ตอนที่ 107. พิษการเมืองอักเสบ
พิษการเมืองจากการที่โจโฉวางแผนทดลองกำลังทางการเมืองกับพระเจ้าเหี้ยนเต้ ได้กลายเป็นแผลลึกและขยายลามเข้าไปในจิตใจของขุนนางข้าราชการมากขึ้นทุกที และเพราะบาดแผลนี้โจโฉจึงตัดสินใจคิดกำจัดเล่าปี่ แต่วิสัยคนแบบเล่าปี่นั้น ไหนเลยจะยอมถูกกำจัดโดยไม่คิดต่อสู้ ดังนั้นพิษการเมืองที่อักเสบขึ้นดั่งนี้ จึงก้าวข้ามพ้นหนทางสันติและกำลังพัฒนากลายเป็นสงคราม
ครั้นกีเหมาทราบความตามหนังสือของโจโฉจึงเรียกตันเต๋งจอมแผนการเข้ามาปรึกษา ตันเต๋งทราบเรื่องแล้วกล่าวว่าเป็นเรื่องง่ายดายเหมือนกับการเสนอซื้อซากเครื่องบินเอฟ-๑๖ เท่านั้น แล้วเสนอแผนการว่าขณะนี้เล่าปี่ออกจากเมืองไปเกลี้ยกล่อมซ่องสุมผู้คนอยู่นอกเมือง อีกหลายวันกว่าจะกลับเข้าเมือง ดังนั้นจึงขอให้ท่านแต่งทหารเป็นสองกองซุ่มไว้สองข้างทางที่จะเข้ามายังประตูเมือง เมื่อใดเล่าปี่มาถึงไม่ได้ระวังตัวก็ให้ทหารทั้งสองกองยกเข้ามาพร้อมกันก็จะจับเล่าปี่ฆ่าเสียได้โดยง่าย แม้กวนอู เตียวหุย ติดตามมา เราก็จะรับมืออยู่ในเมืองและให้พลเกาทัณฑ์ยิงสกัดไว้แแบบเดียวกับที่รัฐบาลไทยใช้ทำเนียบรัฐบาลรับมือกับการชุมนุมเรียกร้องของราษฎรที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมแล้วใช้สุนัขไปไล่กัด หรือใช้สมุนบริวารยุยงให้คนไทยฆ่ากันเอง เช่นนี้แล้วกวนอู เตียวหุย แม้มีฝีมือเข้มแข็งก็จะไม่มีพิษสงอะไรและจำต้องถอยไปในที่สุด
กีเหมาเห็นชอบกับแผนการของตันเต๋ง จึงเรียกผู้ใต้บังคับบัญชามาสั่งการให้เตรียมการไว้ให้พร้อม แล้วสั่งว่าตั้งแต่วันพรุ่งนี้ให้เริ่มดำเนินการตามแผนได้
เมื่อปรึกษากันเสร็จแล้วตันเต๋งจึงขอลากีเหมากลับออกมาแล้วไปหาตันกุ๋ยผู้บิดาและเล่าความทั้งปวงที่ปรึกษาวางแผนกับกีเหมาให้บิดาฟัง
ตันกุ๋ยฟังคำเล่าจากตันเต๋งบุตรจอมวางแผนจบคำก็เอามือตบที่โต๊ะดังผางแล้วว่าเดชะบุญที่ตันเต๋งเจ้าเอาความมาบอกเราก่อน หาไม่แล้วเราพ่อลูกก็จะได้ชื่อว่าทรยศต่อราชวงศ์ฮั่นเป็นใจด้วยกังฉิน แล้วอธิบายความแก่ผู้บุตรว่าเดิมทีเราสองพ่อลูกรับราชการในเมืองชีจิ๋วแต่ครั้งที่โตเกี๋ยมเป็นเจ้าเมือง ครั้นเล่าปี่เป็นเจ้าเมืองตามพินัยกรรมของโตเกี๋ยมเราก็มีความสุข ต่อมาจนกระทั่งลิโป้ชิงเมืองชีจิ๋วราษฎรได้ความเดือดร้อน พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงโปรดให้โจโฉมาปราบ เราพ่อลูกจึงเข้าช่วยโจโฉกำจัดลิโป้จนสำเร็จ ราษฎรจึงมีความสุขขึ้น การที่เราเข้าช่วยโจโฉครั้งนั้นคือการช่วยราชการในราชวงศ์ฮั่น หาใช่เราช่วยเหลือโจโฉเป็นการส่วนตัวหรือยอมเป็นพวกของโจโฉไม่ นี่คือจุดยืนที่ชัดเจนของเรา
ตันกุ๋ยกล่าวต่อไปว่าบัดนี้โจโฉเปลี่ยนแปลงไปคิดจะชิงเอาราชสมบัติจึงคิดกำจัดเล่าปี่ซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์และพระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ทรงนับถือเป็นพระเจ้าอา การที่เจ้าคิดวางแผนสังหารเล่าปี่ครั้งนี้จึงเท่ากับช่วยพวกขบถทรยศต่อราชวงศ์ฮั่น ดังนี้เราจะแบกหน้าไปพบบรรพชนของเราในปรโลกได้อย่างไร ดังนั้นจำต้องรีบไปบอกเล่าปี่ให้ระวังตัวและคิดอ่านแก้ไขต่อไป
ตันเต๋งได้ช่วยกีเหมาวางแผนสังหารเล่าปี่ตามหนังสือสั่งการของโจโฉ แต่ครั้นได้รับคำชี้แจงโดยกว้างโดยลึกจากบิดาแล้วจึงได้คิดและเห็นด้วยกับความเห็นของบิดา ตันกุ๋ยจึงให้ตันเต๋งรีบไปแจ้งให้เล่าปี่ทราบอย่าให้ทันยกมาใกล้ประตูเมือง ตันเต๋งรับคำบิดาแล้วรีบออกจากเมืองไป
ครั้นตันเต๋งขี่ม้ามาถึงกลางทางได้สวนกับกวนอู เตียวหุย ซึ่งเดินทางล่วงหน้ามาก่อน ตันเต๋งจึงเล่าความทั้งปวงให้กวนอู เตียวหุยฟัง
สองน้องร่วมสาบานของเล่าปี่ทราบความก็โกรธจึงคิดกำจัดกีเหมาเสียก่อนแต่เมื่อปรึกษากันแล้วเห็นว่ากีเหมาอยู่ในเมืองหากทำการโดยวู่วามจะเป็นการยากลำบากแก่ทหาร หรือถ้ากีเหมารู้ตัวก็จะทำการสำเร็จโดยยากจำเป็นที่จะต้องใช้อุบายกำจัดกีเหมาและยึดเอาเมืองชีจิ๋วไปพร้อมกัน
ปรึกษากันแล้วจึงยั้งกองทหารไว้ ณ ที่นั้น ส่วนตันเต๋งก็ลากวนอูกลับเข้าไปในเมืองเพื่อแจ้งความคืบหน้าให้ตันกุ๋ยทราบและเตรียมการภายในเมืองไว้ให้พร้อมตามแผนการที่ตกลงไว้กับกวนอู
ครั้นค่ำลงกวนอูจึงให้ทหารเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นเครื่องแบบทหารของฝ่ายโจโฉ ให้ทหารถือธงสำหรับกองทัพของโจโฉแล้วยกเข้าไปใกล้กำแพงเมืองและร้องเรียกให้เปิดประตูเมืองพร้อมกับแจ้งว่าท่านอัครมหาเสนาบดีได้สั่งการให้เตียวเลี้ยวมาพบกีเหมาเพื่อปรึกษาราชการสำคัญ
ทหารรักษาประตูจึงเข้าไปรายงานให้กีเหมาทราบ กีเหมาทราบความแล้วเห็นเป็นเวลากลางคืนเกรงว่าจะเป็นกลศึกจึงให้ทหารไปเชิญตันเต๋งมาปรึกษาว่าบัดนี้มีกองทหารยกมาอ้างว่าเตียวเลี้ยวรับคำสั่งท่านอัครมหาเสนาบดีให้มาพบข้าพเจ้าด้วยราชการลับที่สำคัญ หากไม่เปิดประตูรับและเป็นเรื่องจริงก็จะเป็นการขัดขืนไม่ฟังคำสั่ง แต่ถ้าเปิดประตูเมืองรับแล้วกลายเป็นกลศึกซึ่งยังไม่รู้ว่าเป็นฝ่ายใดก็จะเป็นการบกพร่องต่อหน้าที่ทั้งอาจเป็นอันตราย ดั่งนี้จะจัดการอย่างไรดี
ตันเต๋งจึงว่าการสำคัญเช่นนี้จะตัดสินใจแต่เพียงฟังจากรายงานที่ยังไม่ชัดเจนนั้นไม่สมควร ชอบที่ท่านจะต้องขึ้นไปบนเชิงเทินดูเหตุการณ์ให้ประจักษ์ก่อน กีเหมาฟังความเห็นของตันเต๋งแล้วจึงชวนตันเต๋งให้ขึ้นไปบนเชิงเทินด้วยกัน
ครั้นขึ้นไปบนเชิงเทินเห็นทหารอยู่ข้างล่างเป็นอันมากไม่รู้จักหน้า จำได้แต่เครื่องแบบว่าเป็นพวกเดียวกัน และเห็นธงสำคัญสำหรับกองทัพฝ่ายโจโฉ กีเหมาก็ลังเลใจ
แต่ตันเต๋งได้เดินกลเกมเสนอขึ้นว่าเท่าที่ประจักษ์นี้ไม่ปรากฏว่าจะเป็นทหารเหล่าอื่นเพราะธงสำหรับทัพก็เห็นถนัดอยู่ หากทอดเวลาไปแล้วเกลือกเป็นราชการด่วนที่สำคัญเราก็จะไม่พ้นผิด ถึงกระนั้นหากจะเปิดประตูเมืองรับเข้ามาในยามวิกาลเสียทีเดียวก็จะเป็นการตั้งอยู่ในความประมาท ดังนั้นชอบที่ท่านจะคุมทหารยกออกไปดูให้ประจักษ์ หากเป็นเตียวเลี้ยวมาจริงจะได้ไม่เสียราชการไป หรือหากเป็นกลศึกก็สามารถรับมือได้
กีเหมาฟังความเห็นของตันเต๋งที่แวดล้อมเอาด้วยเหตุผลแน่นหนารัดกุมทุกด้านจึงเห็นคล้อยตามแลว่าข้าพเจ้าจะคุมทหารออกไปตามคำท่าน และขอให้ท่านคุมทหารคอยสังเกตการณ์อยู่บนเชิงเทินนี้หากพลาดพลั้งประการใดจะได้แก้ไขทันเหตุการณ์ ตันเต๋งก็รับคำ
ในขณะนั้นทหารข้างล่างได้ร้องเร่งให้เปิดประตูอ้างว่าหากล่าช้าความลับจะรั่วไปถึงเล่าปี่จะเสียหายต่อราชการ กีเหมาได้ยินว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับเล่าปี่ซึ่งไม่มีผู้ใดในเมืองนี้ทราบความนัยก็เริ่มเชื่อว่าจะเป็นเรื่องจริง จึงรีบลงจากเชิงเทินจัดทหารแล้วเปิดประตูเมืองออกไป
ครั้นไปถึงหน้ากองทหารที่ยกมาก็ร้องถามว่าเตียวเลี้ยวอยู่ที่ไหน ในทันใดนั้นมีเสียงตอบดังสนั่นดังมาว่า “กูอยู่ที่นี่” กีเหมาจ้องสายตาไปที่เจ้าของเสียงนั้นเห็นเป็นกวนอูขี่ม้าถือง้าวฝ่าความมืดตรงมาอย่างรวดเร็วก็ตกใจรู้ว่าเป็นกลศึก แต่ไม่ทันที่จะคิดอ่านประการใดกวนอูก็เข้ามาใกล้ถึงตัว กีเหมาจึงจำใจรบด้วยกวนอู
กีเหมารบกับกวนอูได้สิบเพลงเห็นว่าสู้กวนอูไม่ได้จึงชักม้าหนีจะกลับเข้าเมือง แต่พอเข้ามาใกล้ตันเต๋งได้สั่งทหารให้ปิดประตูเมืองเสียและทหารบนเชิงเทินได้ยิงเกาทัณฑ์สกัดไว้อย่างแน่นหนา กีเหมาเข้าเมืองไม่ได้และกวนอูกำลังขับม้าไล่ตามมา กีเหมาจึงชักม้าผละออกจากกำแพงเมืองและจะอ้อมไปอีกด้านหนึ่ง พอดีกวนอูขับม้าตามมาทันและเอาง้าวฟันกีเหมาถึงแก่ความตาย
กวนอูตัดศีรษะกีเหมาหิ้วเข้าไปใกล้กำแพงเมืองแล้วร้องบอกให้ทหารบนกำแพงเมืองทราบว่ากีเหมาคิดลอบสังหารเล่าปี่ บัดนี้เราได้ฆ่าคนคิดร้ายต่อเล่าปี่แล้วหากผู้ใดจะเข้าด้วยเล่าปี่ก็ให้เร่งเปิดประตูเมืองมิฉะนั้นเราก็จะยกทหารเข้าหักเอาเมืองจงได้
ทหารภายในเมืองชีจิ๋วเคยอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของเล่าปี่มาแต่ก่อนมีน้ำใจรักศรัทธาเล่าปี่อยู่ทุกตัวคน เมื่อทราบความดังนั้นจึงเปิดประตูเมืองต้อนรับโดยดี กวนอูจึงยกทหารเข้าไปในเมือง
รุ่งขึ้นกวนอูจึงนำเอาศีรษะของกีเหมาออกจากเมืองกลับไปหาเล่าปี่ที่ตั้งเกลี้ยกล่อมผู้คนอยู่ข้างนอกและให้เตียวหุยรักษาเมืองชีจิ๋วไว้ ครั้นพบเล่าปี่แล้วได้รายงานเหตุทั้งปวงให้ทราบ เล่าปี่ทราบความก็ตกใจเพราะการทั้งนี้ก็คือการประกาศตนเป็นศัตรูกับโจโฉโดยเปิดเผย ความถึงโจโฉในวันใดก็ย่อมเล็งเห็นได้ว่าโจโฉจะยกกองทัพมาในวันนั้น แม้หากจะแก้ตัวว่าไม่รู้เห็นก็ฟังไม่ขึ้นเพราะเล่าปี่ต้องรับผิดชอบในผลแห่งการกระทำของผู้คนของตัว เล่าปี่ยิ่งคิดยิ่งวิตกเพราะรู้ตัวดีว่ายังไม่พร้อมในทุกๆ ด้าน แต่ในที่สุดก็เห็นว่าการอาศัยเมืองชีจิ๋วเป็นฐานย่อมดีกว่าการร่อนเร่พเนจร จึงสั่งให้รีบยกกำลังกลับเข้าไปในเมืองชีจิ๋ว
เตียวหุย ตันเต๋ง ขุนนางข้าราชการและชาวเมืองทราบว่าเล่าปี่ยกทหารกลับมาจึงพากันออกไปต้อนรับถึงนอกประตูเมือง เล่าปี่คารวะทักทายกับคนทั้งปวงแล้วเชิญตันเต๋งไปที่จวนเจ้าเมือง กวนอู เตียวหุยก็ตามเล่าปี่ไป
พอไปถึงจวนเล่าปี่จึงปรึกษาด้วยคนเหล่านั้น เตียวหุยได้รายงานขึ้นมาก่อนว่าข้าพเจ้าได้ประหารผู้คนในครอบครัวของกีเหมาเสียด้วยแล้วเพื่อไม่ต้องกังวนในภายหลัง เล่าปี่ได้ฟังก็ยิ่งตกใจที่เตียวหุยทำการเลยเถิดไปถึงเพียงนี้ จึงว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เท่ากับว่าเราได้ประกาศสงครามกับโจโฉแล้ว โจโฉทราบความในวันใดคงจะยกกองทัพมาในวันนั้น ฝ่ายเรากำลังทั้งปวงยังไม่พร้อม ดั่งนี้จะคิดอ่านป้องกันแก้ไขประการใด
ตันเต๋งจอมวางแผนจึงกล่าวว่าจะเกรงไปใยกับการที่โจโฉจะยกกองทัพมา ข้าพเจ้ามีแผนการที่จะป้องกันไม่ไห้โจโฉทำอันตรายแก่ท่านได้ เล่าปี่จึงว่าท่านมีแผนการประการใดจงช่วยชี้แนะด้วยเถิด
ตันเต๋งจึงว่าแผ่นดินทุกวันนี้แม้ว่าโจโฉจะครองอำนาจรัฐส่วนกลางอิงอยู่ข้างหลังของพระเจ้าเหี้ยนเต้ก็จริงอยู่ แต่ความเป็นจริงนั้นอำนาจรัฐส่วนกลางหาได้บัญชาการได้ทั่วทั้งแผ่นดินไม่ หัวเมืองต่าง ๆ รอคอยโอกาสแสวงหาอำนาจเป็นใหญ่ การใดอาศัยอำนาจส่วนกลางเกื้อกูลได้หรือมีประโยชน์ร่วมกันก็รับเอา แต่การใดที่ไม่เห็นด้วยหรือขัดประโยชน์ตัวก็ไม่ยอมรับนับถือ แลบรรดาหัวเมืองทั้งปวงนั้นบัดนี้อ้วนเสี้ยวมีกำลังเข้มแข็งเติบใหญ่มากที่สุด มีหัวเมืองโทตรีจัตวาขึ้นต่อหลายหัวเมือง เมืองเชียงจิ๋ว เมืองอิวจิ๋ว เมืองเป๊งจิ๋ว ก็เพิ่งโอนมาขึ้นกับเมืองกิจิ๋ว และหลังสุดอ้วนเสี้ยวตีได้เมืองปักเป๋งของกองซุนจ้านอีกเมืองหนึ่ง อ้วนเสี้ยวจึงครองดินแดนกว้างขวาง เสบียงอาหารก็พรั่งพร้อม ที่สำคัญอ้วนสี้ยวมีทหารร่วมร้อยหมื่น มีทหารเอกทหารรองและที่ปรึกษาเป็นจำนวนมาก เห็นทีโจโฉจะคิดเกรงอ้วนเสี้ยวอยู่ ดังนั้นถ้าหากท่านร่วมมือผนึกกำลังกับอ้วนเสี้ยวแล้วโจโฉจะทำอะไรท่านได้
เล่าปี่ฟังตันเต๋งวิจารณ์ความเมืองอย่างกว้างขวางและเห็นแนวทางที่จะป้องกันอันตรายจากโจโฉแล้วสรรเสริญความรู้แลความคิดของตันเต๋งเป็นอันมาก แต่คิดวิตกว่าจะทำการตามความคิดตันเต๋งไม่ได้เพราะเพิ่งทำสงครามล้างอ้วนสุดผู้น้องของอ้วนเสี้ยวมาหยก ๆ อ้วนเสี้ยวย่อมผูกเจ็บแค้นแทนน้องที่ไหนเลยจะยอมร่วมมือช่วยเหลือ เล่าปี่คิดวิตกเช่นนี้จึงนิ่งอยู่
ตันเต๋งเห็นอาการเล่าปี่เช่นนั้นก็รู้ทีจึงว่าความวิตกของท่านนี้อย่ามีกังวลเลย เล่าปี่ได้ยินคำประหนึ่งนั่งเห็นที่กลางใจตัวก็สะดุ้งมองหน้าตันเต๋งเป็นเชิงตั้งใจฟัง ตันเต๋งจึงว่าต่อไปว่าอันอ้วนเสี้ยวนั้นแม้จะเป็นเชื้อสายขุนนางถือยศศักดิ์ไม่ยอมคบหาผู้คนก็จริงอยู่ แต่อ้วนเสี้ยวนั้นใช่ว่าจะไร้คนซึ่งเกรงใจ ข้าพเจ้าทราบมาเป็นอย่างดีว่าแผ่นดินนี้มีคนที่อ้วนเสี้ยวเกรงใจเชื่อฟังประดุจช้างเชื่อควานอยู่คนหนึ่งและคนผู้นั้นใช่อื่นไกลคือเต้เหี้ยนครูเก่าของท่านนั้นเอง หากเต้เหี้ยนออกปากว่ากล่าวแล้วอ้วนเสี้ยวย่อมรับเป็นไมตรีเป็นมั่นคง
เล่าปี่ได้ยินดังนั้นก็ยินดีจึงว่าจริงตามคำท่านแล้ว เต้เหี้ยนนั้นเป็นครูเก่าของข้าพเจ้าตั้งแต่ครั้งที่ยังอยู่เมืองตุ้นก้วน ต่อมาครูได้เข้ารับราชการเป็นขุนนางในพระเจ้าเลนเต้ แต่ทนความเป็นทรราชย์ของสิบขันทีในยุคนั้นไม่ได้จึงขอลาออกจากราชการแล้วมาอยู่มืองชีจิ๋ว ครูมีน้ำใจงามประเสริฐต่อศิษย์โดยเฉพาะกับข้าพเจ้านี้ครูได้ให้ความเมตตาเป็นที่ยิ่ง การใดมิใช่สิ่งพ้นวิสัยแล้วครูย่อมเอื้อแก่ข้าพเจ้าเป็นแน่แท้
ปรึกษากันเสร็จเล่าปี่จึงจัดของสำหรับเยี่ยมครูเก่าแล้วพาตันเต๋งไปหาเต้เหี้ยนถึงที่บ้านพัก ครูและศิษย์พบกันแล้วเล่าปี่ได้คำนับคารวะและแนะนำตันเต๋งให้ครูรู้จักแล้วเล่าความทุกข์ร้อนให้เต้เหี้ยนฟังทุกประการและว่าความอันร้อนอยู่ในอกข้าพเจ้านี้ไม่เล็งเห็นผู้ใดจะช่วยแก้ไขเห็นแต่ครูผู้มีพระคุณเท่านั้น ขอบารมีครูเป็นที่พึ่งช่วยว่ากล่าวอ้วนเสี้ยวให้รับเป็นไมตรีคุ้มภัยจากโจโฉด้วยเถิด.
ครั้นกีเหมาทราบความตามหนังสือของโจโฉจึงเรียกตันเต๋งจอมแผนการเข้ามาปรึกษา ตันเต๋งทราบเรื่องแล้วกล่าวว่าเป็นเรื่องง่ายดายเหมือนกับการเสนอซื้อซากเครื่องบินเอฟ-๑๖ เท่านั้น แล้วเสนอแผนการว่าขณะนี้เล่าปี่ออกจากเมืองไปเกลี้ยกล่อมซ่องสุมผู้คนอยู่นอกเมือง อีกหลายวันกว่าจะกลับเข้าเมือง ดังนั้นจึงขอให้ท่านแต่งทหารเป็นสองกองซุ่มไว้สองข้างทางที่จะเข้ามายังประตูเมือง เมื่อใดเล่าปี่มาถึงไม่ได้ระวังตัวก็ให้ทหารทั้งสองกองยกเข้ามาพร้อมกันก็จะจับเล่าปี่ฆ่าเสียได้โดยง่าย แม้กวนอู เตียวหุย ติดตามมา เราก็จะรับมืออยู่ในเมืองและให้พลเกาทัณฑ์ยิงสกัดไว้แแบบเดียวกับที่รัฐบาลไทยใช้ทำเนียบรัฐบาลรับมือกับการชุมนุมเรียกร้องของราษฎรที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมแล้วใช้สุนัขไปไล่กัด หรือใช้สมุนบริวารยุยงให้คนไทยฆ่ากันเอง เช่นนี้แล้วกวนอู เตียวหุย แม้มีฝีมือเข้มแข็งก็จะไม่มีพิษสงอะไรและจำต้องถอยไปในที่สุด
กีเหมาเห็นชอบกับแผนการของตันเต๋ง จึงเรียกผู้ใต้บังคับบัญชามาสั่งการให้เตรียมการไว้ให้พร้อม แล้วสั่งว่าตั้งแต่วันพรุ่งนี้ให้เริ่มดำเนินการตามแผนได้
เมื่อปรึกษากันเสร็จแล้วตันเต๋งจึงขอลากีเหมากลับออกมาแล้วไปหาตันกุ๋ยผู้บิดาและเล่าความทั้งปวงที่ปรึกษาวางแผนกับกีเหมาให้บิดาฟัง
ตันกุ๋ยฟังคำเล่าจากตันเต๋งบุตรจอมวางแผนจบคำก็เอามือตบที่โต๊ะดังผางแล้วว่าเดชะบุญที่ตันเต๋งเจ้าเอาความมาบอกเราก่อน หาไม่แล้วเราพ่อลูกก็จะได้ชื่อว่าทรยศต่อราชวงศ์ฮั่นเป็นใจด้วยกังฉิน แล้วอธิบายความแก่ผู้บุตรว่าเดิมทีเราสองพ่อลูกรับราชการในเมืองชีจิ๋วแต่ครั้งที่โตเกี๋ยมเป็นเจ้าเมือง ครั้นเล่าปี่เป็นเจ้าเมืองตามพินัยกรรมของโตเกี๋ยมเราก็มีความสุข ต่อมาจนกระทั่งลิโป้ชิงเมืองชีจิ๋วราษฎรได้ความเดือดร้อน พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงโปรดให้โจโฉมาปราบ เราพ่อลูกจึงเข้าช่วยโจโฉกำจัดลิโป้จนสำเร็จ ราษฎรจึงมีความสุขขึ้น การที่เราเข้าช่วยโจโฉครั้งนั้นคือการช่วยราชการในราชวงศ์ฮั่น หาใช่เราช่วยเหลือโจโฉเป็นการส่วนตัวหรือยอมเป็นพวกของโจโฉไม่ นี่คือจุดยืนที่ชัดเจนของเรา
ตันกุ๋ยกล่าวต่อไปว่าบัดนี้โจโฉเปลี่ยนแปลงไปคิดจะชิงเอาราชสมบัติจึงคิดกำจัดเล่าปี่ซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์และพระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ทรงนับถือเป็นพระเจ้าอา การที่เจ้าคิดวางแผนสังหารเล่าปี่ครั้งนี้จึงเท่ากับช่วยพวกขบถทรยศต่อราชวงศ์ฮั่น ดังนี้เราจะแบกหน้าไปพบบรรพชนของเราในปรโลกได้อย่างไร ดังนั้นจำต้องรีบไปบอกเล่าปี่ให้ระวังตัวและคิดอ่านแก้ไขต่อไป
ตันเต๋งได้ช่วยกีเหมาวางแผนสังหารเล่าปี่ตามหนังสือสั่งการของโจโฉ แต่ครั้นได้รับคำชี้แจงโดยกว้างโดยลึกจากบิดาแล้วจึงได้คิดและเห็นด้วยกับความเห็นของบิดา ตันกุ๋ยจึงให้ตันเต๋งรีบไปแจ้งให้เล่าปี่ทราบอย่าให้ทันยกมาใกล้ประตูเมือง ตันเต๋งรับคำบิดาแล้วรีบออกจากเมืองไป
ครั้นตันเต๋งขี่ม้ามาถึงกลางทางได้สวนกับกวนอู เตียวหุย ซึ่งเดินทางล่วงหน้ามาก่อน ตันเต๋งจึงเล่าความทั้งปวงให้กวนอู เตียวหุยฟัง
สองน้องร่วมสาบานของเล่าปี่ทราบความก็โกรธจึงคิดกำจัดกีเหมาเสียก่อนแต่เมื่อปรึกษากันแล้วเห็นว่ากีเหมาอยู่ในเมืองหากทำการโดยวู่วามจะเป็นการยากลำบากแก่ทหาร หรือถ้ากีเหมารู้ตัวก็จะทำการสำเร็จโดยยากจำเป็นที่จะต้องใช้อุบายกำจัดกีเหมาและยึดเอาเมืองชีจิ๋วไปพร้อมกัน
ปรึกษากันแล้วจึงยั้งกองทหารไว้ ณ ที่นั้น ส่วนตันเต๋งก็ลากวนอูกลับเข้าไปในเมืองเพื่อแจ้งความคืบหน้าให้ตันกุ๋ยทราบและเตรียมการภายในเมืองไว้ให้พร้อมตามแผนการที่ตกลงไว้กับกวนอู
ครั้นค่ำลงกวนอูจึงให้ทหารเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นเครื่องแบบทหารของฝ่ายโจโฉ ให้ทหารถือธงสำหรับกองทัพของโจโฉแล้วยกเข้าไปใกล้กำแพงเมืองและร้องเรียกให้เปิดประตูเมืองพร้อมกับแจ้งว่าท่านอัครมหาเสนาบดีได้สั่งการให้เตียวเลี้ยวมาพบกีเหมาเพื่อปรึกษาราชการสำคัญ
ทหารรักษาประตูจึงเข้าไปรายงานให้กีเหมาทราบ กีเหมาทราบความแล้วเห็นเป็นเวลากลางคืนเกรงว่าจะเป็นกลศึกจึงให้ทหารไปเชิญตันเต๋งมาปรึกษาว่าบัดนี้มีกองทหารยกมาอ้างว่าเตียวเลี้ยวรับคำสั่งท่านอัครมหาเสนาบดีให้มาพบข้าพเจ้าด้วยราชการลับที่สำคัญ หากไม่เปิดประตูรับและเป็นเรื่องจริงก็จะเป็นการขัดขืนไม่ฟังคำสั่ง แต่ถ้าเปิดประตูเมืองรับแล้วกลายเป็นกลศึกซึ่งยังไม่รู้ว่าเป็นฝ่ายใดก็จะเป็นการบกพร่องต่อหน้าที่ทั้งอาจเป็นอันตราย ดั่งนี้จะจัดการอย่างไรดี
ตันเต๋งจึงว่าการสำคัญเช่นนี้จะตัดสินใจแต่เพียงฟังจากรายงานที่ยังไม่ชัดเจนนั้นไม่สมควร ชอบที่ท่านจะต้องขึ้นไปบนเชิงเทินดูเหตุการณ์ให้ประจักษ์ก่อน กีเหมาฟังความเห็นของตันเต๋งแล้วจึงชวนตันเต๋งให้ขึ้นไปบนเชิงเทินด้วยกัน
ครั้นขึ้นไปบนเชิงเทินเห็นทหารอยู่ข้างล่างเป็นอันมากไม่รู้จักหน้า จำได้แต่เครื่องแบบว่าเป็นพวกเดียวกัน และเห็นธงสำคัญสำหรับกองทัพฝ่ายโจโฉ กีเหมาก็ลังเลใจ
แต่ตันเต๋งได้เดินกลเกมเสนอขึ้นว่าเท่าที่ประจักษ์นี้ไม่ปรากฏว่าจะเป็นทหารเหล่าอื่นเพราะธงสำหรับทัพก็เห็นถนัดอยู่ หากทอดเวลาไปแล้วเกลือกเป็นราชการด่วนที่สำคัญเราก็จะไม่พ้นผิด ถึงกระนั้นหากจะเปิดประตูเมืองรับเข้ามาในยามวิกาลเสียทีเดียวก็จะเป็นการตั้งอยู่ในความประมาท ดังนั้นชอบที่ท่านจะคุมทหารยกออกไปดูให้ประจักษ์ หากเป็นเตียวเลี้ยวมาจริงจะได้ไม่เสียราชการไป หรือหากเป็นกลศึกก็สามารถรับมือได้
กีเหมาฟังความเห็นของตันเต๋งที่แวดล้อมเอาด้วยเหตุผลแน่นหนารัดกุมทุกด้านจึงเห็นคล้อยตามแลว่าข้าพเจ้าจะคุมทหารออกไปตามคำท่าน และขอให้ท่านคุมทหารคอยสังเกตการณ์อยู่บนเชิงเทินนี้หากพลาดพลั้งประการใดจะได้แก้ไขทันเหตุการณ์ ตันเต๋งก็รับคำ
ในขณะนั้นทหารข้างล่างได้ร้องเร่งให้เปิดประตูอ้างว่าหากล่าช้าความลับจะรั่วไปถึงเล่าปี่จะเสียหายต่อราชการ กีเหมาได้ยินว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับเล่าปี่ซึ่งไม่มีผู้ใดในเมืองนี้ทราบความนัยก็เริ่มเชื่อว่าจะเป็นเรื่องจริง จึงรีบลงจากเชิงเทินจัดทหารแล้วเปิดประตูเมืองออกไป
ครั้นไปถึงหน้ากองทหารที่ยกมาก็ร้องถามว่าเตียวเลี้ยวอยู่ที่ไหน ในทันใดนั้นมีเสียงตอบดังสนั่นดังมาว่า “กูอยู่ที่นี่” กีเหมาจ้องสายตาไปที่เจ้าของเสียงนั้นเห็นเป็นกวนอูขี่ม้าถือง้าวฝ่าความมืดตรงมาอย่างรวดเร็วก็ตกใจรู้ว่าเป็นกลศึก แต่ไม่ทันที่จะคิดอ่านประการใดกวนอูก็เข้ามาใกล้ถึงตัว กีเหมาจึงจำใจรบด้วยกวนอู
กีเหมารบกับกวนอูได้สิบเพลงเห็นว่าสู้กวนอูไม่ได้จึงชักม้าหนีจะกลับเข้าเมือง แต่พอเข้ามาใกล้ตันเต๋งได้สั่งทหารให้ปิดประตูเมืองเสียและทหารบนเชิงเทินได้ยิงเกาทัณฑ์สกัดไว้อย่างแน่นหนา กีเหมาเข้าเมืองไม่ได้และกวนอูกำลังขับม้าไล่ตามมา กีเหมาจึงชักม้าผละออกจากกำแพงเมืองและจะอ้อมไปอีกด้านหนึ่ง พอดีกวนอูขับม้าตามมาทันและเอาง้าวฟันกีเหมาถึงแก่ความตาย
กวนอูตัดศีรษะกีเหมาหิ้วเข้าไปใกล้กำแพงเมืองแล้วร้องบอกให้ทหารบนกำแพงเมืองทราบว่ากีเหมาคิดลอบสังหารเล่าปี่ บัดนี้เราได้ฆ่าคนคิดร้ายต่อเล่าปี่แล้วหากผู้ใดจะเข้าด้วยเล่าปี่ก็ให้เร่งเปิดประตูเมืองมิฉะนั้นเราก็จะยกทหารเข้าหักเอาเมืองจงได้
ทหารภายในเมืองชีจิ๋วเคยอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของเล่าปี่มาแต่ก่อนมีน้ำใจรักศรัทธาเล่าปี่อยู่ทุกตัวคน เมื่อทราบความดังนั้นจึงเปิดประตูเมืองต้อนรับโดยดี กวนอูจึงยกทหารเข้าไปในเมือง
รุ่งขึ้นกวนอูจึงนำเอาศีรษะของกีเหมาออกจากเมืองกลับไปหาเล่าปี่ที่ตั้งเกลี้ยกล่อมผู้คนอยู่ข้างนอกและให้เตียวหุยรักษาเมืองชีจิ๋วไว้ ครั้นพบเล่าปี่แล้วได้รายงานเหตุทั้งปวงให้ทราบ เล่าปี่ทราบความก็ตกใจเพราะการทั้งนี้ก็คือการประกาศตนเป็นศัตรูกับโจโฉโดยเปิดเผย ความถึงโจโฉในวันใดก็ย่อมเล็งเห็นได้ว่าโจโฉจะยกกองทัพมาในวันนั้น แม้หากจะแก้ตัวว่าไม่รู้เห็นก็ฟังไม่ขึ้นเพราะเล่าปี่ต้องรับผิดชอบในผลแห่งการกระทำของผู้คนของตัว เล่าปี่ยิ่งคิดยิ่งวิตกเพราะรู้ตัวดีว่ายังไม่พร้อมในทุกๆ ด้าน แต่ในที่สุดก็เห็นว่าการอาศัยเมืองชีจิ๋วเป็นฐานย่อมดีกว่าการร่อนเร่พเนจร จึงสั่งให้รีบยกกำลังกลับเข้าไปในเมืองชีจิ๋ว
เตียวหุย ตันเต๋ง ขุนนางข้าราชการและชาวเมืองทราบว่าเล่าปี่ยกทหารกลับมาจึงพากันออกไปต้อนรับถึงนอกประตูเมือง เล่าปี่คารวะทักทายกับคนทั้งปวงแล้วเชิญตันเต๋งไปที่จวนเจ้าเมือง กวนอู เตียวหุยก็ตามเล่าปี่ไป
พอไปถึงจวนเล่าปี่จึงปรึกษาด้วยคนเหล่านั้น เตียวหุยได้รายงานขึ้นมาก่อนว่าข้าพเจ้าได้ประหารผู้คนในครอบครัวของกีเหมาเสียด้วยแล้วเพื่อไม่ต้องกังวนในภายหลัง เล่าปี่ได้ฟังก็ยิ่งตกใจที่เตียวหุยทำการเลยเถิดไปถึงเพียงนี้ จึงว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เท่ากับว่าเราได้ประกาศสงครามกับโจโฉแล้ว โจโฉทราบความในวันใดคงจะยกกองทัพมาในวันนั้น ฝ่ายเรากำลังทั้งปวงยังไม่พร้อม ดั่งนี้จะคิดอ่านป้องกันแก้ไขประการใด
ตันเต๋งจอมวางแผนจึงกล่าวว่าจะเกรงไปใยกับการที่โจโฉจะยกกองทัพมา ข้าพเจ้ามีแผนการที่จะป้องกันไม่ไห้โจโฉทำอันตรายแก่ท่านได้ เล่าปี่จึงว่าท่านมีแผนการประการใดจงช่วยชี้แนะด้วยเถิด
ตันเต๋งจึงว่าแผ่นดินทุกวันนี้แม้ว่าโจโฉจะครองอำนาจรัฐส่วนกลางอิงอยู่ข้างหลังของพระเจ้าเหี้ยนเต้ก็จริงอยู่ แต่ความเป็นจริงนั้นอำนาจรัฐส่วนกลางหาได้บัญชาการได้ทั่วทั้งแผ่นดินไม่ หัวเมืองต่าง ๆ รอคอยโอกาสแสวงหาอำนาจเป็นใหญ่ การใดอาศัยอำนาจส่วนกลางเกื้อกูลได้หรือมีประโยชน์ร่วมกันก็รับเอา แต่การใดที่ไม่เห็นด้วยหรือขัดประโยชน์ตัวก็ไม่ยอมรับนับถือ แลบรรดาหัวเมืองทั้งปวงนั้นบัดนี้อ้วนเสี้ยวมีกำลังเข้มแข็งเติบใหญ่มากที่สุด มีหัวเมืองโทตรีจัตวาขึ้นต่อหลายหัวเมือง เมืองเชียงจิ๋ว เมืองอิวจิ๋ว เมืองเป๊งจิ๋ว ก็เพิ่งโอนมาขึ้นกับเมืองกิจิ๋ว และหลังสุดอ้วนเสี้ยวตีได้เมืองปักเป๋งของกองซุนจ้านอีกเมืองหนึ่ง อ้วนเสี้ยวจึงครองดินแดนกว้างขวาง เสบียงอาหารก็พรั่งพร้อม ที่สำคัญอ้วนสี้ยวมีทหารร่วมร้อยหมื่น มีทหารเอกทหารรองและที่ปรึกษาเป็นจำนวนมาก เห็นทีโจโฉจะคิดเกรงอ้วนเสี้ยวอยู่ ดังนั้นถ้าหากท่านร่วมมือผนึกกำลังกับอ้วนเสี้ยวแล้วโจโฉจะทำอะไรท่านได้
เล่าปี่ฟังตันเต๋งวิจารณ์ความเมืองอย่างกว้างขวางและเห็นแนวทางที่จะป้องกันอันตรายจากโจโฉแล้วสรรเสริญความรู้แลความคิดของตันเต๋งเป็นอันมาก แต่คิดวิตกว่าจะทำการตามความคิดตันเต๋งไม่ได้เพราะเพิ่งทำสงครามล้างอ้วนสุดผู้น้องของอ้วนเสี้ยวมาหยก ๆ อ้วนเสี้ยวย่อมผูกเจ็บแค้นแทนน้องที่ไหนเลยจะยอมร่วมมือช่วยเหลือ เล่าปี่คิดวิตกเช่นนี้จึงนิ่งอยู่
ตันเต๋งเห็นอาการเล่าปี่เช่นนั้นก็รู้ทีจึงว่าความวิตกของท่านนี้อย่ามีกังวลเลย เล่าปี่ได้ยินคำประหนึ่งนั่งเห็นที่กลางใจตัวก็สะดุ้งมองหน้าตันเต๋งเป็นเชิงตั้งใจฟัง ตันเต๋งจึงว่าต่อไปว่าอันอ้วนเสี้ยวนั้นแม้จะเป็นเชื้อสายขุนนางถือยศศักดิ์ไม่ยอมคบหาผู้คนก็จริงอยู่ แต่อ้วนเสี้ยวนั้นใช่ว่าจะไร้คนซึ่งเกรงใจ ข้าพเจ้าทราบมาเป็นอย่างดีว่าแผ่นดินนี้มีคนที่อ้วนเสี้ยวเกรงใจเชื่อฟังประดุจช้างเชื่อควานอยู่คนหนึ่งและคนผู้นั้นใช่อื่นไกลคือเต้เหี้ยนครูเก่าของท่านนั้นเอง หากเต้เหี้ยนออกปากว่ากล่าวแล้วอ้วนเสี้ยวย่อมรับเป็นไมตรีเป็นมั่นคง
เล่าปี่ได้ยินดังนั้นก็ยินดีจึงว่าจริงตามคำท่านแล้ว เต้เหี้ยนนั้นเป็นครูเก่าของข้าพเจ้าตั้งแต่ครั้งที่ยังอยู่เมืองตุ้นก้วน ต่อมาครูได้เข้ารับราชการเป็นขุนนางในพระเจ้าเลนเต้ แต่ทนความเป็นทรราชย์ของสิบขันทีในยุคนั้นไม่ได้จึงขอลาออกจากราชการแล้วมาอยู่มืองชีจิ๋ว ครูมีน้ำใจงามประเสริฐต่อศิษย์โดยเฉพาะกับข้าพเจ้านี้ครูได้ให้ความเมตตาเป็นที่ยิ่ง การใดมิใช่สิ่งพ้นวิสัยแล้วครูย่อมเอื้อแก่ข้าพเจ้าเป็นแน่แท้
ปรึกษากันเสร็จเล่าปี่จึงจัดของสำหรับเยี่ยมครูเก่าแล้วพาตันเต๋งไปหาเต้เหี้ยนถึงที่บ้านพัก ครูและศิษย์พบกันแล้วเล่าปี่ได้คำนับคารวะและแนะนำตันเต๋งให้ครูรู้จักแล้วเล่าความทุกข์ร้อนให้เต้เหี้ยนฟังทุกประการและว่าความอันร้อนอยู่ในอกข้าพเจ้านี้ไม่เล็งเห็นผู้ใดจะช่วยแก้ไขเห็นแต่ครูผู้มีพระคุณเท่านั้น ขอบารมีครูเป็นที่พึ่งช่วยว่ากล่าวอ้วนเสี้ยวให้รับเป็นไมตรีคุ้มภัยจากโจโฉด้วยเถิด.