ตอนที่ 106. อวสานเจ้ากำมะลอ
ฝ่ายม้าเท้งหลังจากกระทำสัตย์กับตังสินและพวกแล้วก็ครุ่นคิดหาช่องทางกำจัดโจโฉ ครั้นทราบข่าวจากเมืองเสเหลียงว่าบัดนี้มีศึกมาประชิดจึงคิดกลับไปเมืองก่อนกำหนด เพื่อจัดแจงทหารแล้วหาโอกาสยกเข้ามาเมืองหลวง จึงเข้าไปเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้กราบทูลให้ทรงทราบ พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็มีพระบรมราชานุญาตให้ม้าเท้งกลับไปป้องกันเมือง ม้าเท้งจึงรีบพาทหารที่ติดตามมากลับไปเมืองเสเหลียง
ทางด้านเล่าปี่ยกกองทัพรีบรุดเดินทางมาทั้งวันทั้งคืน พอถึงเขตแดนเมืองชีจิ๋วก็ให้ม้าเร็วล่วงหน้าไปแจ้งให้ภายในเมืองทราบ กีเหมาซึ่งเป็นผู้รับคำสั่งของโจโฉให้เป็นผู้รักษาเมืองทราบข่าวแล้วได้ออกไปต้อนรับเล่าปี่เข้ามาในเมือง ทั้งสองฝ่ายแจ้งข้อราชการให้แก่กันและกันทราบแล้วเล่าปี่จึงขอตัวกลับมาเยี่ยมครอบครัว
ฝ่ายอ้วนสุดเจ้าเมืองลำหยงนั้นหลังจากตั้งตัวเป็นเจ้าแล้วยิ่งกำเริบในอำนาจและยศศักดิ์จอมปลอมที่ตั้งขึ้นเอง ขุนนางแลทหารคนใดปฏิบัติตามธรรมเนียมข้ากับเจ้าไม่ได้ก็ถูกตำหนิและลงโทษ บ้าอำนาจและใช้อำนาจข่มเหงย่ำยีน้ำใจขุนนางและเหล่าทหารไม่เว้นแต่ละวัน ทำให้ลุยป๊กแลตันหลันสองนายทหารและพรรคพวกอดรนทนความบ้าของอ้วนสุดไม่ได้จึงพากันหนีออกจากราชการไปเป็นโจรและตั้งฐานที่มั่นอยู่ในป่า พวกนายและพลทหารอีกจำนวนมากทราบข่าวของลุยป๊กและตันหลันจึงพากันเอาอย่าง กำลังของอ้วนสุดจึงอ่อนแอลงจนน่าใจหาย
ครั้นอ้วนสุดทราบว่าอ้วนเสี้ยวผู้เป็นพี่ชายขยายอิทธิพลเติบใหญ่และยังได้รับชัยชนะต่อกองทัพของกองซุนจ้านยึดเมืองปักเป๋งไว้ในอำนาจได้อีกเมืองหนึ่งจึงคิดที่จะผนึกกำลังของตระกูล “อ้วน” เข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดังนั้นจึงติดต่ออ้วนเสี้ยวชวนให้ดำเนินการตามความคิดนี้โดยจะมอบตราพระลัญจกรให้แก่อ้วนเสี้ยวในฐานะเป็นพี่ใหญ่ของตระกูล อ้วนเสี้ยวไม่เชื่อใจน้องชายแต่ใคร่ได้ตราพระลัญจกร จึงเกี่ยงให้อ้วนสุดนำตราพระลัญจกรมาส่งมอบให้ที่เมืองกิจิ๋ว
อ้วนสุดจึงจัดแจงทหารนำตราพระลัญจกรออกจากเมืองลำหยงจะไปเมืองกิจิ๋ว ครั้นเดินทัพล่วงเข้าเขตแดนเมืองชีจิ๋ว ทหารลาดตระเวนพบเหตุจึงมีใบบอกเข้าไปแจ้งข่าวในเมือง
เล่าปี่ทราบข่าวแล้วจึงยกทหารออกจากเมืองชีจิ๋วไปตั้งสกัดกองทัพของอ้วนสุด เตียวหุยคุมทหารเป็นกองหน้าของเล่าปี่ได้ปะทะกับกิเหลงกองหน้าของอ้วนสุด เตียวหุยรบกับกิเหลงได้สิบเพลงเตียวหุยก็เอาทวนแทงกิเหลงตกม้าตาย ทหารของกิเหลงพากันตกใจแตกหนี เตียวหุยเห็นได้ทีจึงนำทหารตามตีจนกองทหารของกิเหลงแตกร่นไปถึงกองทัพหลวงของอ้วนสุด เตียวหุยเห็นกองทัพของอ้วนสุดมีทหารเป็นอันมากจึงหยุดตามตี พาทหารกลับมาที่กองทัพหลวงของเล่าปี่
อ้วนสุดทราบจากทหารที่แตกมาว่ากิเหลงตายก็โกรธ สั่งให้เคลื่อนกองทัพทั้งหมดเพื่อตีกองทัพเล่าปี่
เล่าปี่ทราบว่าอ้วนสุดเตรียมทำศึกแตกหัก จึงกำหนดแผนยุทธการ “ธนูพิฆาต” วางขบวนรบเป็นรูปหัวธนู ให้กวนอู เตียวหุย เป็นปีกขวา ให้จูเหลงและล่อเจียวเป็นปีกซ้าย ตัวเล่าปี่เป็นกองกลาง กำหนดให้กองกลางรุกไปข้างหน้า ปีกซ้ายขวารั้งอยู่ข้างหลังทั้งด้านซ้ายและขวา กองกลางจะเข้าปะทะกับข้าศึกก่อนแล้วทำทีถอยล่วงลงมาทางข้างหลัง เมื่อใดที่ข้าศึกไล่ตามตีล่วงแนวที่ปีกซ้ายขวาตั้งอยู่แล้ว ให้ปีกซ้ายขวารุมตีกระหนาบเข้ามาทางด้านในพร้อมกัน กองกลางซึ่งถอยร่นไปอยู่ข้างหลังแล้วจะแปรขบวนกลับหลังตีกลับมาเป็นสามทาง
กำหนดแผนยุทธการแล้วกองทัพของเล่าปี่จึงตั้งรูปขบวนตามแผนการเตรียมรับมือกองทัพของอ้วนสุด ครั้นอ้วนสุดยกมาถึงเห็นเล่าปี่ยืนม้าอยู่หน้าทหารตรงจุดที่เป็นปลายแหลมสุดของรูปขบวนจึงชักม้าออกมาหน้าทหารเช่นเดียวกัน หลังจากด่าว่ากันตามธรรมเนียมการรบแบบจีนแล้ว อ้วนสุดจึงออกคำสั่งให้ทหารเคลื่อนกำลังเข้าตีกองทัพเล่าปี่
ทหารของเล่าปี่ได้รบแบบตั้งรับกับทหารของอ้วนสุดเป็นสามารถ แล้วค่อยๆทำทีถอยร่นไปทางด้านหลังตามแผนการที่วางไว้ ทหารอ้วนสุดไม่รู้กลก็รุกตามเข้าไปจนกองทัพหลวงของอ้วนสุดมาถึงระดับแนวที่ปีกซายขวาของเล่าปี่ตั้งอยู่ ทั้งสองปีกก็ตีกระหนาบเข้ามา กองกลางของเล่าปี่ก็แปรขบวนหันกลับเข้าตี กองทัพหน้าและกองทัพหลวงของอ้วนสุดถูกตีกระหนาบเข้ามาพร้อมกันทั้งสามด้านก็พากันแตกตื่น
ทหารของเล่าปี่ได้ฆ่าฟันทหารของอ้วนสุดล้มตายลงเป็นเบือ สามก๊กฉบับภาษาไทยว่าศพทหารอ้วนสุด “ก่ายกันดังขอนไม้ เลือดไหลเต็มแผ่นดิน” ในขณะที่ฉบับสมบูรณ์ว่าทหารของอ้วนสุด “ถูกสังหารระเนระนาดทั่วท้องทุ่ง โลหิตไหลรินดุจร่องน้ำ”
ทหารของอ้วนสุดที่เหลือตายพากันแตกหนีไปคนละทิศคนละทางคุมกันไม่ติด ในขณะนั้นลุยป๊กและตันหลันทราบข่าวว่าอ้วนสุดรบกับเล่าปี่และเสียทีเล่าปี่จึงยกพวกออกจากป่าเข้าซ้ำเติมยึดเอาเสบียงและยุทโธปกรณ์ไปเป็นอันมาก ทหารอ้วนสุดบางกลุ่มจำพวกเดียวกันได้ก็ยอมเข้าเป็นพวก เหลือทหารที่หนีติดตามอ้วนสุดไปไม่ถึงหมื่นคน
อ้วนสุดพาทหารที่เหลือหนีไปทางเมืองฉิวฉุน บรรดากองโจรต่าง ๆ ที่เคยรับราชการอยู่กับอ้วนสุดทราบข่าวว่าอ้วนสุดแตกทัพมาก็คุมพวกมาโจมตีซ้ำเติมสังหารทหารที่ติดตามและชิงเอาทรัพย์สินและเสบียงไปจนเกือบหมด อ้วนสุดจึงพาครอบครัวและทหารที่เหลือเพียงพันเศษซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นฝ่ายพลาหรือไม่ก็เป็นฝ่ายบริการไปทางตำบลกังเต๋ง ขณะนั้นอ้วนสุดเหลือเสบียงอยู่ก็แต่เพียงข้าวสาลีประมาณสามสิบเกวียนเท่านั้น
อ้วนสุดแม้เป็นเจ้ากำมะลอแต่อย่างน้อยก็เป็นเจ้าเมืองหัวเมืองเอกชั้นพิเศษเดิมทีมีทหารและไพร่พลเป็นจำนวนมาก แต่มาถึงวันนี้กลับกลายเป็นเสมือนหนึ่งสมันที่ตกอยู่ในท่ามกลางฝูงสุนัขจิ้งจอกที่รุมกัดรุมทึ้งซ้ำเติมเอาไม่หยุดหย่อน และโดยที่ฝูงสุนัขจิ้งจอกที่ว่านี้ก็หาใช่คนอื่นไกลไม่ หากล้วนเป็นลูกน้องเก่าที่เคยชุบเลี้ยงกันมาแต่ก่อนและได้พกพาเอาความเคียดแค้นชิงชังที่ถูกอ้วนสุดข่มเหงย่ำยีอยู่เต็มหัวอกทั้งสิ้น ทำให้เห็นได้ว่าระบบการปกครองคนและการใช้คนของอ้วนสุดล้มเหลวอย่างถึงที่สุด ดังนั้นในยามยากจึงแทนที่จะได้รับการช่วยเหลือจากคนที่เคยอุ้มชูกันมากลับต้องถูกคนเหล่านั้นซ้ำเติมเอาอีก จึงนับว่าเป็นอุทาหรณ์สอนใจที่มีค่ายิ่งสำหรับผู้มีอำนาจทั้งปวงว่ายามใดมีอำนาจวาสนาควรจักได้เผื่อแผ่บุญวาสนาของตัวให้เป็นที่พึ่งพาอาลัยรำลึกของผู้คนในวันข้างหน้าบ้าง มิฉะนั้นวันหนึ่งก็อาจมีชะตากรรมซ้ำรอยของอ้วนสุดก็ได้
ในขณะที่คณะของอ้วนสุดหยุดพักที่เขตตำบลกังเต๋งนั้น พวกพ่อครัวที่เคยถูกอ้วนสุดข่มเหงน้ำใจจึงคิดการล้างแค้นโดยการเอาข้าวเปลือกหุงให้อ้วนสุดกิน ซึ่งหากเป็นกาลก่อนการกระทำเช่นนี้ก็ย่อมถูกประหารชีวิต อ้วนสุดเห็นเช่นนั้นก็โกรธแต่ไม่กล้าใช้อำนาจดังแต่ก่อนจึงขอร้องให้ช่วยจัดหาน้ำผึ้งมาชงกินแทน แต่คำตอบที่ได้จากพวกพ่อครัวก็คือในยามตกยากและอยู่ในถิ่นกันดารเช่นนี้จะหาน้ำผึ้งได้จากที่ไหน มีแต่เลือดคนเท่านั้น
อ้วนสุดทั้งโกรธทั้งเสียใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าพอได้ฟังคำตอบแบบนี้จากคนระดับพ่อครัวก็ห้ามโทสะต่อไปไม่ได้ ร้องตะโกนด่าพวกพ่อครัวด้วยเสียงอันดังว่าเป็นพวกเนรคุณจึงทำให้เส้นเลือดใหญ่ในสมองแตก “อ้วนสุดก็อาเจียนโลหิตออกมาประมาณทะนานหนึ่ง ล้มตกลงจากเตียงก็ขาดใจตาย”
ในขณะที่อ้วนสุดตายนั้นพระเจ้าเหี้ยนเต้ได้เสด็จมาประทับที่เมืองฮูโต๋ได้สี่ปีแปดเดือน หรือเจี้ยนอันศกปีที่สี่ล่วงแล้วแปดเดือน
อ้วนอิ๋นผู้เป็นหลานได้จัดแต่งการศพของอ้วนสุดอย่างธรรมเนียมแล้วนำศพพร้อมด้วยครอบครัวของอ้วนสุดและตราพระลัญจกรเดินทางกลับเมืองลำหยง
สภาพความตกต่ำลงสู่ความหายนะของอ้วนสุดและเหตุการณ์ครั้งนี้ ทำให้เห็นว่ารังสีอำมหิตและอาถรรพ์ของตราพระลัญจกรได้เปล่งประกายอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่ซุนเกี๋ยนได้ครองแล้วประสพชะตากรรมเหมือนกับคนอื่น ๆ ในประวัติศาสตร์
แต่ทั้ง ๆ ที่ตัวตายแล้วอ้วนสุดยังคงไม่สิ้นเคราะห์กรรม ในขณะที่อ้วนอิ๋นคุมขบวนศพของอ้วนสุดมาถึงตำบลโลกั๋ง ได้ถูกกองโจรอีกกลุ่มหนึ่งที่นำโดยชีจิ๋วเป๋งโจมตีแล้วสังหารอ้วนอิ๋นและครอบครัวอ้วนสุดจนหมดสิ้น กลุ่มกองโจรได้ปล้นเอาทรัพย์สินในขบวนไปทั้งหมดและเมื่อได้ตรวจค้นโดยละเอียดกลุ่มโจรจึงได้พบตราพระลัญจกรอยู่ในหีบทรัพย์สินนั้น
ชีจิ๋วเป๋งได้ยินกิตติศัพท์เกี่ยวกับตราพระลัญจกรมาก่อนเห็นว่าเหลือพ้นกว่าวาสนาของตัวที่จะครองไว้ ทั้งกลัวอาถรรพ์ว่าจะต้องประสพกับชะตากรรมแบบเดียวกับอ้วนสุดและคนอื่น ๆ จึงคิดปรึกษากับพวกเดียวกันว่าอย่ากระนั้นเลยพวกเราจงพร้อมกันนำตราพระลัญจกรนี้ไปมอบแก่โจโฉคงจะได้บำเหน็จความชอบเป็นอันมาก
กลุ่มโจรปรึกษาเห็นพ้องต้องกันแล้วจึงนำเอาตราพระลัญจกรนั้นไปเมืองหลวงและขอพบโจโฉพร้อมทั้งแจ้งความประสงค์แห่งการมาพบให้ทราบ โจโฉทราบความแล้วดีใจจนเนื้อเต้นรีบออกมาต้อนรับกลุ่มโจรด้วยตนเอง เมื่อได้รับมอบตราพระลัญจกรแล้วจึงแต่งตั้งให้ชีจิ๋วเป๋งเป็นเจ้าเมืองโกเหลง และให้รับพรรคพวกของชีจิ๋วเป๋งเป็นข้าราชการในสังกัดเมืองโกเหลงทั้งสิ้น และยังปูนบำเหน็จเป็นทรัพย์สินเงินทองต่างหากอีกเป็นจำนวนมาก
อาถรรพ์ตราพระลัญจกรจะมีอยู่จริงหรือไม่ เหตุการณ์ภายหลังจากที่โจโฉได้ไว้ในครอบครองแล้วจักเป็นเครื่องอธิบาย แต่อย่างน้อยที่สุดแม้ในขณะนี้พลันที่ได้ครองตราพระลัญจกร โจโฉก็ได้ตั้งให้หัวหน้าโจรเป็นเจ้าเมืองและรับเหล่าโจรเข้าไว้ในราชการ การกระทำเช่นนี้จะเป็นการกระทำของคนที่เป็นปกติดีอยู่หรือไฉน
ทางด้านเล่าปี่เมื่อได้ชัยชนะอย่างงดงามต่ออ้วนสุดและทราบว่าอ้วนสุดตายแล้วจึงทำฎีกากราบบังคมทูลให้พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงทราบและทำเป็นรายงานการศึกอีกฉบับหนึ่งถึงโจโฉ แล้วสั่งให้จูเหลงและล่อเจียวสองเสนาธิการที่โจโฉสั่งให้มาในกองทัพเพื่อคอยกำกับเล่าปี่เป็นผู้นำฎีกาและรายงานกลับไปเมืองหลวง แต่ทหารห้าหมื่นที่รับมอบมานั้นเล่าปี่ขอไว้เพื่อป้องกันเมืองชีจิ๋ว
สองเสนาธิการไม่รู้ความนัยระหว่างโจโฉกับเล่าปี่ ทั้งข้ออ้างรักษาเมืองชีจิ๋วก็มีเหตุผลและสอดคล้องกับราชการสงครามเพราะสถานการณ์เพิ่งเป็นปกติ จึงไม่ได้เฉลียวใจว่ากำลังถูกส่งตัวกลับเมืองหลวงโดยเล่าปี่ยึดไว้ทั้งเมืองชีจิ๋วและกองทัพห้าหมื่นนั้น ดังนั้นจึงรีบเดินทางกลับเมืองหลวงตามคำสั่งของเล่าปี่
ครั้นถึงเมืองหลวงจึงเข้าไปรายงานข้อราชการแก่โจโฉตามคำสั่งของเล่าปี่ทุกประการ พอโจโฉได้ฟังว่าเล่าปี่เอาทหารห้าหมื่นไว้รักษาเมืองชีจิ๋วก็โกรธแล้วระบายไปลงที่สองเสนาธิการว่าเรามอบหมายหน้าที่ให้ตัวไปในกองทัพเพื่อกำกับเล่าปี่ ไฉนจึงทิ้งหน้าที่กลับมาแต่ตัวเปล่าไม่เอาทหารกลับมาด้วยเล่า ว่าแล้วไม่รอฟังคำชี้แจงใดๆ ก็เรียกทหารให้จับตัวสองเสนาธิการเอาไปประหาร
ซุนฮกเห็นดังนั้นจึงรีบลุกขึ้นคำนับโจโฉ ในขณะเดียวกันก็โบกมือเป็นทีว่าให้ทหารที่คุมตัวสองเสนาธิการชะลอมืออย่าเพิ่งเอาตัวออกไปแล้วกล่าวว่าท่านให้จูเหลงและล่อเจียวไปในกองทัพโดยเล่าปี่เป็นผู้ถืออาญาสิทธ์ดั่งนี้ ทั้งสองคนนี้จึงต้องอยู่ภายใต้อำนาจของเล่าปี่ เมื่อเล่าปี่สั่งให้กลับมารายงานข้อราชการในเมืองหลวงซึ่งเป็นอำนาจแม่ทัพที่จะทำได้ สองคนนี้จึงไม่อาจขัดคำสั่งได้ จะว่าละทิ้งหน้าที่ราชการจึงยังไม่เห็นสม ขอท่านจงพิจารณาจงดีเถิด
โจโฉได้ฟังคำท้วงของซุนฮกก็ได้สติยั้งคิด จึงสั่งทหารให้ปล่อยตัวสองเสนาธิการเสีย จูเหลงและล่อเจียวรอดตายมาได้จึงรีบคุกเข่าลงขอบคุณโจโฉและซุนฮกแล้วรีบถือโอกาสลากลับในทันที
ซุนฮกจึงเสนอต่อไปว่าบัดนี้ประจักษ์ชัดว่าเล่าปี่ได้เอาใจออกหากจากท่านแล้วหากละไว้นานไปก็จะเติบใหญ่เข้มแข็งขึ้น การปราบปรามจะได้ความยากลำบาก ดังนั้นจึงต้องรีบทำหนังสือลับให้กีเหมาผู้รักษาเมืองชีจิ๋วหาทางกำจัดเล่าปี่เสียโดยเร็วที่สุดอย่าให้ทันได้ตั้งตัว
โจโฉเห็นชอบกับความคิดที่ซุนฮกเสนอ จึงทำหนังสือถึงกีเหมาให้ทหารรีบนำไปส่งที่เมืองชีจิ๋วแต่ในเพลานั้น.
ทางด้านเล่าปี่ยกกองทัพรีบรุดเดินทางมาทั้งวันทั้งคืน พอถึงเขตแดนเมืองชีจิ๋วก็ให้ม้าเร็วล่วงหน้าไปแจ้งให้ภายในเมืองทราบ กีเหมาซึ่งเป็นผู้รับคำสั่งของโจโฉให้เป็นผู้รักษาเมืองทราบข่าวแล้วได้ออกไปต้อนรับเล่าปี่เข้ามาในเมือง ทั้งสองฝ่ายแจ้งข้อราชการให้แก่กันและกันทราบแล้วเล่าปี่จึงขอตัวกลับมาเยี่ยมครอบครัว
ฝ่ายอ้วนสุดเจ้าเมืองลำหยงนั้นหลังจากตั้งตัวเป็นเจ้าแล้วยิ่งกำเริบในอำนาจและยศศักดิ์จอมปลอมที่ตั้งขึ้นเอง ขุนนางแลทหารคนใดปฏิบัติตามธรรมเนียมข้ากับเจ้าไม่ได้ก็ถูกตำหนิและลงโทษ บ้าอำนาจและใช้อำนาจข่มเหงย่ำยีน้ำใจขุนนางและเหล่าทหารไม่เว้นแต่ละวัน ทำให้ลุยป๊กแลตันหลันสองนายทหารและพรรคพวกอดรนทนความบ้าของอ้วนสุดไม่ได้จึงพากันหนีออกจากราชการไปเป็นโจรและตั้งฐานที่มั่นอยู่ในป่า พวกนายและพลทหารอีกจำนวนมากทราบข่าวของลุยป๊กและตันหลันจึงพากันเอาอย่าง กำลังของอ้วนสุดจึงอ่อนแอลงจนน่าใจหาย
ครั้นอ้วนสุดทราบว่าอ้วนเสี้ยวผู้เป็นพี่ชายขยายอิทธิพลเติบใหญ่และยังได้รับชัยชนะต่อกองทัพของกองซุนจ้านยึดเมืองปักเป๋งไว้ในอำนาจได้อีกเมืองหนึ่งจึงคิดที่จะผนึกกำลังของตระกูล “อ้วน” เข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดังนั้นจึงติดต่ออ้วนเสี้ยวชวนให้ดำเนินการตามความคิดนี้โดยจะมอบตราพระลัญจกรให้แก่อ้วนเสี้ยวในฐานะเป็นพี่ใหญ่ของตระกูล อ้วนเสี้ยวไม่เชื่อใจน้องชายแต่ใคร่ได้ตราพระลัญจกร จึงเกี่ยงให้อ้วนสุดนำตราพระลัญจกรมาส่งมอบให้ที่เมืองกิจิ๋ว
อ้วนสุดจึงจัดแจงทหารนำตราพระลัญจกรออกจากเมืองลำหยงจะไปเมืองกิจิ๋ว ครั้นเดินทัพล่วงเข้าเขตแดนเมืองชีจิ๋ว ทหารลาดตระเวนพบเหตุจึงมีใบบอกเข้าไปแจ้งข่าวในเมือง
เล่าปี่ทราบข่าวแล้วจึงยกทหารออกจากเมืองชีจิ๋วไปตั้งสกัดกองทัพของอ้วนสุด เตียวหุยคุมทหารเป็นกองหน้าของเล่าปี่ได้ปะทะกับกิเหลงกองหน้าของอ้วนสุด เตียวหุยรบกับกิเหลงได้สิบเพลงเตียวหุยก็เอาทวนแทงกิเหลงตกม้าตาย ทหารของกิเหลงพากันตกใจแตกหนี เตียวหุยเห็นได้ทีจึงนำทหารตามตีจนกองทหารของกิเหลงแตกร่นไปถึงกองทัพหลวงของอ้วนสุด เตียวหุยเห็นกองทัพของอ้วนสุดมีทหารเป็นอันมากจึงหยุดตามตี พาทหารกลับมาที่กองทัพหลวงของเล่าปี่
อ้วนสุดทราบจากทหารที่แตกมาว่ากิเหลงตายก็โกรธ สั่งให้เคลื่อนกองทัพทั้งหมดเพื่อตีกองทัพเล่าปี่
เล่าปี่ทราบว่าอ้วนสุดเตรียมทำศึกแตกหัก จึงกำหนดแผนยุทธการ “ธนูพิฆาต” วางขบวนรบเป็นรูปหัวธนู ให้กวนอู เตียวหุย เป็นปีกขวา ให้จูเหลงและล่อเจียวเป็นปีกซ้าย ตัวเล่าปี่เป็นกองกลาง กำหนดให้กองกลางรุกไปข้างหน้า ปีกซ้ายขวารั้งอยู่ข้างหลังทั้งด้านซ้ายและขวา กองกลางจะเข้าปะทะกับข้าศึกก่อนแล้วทำทีถอยล่วงลงมาทางข้างหลัง เมื่อใดที่ข้าศึกไล่ตามตีล่วงแนวที่ปีกซ้ายขวาตั้งอยู่แล้ว ให้ปีกซ้ายขวารุมตีกระหนาบเข้ามาทางด้านในพร้อมกัน กองกลางซึ่งถอยร่นไปอยู่ข้างหลังแล้วจะแปรขบวนกลับหลังตีกลับมาเป็นสามทาง
กำหนดแผนยุทธการแล้วกองทัพของเล่าปี่จึงตั้งรูปขบวนตามแผนการเตรียมรับมือกองทัพของอ้วนสุด ครั้นอ้วนสุดยกมาถึงเห็นเล่าปี่ยืนม้าอยู่หน้าทหารตรงจุดที่เป็นปลายแหลมสุดของรูปขบวนจึงชักม้าออกมาหน้าทหารเช่นเดียวกัน หลังจากด่าว่ากันตามธรรมเนียมการรบแบบจีนแล้ว อ้วนสุดจึงออกคำสั่งให้ทหารเคลื่อนกำลังเข้าตีกองทัพเล่าปี่
ทหารของเล่าปี่ได้รบแบบตั้งรับกับทหารของอ้วนสุดเป็นสามารถ แล้วค่อยๆทำทีถอยร่นไปทางด้านหลังตามแผนการที่วางไว้ ทหารอ้วนสุดไม่รู้กลก็รุกตามเข้าไปจนกองทัพหลวงของอ้วนสุดมาถึงระดับแนวที่ปีกซายขวาของเล่าปี่ตั้งอยู่ ทั้งสองปีกก็ตีกระหนาบเข้ามา กองกลางของเล่าปี่ก็แปรขบวนหันกลับเข้าตี กองทัพหน้าและกองทัพหลวงของอ้วนสุดถูกตีกระหนาบเข้ามาพร้อมกันทั้งสามด้านก็พากันแตกตื่น
ทหารของเล่าปี่ได้ฆ่าฟันทหารของอ้วนสุดล้มตายลงเป็นเบือ สามก๊กฉบับภาษาไทยว่าศพทหารอ้วนสุด “ก่ายกันดังขอนไม้ เลือดไหลเต็มแผ่นดิน” ในขณะที่ฉบับสมบูรณ์ว่าทหารของอ้วนสุด “ถูกสังหารระเนระนาดทั่วท้องทุ่ง โลหิตไหลรินดุจร่องน้ำ”
ทหารของอ้วนสุดที่เหลือตายพากันแตกหนีไปคนละทิศคนละทางคุมกันไม่ติด ในขณะนั้นลุยป๊กและตันหลันทราบข่าวว่าอ้วนสุดรบกับเล่าปี่และเสียทีเล่าปี่จึงยกพวกออกจากป่าเข้าซ้ำเติมยึดเอาเสบียงและยุทโธปกรณ์ไปเป็นอันมาก ทหารอ้วนสุดบางกลุ่มจำพวกเดียวกันได้ก็ยอมเข้าเป็นพวก เหลือทหารที่หนีติดตามอ้วนสุดไปไม่ถึงหมื่นคน
อ้วนสุดพาทหารที่เหลือหนีไปทางเมืองฉิวฉุน บรรดากองโจรต่าง ๆ ที่เคยรับราชการอยู่กับอ้วนสุดทราบข่าวว่าอ้วนสุดแตกทัพมาก็คุมพวกมาโจมตีซ้ำเติมสังหารทหารที่ติดตามและชิงเอาทรัพย์สินและเสบียงไปจนเกือบหมด อ้วนสุดจึงพาครอบครัวและทหารที่เหลือเพียงพันเศษซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นฝ่ายพลาหรือไม่ก็เป็นฝ่ายบริการไปทางตำบลกังเต๋ง ขณะนั้นอ้วนสุดเหลือเสบียงอยู่ก็แต่เพียงข้าวสาลีประมาณสามสิบเกวียนเท่านั้น
อ้วนสุดแม้เป็นเจ้ากำมะลอแต่อย่างน้อยก็เป็นเจ้าเมืองหัวเมืองเอกชั้นพิเศษเดิมทีมีทหารและไพร่พลเป็นจำนวนมาก แต่มาถึงวันนี้กลับกลายเป็นเสมือนหนึ่งสมันที่ตกอยู่ในท่ามกลางฝูงสุนัขจิ้งจอกที่รุมกัดรุมทึ้งซ้ำเติมเอาไม่หยุดหย่อน และโดยที่ฝูงสุนัขจิ้งจอกที่ว่านี้ก็หาใช่คนอื่นไกลไม่ หากล้วนเป็นลูกน้องเก่าที่เคยชุบเลี้ยงกันมาแต่ก่อนและได้พกพาเอาความเคียดแค้นชิงชังที่ถูกอ้วนสุดข่มเหงย่ำยีอยู่เต็มหัวอกทั้งสิ้น ทำให้เห็นได้ว่าระบบการปกครองคนและการใช้คนของอ้วนสุดล้มเหลวอย่างถึงที่สุด ดังนั้นในยามยากจึงแทนที่จะได้รับการช่วยเหลือจากคนที่เคยอุ้มชูกันมากลับต้องถูกคนเหล่านั้นซ้ำเติมเอาอีก จึงนับว่าเป็นอุทาหรณ์สอนใจที่มีค่ายิ่งสำหรับผู้มีอำนาจทั้งปวงว่ายามใดมีอำนาจวาสนาควรจักได้เผื่อแผ่บุญวาสนาของตัวให้เป็นที่พึ่งพาอาลัยรำลึกของผู้คนในวันข้างหน้าบ้าง มิฉะนั้นวันหนึ่งก็อาจมีชะตากรรมซ้ำรอยของอ้วนสุดก็ได้
ในขณะที่คณะของอ้วนสุดหยุดพักที่เขตตำบลกังเต๋งนั้น พวกพ่อครัวที่เคยถูกอ้วนสุดข่มเหงน้ำใจจึงคิดการล้างแค้นโดยการเอาข้าวเปลือกหุงให้อ้วนสุดกิน ซึ่งหากเป็นกาลก่อนการกระทำเช่นนี้ก็ย่อมถูกประหารชีวิต อ้วนสุดเห็นเช่นนั้นก็โกรธแต่ไม่กล้าใช้อำนาจดังแต่ก่อนจึงขอร้องให้ช่วยจัดหาน้ำผึ้งมาชงกินแทน แต่คำตอบที่ได้จากพวกพ่อครัวก็คือในยามตกยากและอยู่ในถิ่นกันดารเช่นนี้จะหาน้ำผึ้งได้จากที่ไหน มีแต่เลือดคนเท่านั้น
อ้วนสุดทั้งโกรธทั้งเสียใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าพอได้ฟังคำตอบแบบนี้จากคนระดับพ่อครัวก็ห้ามโทสะต่อไปไม่ได้ ร้องตะโกนด่าพวกพ่อครัวด้วยเสียงอันดังว่าเป็นพวกเนรคุณจึงทำให้เส้นเลือดใหญ่ในสมองแตก “อ้วนสุดก็อาเจียนโลหิตออกมาประมาณทะนานหนึ่ง ล้มตกลงจากเตียงก็ขาดใจตาย”
ในขณะที่อ้วนสุดตายนั้นพระเจ้าเหี้ยนเต้ได้เสด็จมาประทับที่เมืองฮูโต๋ได้สี่ปีแปดเดือน หรือเจี้ยนอันศกปีที่สี่ล่วงแล้วแปดเดือน
อ้วนอิ๋นผู้เป็นหลานได้จัดแต่งการศพของอ้วนสุดอย่างธรรมเนียมแล้วนำศพพร้อมด้วยครอบครัวของอ้วนสุดและตราพระลัญจกรเดินทางกลับเมืองลำหยง
สภาพความตกต่ำลงสู่ความหายนะของอ้วนสุดและเหตุการณ์ครั้งนี้ ทำให้เห็นว่ารังสีอำมหิตและอาถรรพ์ของตราพระลัญจกรได้เปล่งประกายอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่ซุนเกี๋ยนได้ครองแล้วประสพชะตากรรมเหมือนกับคนอื่น ๆ ในประวัติศาสตร์
แต่ทั้ง ๆ ที่ตัวตายแล้วอ้วนสุดยังคงไม่สิ้นเคราะห์กรรม ในขณะที่อ้วนอิ๋นคุมขบวนศพของอ้วนสุดมาถึงตำบลโลกั๋ง ได้ถูกกองโจรอีกกลุ่มหนึ่งที่นำโดยชีจิ๋วเป๋งโจมตีแล้วสังหารอ้วนอิ๋นและครอบครัวอ้วนสุดจนหมดสิ้น กลุ่มกองโจรได้ปล้นเอาทรัพย์สินในขบวนไปทั้งหมดและเมื่อได้ตรวจค้นโดยละเอียดกลุ่มโจรจึงได้พบตราพระลัญจกรอยู่ในหีบทรัพย์สินนั้น
ชีจิ๋วเป๋งได้ยินกิตติศัพท์เกี่ยวกับตราพระลัญจกรมาก่อนเห็นว่าเหลือพ้นกว่าวาสนาของตัวที่จะครองไว้ ทั้งกลัวอาถรรพ์ว่าจะต้องประสพกับชะตากรรมแบบเดียวกับอ้วนสุดและคนอื่น ๆ จึงคิดปรึกษากับพวกเดียวกันว่าอย่ากระนั้นเลยพวกเราจงพร้อมกันนำตราพระลัญจกรนี้ไปมอบแก่โจโฉคงจะได้บำเหน็จความชอบเป็นอันมาก
กลุ่มโจรปรึกษาเห็นพ้องต้องกันแล้วจึงนำเอาตราพระลัญจกรนั้นไปเมืองหลวงและขอพบโจโฉพร้อมทั้งแจ้งความประสงค์แห่งการมาพบให้ทราบ โจโฉทราบความแล้วดีใจจนเนื้อเต้นรีบออกมาต้อนรับกลุ่มโจรด้วยตนเอง เมื่อได้รับมอบตราพระลัญจกรแล้วจึงแต่งตั้งให้ชีจิ๋วเป๋งเป็นเจ้าเมืองโกเหลง และให้รับพรรคพวกของชีจิ๋วเป๋งเป็นข้าราชการในสังกัดเมืองโกเหลงทั้งสิ้น และยังปูนบำเหน็จเป็นทรัพย์สินเงินทองต่างหากอีกเป็นจำนวนมาก
อาถรรพ์ตราพระลัญจกรจะมีอยู่จริงหรือไม่ เหตุการณ์ภายหลังจากที่โจโฉได้ไว้ในครอบครองแล้วจักเป็นเครื่องอธิบาย แต่อย่างน้อยที่สุดแม้ในขณะนี้พลันที่ได้ครองตราพระลัญจกร โจโฉก็ได้ตั้งให้หัวหน้าโจรเป็นเจ้าเมืองและรับเหล่าโจรเข้าไว้ในราชการ การกระทำเช่นนี้จะเป็นการกระทำของคนที่เป็นปกติดีอยู่หรือไฉน
ทางด้านเล่าปี่เมื่อได้ชัยชนะอย่างงดงามต่ออ้วนสุดและทราบว่าอ้วนสุดตายแล้วจึงทำฎีกากราบบังคมทูลให้พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงทราบและทำเป็นรายงานการศึกอีกฉบับหนึ่งถึงโจโฉ แล้วสั่งให้จูเหลงและล่อเจียวสองเสนาธิการที่โจโฉสั่งให้มาในกองทัพเพื่อคอยกำกับเล่าปี่เป็นผู้นำฎีกาและรายงานกลับไปเมืองหลวง แต่ทหารห้าหมื่นที่รับมอบมานั้นเล่าปี่ขอไว้เพื่อป้องกันเมืองชีจิ๋ว
สองเสนาธิการไม่รู้ความนัยระหว่างโจโฉกับเล่าปี่ ทั้งข้ออ้างรักษาเมืองชีจิ๋วก็มีเหตุผลและสอดคล้องกับราชการสงครามเพราะสถานการณ์เพิ่งเป็นปกติ จึงไม่ได้เฉลียวใจว่ากำลังถูกส่งตัวกลับเมืองหลวงโดยเล่าปี่ยึดไว้ทั้งเมืองชีจิ๋วและกองทัพห้าหมื่นนั้น ดังนั้นจึงรีบเดินทางกลับเมืองหลวงตามคำสั่งของเล่าปี่
ครั้นถึงเมืองหลวงจึงเข้าไปรายงานข้อราชการแก่โจโฉตามคำสั่งของเล่าปี่ทุกประการ พอโจโฉได้ฟังว่าเล่าปี่เอาทหารห้าหมื่นไว้รักษาเมืองชีจิ๋วก็โกรธแล้วระบายไปลงที่สองเสนาธิการว่าเรามอบหมายหน้าที่ให้ตัวไปในกองทัพเพื่อกำกับเล่าปี่ ไฉนจึงทิ้งหน้าที่กลับมาแต่ตัวเปล่าไม่เอาทหารกลับมาด้วยเล่า ว่าแล้วไม่รอฟังคำชี้แจงใดๆ ก็เรียกทหารให้จับตัวสองเสนาธิการเอาไปประหาร
ซุนฮกเห็นดังนั้นจึงรีบลุกขึ้นคำนับโจโฉ ในขณะเดียวกันก็โบกมือเป็นทีว่าให้ทหารที่คุมตัวสองเสนาธิการชะลอมืออย่าเพิ่งเอาตัวออกไปแล้วกล่าวว่าท่านให้จูเหลงและล่อเจียวไปในกองทัพโดยเล่าปี่เป็นผู้ถืออาญาสิทธ์ดั่งนี้ ทั้งสองคนนี้จึงต้องอยู่ภายใต้อำนาจของเล่าปี่ เมื่อเล่าปี่สั่งให้กลับมารายงานข้อราชการในเมืองหลวงซึ่งเป็นอำนาจแม่ทัพที่จะทำได้ สองคนนี้จึงไม่อาจขัดคำสั่งได้ จะว่าละทิ้งหน้าที่ราชการจึงยังไม่เห็นสม ขอท่านจงพิจารณาจงดีเถิด
โจโฉได้ฟังคำท้วงของซุนฮกก็ได้สติยั้งคิด จึงสั่งทหารให้ปล่อยตัวสองเสนาธิการเสีย จูเหลงและล่อเจียวรอดตายมาได้จึงรีบคุกเข่าลงขอบคุณโจโฉและซุนฮกแล้วรีบถือโอกาสลากลับในทันที
ซุนฮกจึงเสนอต่อไปว่าบัดนี้ประจักษ์ชัดว่าเล่าปี่ได้เอาใจออกหากจากท่านแล้วหากละไว้นานไปก็จะเติบใหญ่เข้มแข็งขึ้น การปราบปรามจะได้ความยากลำบาก ดังนั้นจึงต้องรีบทำหนังสือลับให้กีเหมาผู้รักษาเมืองชีจิ๋วหาทางกำจัดเล่าปี่เสียโดยเร็วที่สุดอย่าให้ทันได้ตั้งตัว
โจโฉเห็นชอบกับความคิดที่ซุนฮกเสนอ จึงทำหนังสือถึงกีเหมาให้ทหารรีบนำไปส่งที่เมืองชีจิ๋วแต่ในเพลานั้น.