ตอนที่ 102. พระบรมราชโองการเลือด

ฮกอ้วนจึงกราบทูลว่าเหตุการณ์ที่โจโฉหักหน้าฮ่องเต้ หมิ่นพระบรมเดชานุภาพในครั้งนี้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของขุนนางข้าราชการทั้งปวงว่าเป็นอุบายทดสอบกำลังทางการเมือง  แม้ว่าหลายคนจะไม่พอใจในการการทำของโจโฉแต่ทุกคนยังสงวนท่าที   ดังนั้นจึงสมควรที่พระองค์จะได้มีรับสั่งเรียกตังสินซึ่งเป็นขุนนางและเป็นพระญาติเข้ามาปรึกษาหาหนทางป้องกันแก้ไข

            ฮกอ้วนกราบทูลต่อไปว่าการรับสั่งหาตังสินเข้ามาปรึกษาครั้งนี้หากความแพร่งพรายไปถึงโจโฉก็จะเสียการไป  จึงขอถวายความเห็นให้ทรงพระอักษรซ่อนไว้ในเสื้อให้มิดชิดแล้วพระราชทานเสื้อนั้นแก่ตังสินไปดำเนินการต่อไป พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงเห็นชอบกับข้อเสนอ  ฮกอ้วนจึงถวายบังคมลากลับไป

            คืนวันนั้นพระเจ้าเหี้ยนเต้จึงเอาพระแสงแทงที่พระหัตถ์ใช้พระโลหิตแทนหมึกทรงพระอักษรโลหิตลงในแพรขาวเป็นใจความว่า “แต่โจโฉเข้ามาอยู่ในเมืองหลวงได้สี่ปีแล้ว  ทำการหยาบช้าต่างๆ จะตั้งขุนนางแลลงโทษผู้ใดก็มิได้ยำเกรงบอกกล่าวให้เรารู้สุดที่จะอดกลั้นทนทานได้  เราจึงเอาโลหิตในนิ้วมือเขียนอักษรเป็นความลับมาให้แจ้ง แม้ตังสินเห็นขุนนางผู้ใดมีสติปัญญาซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินก็ให้ชักชวนกันกำจัดโจโฉเสียให้จงได้ ตัวเราแลขุนนางกับราษฎรทั้งปวงจะได้อยู่เย็นเป็นสุขสืบไป”

            การทรงพระอักษรโลหิตหรือการร้องทุกข์โดยจดหมายเลือดนี้ คตินิยมของจีนแต่โบราณมาถือว่าเป็นเรื่องร้ายแรงสุดแสนจะทนทาน ดังนั้นจึงต้องเป็นเรื่องที่จำต้องได้รับการแก้ไขโดยเร่งด่วนจริงจัง ความที่แปลกประหลาดก็คือจดหมายเลือดทั้งปวงที่มีมาแต่ประวัติศาสตร์นั้นเป็นจดหมายเลือดของราษฎรถึงผู้มีอำนาจหรือผู้น้อยร้องขอความเป็นธรรมจากผู้เป็นใหญ่ แต่ครั้งนี้กลับเป็นเรื่องที่ฮ่องเต้ซึ่งเป็นประมุขสูงสุดของแผ่นดินร้องขอความเป็นธรรมและขอความช่วยเหลือจากขุนนาง   ทำให้เห็นถึงความตรอมพระทัยของพระองค์อันเกิดจากการกระทำของโจโฉซึ่งต้องอดทนมาเป็นเวลานานถึงสี่ปีจนสุดจะทนทาน จะมีกรณีใกล้เคียงกันก็แต่ครั้งที่เกิดกระแสวิพากษ์ประธานเหมาเจ๋อตุงในประเทศจีนว่าทำความผิดพลาดเสียหายร้ายแรงต่อประเทศจีนถึงขนาดที่เกือบจะมีการรื้อสุสานและอนุสาวรีย์ทิ้งเหมือนกับกรณีที่เกิดกับสุสานและอนุสาวรีย์ของสตาลินในโซเวียตก่อนที่จะล่มสลาย ในครั้งนั้นมาดามซ่งชิงหลิงภริยาของดร.ซุนยัดเซ็นผู้ล่วงลับได้ทำจดหมายเลือดถึงพรรคคอมมิวนิสต์จีนคัดค้านการวิพากษ์ความผิดพลาดของประธานเหมาเจ๋อตุงจนเกินความเป็นจริงด้วยใจความว่า “ถ้าไม่มีเหมาเจ๋อตุง  ก็ไม่มีประเทศจีนในวันนี้  เพียงประการเดียวนี้ก็มีคุณค่ากว่าความผิดพลาดทั้งปวง” และด้วยจดหมายเลือดฉบับนี้จึงทำให้เติ้งเสี่ยวผิงผู้นำพรรคในรุ่นที่สองต้องออกโรงมาชี้นำทั้งประเทศด้วยตนเองให้ประเมินคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของเหมาเจ๋อตุงตามความเป็นจริง ซึ่งได้ผลสรุปว่าเหมาเจ๋อตุงสร้างคุณูปการอันยิ่งใหญ่ต่อประเทศจีนถึง ๗ ส่วน แต่ทำความผิดพลาดเพียง ๓ ส่วน

            ครั้นทรงพระอักษรเสร็จสิ้นแล้วได้พระราชทานแก่พระมเหสีให้เย็บซ่อนไว้ในกลีบเสื้อเพื่อเตรียมพระราชทานแก่ตังสิน  แต่ความตอนนี้สามก๊กฉบับภาษาจีนว่าเสื้อดังกล่าวเป็นเสื้อคลุมฉลองพระองค์และทรงฉลองพระองค์ชุดนี้ในการเสด็จออกให้ตังสินเข้าเฝ้า

            วันรุ่งขึ้นจึงมีรับสั่งให้ข้าหลวงไปเชิญตังสินขุนนางผู้ตงฉินและเคยเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายช่วยเหลือพระองค์เมื่อครั้งหลบภัยจากการไล่ล่าของลิฉุย กุยกีมาเข้าเฝ้าที่พระตำหนักที่ประทับเพื่อพระราชทานเลี้ยงเป็นการส่วนพระองค์

            ครั้นตังสินมาเข้าเฝ้าตามรับสั่งและพระราชทานเลี้ยงแล้วทรงมีกระแสพระราชดำรัสว่าทรงรำลึกถึงความชอบแต่ครั้งได้ช่วยเหลือให้พ้นจากการไล่ล่าของลิฉุย กุยกีจึงให้ข้าหลวงไปเชิญมารับพระราชทานเลี้ยงเป็นบำเหน็จความชอบ  แล้วทรงนำตังสินไปที่ศาลพระเทพบิดรของราชวงศ์ฮั่น

            ตังสินแม้ว่าจะแปลกใจที่ทรงพระราชทานเลี้ยงและทรงนำมาที่ศาลพระเทพบิดรแห่งราชวงศ์ฮั่นแต่ยังคงโดยเสด็จตามปกติ  ครั้นเสด็จถึงทรงจุดธูปแล้วกราบถวายบังคมพระป้ายอดีตสมเด็จพระบุรพมหากษัตริย์แล้วเสด็จชมพระบรมสาทิสลักษณ์ของอดีตพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์ฮั่น ครั้นเสด็จถึงพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระเจ้าฮั่นโกโจองค์พระปฐมกษัตริย์ผู้สถาปนาพระราชวงศ์จึงทรงหยุดแล้วตรัสว่าบรรพบุรุษทรงเป็นวีรชนที่เข้มแข็งแต่กลับมีลูกหลานที่อ่อนแอช่างน่าสลดใจนัก

            ตังสินได้ยินพระราชกระแสดังนั้นก็ตกใจจึงกราบทูลถามว่าเหตุไฉนจึงรับสั่งเช่นนั้นแต่ไม่ทรงตอบกลับชี้พระหัตถ์ไปที่รูปวาดของเตียวเหลียงและฮั่นสินสองขุนนางฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊คู่พระบารมีของพระเจ้าฮั่นโกโจที่ประดับอยู่ซ้ายขวาพระบรมสาทิสลักษณ์แล้วรับสั่งถามว่าท่านรู้จักเจ้าของภาพทั้งสองนี้หรือไม่

            ตังสินกราบทูลว่าทั้งสองท่านนี้เป็นวีรชนคู่พระบารมีที่ได้ช่วยเหลือพระเจ้าฮั่นโกโจต่อสู้ปราบปรามอริราชศัตรูทุกสารทิศจนได้สถาปนาราชวงศ์ฮั่นเป็นผลสำเร็จ

            พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงพยักหน้าเป็นทีว่าใช่ตามคำกราบทูล พอดีขณะนั้นพนักงานที่ตามเสด็จอยู่ห่างออกไปจึงมีรับสั่งแต่พอได้ยินว่าท่านก็ต้องเป็นเหมือนกับวีรชนทั้งสองท่านนี้แล้วทรงถอดฉลองพระองค์พระราชทานแก่ตังสิน ทรงกำชับว่าเมื่อกลับไปถึงบ้านให้ตรวจฉลองพระองค์อย่างละเอียดและอย่าทำให้พระองค์ผิดหวัง

            ตังสินได้ยินรับสั่งโดยอาการดั่งนั้นก็เข้าใจว่ามีความนัยที่ลับแลลึกซึ้งจึงรีบกราบถวายบังคมเป็นเชิงน้อมรับพระบรมราชโองการลับแล้วทูลว่าขอทรงวางพระทัย ข้าพระองค์พร้อมที่จะถวายชีวิตเป็นราชพลี

            จากนั้นจึงเสด็จกลับ  ตังสินตามส่งเสด็จจนถึงพระตำหนักแล้วกราบถวายบังคมลา

            ในขณะเสด็จไปที่ศาลพระเทพบิดรนั้นมหาดเล็กที่เป็นสายของโจโฉได้รายงานให้โจโฉทราบว่าทรงมีรับสั่งให้ตังสินเข้าเฝ้าแต่ไม่ทราบว่ามีราชกิจอันใด    โจโฉสงสัยจึงรีบเข้าวังและสวนกับตังสินที่ประตูพระราชวังจึงถามว่าท่านไปไหนมา

            ตังสินเห็นโจโฉเดินสวนมาและไต่ถามเช่นนั้นก็กริ่งใจแต่ทำใจดีสู้เสือตอบไปว่ามีรับสั่งให้เข้าเฝ้าและทรงพระราชทานฉลองพระองค์เป็นบำเหน็จความชอบ  โจโฉจึงซักต่อไปว่าตัวท่านได้ทำความชอบสิ่งใดหรือ  ตังสินจึงว่าทรงรำลึกถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งที่ข้าพเจ้าอัญเชิญเสด็จหนีภัยจากการไล่ติดตามของลิฉุย กุยกีว่ายังไม่เคยพระราชทานความชอบสิ่งใด จึงพระราชทานในครั้งนี้

            การถามความชอบหน้าประตูพระราชวังครั้งนี้ดูประหนึ่งคล้ายกับสมัยแผ่นดินกรุงศรีอยุธยาที่นายประตูเห็นศรีปราชญ์สวมแหวนพระราชทานแล้วถาม-ตอบกันเป็นโคลงสี่สุภาพอันแสดงถึงความรุ่งเรืองทางกวีแห่งยุคสมัยว่า

นายประตู    “แหวนนี้ท่านได้แต่    ใดมา
ศรีปราชญ์     จอมพิภพโลกา    ท่านให้
นายประตู    ทำชอบสิ่งใดนา    วานบอก
ศรีปราชญ์     เราแต่งโคลงถวายไท้     ท่านให้รางวัล”
                                                                                                    
            จะต่างกันตรงที่ว่าการถามของนายประตูเป็นเรื่องของการสอดรู้สอดเห็น  แต่การสอบถามของโจโฉเป็นการสอบถามด้วยความสงสัยในเรื่องการเมืองเพราะระแวงฮ่องเต้และตังสินว่ามีความลับสิ่งใดแอบแฝง

            โจโฉได้ฟังคำตอบของตังสินก็รู้สึกสะกิดใจที่เสื้อพระราชทานว่าน่าจะมีสิ่งใดแอบแฝงอยู่ จึงขอชมเสื้อพระราชทานจากตังสิน ตังสินได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจจึงอิดเอื้อนไม่ยอมถอดเสื้อพระราชทาน โจโฉก็ยิ่งสงสัยจึงสั่งทหารให้เข้าไปถอดเสื้อพระราชทานออกจากตัวตังสินแล้วตรวจค้นดูแต่ไม่พบของสิ่งใด จึงลองเชิงเอามาสวมเข้ากับตัวแล้วกล่าวว่า เสื้อพระราชทานนี้เหมาะสมกับตัวเรา เราจะขอจากท่านได้หรือไม่

            ตังสินครั้นเห็นผลการตรวจค้นว่าไม่พบของสิ่งใดก็ค่อยคลายใจ กิริยาท่าทางก็เป็นปกติลง เมื่อโจโฉถามความดั่งนั้นจึงตอบโดยธรรมเนียมว่า เสื้อนี้เป็นของพระราชทาน ไม่บังควรที่ข้าพเจ้าจะมอบให้แก่ผู้ใดได้ แต่ถ้าหากท่านอัครมหาเสนาบดีมีความประสงค์จริงแล้ว ข้าพเจ้าก็พร้อมที่จะละธรรมเนียมเสีย

            โจโฉเมื่อเห็นว่าไม่มีสิ่งของต้องสงสัยและได้ยินคำตังสินชอบด้วยธรรมเนียมก็แสร้งกล่าวว่า ข้าพเจ้าเป็นขุนนางผู้ใหญ่ย่อมรู้ขนบธรรมเนียมประเพณี ที่กล่าวไปทั้งนั้นเป็นการล้อท่านเล่นดอก ข้าพเจ้าจะปรารถนาอะไรจากเสื้อเพียงเท่านี้ กล่าวเช่นนั้นแล้วโจโฉจึงถอดเสื้อพระราชทานคืนให้แก่ตังสิน

            ตังสินคารวะโจโฉแล้วรีบกลับไปบ้าน ค่ำลงก็เฝ้าครุ่นคิดถึงความนัยตามรับสั่งว่ามีความหมายประการใด แต่คิดไม่ตกจึงไปหยิบเอาเสื้อพระราชทานมาตรวจดู ก็เห็นตรงกลีบเสื้อมีร่องรอยด้ายใหม่ คลำดูแล้วก็รู้สึกว่ามีผ้าแพรอยู่ข้างใน จึงเลาะด้ายนั้นออกเห็นแพรขาว คลี่ออกดูจึงพบพระบรมราชโองการลับ เป็นพระราชหัตถเลขาที่ทรงด้วยพระโลหิต ตังสินได้อ่านพระบรมราชโองการตลอดแล้วก็มีน้ำใจสงสารพระเจ้าเหี้ยนเต้ยิ่งนัก จึงร้องไห้อยู่เป็นเวลานาน

            ตังสินได้ครุ่นคิดไตร่ตรองถึงความทุกข์ร้อนตรอมพระทัยจนถึงกับทรงทำพระบรมราชโองการเลือด และคิดหาหนทางที่จะแก้ไขบรรเทาความทุกข์ร้อนของพระเจ้าเหี้ยนเต้อยู่จนล่วงสองยามก็ยังนอนไม่หลับ จึงเอาพระบรมราชโองการนั้นเข้าไปในห้องหนังสือ เอนตัวลงกับพนักเก้าอี้แล้วคิดแผนการไตร่ตรองที่จะกำจัดโจโฉตามพระบรมราชโองการเลือดนั้น

            ตังสินครุ่นคิดอยู่ถึงใกล้สว่างจึงเผลอตัวม่อยหลับไปในห้องหนังสือนั้น ครั้นตกสายจูฮกซึ่งเป็นเพื่อนขุนนางที่สนิทได้แวะเวียนมาเยี่ยมตังสินตามปกติ คนในบ้านของตังสินเห็นเป็นจูฮกก็ปล่อยให้จูฮกเข้าไปหาตังสินได้ตามสะดวก จูฮกเข้าไปในห้องหนังสือเห็นตังสินนอนหลับอยู่ มือหนึ่งกุมไว้ที่หน้าอก อีกมือหนึ่งก่ายไว้ที่หน้าผาก มีหน้าตาเศร้าหมอง ก็รู้ว่าเพื่อนกำลังมีความทุกข์ร้อนหนักอยู่ในใจ จูฮกเห็นแพรขาวอยู่ในมือของตังสินซึ่งกุมอยู่ที่หน้าอกจึงหยิบขึ้นมาดู เมื่ออ่านความตลอดแล้วก็ประจักษ์ว่าเป็นพระบรมราชโองการเลือดให้ตังสินคิดอ่านวางแผนกำจัดโจโฉเสีย จูฮกจึงเอาพระบรมราชโองการนั้นใส่ไว้ในแขนเสื้อของตัว แล้วปลุกตังสินให้ตื่นขึ้น

            ตังสินถูกปลุกก็สะดุ้งตื่น ลืมตาขึ้นเห็นเป็นจูฮกก็คลายใจ แต่ไม่เห็นพระบรมราชโองการก็ตกใจจนตัวสั่น จูฮกจึงถามว่าท่านคิดการใหญ่จะกำจัดอัครมหาเสนาบดีหรือ ข้าพเจ้าจะนำความไปแจ้งให้โจโฉได้ทราบ

            ตังสินได้ยินเช่นนั้น “ก็ยิ่งตกใจดังชีวิตจะออกจากกาย” จึงว่าหากท่านกระทำเช่นนั้น ไม่เพียงแต่ตัวข้าพเจ้าและครอบครัวจะวอดวายสิ้นเท่านั้น แต่จะเป็นการประหารชีวิตของพระเจ้าเหี้ยนเต้ไปด้วย

            จูฮกฟังคำตอบแล้วจึงว่าท่านอย่าวิตกไปเลย ข้าพเจ้าลองใจท่านดอก ตัวข้าพเจ้านี้ก็เป็นข้าแผ่นดินที่ตั้งใจสนองพระเดชพระคุณโดยสัตย์สุจริต หาได้คำนึงถึงชีวิตของตัวไม่ เหตุการณ์ทดสอบกำลังทางการเมือง ตัวข้าพเจ้าก็แจ้งอยู่ แต่ยังหาผู้ใดเป็นแก่นแกนก่อการมิได้ หากท่านคิดจะกำจัดโจโฉแล้ว ข้าพเจ้าพร้อมจะร่วมการด้วย จงวางใจเถิด

            ตังสินได้ฟังเช่นนั้นก็ยินดี จึงว่าหากท่านคิดร่วมการปกป้องราชสมบัติไว้ในครั้งนี้ก็เหมือนมีสัญญาณอันแสดงว่าราชวงศ์ฮั่นยังไม่ถึงคราวดับสูญ แต่การนี้เป็นการใหญ่ หากท่านเต็มใจแล้วข้าพเจ้าก็จะทำปฏิญญาขึ้นฉบับหนึ่ง แล้วเราท่านจงมาลงนามร่วมกันเป็นสำคัญไว้ในประวัติศาสตร์

            จูฮกยังไม่ทันตอบคำ คนในบ้านก็เข้ามารายงานตังสินว่าตันอิบกับโงอ้วนเพื่อนขุนนางจะมาขอพบ ตังสินได้ยินรายงานดังนั้นก็มีใจยินดี เพราะทั้งสองคนนี้เป็นเพื่อนขุนนางที่สนิทและจงรักภักดีต่อราชสำนัก จึงกล่าวกับจูฮกว่าให้ท่านไปแอบอยู่ที่หลังม่านก่อน ข้าพเจ้าจะออกไปต้อนรับสองขุนนาง

            จูฮกก็รับคำ ตังสินจึงให้คนในบ้านออกไปเชิญสองขุนนางเข้ามาในห้องหนังสือ ต่างฝ่ายต่างคารวะต่อกันตามธรรมเนียมแล้ว ตันอิบจึงว่าข้าพเจ้ามาเยี่ยมท่านในวันนี้ด้วยการทุกข์ร้อนของแผ่นดิน อันเกิดแต่กรณีที่โจโฉหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ย่ำยีพระเจ้าเหี้ยนเต้ในวันประพาสป่าล่าสัตว์ ข้าพเจ้าอยากใคร่ทราบว่าท่านมีความเห็นคิดแค้นด้วยแผ่นดินประการใดบ้างหรือไม่

            ตังสินคาดหมายถึงจุดประสงค์การมาของสองเพื่อนขุนนางอยู่ก่อนแล้ว จึงแสร้งกล่าวว่าข้าพเจ้าก็ประจักษ์อยู่ แต่ยังมิรู้ที่จะคิดอ่านประการใด

            โงอ้วนจึงว่า “เกิดมาเป็นชายแล้ว แล้วก็เป็นข้าราชการ ถึงตัวจะตายก็ไม่ว่า แต่ให้ได้ทำนุบำรุงแผ่นดินให้อยู่เย็นเป็นสุขเถิด จะได้มีชื่อปรากฏไว้ภายหน้า”.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร