ตอนที่ 103. อุบาย "เล่าปี่ปลูกผัก"

จูฮกขุนนางตงฉินฟังคำสนทนาอยู่หลังม่านรู้ความตลอดแล้วมีความยินดีที่ได้เพื่อนร่วมการเพิ่มขึ้นอีกสองคน จึงออกจากหลังม่านมาเข้าร่วมสนทนากับเพื่อนขุนนางทั้งสาม  ตังสินได้แจ้งให้สองขุนนางทราบว่าได้คิดอ่านกับจูฮกอยู่ก่อนแล้วและได้นำพระบรมราชโองการเลือดออกมาให้ตันอิบและโงอ้วนดู

            สองขุนนางที่มาในภายหลังได้อ่านพระบรมราชโองการลับแล้วพากันร้องไห้สงสารพระเจ้าเหี้ยนเต้  จูฮกเห็นดังนั้นจึงเสนอว่าจะไปชวนจูลันเพื่อนขุนนางที่สนิทอีกคนหนึ่ง เมื่อได้รับความเห็นชอบพร้อมกันแล้วจูฮกได้ขอให้ทุกคนรออยู่ที่บ้านของ   ตังสินก่อน  ตัวจูฮกได้ออกไปตามจูลันมาอีกคนหนึ่ง  เมื่อจูลันทราบความก็เต็มใจเข้าร่วมด้วย ตังสินจึงเขียนคำปฏิญญาขึ้นฉบับหนึ่งเป็นใจความว่าเพื่อพิทักษ์ราชวงศ์ฮั่น พิทักษ์และเทิดทูนฮ่องเต้ บรรดาขุนนางข้าราชการผู้จงรักภักดีจึงปฏิญาณว่าจะร่วมกันคิดอ่านกำจัดโจโฉซึ่งเป็นศัตรูแผ่นดินให้จงได้ แล้วทั้งห้าคนได้ร่วมกันลงชื่อไว้เป็นสำคัญ

            เมื่อลงนามในคำปฏิญญาเสร็จแล้ว ตังสินจึงให้แต่งโต๊ะเลี้ยงเพื่อนผู้ร่วมการทั้งสี่คน ในขณะนั้นคนรับใช้ได้เข้ามารายงานตังสินว่าม้าเท้งเจ้าเมืองเสเหลียงมาขอพบ   ตังสินไม่ทราบว่าม้าเท้งจะมาดีร้ายประการใดจึงสั่งให้ยกโต๊ะออกไปเก็บไว้ด้านหลังและให้เพื่อนขุนนางหลบเสียในอีกห้องหนึ่ง  จากนั้นจึงให้เชิญมาเท้งเข้ามาพบ

            อันม้าเท้งผู้นี้เป็นขุนนางตงฉินอีกคนหนึ่งครองตำแหน่งที่เจ้าเมืองเสเหลียงซึ่งเป็นหัวเมืองทางด้านตะวันตก เมื่อครั้งตั๋งโต๊ะครองอำนาจและกลายเป็นทรราชย์นั้น ม้าเท้งก็เป็นหนึ่งในบรรดาเจ้าเมืองที่ได้เข้าร่วมในกองทัพปฏิวัติเพื่อกำจัดตั๋งโต๊ะ คราวนี้ม้าเท้งเดินทางมาราชการในเมืองหลวงและได้เข้าร่วมในขบวนเสด็จประพาสป่าล่าสัตว์ด้วย   ได้เห็นเหตุการณ์ที่โจโฉหักหน้าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพโดยตลอดมีใจเจ็บแค้นด้วยราชสำนักยิ่งนัก จึงคิดหาเพื่อนขุนนางที่ภักดีต่อแผ่นดินร่วมกำจัดโจโฉ ครั้นใกล้ถึงกำหนดเดินทางกลับจึงถือโอกาสมาขอพบตังสินซึ่งเป็นพระญาติของฮ่องเต้เพื่อฟังความและอำลากลับไปเมืองเสเหลียง

            ม้าเท้งได้คารวะทักทายตังสินตามธรรมเนียมผู้น้อยผู้ใหญ่แล้วสังเกตเห็นตังสินมีสีหน้าแดงระเรื่อด้วยฤทธิ์สุราจึงสำคัญผิดคิดว่าตังสินเป็นขุนนางผู้ใหญ่เสียเปล่าแต่ไม่รู้สึกเจ็บร้อนด้วยฮ่องเต้ก็รู้สึกไม่พอใจ   และปรารภเป็นเชิงผิดหวังว่าราชวงศ์ฮั่นคงจะถึงกาลดับสูญแล้วเพราะขุนนางชั้นผู้ใหญ่มัวแต่เสพสุขส่วนตัวหามีผู้ใดเจ็บร้อนด้วยพระมหากษัตริย์ไม่ ปรารภแล้วก็หันหลังจะกลับออกไปโดยไม่กลัวว่าจะเป็นการเสียมารยาท

            ตังสินได้ยินดังนั้นก็สะดุดใจเพราะความที่ปรารภนั้นบ่งความหมายชัดเจนถึงความเจ็บร้อนด้วยเรื่องหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จึงรีบยุดเอาชายเสื้อของม้าเท้งไว้แล้วแสร้งถามว่าเหตุไฉนท่านจึงกล่าวความอันเป็นอัปมงคลดั่งนี้

            ม้าเท้งจึงกล่าวด้วยความไม่พอใจว่าเหตุการณ์วันประพาสป่าล่าสัตว์นั้นย่อมประจักษ์อยู่แก่สายตาของคนทั้วปวงว่าโจโฉหยามย่ำยีฮ่องเต้  ข้าพเจ้าเป็นเพียงขุนนางผู้น้อยอยู่หัวเมืองก็ยังรู้สึกเจ็บแค้นด้วยฮ่องเต้  แต่ตัวท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่และเป็นทั้งพระญาติกลับไม่คิดอ่านกำจัดศัตรูแผ่นดินและทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาวอยู่ดังนี้

            ตังสินคิดระวังตัวว่าม้าเท้งอาจแสร้งกล่าวความเพื่อล้วงเอาความลับจึงกล่าวกลบเกลื่อนไปว่าเหตุใดจึงเอาความเช่นนี้มากล่าวกับข้าพเจ้า   เพราะท่านอัครมหาเสนาบดีนั้นได้ทุ่มเททั้งกำลังกายกำลังสติปัญญาเพื่อทำนุบำรุงบ้านเมืองให้สงบ  ตัวท่านและข้าพเจ้าจึงได้มีความสุขอยู่ในทุกวันนี้

            ม้าเท้งได้ยินเช่นนั้นกลั้นโทสะต่อไปไม่ได้ กระทืบเท้าแล้วว่าตัวท่านเป็นคนสอพลอต่อศัตรูแผ่นดินป่วยการที่ข้าพเจ้าจะเจรจาต่อไป ว่าแล้วม้าเท้งก็เดินกลับจะออกจากบ้านไป ตังสินฟังคำม้าเท้งเห็นหนักแน่นมั่นคงว่าภักดีต่อราชสำนักก็ดีใจรีบบอกให้ม้าเท้งหยุดอยู่ก่อนแล้วว่าท่านอย่าเพิ่งวู่วามร้อนใจไป

            ว่าแล้วตังสินก็จูงมือม้าเท้งไปที่ห้องหนังสือ ม้าเท้งได้ยินความและน้ำเสียงของตังสินเปลี่ยนไปเช่นนั้นจึงเดินตามตังสินเข้าไปในห้องหนังสือ   ตังสินได้หยิบเอาพระราชหัตถเลขาโลหิตให้ม้าเท้งดู   ม้าเท้งเห็นพระบรมราชโองการลับแล้วก็โกรธกัดริมฝีปากตัวเองจนเลือดไหลเต็มปาก แล้วว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ก็จงรีบคิดอ่านกำจัดศัตรูแผ่นดินด้วยกันเถิด

            ตังสินจึงเรียกเพื่อนขุนนางอีกสี่คนออกมา แล้วว่าพวกเราทั้งห้าคนได้ร่วมลงนามในปฏิญญาว่าจะกำจัดโจโฉให้จงได้  ม้าเท้งจึงขอร่วมลงนามด้วยอีกคนหนึ่งและอาสาว่าจะกลับไปเมืองเสเหลียงยกกองทัพมากำจัดโจโฉเอง ขุนนางทั้งนั้นก็ดีใจ ม้าเท้งจึงขอให้ตังสินสั่งคนในบ้านให้เอาสุรามาแล้วกรีดเลือดทั้งหกคนผสมเข้ากับสุรานั้นแล้วกระทำสัตย์สาบานต่อกันว่าจะร่วมกันกำจัดศัตรูแผ่นดินทั้งจะไม่แพร่งพรายความให้คนนอกรับรู้เป็นอันขาด

            จากนั้นจึงปรึกษากันว่าสมควรจะเชิญผู้ใดเข้าร่วมการอีกบ้าง   ม้าเท้งจึงเสนอให้เชิญเล่าปี่เข้าร่วมอีกคนหนึ่งเพราะเห็นว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ แต่ตังสินแย้งว่าแม้จะเป็นเชื้อพระวงศ์แต่เล่าปี่ยังอยูในอำนาจของโจโฉ อาจเอาความที่ปรึกษากันแจ้งแก่โจโฉก็จะเสียการของพระเจ้าเหี้ยนเต้

            ม้าเท้งได้แย้งว่าในเหตุการณ์ประพาสป่าขณะที่เหล่าขุนนางข้าราชการถวายพระพรและโจโฉได้ชักม้าออกไปหน้าม้าพระที่นั่งทำทีรับการถวายพระพรนั้น    ข้าพเจ้าสังเกตเห็นกวนอูชักม้าเงื้อง้าวจะตรงเข้าไปฟันโจโฉแต่เล่าปี่ทำทีปรามกวนอูไว้แสดงว่าเล่าปี่คงจะเจ็บแค้นด้วยฮ่องเต้เป็นแต่ยังไม่เห็นเป็นโอกาสเพราะฮ่องเต้และเล่าปี่อยู่ในท่ามกลางทหารของโจโฉจึงเกรงว่าจะเป็นอันตรายจึงห้ามกวนอูไว้  ดังนั้นขอท่านจงไปเลียบเคียงความคิดเล่าปี่ให้ประจักษ์ก่อนเถิด

            ตังสินเห็นด้วยกับข้อเสนอของม้าเท้งและอาสาว่าจะไปเจรจากับเล่าปี่เอง  เมื่อตกลงกันเช่นนี้แล้วต่างคนต่างร่ำลากันและแยกย้ายกลับไปที่อยู่

            ครั้นค่ำลงตังสินจึงเอาพระบรมราชโองการลับไปที่บ้านพักของเล่าปี่  ทักทายคารวะกันตามธรรมเนียมแล้วตังสินจึงถามเล่าปี่ว่าในเหตุการณ์ประพาสป่านั้นกวนอูจะเอาง้าวฟันโจโฉ เหตุใดท่านจึงห้ามเสียเล่า

            เล่าปี่ได้ยินดังนั้นก็ตกใจรีบบ่ายเบี่ยงเป็นเชิงย้อนว่ามีเหตุการณ์เช่นนั้นหรือ  ตังสินจึงว่าท่านจะบ่ายเบี่ยงไปใย  เพราะเหตุการณ์นั้นแม้ว่าจะไม่มีผู้ใดทันสังเกต  แต่ตัวเรานี้ได้สังเกตเห็นประจักษ์   เล่าปี่เห็นตังสินเป็นพระญาติทั้งความที่ไต่ถามนั้นเป็นนัยเดือดร้อนด้วยฮ่องเต้จึงผ่อนความเสียว่ากวนอูมีน้ำใจหนักด้วยความภักดีในฮ่องเต้คงจะเห็นว่าโจโฉทำล่วงเกินอยู่บ้างจึงวู่วามไปเช่นนั้น 

            ตังสินได้ยินดังนั้นน้ำใจรักภักดีเอ่อล้นขึ้นมาก็ร้องไห้สงสารพระเจ้าเหี้ยนเต้แล้วว่าหากขุนนางทั้งปวงมีใจภักดีเสมอด้วยกวนอูแล้วที่ไหนเลยพระเจ้าเหี้ยนเต้จะต้องตรอมพระทัยถึงเพียงนี้

            เล่าปี่ยังไม่วางใจจึงแสร้งกล่าวว่า เหตุใดท่านจึงกล่าวว่าฮ่องเต้ตรอมพระทัยก็ในทุกวันนี้ท่านอัครมหาเสนาบดีได้อุทิศตนถวายการรับใช้ช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินอย่างเต็มที่ต้องด้วยพระราชหฤทัยอยู่แล้วจะทรงเดือดร้อนด้วยเหตุใดอีก

            ตังสินได้ยินดังนั้นก็โกรธ  ลุกขึ้นยืนแล้วว่าเสียทีที่ท่านเป็นเชื้อพระวงศ์  แม้พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ยังทรงยกย่องนับถือเป็นพระเจ้าอาแต่ตัวท่านกลับมายกย่องเชิดชูศัตรูราชสมบัติ  ว่าแล้วตังสินก็เตรียมจะเดินกลับออกไป

            เล่าปี่จึงว่าท่านอย่าเพิ่งไปข้าพเจ้ากล่าวความทั้งนี้เพื่อจะลองใจท่าน  บัดนี้แจ้งในน้ำใจจงรักภักดีแล้วจงอยู่สนทนากันต่อไปเถิด

            ตังสินจึงหันกลับมาแล้วเอาพระบรมราชโองการลับให้เล่าปี่ดู   เล่าปี่อ่านแล้วก็ร้องไห้สงสารพระเจ้าเหี้ยนเต้  ตังสินเห็นดังนั้นจึงเล่าความที่ได้คิดอ่านกับเพื่อนขุนนางและเอาหนังสือปฏิญญาที่ได้ลงนามร่วมกันนั้นให้เล่าปี่   เล่าปี่เห็นหนังสือปฏิญญาก็เต็มใจเข้าร่วมและได้ร่วมลงนามอีกคนหนึ่งรวมเป็นเจ็ดคนแล้วมอบคืนแก่ตังสิน

            เล่าปี่ได้กำชับตังสินว่าการครั้งนี้เป็นการสำคัญของราชสำนัก ท่านจงระมัดระวังอย่าให้ความลับแพร่งพรายไปจะเป็นอันตรายต่อฮ่องเต้และพวกเราทุกคน ตังสินก็รับคำแล้วลากลับไป

            หลังจากตกลงเข้าร่วมขบวนการกับตังสินแล้วเล่าปี่ก็คิดระแวงว่าโจโฉจะสงสัยจึงคิดกลบเกลื่อนเรื่องที่ได้กระทำไปด้วยการทำแปลงปลูกผักขึ้นที่หลังบ้าน  ทุกวันเล่าปี่จะออกมาปลูกผักและรดน้ำผักด้วยตนเอง

            กวนอู เตียวหุย เห็นเล่าปี่ทำเช่นนั้นก็สงสัย จึงถามเล่าปี่ว่าการแผ่นดินเป็นเรื่องสำคัญเหตุใดพี่ใหญ่ไม่สนใจกลับมาปลูกผักเสียเช่นนี้ เล่าปี่ไม่ตอบคำถามแต่ปรามว่าเจ้าทั้งสองอย่าเพิ่งวุ่นวายไป น้องร่วมสาบานทั้งสองเห็นผู้เป็นพี่ใหญ่มีน้ำเสียงจริงจังเช่นนั้นก็ไม่ไต่ถามสืบความต่อไป

            การปลูกผักของเล่าปี่เป็นการกระทำของคนที่รู้ตัวว่ากำลังกระทำการอันต้องปกปิดต่อผู้คนด้วยหวังว่าจะเป็นการอำพรางกลบเกลื่อนในสิ่งที่ตนได้กระทำซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของปุถุชน เพราะสิ่งที่ได้กระทำไปนั้นแม้ว่าจะสามารถปกปิดคนอื่นได้ก็จริง  แต่ทว่าไม่สามารถปกปิดตัวเองได้   จึงปรากฏด้วยการอำพรางในลักษณะเช่นนี้   และด้วยเหตุผลทางจิตวิทยาเช่นนี้สุภาษิตกฎหมายจึงว่าไว้ว่าเป็นธรรมดาของอาชญากรที่ต้องทิ้งร่องรอยแห่งอาชญากรรมไว้เสมอ แต่กระนั้นพนักงานสอบสวนที่ไร้สติปัญญาความสามารถก็ยังไม่อาจค้นหาร่องรอยได้ ทำให้อาชญากรจำนวนมากลอยนวลไปได้  สำมะหาอะไรกับการปฏิบัติหน้าที่โดยเห็นแก่อามิสเล่า

            แต่กระนั้น “อุบายเล่าปี่ปลูกสวนผัก” ก็ได้กลายเป็นชื่อกลอุบายที่มีการกล่าวขวัญอ้างอิงและมีผู้นำไปใช้มากที่สุดอุบายหนึ่งในบรรดากลอุบายทั้งปวง

            เล่าปี่ปลูกผักเพราะหวังอำพรางในการเข้าร่วมขบวนการกับตังสิน  แต่พอโจโฉได้รับรายงานจากสายสืบถึงพฤติการณ์ดังกล่าวกลับทำให้โจโฉสงสัย  จึงสั่งให้เคาทูและเตียวเลี้ยวนำทหารยี่สิบนายไปเชิญเล่าปี่มาพบที่จวน

            เล่าปี่ทราบเรื่องก็ตกใจเพราะความหวาดระแวงที่ครองใจอยู่นั้น จึงถามสองนายทหารว่าท่านอัครมหาเสนาบดีมีราชการสิ่งใดหรือ  สองนายทหารไม่ทราบความนัยก็ตอบไปตามจริงว่าไม่ทราบว่าจะมีราชการสิ่งใดเพราะเพียงแต่รับคำสั่งให้มาเชิญเท่านั้น

            เล่าปี่ขัดคำเชิญไม่ได้จึงตามสองนายทหารไปพบโจโฉ   พอโจโฉเห็นหน้าเล่าปี่ก็กล่าวเป็นทีสัพยอกว่า “ท่านอยู่บ้านทุกวันนี้ทำการใหญ่หลวงนัก” เล่าปี่ได้ยินคำโจโฉเช่นนั้นใจหนึ่งก็ประหวั่นแต่ใจหนึ่งไม่แน่ใจว่าโจโฉจะรู้ความที่ทำการนั้นหรือไม่จึงคารวะโจโฉตามธรรมเนียมแต่ไม่ตอบถ้อยคำประการใด

            โจโฉไม่รู้ความก็เข้าใจว่าเล่าปี่เกรงใจไม่กล้าต่อปากต่อคำด้วย จึงจูงมือเล่าปี่ด้วยท่าทีสนิทสนมแล้วพาไปที่สวนหลังจวน ชี้มือไปที่แปลงผักสวนครัวรั้วกินได้และถามขึ้นว่าบัดนี้ทราบว่าท่านปลูกผักทำสวนครัวด้วยตัวเองจะเอาอย่างเราหรือ?

            เล่าปี่กำลังครุ่นคิดหาข้อแก้ตัวแต่พอได้ยินคำโจโฉดังนั้นก็จับได้ว่าโจโฉไม่รู้เรื่องของตัวจึงคลายใจมีอาการยิ้มแย้มคล้ายกับว่าดีใจที่ได้พบกับคนที่มีงานอดิเรกเป็นอย่างเดียวกัน จึงตอบว่าข้าพเจ้ามาอาศัยพึ่งใบบุญท่านไหนเลยจะกล้าเอาอย่างท่าน  ตัวข้าพเจ้าทำสวนผักเพียงเพื่อเป็นการออกกำลังกายให้สบายอารมณ์เท่านั้น เหตุนี้สวนผักของข้าพเจ้าจึงไม่สวยงามและได้ผลอุดมเหมือนกับสวนผักของท่าน

            โจโฉได้ยินดังนั้นก็หัวเราะด้วยความสบายใจและพอใจ ด้วยความเผลอเรอเพียงชั่วแวบความคิดเท่านั้นก็ลิ้มรสลูกยอของเล่าปี่ ทำให้เล่าปี่หลุดพ้นจากแรงกดดันแห่งความหวาดระแวงในครั้งนี้ไปได้อย่างหวุดหวิด

            การสนทนาระหว่างเล่าปี่กับโจโฉในเรื่องนี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงความระมัดระวังตัวอย่างยิ่งยวดของเล่าปี่ ด้านหนึ่งแสดงว่าเล่าปี่ไม่เคยไว้วางใจโจโฉ และอีกด้านหนึ่งเล่าปี่ก็รู้ดีว่าโจโฉก็ไม่เคยไว้วางใจตนเอง ดังนั้นสิ่งใดที่อดออมถนอมถ้อยคำได้ เล่าปี่ก็จะอดออมถนอมถ้อยคำนั้น จังหวะใดที่พอจะหยอดลูกยออันเป็นอาหารทางจิตใจของคนทั่วไปที่หิวกระหายไม่เคยสร่างสิ้น เล่าปี่ก็จะประเคนลูกยอในทันที แต่ก็ยังกุมโอกาสและสถานการณ์ที่เหมาะสม เพราะรู้ดีว่าโจโฉเป็นคนช่างสังเกต และฉลาดพอที่จะรู้ทัน แต่กระนั้นยังเป็นวิสัยปุถุชนอยู่นั่นเอง แม้บางครั้งจะรู้ว่าถูกยอแต่ก็ไม่อาจหักห้ามความอิ่มอกอิ่มใจเอาไว้ได้ ความแปลกประหลาดของโลกอยู่ที่ว่าแม้ว่าการยกยอจะไม่ต้องลงทุนด้วยค่าใช้จ่ายประการใด แต่ผู้คนปกติก็ยังทำไม่เป็นหรือไม่ยอมทำ ดังนั้นจึงมีแต่พวกวิปริตคิดประจบสอพลอเท่านั้นที่ได้อาศัยประโยชน์จากธรรมชาติข้อนี้ของมนุษย์.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร