ตอนที่ 101. อุบายทดสอบกำลังทางการเมือง
โจโฉกลับเมืองหลวงครั้งนี้มีจิตคิดกำเริบในอำนาจมากขึ้นกว่าแต่ก่อน และความกำเริบนั้นได้ทำให้การดำเนินนโยบายทางการเมืองที่ผิดพลาดก่อผลร้ายต่อบ้านเมืองมากขึ้นทุกที
โจโฉนั้นเมื่อครองอำนาจสูงสุดเป็นถึงอัครมหาเสนาบดีมีหน้าที่ต้องทำนุบำรุงอาณาประชาราษฎรและแผ่นดินให้เป็นสุขแต่กลับถือเอาเรื่องส่วนตัวเป็นใหญ่
เริ่มต้นก็ทำสงครามเพื่อแก้แค้นโตเกี๋ยม แล้วคิดกำจัดลิโป้โดยยืมมือเล่าปี่ แต่พอเล่าปี่รู้ทันก็คิดกำจัดเล่าปี่โดยหลอกอ้วนสุดให้ยกกองทัพมารบเล่าปี่และแอบอ้างรับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้เล่าปี่ยกกองทัพไปปราบอ้วนสุดโดยอ้างว่าอ้วนสุดเป็นขบถ จากนั้นก็ยุยงซุนเซ็กให้คิดกำจัดเล่าเปียว แล้วคิดกำจัดอ้วนเสี้ยวแต่เกรงลิโป้จะยึดเมืองฮูโต๋จึงรบกับลิโป้ ครั้นปราบลิโป้สำเร็จก็หวนคิดจะรบกับอ้วนเสี้ยว อ้วนสุดอีก เมื่อคิดเช่นนี้ก็ระแวงเอียวปิวขุนนางสามแผ่นดินผู้จงรักภักดีซึ่งครั้งหนึ่งเป็นผู้เสนอให้ฮ่องเต้เรียกโจโฉเข้าเมืองหลวงโดยหาว่าเอียวปิวจะเป็นใส้ศึกให้กับอ้วนสุด จึงสบคบกับพรรคพวกให้ใส่ความเอียวปิวแล้วจับเอียวปิวไปขัง แต่เมื่อขงหยงมาต่อว่าต่อขานก็จำนนต่อถ้อยคำคิดละอายใจจึงจำใจปล่อยเอียวปิวแต่ให้ถอดเสียจากที่ขุนนาง
การถอดเอียวปิวในครั้งนี้เป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของพระเจ้าเหี้ยนเต้ที่ร้ายแรงเพราะแอบอ้างรับสั่งต่อภายนอกประการหนึ่งและทำการโดยไม่กราบบังคมทูลพระกรุณาให้ทรงทราบก่อนประการหนึ่งและที่สำคัญคือเป็นการใช้อำนาจโดยไม่เป็นธรรมกลั่นแกล้งลงโทษผู้บริสุทธิ์อีกประการหนึ่ง การกระทำเช่นนี้เป็นการเหยียบย่ำน้ำใจเหล่าขุนนางในเมืองหลวงและวางอำนาจเป็นใหญ่กว่าฮ่องเต้
ดังนั้นเอียวงันซึ่งเป็นขุนนางผู้สัตย์ซื่อต่อแผ่นดินอีกคนหนึ่งจึงเข้าไปเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้กราบบังคมทูลเรื่องราวให้ทรงทราบ พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงทราบแล้วมิได้ตรัสประการใด แต่เมื่อโจโฉทราบเรื่องก็โกรธลุแก่โทสะหนักขึ้นแล้วสั่งทหารให้จับตัวเอียวงันเอาไปประหารชีวิตเสีย
ข่าวการประหารชีวิตเอียวงันแพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว ด้านหนึ่งสร้างความหวาดกลัวให้เกิดขึ้นแก่เหล่าขุนนางข้าราชการ แต่ในอีกด้านหนึ่งได้สร้างความโกรธแค้นชิงชังให้เกิดขึ้นในหมู่ขุนนางข้าราชการเช่นเดียวกัน สภาพเช่นนี้ได้ทำให้ความขัดแย้งในเมืองหลวงร้อนระอุขึ้นนอกเหนือจากความขัดแย้งของขุนศึกที่มีมาแต่เดิม และได้ขยายตัวกว้างขวางอยู่แล้ว
เทียหยกที่ปรึกษาเห็นสภาพที่เหล่าขุนนางข้าราชการเกรงกลัวโจโฉจึงเข้าไปเสนอให้โจโฉรีบชิงเอาราชสมบัติ
โจโฉจึงว่า “ บัดนี้ขุนนางซึ่งพระเจ้าเหี้ยนเต้ไว้พระทัยก็มีมากอยู่ เห็นเราจะทำการไม่สำเร็จ เราคิดอ่านจะเชิญเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้ไปประพาสป่าดูท่วงทีก่อน”
ความตอนนี้ในสามก๊กฉบับภาษาไทยและภาษาจีนตรงกันและไม่มีทางที่จะเห็นเป็นอย่างอื่นนอกจากโจโฉนั้นคิดจะชิงเอาราชสมบัติแต่ที่ยังไม่กล้าลงมือก็เพราะยังเกรงอยู่ว่าจะไม่ประสพความสำเร็จเนื่องจากพระเจ้าเหี้ยนเต้ยังมีผู้จงรักภักดีเป็นจำนวนมาก ดังนั้นการที่สามก๊กฉบับวิจารณ์บางฉบับพยายามแก้ต่างให้กับโจโฉในเรื่องนี้จึงฟังไม่ขึ้นและขัดกับคำพูดดังกล่าวของโจโฉเองและยังมีการกระทำเกี่ยวกับเรื่องเดียวกันนี้ต่อมาอีกคือการทดสอบกำลังทางการเมืองว่าขุมกำลังหรือผู้ที่ยืนอยู่ข้างราชสำนักมีมากน้อยเพียงใด ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีการที่ขุนนางกังฉินในอดีตเคยใช้มาก่อน
ในครั้งนั้นเป็นยุคหลังจากที่จิ๋นซีฮ่องเต้เสด็จสวรรคต รัชทายาทได้ครองราชสมบัติสืบมา สมัยนั้นขันทีซึ่งเป็นราชครูได้กุมอำนาจบริหารราชการแผ่นดินแล้วคิดแย่งราชสมบัติ วันหนึ่งในขณะที่ฮ่องเต้เสด็จลงพระราชอุทยานในมหาสมาคม ขันทีราชครูเห็นกวางในพระราชอุทยานนั้นจึงแสร้งถามฮ่องเต้ว่าม้าตัวนี้เป็นอย่างไรบ้าง ฮ่องเต้ไม่ทันกลก็ตรัสว่าท่านราชครูตาฝาดเพราะนั่นเป็นกวาง ราชครูก็ยืนยันว่าเป็นม้า ในขณะที่ฮ่องเต้กำลังงงอยู่ราชครูจึงถามเหล่าขุนนางว่าที่เห็นเป็นม้าหรือกวาง บรรดาขุนนางในขณะนั้นล้วนอยู่ในอำนาจราชครูและทันเกมจึงพากันตอบพร้อมกันว่าที่เห็นนั้นคือม้า เมื่อราชครูทราบผลการทดสอบกำลังดังนี้แล้วจึงสังหารฮ่องเต้ชิงเอาราชสมบัติแต่ต่อมาก็ไม่สามารถรักษาอำนาจไว้ได้เพราะขาดการยอมรับจากหัวเมืองต่าง ๆ ในที่สุดเกิดการจลาจลและแย่งชิงอำนาจกันจนเล่าปังได้สถาปนาราชวงศ์ฮั่นขึ้น
โจโฉเพราะคิดชิงราชสมบัติจึงคิดวางแผนทดสอบพลังทางการเมืองกับฮ่องเต้โดยใช้แบบอย่างของขันทีกังฉินนั้นเป็นแต่เปลี่ยนแปลงรายละเอียดเสียใหม่
เมื่อคิดดังนั้นแล้วจึงเข้าไปเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้กราบทูลเชิญเสด็จไปประพาสป่าล่าสัตว์ตามโบราณราชประเพณี แต่พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงปฏิเสธเพราะทรงเห็นว่าจะเป็นการลำบากต่อไพร่พลเนื่องจากกองทัพเพิ่งกลับจากการสงคราม โจโฉได้ทูลทักท้วงว่าตามราชประเพณีจะมีการประพาสป่าล่าสัตว์ทุกฤดูถีงปีละสี่ครั้ง บัดนี้แม้ว่ากองทัพเพิ่งกลับจากการสงครามแต่หากทรงเสด็จจะเป็นการแสดงออกถึงพระบรมเดชานุภาพทำให้หัวเมืองที่คิดร้ายไม่กล้าสู้พระบารมี เมื่อเป็นเช่นนี้พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ไม่มีทางเลือก จึงรับสั่งให้ดำเนินการตามที่กราบทูล
โจโฉรับรับสั่งแล้วออกจากที่เฝ้าสั่งให้จัดแจงขบวนประพาสป่าล่าสัตว์เป็นขบวนใหญ่มีกำลังพลถึงสิบหมื่นและให้เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย ตลอดจนขุนนางข้าราชการทั้งปวงเข้าร่วมในขบวนเสด็จยกออกจากพระนครไปยังทุ่งล่าสัตว์ พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงม้าพระที่นั่ง ในขณะที่ขบวนเสด็จกำลังเคลื่อนอยู่นั้นโจโฉได้ชักม้าขึ้นมาขี่เคียงคู่กับม้าพระที่นั่ง แสดงกิริยาอาการตีตนเสมอพระเจ้าเหี้ยนเต้ บรรดาขุนนางข้าราชการที่อยู่ใกล้กับม้าพระที่นั่งต่างพากันตกตะลึงแต่ไม่มีผู้ใดว่ากล่าวประการใด
ครั้นขบวนเสด็จมาถึงทุ่งล่าสัตว์ซึ่งเตรียมการไว้แล้ว โจโฉจึงสั่งให้หยุดขบวนที่พลับพลาชั่วคราวและนำเสด็จพร้อมด้วยเหล่าขุนนางข้าราชการไปยังบริเวณที่เตรียมไว้สำหรับยิงสัตว์
เจ้าหน้าที่ได้ต้อนสัตว์หลายชนิดให้วิ่งผ่านมายังด้านหน้าที่ประทับ พระเจ้าเหี้ยนเต้ทอดพระเนตรเห็นกระต่ายกำลังวิ่งผ่านมาจึงมีรับสั่งให้เล่าปี่ในฐานะพระเจ้าอาแสดงฝีมือก่อน เล่าปี่รับรับสั่งแล้วจึงเอาธนูขี้นพาดสายแล้วยิงไปถูกกระต่ายอย่างแม่นยำ
ในขณะนั้นมีกวางวิ่งผ่านมาพระเจ้าเหี้ยนเต้จึงรับพระแสงธนูลายเหยี่ยวและลูกธนูสำหรับทรงลายมังกรจากเจ้าพนักงานแล้วทรงยิงกวางนั้นแต่ธนูไม่ถูกเป้าจึงทรงพยายามอีกเป็นสามครั้งแต่ลูกธนูทรงก็ยังคงพลาดเป้าทุกครั้ง เมื่อไม่ประสพความสำเร็จจึงรับสั่งให้โจโฉลองยิงบ้าง
โจโฉรับรับสั่งแล้วแทนที่จะเอาธนูสำหรับตัวออกมา กลับกราบทูลจ้วงจาบขอยืมพระแสงธนูและลูกธนูสำหรับทรงจากพระเจ้าเหี้ยนเต้ แต่ไม่ทรงเฉลียวพระทัยจึงพระราชทานแก่โจโฉ
โจโฉรับพระแสงธนูแล้วเล็งยิง ลูกธนูนั้นก็แล่นไปด้วยกำลังต้องกวางนั้นล้มลง บรรดาขุนนางข้าราชการส่วนใหญ่ซึ่งไม่เห็นเหตุการณ์ยืมพระแสงธนูแต่เห็นลูกธนูลายมังกรสำหรับทรงต้องกวางล้มลงก็พากันเข้าใจว่าเป็นฝีพระหัตถ์ของฮ่องเต้จึงพร้อมกันถวายพระพรด้วยความยินดีว่าทรงพระเจริญดังสนั่นไปทั้งท้องทุ่ง
โจโฉเห็นเป็นโอกาสจึงชักม้าออกไปหน้าพระที่นั่ง ทำทีรับการถวายพระพรจากบรรดาขุนนางข้าราชการ แล้วกราบทูลด้วยเสียงอันดังเพื่อให้ได้ยินทั่วไปว่าการที่ข้าพระองค์ยิงกวางได้แม่นยำดังนี้เป็นเพราะบารมีของพระแสงธนูที่ทรงพระราชทาน ขุนนางข้าราชการทั้งปวงได้ยินเช่นนั้นต่างพากันตกตะลึงที่เห็นว่าโจโฉกระทำการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพหักหน้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ต่อหน้าธารกำนัล พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงเห็นเช่นนั้นก็เกิดละอายพระทัย
กวนอูเห็นโจโฉหักหน้าหมิ่นพระเจ้าเหี้ยนเต้ก็โกรธชักม้าเงื้อง้าวตรงมาที่ โจโฉแต่พอชำเลืองเห็นเล่าปี่ส่ายหน้าเป็นทีห้ามปราม กวนอูจึงชักม้ากลับไปที่เดิม ในขณะที่ทุกคนกำลังตะลึงอยู่นั้นเล่าปี่ได้กล่าวชมเชยกับโจโฉว่ามีฝีมือธนูล้ำเลิศนัก ล้ำเลิศนัก โจโฉฟังคำชมและเห็นท่าทีของเหล่าขุนนางข้าราชการเช่นนั้นจึงกล่าวถ่อมตัวว่าอันฝืมือธนูของข้าพเจ้านี้พอประมาณแต่เป็นเพราะพระบารมีต่างหากจึงยิงไปถูกกวางได้
พระเจ้าเหี้ยนเต้ทอดพระเนตรเห็นท่าทีเหล่าขุนนางข้าราชการว่าส่วนใหญ่ยังคงจงรักภักดีก็แสร้งทำทีเป็นไม่รู้เท่าทันและทรงล่าสัตว์อยู่จนถึงเวลาเย็นจึงเสด็จกลับพระนคร
กวนอูสงสัยที่เล่าปี่ห้ามปรามจึงเข้าไปหาเล่าปี่แล้วถามว่าเหตุใดพี่ใหญ่จึงห้ามข้าพเจ้าไม่ให้ฆ่าโจโฉเสียในครั้งนี้ เล่าปี่จึงว่าน้องรองเจ้าก็เห็นอยู่ว่าฮ่องเต้และเราพี่น้องอยู่ในท่ามกลางเหล่าทหารของโจโฉที่ถวายการอารักขอยู่ ถ้าหากเจ้าฆ่าโจโฉทหารที่ถวายการอารักขาอยู่ก็จะทำอันตรายต่อฮ่องเต้และทำร้ายเราพี่น้องด้วย พี่จึงห้ามเจ้าไว้ด้วยเหตุดั่งนี้
กวนอูจึงว่าโจโฉกระทำการหมิ่นฮ่องเต้ในครั้งนี้คงจะคิดแย่งราชสมบัติเป็นมั่นคง การละโจโฉไว้คงจะเกิดเหตุร้ายขึ้นในบ้านเมืองในภายหน้าเป็นแน่แท้
ฝ่ายโจโฉคิดอุบายทดสอบกำลังทางเมืองเห็นประจักษ์ชัดว่ายังมีข้าราชการและขุนนางที่จงรักภักดีอยู่เป็นจำนวนมากไม่สมความคิดแล้วก็หันมาใช้วิธีเดิมคือครองอำนาจรัฐภายใต้บัลลังก์มังกรทองต่อไป ดังนั้นการที่โจโฉยังไม่ล้มราชบัลลังก์นั้นจึงไม่ใช่เพราะมีจิตใจจงรักภักดี เป็นแต่ยังไม่สามารถกระทำการตามความคิดได้เท่านั้น และคนมีสติปัญญาระดับโจโฉนั้นย่อมรู้ดีว่าหากฝืนสถานการณ์ช่วงชิงเอาเสียในขณะที่ยังไม่สุกงอมก็อาจเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นกับราชครูกังฉินดังที่ได้กล่าวข้างต้นนั้น และถ้าเสี่ยงถึงขนาดนั้นย่อมไม่คุ้มกับการสูญเสียอำนาจรัฐที่มีอยู่ในวันนี้ การดำรงอำนาจรัฐแบบเดิมแล้วค่อยๆ กระชับอำนาจให้เข้มแข็งขึ้นย่อมประเสริฐกว่ากันมากเพราะไม่มีความเสี่ยงภัยทั้งยังมีความชอบธรรมอีกต่างหาก นี่คือเหตุผลเบื้องลึกที่โจโฉต้องพักความคิดล้มราชวงศ์ฮั่นเอาไว้ก่อน
แต่กระนั้นสิ่งที่ได้ทำไว้ก็ทำให้โจโฉต้องระมัดระวังตัว จึงได้ติดสินบนมหาดเล็กและนางกำนัลจำนวนหนึ่งให้คอยสังเกตความเคลื่อนไหว และความเป็นไปในราชสำนักแล้วรีบนำความมารายงานให้ทราบ
ทางด้านพระเจ้าเหี้ยนเต้นั้นหลังเสด็จกลับจากการประพาสป่าล่าสัตว์แล้วทรงไม่สบายพระทัยจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะทรงทราบความคิดอ่านของโจโฉเป็นอย่างดี เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นจากการกระทำที่จงใจเพื่อหวังทดสอบพลังทางการเมืองระหว่างพระองค์กับอัครมหาเสนาบดีและทรงคาดหมายการในเบื้องหน้าได้ว่าเหตุวุ่นวายทางการเมืองภายในราชสำนักจะต้องเกิดขึ้นติดตามมา ครั้นทรงหวนรำลึกถึงเหตุการณ์ตั้งแต่ครั้งอดีตที่เคยถูกขุนนางกังฉินข่มเหงย่ำยี น้ำพระทัยก็ประหวั่นว่าเหตุการณ์เหล่านั้นกำลังจะเกิดขึ้นซ้ำรอย รำลึกดั่งนี้จึงทรงกันแสงอยู่ในพระที่
นางฮกเฮาพระมเหสีทอดพระเนตรเห็นเช่นนั้นจึงตรัสถามต้นสายปลายเหตุ พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงได้ยินคำตรัสของพระมเหสีก็รู้สึกสงสารที่ต้องมาเป็นเพื่อนรับชะตากรรมด้วยพระองค์จึงตรัสเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้พระมเหสีฟังทุกประการ
พระมเหสีทรงสดับความที่ทรงเล่าและเห็นอาการพระราชสวามีกำลังตกอยู่ในความทุกข์หนักก็ทรงกันแสงตามแล้วกราบทูลว่าการที่โจโฉหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในครั้งนี้แม้ว่าจะทำให้พระองค์ได้อายแต่โจโฉก็คงไม่สมความคิด เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะคิดอ่านวางแผนการร้ายสืบไป ดังนั้นการจึงควรที่พระองค์จะได้รับสั่งหาขุนนางที่ภักดีต่อแผ่นดินมาปรึกษาเพื่อคิดอ่านหาหนทางป้องกันแก้ไขต่อไป
ในขณะนั้นฮกอ้วนซึ่งเป็นบิดาพระมเหสีได้เข้ามาเฝ้าที่ข้างในพระตำหนักที่ประทับเห็นฮ่องเต้และพระมเหสีกำลังกันแสงอยู่ทั้งสองพระองค์ก็แปลกใจและกริ่งใจว่าทุกขเวทนาที่บังเกิดแก่ทั้งสองพระองค์นั้นน่าจะเป็นเรื่องที่เกิดจากเหตุการณ์ประพาสป่าล่าสัตว์จึงกราบทูลถามเรื่องราว พระมเหสีเห็นเป็นบิดาตัวก็คลายพระทัยและตรัสเล่าเรื่องราวทั้งปวงให้ฮกอ้วนฟัง.
โจโฉนั้นเมื่อครองอำนาจสูงสุดเป็นถึงอัครมหาเสนาบดีมีหน้าที่ต้องทำนุบำรุงอาณาประชาราษฎรและแผ่นดินให้เป็นสุขแต่กลับถือเอาเรื่องส่วนตัวเป็นใหญ่
เริ่มต้นก็ทำสงครามเพื่อแก้แค้นโตเกี๋ยม แล้วคิดกำจัดลิโป้โดยยืมมือเล่าปี่ แต่พอเล่าปี่รู้ทันก็คิดกำจัดเล่าปี่โดยหลอกอ้วนสุดให้ยกกองทัพมารบเล่าปี่และแอบอ้างรับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้เล่าปี่ยกกองทัพไปปราบอ้วนสุดโดยอ้างว่าอ้วนสุดเป็นขบถ จากนั้นก็ยุยงซุนเซ็กให้คิดกำจัดเล่าเปียว แล้วคิดกำจัดอ้วนเสี้ยวแต่เกรงลิโป้จะยึดเมืองฮูโต๋จึงรบกับลิโป้ ครั้นปราบลิโป้สำเร็จก็หวนคิดจะรบกับอ้วนเสี้ยว อ้วนสุดอีก เมื่อคิดเช่นนี้ก็ระแวงเอียวปิวขุนนางสามแผ่นดินผู้จงรักภักดีซึ่งครั้งหนึ่งเป็นผู้เสนอให้ฮ่องเต้เรียกโจโฉเข้าเมืองหลวงโดยหาว่าเอียวปิวจะเป็นใส้ศึกให้กับอ้วนสุด จึงสบคบกับพรรคพวกให้ใส่ความเอียวปิวแล้วจับเอียวปิวไปขัง แต่เมื่อขงหยงมาต่อว่าต่อขานก็จำนนต่อถ้อยคำคิดละอายใจจึงจำใจปล่อยเอียวปิวแต่ให้ถอดเสียจากที่ขุนนาง
การถอดเอียวปิวในครั้งนี้เป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของพระเจ้าเหี้ยนเต้ที่ร้ายแรงเพราะแอบอ้างรับสั่งต่อภายนอกประการหนึ่งและทำการโดยไม่กราบบังคมทูลพระกรุณาให้ทรงทราบก่อนประการหนึ่งและที่สำคัญคือเป็นการใช้อำนาจโดยไม่เป็นธรรมกลั่นแกล้งลงโทษผู้บริสุทธิ์อีกประการหนึ่ง การกระทำเช่นนี้เป็นการเหยียบย่ำน้ำใจเหล่าขุนนางในเมืองหลวงและวางอำนาจเป็นใหญ่กว่าฮ่องเต้
ดังนั้นเอียวงันซึ่งเป็นขุนนางผู้สัตย์ซื่อต่อแผ่นดินอีกคนหนึ่งจึงเข้าไปเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้กราบบังคมทูลเรื่องราวให้ทรงทราบ พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงทราบแล้วมิได้ตรัสประการใด แต่เมื่อโจโฉทราบเรื่องก็โกรธลุแก่โทสะหนักขึ้นแล้วสั่งทหารให้จับตัวเอียวงันเอาไปประหารชีวิตเสีย
ข่าวการประหารชีวิตเอียวงันแพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว ด้านหนึ่งสร้างความหวาดกลัวให้เกิดขึ้นแก่เหล่าขุนนางข้าราชการ แต่ในอีกด้านหนึ่งได้สร้างความโกรธแค้นชิงชังให้เกิดขึ้นในหมู่ขุนนางข้าราชการเช่นเดียวกัน สภาพเช่นนี้ได้ทำให้ความขัดแย้งในเมืองหลวงร้อนระอุขึ้นนอกเหนือจากความขัดแย้งของขุนศึกที่มีมาแต่เดิม และได้ขยายตัวกว้างขวางอยู่แล้ว
เทียหยกที่ปรึกษาเห็นสภาพที่เหล่าขุนนางข้าราชการเกรงกลัวโจโฉจึงเข้าไปเสนอให้โจโฉรีบชิงเอาราชสมบัติ
โจโฉจึงว่า “ บัดนี้ขุนนางซึ่งพระเจ้าเหี้ยนเต้ไว้พระทัยก็มีมากอยู่ เห็นเราจะทำการไม่สำเร็จ เราคิดอ่านจะเชิญเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้ไปประพาสป่าดูท่วงทีก่อน”
ความตอนนี้ในสามก๊กฉบับภาษาไทยและภาษาจีนตรงกันและไม่มีทางที่จะเห็นเป็นอย่างอื่นนอกจากโจโฉนั้นคิดจะชิงเอาราชสมบัติแต่ที่ยังไม่กล้าลงมือก็เพราะยังเกรงอยู่ว่าจะไม่ประสพความสำเร็จเนื่องจากพระเจ้าเหี้ยนเต้ยังมีผู้จงรักภักดีเป็นจำนวนมาก ดังนั้นการที่สามก๊กฉบับวิจารณ์บางฉบับพยายามแก้ต่างให้กับโจโฉในเรื่องนี้จึงฟังไม่ขึ้นและขัดกับคำพูดดังกล่าวของโจโฉเองและยังมีการกระทำเกี่ยวกับเรื่องเดียวกันนี้ต่อมาอีกคือการทดสอบกำลังทางการเมืองว่าขุมกำลังหรือผู้ที่ยืนอยู่ข้างราชสำนักมีมากน้อยเพียงใด ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีการที่ขุนนางกังฉินในอดีตเคยใช้มาก่อน
ในครั้งนั้นเป็นยุคหลังจากที่จิ๋นซีฮ่องเต้เสด็จสวรรคต รัชทายาทได้ครองราชสมบัติสืบมา สมัยนั้นขันทีซึ่งเป็นราชครูได้กุมอำนาจบริหารราชการแผ่นดินแล้วคิดแย่งราชสมบัติ วันหนึ่งในขณะที่ฮ่องเต้เสด็จลงพระราชอุทยานในมหาสมาคม ขันทีราชครูเห็นกวางในพระราชอุทยานนั้นจึงแสร้งถามฮ่องเต้ว่าม้าตัวนี้เป็นอย่างไรบ้าง ฮ่องเต้ไม่ทันกลก็ตรัสว่าท่านราชครูตาฝาดเพราะนั่นเป็นกวาง ราชครูก็ยืนยันว่าเป็นม้า ในขณะที่ฮ่องเต้กำลังงงอยู่ราชครูจึงถามเหล่าขุนนางว่าที่เห็นเป็นม้าหรือกวาง บรรดาขุนนางในขณะนั้นล้วนอยู่ในอำนาจราชครูและทันเกมจึงพากันตอบพร้อมกันว่าที่เห็นนั้นคือม้า เมื่อราชครูทราบผลการทดสอบกำลังดังนี้แล้วจึงสังหารฮ่องเต้ชิงเอาราชสมบัติแต่ต่อมาก็ไม่สามารถรักษาอำนาจไว้ได้เพราะขาดการยอมรับจากหัวเมืองต่าง ๆ ในที่สุดเกิดการจลาจลและแย่งชิงอำนาจกันจนเล่าปังได้สถาปนาราชวงศ์ฮั่นขึ้น
โจโฉเพราะคิดชิงราชสมบัติจึงคิดวางแผนทดสอบพลังทางการเมืองกับฮ่องเต้โดยใช้แบบอย่างของขันทีกังฉินนั้นเป็นแต่เปลี่ยนแปลงรายละเอียดเสียใหม่
เมื่อคิดดังนั้นแล้วจึงเข้าไปเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้กราบทูลเชิญเสด็จไปประพาสป่าล่าสัตว์ตามโบราณราชประเพณี แต่พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงปฏิเสธเพราะทรงเห็นว่าจะเป็นการลำบากต่อไพร่พลเนื่องจากกองทัพเพิ่งกลับจากการสงคราม โจโฉได้ทูลทักท้วงว่าตามราชประเพณีจะมีการประพาสป่าล่าสัตว์ทุกฤดูถีงปีละสี่ครั้ง บัดนี้แม้ว่ากองทัพเพิ่งกลับจากการสงครามแต่หากทรงเสด็จจะเป็นการแสดงออกถึงพระบรมเดชานุภาพทำให้หัวเมืองที่คิดร้ายไม่กล้าสู้พระบารมี เมื่อเป็นเช่นนี้พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ไม่มีทางเลือก จึงรับสั่งให้ดำเนินการตามที่กราบทูล
โจโฉรับรับสั่งแล้วออกจากที่เฝ้าสั่งให้จัดแจงขบวนประพาสป่าล่าสัตว์เป็นขบวนใหญ่มีกำลังพลถึงสิบหมื่นและให้เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย ตลอดจนขุนนางข้าราชการทั้งปวงเข้าร่วมในขบวนเสด็จยกออกจากพระนครไปยังทุ่งล่าสัตว์ พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงม้าพระที่นั่ง ในขณะที่ขบวนเสด็จกำลังเคลื่อนอยู่นั้นโจโฉได้ชักม้าขึ้นมาขี่เคียงคู่กับม้าพระที่นั่ง แสดงกิริยาอาการตีตนเสมอพระเจ้าเหี้ยนเต้ บรรดาขุนนางข้าราชการที่อยู่ใกล้กับม้าพระที่นั่งต่างพากันตกตะลึงแต่ไม่มีผู้ใดว่ากล่าวประการใด
ครั้นขบวนเสด็จมาถึงทุ่งล่าสัตว์ซึ่งเตรียมการไว้แล้ว โจโฉจึงสั่งให้หยุดขบวนที่พลับพลาชั่วคราวและนำเสด็จพร้อมด้วยเหล่าขุนนางข้าราชการไปยังบริเวณที่เตรียมไว้สำหรับยิงสัตว์
เจ้าหน้าที่ได้ต้อนสัตว์หลายชนิดให้วิ่งผ่านมายังด้านหน้าที่ประทับ พระเจ้าเหี้ยนเต้ทอดพระเนตรเห็นกระต่ายกำลังวิ่งผ่านมาจึงมีรับสั่งให้เล่าปี่ในฐานะพระเจ้าอาแสดงฝีมือก่อน เล่าปี่รับรับสั่งแล้วจึงเอาธนูขี้นพาดสายแล้วยิงไปถูกกระต่ายอย่างแม่นยำ
ในขณะนั้นมีกวางวิ่งผ่านมาพระเจ้าเหี้ยนเต้จึงรับพระแสงธนูลายเหยี่ยวและลูกธนูสำหรับทรงลายมังกรจากเจ้าพนักงานแล้วทรงยิงกวางนั้นแต่ธนูไม่ถูกเป้าจึงทรงพยายามอีกเป็นสามครั้งแต่ลูกธนูทรงก็ยังคงพลาดเป้าทุกครั้ง เมื่อไม่ประสพความสำเร็จจึงรับสั่งให้โจโฉลองยิงบ้าง
โจโฉรับรับสั่งแล้วแทนที่จะเอาธนูสำหรับตัวออกมา กลับกราบทูลจ้วงจาบขอยืมพระแสงธนูและลูกธนูสำหรับทรงจากพระเจ้าเหี้ยนเต้ แต่ไม่ทรงเฉลียวพระทัยจึงพระราชทานแก่โจโฉ
โจโฉรับพระแสงธนูแล้วเล็งยิง ลูกธนูนั้นก็แล่นไปด้วยกำลังต้องกวางนั้นล้มลง บรรดาขุนนางข้าราชการส่วนใหญ่ซึ่งไม่เห็นเหตุการณ์ยืมพระแสงธนูแต่เห็นลูกธนูลายมังกรสำหรับทรงต้องกวางล้มลงก็พากันเข้าใจว่าเป็นฝีพระหัตถ์ของฮ่องเต้จึงพร้อมกันถวายพระพรด้วยความยินดีว่าทรงพระเจริญดังสนั่นไปทั้งท้องทุ่ง
โจโฉเห็นเป็นโอกาสจึงชักม้าออกไปหน้าพระที่นั่ง ทำทีรับการถวายพระพรจากบรรดาขุนนางข้าราชการ แล้วกราบทูลด้วยเสียงอันดังเพื่อให้ได้ยินทั่วไปว่าการที่ข้าพระองค์ยิงกวางได้แม่นยำดังนี้เป็นเพราะบารมีของพระแสงธนูที่ทรงพระราชทาน ขุนนางข้าราชการทั้งปวงได้ยินเช่นนั้นต่างพากันตกตะลึงที่เห็นว่าโจโฉกระทำการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพหักหน้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ต่อหน้าธารกำนัล พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงเห็นเช่นนั้นก็เกิดละอายพระทัย
กวนอูเห็นโจโฉหักหน้าหมิ่นพระเจ้าเหี้ยนเต้ก็โกรธชักม้าเงื้อง้าวตรงมาที่ โจโฉแต่พอชำเลืองเห็นเล่าปี่ส่ายหน้าเป็นทีห้ามปราม กวนอูจึงชักม้ากลับไปที่เดิม ในขณะที่ทุกคนกำลังตะลึงอยู่นั้นเล่าปี่ได้กล่าวชมเชยกับโจโฉว่ามีฝีมือธนูล้ำเลิศนัก ล้ำเลิศนัก โจโฉฟังคำชมและเห็นท่าทีของเหล่าขุนนางข้าราชการเช่นนั้นจึงกล่าวถ่อมตัวว่าอันฝืมือธนูของข้าพเจ้านี้พอประมาณแต่เป็นเพราะพระบารมีต่างหากจึงยิงไปถูกกวางได้
พระเจ้าเหี้ยนเต้ทอดพระเนตรเห็นท่าทีเหล่าขุนนางข้าราชการว่าส่วนใหญ่ยังคงจงรักภักดีก็แสร้งทำทีเป็นไม่รู้เท่าทันและทรงล่าสัตว์อยู่จนถึงเวลาเย็นจึงเสด็จกลับพระนคร
กวนอูสงสัยที่เล่าปี่ห้ามปรามจึงเข้าไปหาเล่าปี่แล้วถามว่าเหตุใดพี่ใหญ่จึงห้ามข้าพเจ้าไม่ให้ฆ่าโจโฉเสียในครั้งนี้ เล่าปี่จึงว่าน้องรองเจ้าก็เห็นอยู่ว่าฮ่องเต้และเราพี่น้องอยู่ในท่ามกลางเหล่าทหารของโจโฉที่ถวายการอารักขอยู่ ถ้าหากเจ้าฆ่าโจโฉทหารที่ถวายการอารักขาอยู่ก็จะทำอันตรายต่อฮ่องเต้และทำร้ายเราพี่น้องด้วย พี่จึงห้ามเจ้าไว้ด้วยเหตุดั่งนี้
กวนอูจึงว่าโจโฉกระทำการหมิ่นฮ่องเต้ในครั้งนี้คงจะคิดแย่งราชสมบัติเป็นมั่นคง การละโจโฉไว้คงจะเกิดเหตุร้ายขึ้นในบ้านเมืองในภายหน้าเป็นแน่แท้
ฝ่ายโจโฉคิดอุบายทดสอบกำลังทางเมืองเห็นประจักษ์ชัดว่ายังมีข้าราชการและขุนนางที่จงรักภักดีอยู่เป็นจำนวนมากไม่สมความคิดแล้วก็หันมาใช้วิธีเดิมคือครองอำนาจรัฐภายใต้บัลลังก์มังกรทองต่อไป ดังนั้นการที่โจโฉยังไม่ล้มราชบัลลังก์นั้นจึงไม่ใช่เพราะมีจิตใจจงรักภักดี เป็นแต่ยังไม่สามารถกระทำการตามความคิดได้เท่านั้น และคนมีสติปัญญาระดับโจโฉนั้นย่อมรู้ดีว่าหากฝืนสถานการณ์ช่วงชิงเอาเสียในขณะที่ยังไม่สุกงอมก็อาจเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นกับราชครูกังฉินดังที่ได้กล่าวข้างต้นนั้น และถ้าเสี่ยงถึงขนาดนั้นย่อมไม่คุ้มกับการสูญเสียอำนาจรัฐที่มีอยู่ในวันนี้ การดำรงอำนาจรัฐแบบเดิมแล้วค่อยๆ กระชับอำนาจให้เข้มแข็งขึ้นย่อมประเสริฐกว่ากันมากเพราะไม่มีความเสี่ยงภัยทั้งยังมีความชอบธรรมอีกต่างหาก นี่คือเหตุผลเบื้องลึกที่โจโฉต้องพักความคิดล้มราชวงศ์ฮั่นเอาไว้ก่อน
แต่กระนั้นสิ่งที่ได้ทำไว้ก็ทำให้โจโฉต้องระมัดระวังตัว จึงได้ติดสินบนมหาดเล็กและนางกำนัลจำนวนหนึ่งให้คอยสังเกตความเคลื่อนไหว และความเป็นไปในราชสำนักแล้วรีบนำความมารายงานให้ทราบ
ทางด้านพระเจ้าเหี้ยนเต้นั้นหลังเสด็จกลับจากการประพาสป่าล่าสัตว์แล้วทรงไม่สบายพระทัยจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะทรงทราบความคิดอ่านของโจโฉเป็นอย่างดี เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นจากการกระทำที่จงใจเพื่อหวังทดสอบพลังทางการเมืองระหว่างพระองค์กับอัครมหาเสนาบดีและทรงคาดหมายการในเบื้องหน้าได้ว่าเหตุวุ่นวายทางการเมืองภายในราชสำนักจะต้องเกิดขึ้นติดตามมา ครั้นทรงหวนรำลึกถึงเหตุการณ์ตั้งแต่ครั้งอดีตที่เคยถูกขุนนางกังฉินข่มเหงย่ำยี น้ำพระทัยก็ประหวั่นว่าเหตุการณ์เหล่านั้นกำลังจะเกิดขึ้นซ้ำรอย รำลึกดั่งนี้จึงทรงกันแสงอยู่ในพระที่
นางฮกเฮาพระมเหสีทอดพระเนตรเห็นเช่นนั้นจึงตรัสถามต้นสายปลายเหตุ พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงได้ยินคำตรัสของพระมเหสีก็รู้สึกสงสารที่ต้องมาเป็นเพื่อนรับชะตากรรมด้วยพระองค์จึงตรัสเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้พระมเหสีฟังทุกประการ
พระมเหสีทรงสดับความที่ทรงเล่าและเห็นอาการพระราชสวามีกำลังตกอยู่ในความทุกข์หนักก็ทรงกันแสงตามแล้วกราบทูลว่าการที่โจโฉหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในครั้งนี้แม้ว่าจะทำให้พระองค์ได้อายแต่โจโฉก็คงไม่สมความคิด เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะคิดอ่านวางแผนการร้ายสืบไป ดังนั้นการจึงควรที่พระองค์จะได้รับสั่งหาขุนนางที่ภักดีต่อแผ่นดินมาปรึกษาเพื่อคิดอ่านหาหนทางป้องกันแก้ไขต่อไป
ในขณะนั้นฮกอ้วนซึ่งเป็นบิดาพระมเหสีได้เข้ามาเฝ้าที่ข้างในพระตำหนักที่ประทับเห็นฮ่องเต้และพระมเหสีกำลังกันแสงอยู่ทั้งสองพระองค์ก็แปลกใจและกริ่งใจว่าทุกขเวทนาที่บังเกิดแก่ทั้งสองพระองค์นั้นน่าจะเป็นเรื่องที่เกิดจากเหตุการณ์ประพาสป่าล่าสัตว์จึงกราบทูลถามเรื่องราว พระมเหสีเห็นเป็นบิดาตัวก็คลายพระทัยและตรัสเล่าเรื่องราวทั้งปวงให้ฮกอ้วนฟัง.