในเรื่องความดี ความงาม ความชั่ว ความหมอง และความผิด ความถูกในสายตาปุถุชนทั่วไปในโลก โดยไม่จำเป็นที่จะต้องตราเป็นบทกฎหมาย
ธรรมนิตินั้น คือหลักว่าด้วยความเป็นไปที่สอดคล้องกับธรรมชาติ หน้าที่ ๆ ต้องกระทำตามธรรมชาติ กฎแห่งธรรมชาติ และผลที่จะได้รับจากการกระทำตามธรรมชาตินั้น หรืออีกนัยหนึ่งก็คือหลักปฏิบัติเกี่ยวกับพระธรรมคำสอนอันเป็นที่นับถือศรัทธาของปวงชนในแต่ละถิ่น ในแต่ละที่ว่าสิ่งใดเป็นความถูกต้อง สิ่งใดเป็นความผิดพลาด สิ่งใดเป็นความชั่ว สิ่งใดเป็นความดี
ส่วนราชนิตินั้นเล่า ได้แก่บทกฎหมายพระอัยการทั้งปวง ที่มีมาสำหรับปกครองแผ่นดิน
ผู้ปกครองคนใดประพฤติตน ปฏิบัติตน และวางตนสอดคล้องต้องกับนิติทั้งสามนี้แล้วย่อมเกิดอานุภาพยิ่งใหญ่ กลายเป็นศูนย์รวมจิตใจของปวงชน ก่อเป็นบารมีธรรมที่นำพาบ้านเมืองแลราษฎรให้ร่มเย็นเป็นสุข ในทางตรงกันข้ามหากประพฤติตน ปฏิบัติตน และวางตนไม่สอดคล้องหรือสวนทางกับนิติทั้งสามนี้แล้ว ก็จะเกิดผลในทางตรงกันข้ามเช่นเดียวกัน
โจโฉนั้นแม้ว่าจะประพฤติตน ปฏิบัติตน และวางตนที่ถือเอาตัวตนของตนเองเป็นใหญ่ แต่ก็กล้าหาญที่จะประกาศตนว่าพร้อมที่จะทรยศต่อคนทั้งโลก โดยจะไม่ยอมให้โลกทรยศตัวเองเป็นอันขาด กระทั่งประกาศเป็นสัจวาจาอันลือลั่นว่าหากทำคุณงามความดีร้อยครั้งไม่ได้ ก็พร้อมจะทำชั่วหมื่นครั้ง เพื่อให้ความชั่วร้ายนั้นได้จารึกเล่าขานไว้ในประวัติศาสตร์
ยังดีเสียกว่าผู้มีอำนาจบางคนที่ประพฤติตนชั่วช้าเลวทรามเป็นเผด็จการทรราชย์ขายชาติบ้านเมืองของตนเอง เหยียบย่ำราษฎรซึ่งเป็นรากฐานที่มาแห่งอำนาจของตัว แต่กลับทาสีตีหน้าว่าเป็นนักประชาธิปไตย เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งคุณธรรมและศีลธรรม ผู้มีอำนาจชนิดนี้จึงเป็นอันตรายต่อบ้านเมืองและราษฎรยิ่งกว่าคนแบบโจโฉมากนัก แต่น่าอนาถที่กว่าผู้คนจะจับได้ไล่ทันและแลเห็นโฉมหน้าอันจอมปลอมที่ปิดบังอยู่ บ้านเมืองและการปกครองก็พังพินาศไปจนหมดสิ้นแล้ว
ตันหลิมจัดทำแถลงการณ์เสร็จแล้วเสนอให้อ้วนเสี้ยวพิจารณา เป็นที่ถูกอกถูกใจของอ้วนเสี้ยวยิ่งนัก จึงสั่งให้ทำสำเนาจากต้นฉบับเป็นจำนวนมากแล้วแจกจ่ายไปปิดประกาศตามหัวเมืองทั้งสิบแปดหัวเมืองอย่างทั่วถึง
ข้อเสนอของกัวเต๋าที่ให้อ้วนเสี้ยวจัดทำแถลงการณ์ประวัติศาสตร์นี้เป็นข้อเสนอเพื่อการรณรงค์ทางการเมืองชนิดหนึ่ง เพื่อตัดกำลังทางการเมืองของโจโฉ อันจะส่งผลต่อไปถึงการตัดกำลังทางทหารของโจโฉด้วย และได้กลายเป็นแบบอย่างของการสงครามในรุ่นหลังที่ต้องทำสงครามทางการเมืองให้ได้ทีเสียก่อนแล้วจึงเปิดสงครามทางการทหาร แบบอย่างนี้เหมาเจ๋อตงได้นำมาใช้อย่างได้ผลในการชี้นำและบัญชาการสงครามในประเทศจีน ไม่ว่าจะเป็นสงครามต่อต้านญี่ปุ่น หรือสงครามกับพรรคก๊กมินตั๋ง และเป็นที่มาของการกำหนดบทบาทความสัมพันธ์ระหว่างการเมืองกับการทหาร และระหว่างการเมืองกับพรรค
พรรคคอมมิวนิสต์จีนภายใต้การนำของเหมาเจ๋อตงได้กำหนดว่า ในบทบาทความสัมพันธ์ระหว่างการทหารกับการเมือง หรือระหว่างพรรคกับการเมืองนั้น ต้องถือเอาการเมืองมีบทบาทนำเพราะเมื่อการเมืองถูกต้องแล้วก็จะได้มาซึ่งอำนาจรัฐ กองทัพและดินแดน แต่ถ้าหากการเมืองผิดพลาดก็จะสูญเสียไปทั้งอำนาจรัฐ กองทัพ และดินแดน
ในส่วนความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพกับพรรคนั้น เนื่องจากพรรคเป็นองค์กรนำทางการเมือง ดังนั้นพรรคจึงต้องนำกองทัพ เหมาเจ๋อตงจึงกำหนดว่า “พรรคต้องบงการปืน จะยินยอมให้ปืนบงการพรรคไม่ได้เป็นอันขาด”
หลังจากส่งแถลงการณ์ประวัติศาสตร์ไปปิดตามหัวเมืองต่าง ๆ แล้ว คำกล่าวเล่าขานเกี่ยวกับความเลวร้ายของโจโฉได้ก้องกระหึ่มไปทั่วทั้งแผ่นดิน และแถลงการณ์ดังกล่าวบางฉบับได้ตกไปถึงมือของฝ่ายโจโฉ จึงถูกนำส่งเข้าไปรายงานให้โจโฉได้รับทราบ
ขณะนั้นโจโฉเริ่มป่วยทางประสาท มีอาการเครียดและปวดศีรษะเป็นประจำ แต่อาการยังไม่รุนแรงนัก ในขณะที่โจหองนำสำเนาแถลงการณ์ของอ้วนเสี้ยวไปมอบนั้น โจโฉกำลังนอนรักษาตัวอยู่ ครั้นได้อ่านแถลงการณ์จบแล้ว “โจโฉโกรธเหงื่อออกทุกเส้นขน” จึงถามโจหองว่าใครเป็นผู้แต่งแถลงการณ์ฉบับนี้ โจหองรายงานว่าเท่าที่ทราบมานั้นตันหลิมอดีตอาลักษณ์ในพระเจ้าฮั่นเต้เป็นผู้แต่งแถลงการณ์ฉบับนี้
โจโฉได้ยินชื่อตันหลิมจึงว่า “อ้วนเสี้ยวคิดทำการใหญ่ก็มีสติปัญญาอยู่ แต่หาทหารเอกที่มีฝีมือมิได้ ถ้าพร้อมกันทั้งสองประการ เห็นอ้วนเสี้ยวจะคิดการใหญ่ตลอด เสียดายตันหลิมเป็นคนมีสติปัญญา ซึ่งไปอยู่กับอ้วนเสี้ยวนั้นเห็นจะป่วยการเสียเปล่า”
เพียงเท่าที่เห็นจากแถลงการณ์ประวัติศาสตร์นี้ โจโฉก็ได้แลเห็นถึงสติปัญญาความรอบรู้ของตันหลิมจึงประเมินถึงการกระทำของอ้วนเสี้ยวในครั้งนี้ว่ามีสติปัญญา คือใช้การเมืองนำการทหาร แต่ก็ยังคงตำหนิว่าในส่วนของการทหารนั้นอ้วนเสี้ยวยังขาดไร้คนมีฝีมือ และเสียดายตันหลิมที่ไปอยู่กับอ้วนเสี้ยวอันเป็นความนัยว่าหากตันหลิมมาอยู่กับตัวแล้วก็จะประเสริฐยิ่งกว่า
แถลงการณ์ของตันหลิมทำให้โจโฉหายป่วยอย่างปลิดทิ้ง ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าอาการปวดศีรษะของโจโฉนั้นเกิดจากเส้นเลือดในสมองตีบตัน ครั้นได้เห็นแถลงการณ์ไฟแห่งโทสะกำเริบขึ้นในกาย เลือดลมจึงเดินแรงผิดปกติ อาการตีบตันที่เพิ่งเริ่มจะเป็นจึงทะลุทะลวงเป็นปกติ ดังนั้นโจโฉจึงสั่งให้เรียกประชุมบรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกอง ปรึกษาว่าอ้วนเสี้ยวจะยกทัพใหญ่มาครั้งนี้จะคิดอ่านรบพุ่งประการใด
ขงหยงซึ่งขณะนั้นเข้ามารับราชการในเมืองหลวง จึงเสนอว่าอ้วนเสี้ยวยกทัพมาครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก ยากที่จะรับมือจึงควรที่จะเจรจาประนีประนอมกัน เห็นทีอ้วนเสี้ยวจะเลิกทัพกลับไป
ซุนฮกที่ปรึกษาของโจโฉได้แย้งว่าอ้วนเสี้ยวผู้นี้แม้จะมีกำลังทหารเป็นอันมาก แต่ขาดสติปัญญาความคิด การที่จะไปเจรจาประนีประนอมตามที่ขงหยงเสนอย่อมเป็นการไม่ชอบ
ขงหยงโต้กลับว่าจะว่าอ้วนเสี้ยวไม่มีสติปัญญาความคิดอ่านก็คงจะไม่ถูกต้อง เพราะบรรดาที่ปรึกษาของอ้วนเสี้ยวก็มีอยู่หลายคน เช่น สิมโพย เขาฮิว กัวเต๋า ฮองกี๋ทหารเอกก็ยังมีงันเหลียง บุนทิว เตียนห้อง ชีสิว โกหลำ เตียวคับ อิเขง และยังมีทหารเลวร่วมร้อยหมื่น นอกจากนี้ยังมีดินแดนในปกครองกว้างขวาง เสบียงอาหารก็บริบูรณ์ จึงไม่ควรที่จะดูหมิ่นอ้วนเสี้ยว มิฉะนั้นก็จะเสียทีแก่ข้าศึก
ซุนฮกได้ฟังคำขงหยงแล้วก็หัวเราะ แล้วว่าทหารของอ้วนเสี้ยวเป็นพวกร้อยพ่อพันแม่ ไม่เป็นเอกภาพ ฝีไม้ลายมือก็พอประมาณเท่านั้น ส่วนที่ปรึกษาก็แก่งแย่งแข่งดีกันเอง “อันเตียนห้องนั้นเป็นคนหยาบช้าดื้อดึง แลเขาฮิวนั้นมีปัญญาก็จริงแต่เป็นคนโลภ ทำสิ่งใดก็มักเสียการ สิมโพยนั้นเป็นคนอวดรู้ ถึงผู้ใดว่าชอบก็ถือว่าผิด ฮองกี๋นั้นเป็นคนโวหารเอาการมิได้ ทั้งสี่คนซึ่งเป็นที่ปรึกษาของอ้วนเสี้ยวนั้นต่างคนถือตัวแก่งแย่งมิได้ประนอมกัน อันทหารเอกมีฝีมือทั้งเจ็ดคนนั้นมิรู้จักทีเสียทีได้ ถ้าได้ทำศึกใหญ่ครั้งนี้เห็นจะจับตัวได้เป็นมั่นคง อันทหารเลวถึงจะมีมากสักเท่าใดก็เป็นแต่พลอยแพ้ พลอยชนะด้วย”
ซุนฮกได้วิพากษ์วิจารณ์กองทัพของอ้วนเสี้ยว ทั้งส่วนที่ปรึกษา ส่วนทหารเอก และทหารเลวอย่างแจ่มแจ้ง ขงหยงได้ฟังคำวิจารณ์ซึ่งแสดงให้เห็นได้ว่าซุนฮกได้ทราบสภาพการของกองทัพอ้วนเสี้ยวเป็นอย่างดีก็จำนน ไม่อาจตอบถ้อยคำประการใดได้ โจโฉเห็นดังนั้นจึงสรรเสริญซุนฮกว่ารู้ข้อมูลความเป็นไปในกองทัพของอ้วนเสี้ยวกระจ่างแจ้ง ต้องด้วยความคิดของตัว
ด้วยเหตุนี้โจโฉจึงตัดสินใจเข้าสู่สงครามกับอ้วนเสี้ยว แต่เกรงว่าเล่าปี่จะยกกองทัพวกเข้ามายึดเมืองหลวง ดังนั้นในด้านหนึ่งต้องทำสงครามกับอ้วนเสี้ยว แต่อีกด้านหนึ่งก็ต้องป้องกันสกัดมิให้เล่าปี่ล่วงเข้ามายึดเมืองหลวงได้
เพื่อที่จะป้องกันเล่าปี่มิให้ล่วงเข้ามายึดเมืองฮูโต๋ โจโฉจึงวางอุบายแต่งให้เล่าต้ายกับอองต๋งคุมทหารห้าหมื่นยกไปเมืองชีจิ๋ว ทำทีว่าจะตีเมืองชีจิ๋ว โดยให้เอาธงสำคัญสำหรับตัวโจโฉไปในกองทัพด้วย เพื่อลวงให้เล่าปี่หลงผิดว่าโจโฉยกกองทัพมาตีเมืองชีจิ๋วด้วยตนเอง และสั่งเล่าต้ายกับอองต๋งว่าการยกทัพไปครั้งนี้อย่าได้ยกเข้ารบพุ่งกับเล่าปี่เป็นอันขาด เว้นแต่เราจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น และให้ปิดความลับที่ตัวเรามิได้ไปในกองทัพให้มิดชิด เพราะหากล่วงรู้ถึงเล่าปี่แล้วเล่าปี่ก็จะยกกองทัพออกมาโจมตี ท่านจะรับมือไม่ได้
เทียหยกที่ปรึกษาของโจโฉได้ทัดทานว่า การแต่งตั้งเล่าต้ายและอองต๋งไปลวงเล่าปี่ครั้งนี้เห็นทีจะไม่สำเร็จ เพราะทั้งสองคนนี้คงจะรับมือกับความคิดสติปัญญาของเล่าปี่และกำลังทหารของกวนอู เตียวหุย ไม่ได้
โจโฉจึงว่าเรารู้ดีอยู่ว่าสองคนนี้ไม่มีทางที่จะรับมือเล่าปี่ได้ แต่ก็หวังว่าจะสามารถลวงเล่าปี่ได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง เมื่อเราตีทัพอ้วนเสี้ยวแตกไปแล้วจะได้ยกไปสมทบตีเมืองชีจิ๋วกำจัดเล่าปี่ต่อไป เทียหยกได้ฟังคำโจโฉเช่นนั้นก็พยักหน้าเป็นทีเห็นชอบด้วย
อันเล่าต้ายผู้นี้เดิมเป็นเจ้าเมืองอิวจิ๋ว เมื่อครั้งโจโฉจัดตั้งกองทัพปฏิวัติเพื่อล้มล้างอำนาจของตั๋งโต๊ะ ก็ได้เข้าร่วมในกองทัพปฏิวัตินั้น ต่อมาโจโฉยึดเมืองอิวจิ๋วได้ เล่าต้ายจึงเข้าสวามิภักดิ์ด้วยโจโฉ และโจโฉได้บัญชาให้เล่าต้ายเข้ามารับราชการในเมืองหลวงในฝ่ายทหาร
เล่าต้ายกับอองต๋งรับคำสั่งแล้วจึงนำทหารห้าหมื่นยกออกจากเมืองฮูโต๋ไปเมืองชีจิ๋ว
ทางด้านโจโฉสั่งให้จัดทหารกำลังยี่สิบหมื่นยกออกจากเมืองฮูโต๋ไปตั้งรับกองทัพอ้วนเสี้ยวที่ตำบลกัวต่อ ตั้งค่ายไว้ห่างจากกองทัพของอ้วนเสี้ยวเป็นระยะทางแปดร้อยเส้น สำหรับค่ายบัญชาการของโจโฉนั้น ไม่ให้ปักธงประจำตัวของโจโฉไว้ เพื่อให้สอดคล้องกับแผนการลวงเล่าปี่ว่าโจโฉนำทัพไปเมืองชีจิ๋วด้วยตนเอง และอีกด้านหนึ่งเพื่อสร้างความสงสัยแก่กองทัพของอ้วนเสี้ยวว่ากองทัพของโจโฉที่ยกมาครั้งนี้ผู้ใดเป็นผู้นำทัพกันแน่
จากแผนยุทธการของโจโฉที่แบ่งทหารออกเป็นสองกอง โดยโจโฉยกกองทัพใหญ่มารับมือกับอ้วนเสี้ยวด้วยตนเอง และให้เล่าต้ายกับอองต๋งยกไปลวงสกัดเล่าปี่ไว้นั้น แสดงให้เห็นว่าโจโฉได้ประเมินการศึกว่าถึงแม้อ้วนเสี้ยวจะเป็นกองทัพใหญ่ แต่สามารถตีให้แตกไปได้โดยง่าย หลังจากเสร็จศึกทางด้านอ้วนเสี้ยวแล้วก็จะยกไปสมทบกับเล่าต้ายเพื่อกำจัดเล่าปี่ต่อไป.