ตอนที่ 10. สงครามโจรโพกผ้าเหลืองครั้งที่ 2
แผ่นดินเสร็จศึกจากการปราบโจรโพกผ้าเหลืองครั้งที่ 1 แล้ว ควรที่จะมีความสันติสุข แต่เพราะการลุกขึ้นสู้ของประชาชนเป็นเพียงผลของเหตุ เมื่อเหตุยังไม่ได้รับการแก้ไข ผลของเหตุนั้นก็ยังคงเกิดขึ้นต่อไป ดังนั้นอาณาประชาราษฎรซึ่งต่างตั้งความหวังว่าบ้านเมืองจะร่มเย็นเป็นสุข จึงต้องพบกับความผิดหวัง
สถานการณ์บ้านเมืองทุกแห่งหนเต็มไปด้วยเหตุการณ์ปล้นชิงวิ่งราว กดขี่ข่มเหงราษฎร การเรียกส่วยสินบนยังคงเกิดขึ้นอย่างกว้างขวางและหนักกว่าเดิม การทั้งนี้เนื่องจากระบบขันทีที่ครอบงำการบริหารราชการแผ่นดินของฮ่องเต้ยังคงอยู่ ไม่แต่เพียงเท่านั้นกลับมีอำนาจวาสนาเพิ่มมากขึ้น แกนนำคนสำคัญของขันทีสองคนคือเตียวต๋งกับเตียวเหยียงได้รับโปรดเกล้าแต่งตั้งเป็นแม่ทัพประจำกองบัญชาการทหารกลาง มีอำนาจทางการทหารเพิ่มขึ้นอีกทางหนึ่ง ส่วนขันทีอีกแปดคนนั้นเล่าก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่
ขันทีคนวิปริตซึ่งควรมีหน้าที่ปกติเพียงคนรับใช้ของฮ่องเต้กลับได้ครองตำแหน่งใหญ่ทางทหารระดับแม่ทัพถึงสองคนและเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่อีกแปดคน ดั่งนี้ความวิปริตแปรปรวนในการบริหารราชการแผ่นดินยุคเลนเต้ จึงแผ่ปกคลุมทุกวงการ ทุกด้านทั่วประเทศ
อำนาจวาสนาของสิบขันทีมีมากขึ้นเท่าใด ความกำเริบเสิบสานในอำนาจก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น แต่เมื่อเป็นอำนาจวาสนาที่เกิดขึ้นจากความชั่วร้ายและใช้อำนาจนั้นโดยไม่ตั้งอยู่ในธรรม อำนาจก็ก่อผลร้ายให้แก่บ้านเมืองและราษฎรมากยิ่งขึ้น
ก็แลเมื่ออำนาจวาสนาของสิบขันทีคือต้นเหตุของการจลาจล คือต้นเหตุของการก่อตัวลุกขึ้นสู้ ของขบวนการต่อสู้กู้ชาติ เมื่ออำนาจวาสนาซึ่งเป็นต้นเหตุยังดำรงอยู่ และมากขึ้นกว่าเดิม ก็ย่อมส่งผลให้การก่อตัวลุกขึ้นสู้ของประชาชนกลับฟื้นคืนขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
ดังนั้นสมาชิกขบวนการกู้ชาติของเตียวก๊กแม้จะแพ้และแตกสลายไปแล้ว จึงได้ก่อตัวขึ้นมาใหม่ เพราะที่ใดมีการข่มเหงกดขี่ ที่นั่นย่อมมีการต่อสู้เป็นธรรมดา
คูเสงซึ่งเป็นสมาชิกขบวนการกู้ชาติคนหนึ่ง หนีราชภัยไปอยู่เมืองเตียงสา ในขณะที่เตียวกีและเตียวซุ่นไปอยู่เมืองยีหยง ได้เห็นความเดือดร้อนของราษฎรจึงได้ร่วมกับราษฎรก่อตั้งฐานที่มั่นกอบกู้ชาติขึ้นในทั้งสองเมือง
เตียวกีนั้นตั้งตนเป็นกษัตริย์ และตั้งให้เตียวซุ่นเป็นเสนาบดี มีราษฎรมาเข้าด้วยเป็นอันมาก ฐานที่มั่นกู้ชาติของประชาชนได้ขยายตัว ลุกลามไปอีกหลายเมือง จนทำให้กองกำลังของขบวนการกู้ชาติที่ก่อตัวขึ้นใหม่นี้ เติบใหญ่เข้มแข็ง และขยายตัวออกไปทุกวัน แผ่อำนาจปกคลุมเมืองต่าง ๆ ในลักษณะรัฐซ้อนรัฐ แต่ละเมืองแม้จะคงรูปแบบการปกครองในระบอบเดิม แต่อำนาจปกครองที่แท้จริงที่ประชาชนยอมรับกลับอยู่ที่ขบวนการกู้ชาติ
หัวเมืองต่าง ๆ ได้รายงานข่าวความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง หนังสือกราบทูลถวายรายงานต่อพระเจ้าเลนเต้ถูกส่งเข้าเมืองหลวงอย่างไม่ขาดสาย ประดุจดังสายฝนที่ตกเต็มท้องฟ้ายามวสันตฤดู
สามก๊กฉบับสมบูรณ์ที่แปลจากภาษาจีนระบุว่า “หนังสือราชการแจ้งเหตุก่อการจลาจลส่งเข้ามาในเมืองหลวงดังแผ่นหิมะตก”
แต่ปรากฎว่าหนังสือราชการทั้งหมดถูกสิบขันทีกักเก็บไว้ ไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่นำความกราบบังคมทูลให้ฮ่องเต้ทรงทราบ สภาพของฮ่องเต้เองจึงต้องกลายเป็นคนหูหนวกและตาบอด เข้าทำนองที่โบราณว่าไว้ว่า “ฝ่ามืออันน้อยเมื่อปิดตาเข้าแล้ว ก็สามารถปิดฟ้าอันกว้างไกลได้”
อยู่มาวันหนึ่งในขณะพระเจ้าเลนเต้กำลังเสวยน้ำจัณฑ์อยู่กับสิบขันทีอย่างมีความสุขในพระราชอุทยาน พระพี่เลี้ยงชื่อเล่าโต๋ซึ่งทราบเรื่องการก่อตัวและการขยายตัวของขบวนการกู้ชาติก็ตกใจ จึงตามเสด็จไปถึงในพระราชอุทยานขอเข้าเฝ้า พระเจ้าเลนเต้ทอดพระเนตรเห็นเล่าโต๋มีสีหน้าแสดงอาการตื่นตกใจ จึงตรัสถามว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น
เล่าโต๋จึงกราบทูลว่า โจรโพกผ้าเหลืองก่อการจลาจลขึ้นอีกแล้ว บ้านเมืองกำลังอยู่ในอันตราย “ไฉนพระองค์ยังมาเสวยสุราอยู่อีกเล่า”
การกราบทูลในเชิงตำหนิฮ่องเต้ผู้เป็นใหญ่เป็นจุดอ่อนและอันตรายอย่างใหญ่หลวง เพราะวิสัยผู้เป็นใหญ่นั้นย่อมแสลงหูกับถ้อยคำเช่นนี้ ยิ่งเป็นใหญ่เท่าใดอาการแสลงหูก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น และอาจกำเริบทำให้คนตายได้
พระเจ้าเลนเต้จึงตรัสด้วยความไม่พอพระทัยหนักว่า ที่หัวเมืองต่างๆเกิดจลาจลนั้นได้ถูกกองทัพจากเมืองหลวงไปปราบปรามราบคาบสิ้นแล้ว ไฉนจึงยกเรื่องนี้ขึ้นมากล่าวอีก
เล่าโต๋ทูลว่าเป็นการจลาจลที่เกิดขึ้นใหม่ “เหตุผลเพราะขันทีสิบคนว่าราชการตัดสินคดีความ ราษฎรมิได้เป็นยุติธรรม" ขันทีสิบคนได้ฟังคำทูลก็ตกใจ เพราะเป็นผู้ปิดข้อมูลข่าวสารที่หัวเมืองต่าง ๆ ส่งเข้ามาถวาย จึงเข้าไปหน้าพระที่นั่ง ถอดหมวกยศทำทีว่าจะลาออกราชการเหมือนครั้งก่อน แล้วแก้ตัวว่าได้ทำราชการรับใช้ใกล้ชิด จึงทำให้ข้าราชการขุนนางอิจฉาริษยา จะทำราชการไปคงจะไม่รอดชีวิต “ข้าพเจ้าทั้งสิบคนนี้ จะขอออกจากที่ เอาแต่ชีวิตรอดไว้ แลทรัพย์สิ่งสินของข้าพเจ้าทั้งปวงนั้น ขอถวายพระองค์ให้พระราชทานทแกล้วทหารซึ่งทำราชการ แต่ตัวข้าพเจ้าทั้งนี้จะขอ กราบถวายบังคมลาไปทำไร่ไถนาเลี้ยงชีวิต”
สามก๊กทุกฉบับไม่ได้ตั้งความสังเกตตรงจุดนี้ ทั้งๆที่คำของขันทีดังกล่าวนั้นมองข้ามไม่ได้เป็นอันขาด เพราะนี่คือสุดยอดวิชาของขันที เป็นวิชาฆ่าคนด้วยการใช้วาจาเป็นอาวุธ สุนทรภู่ได้กล่าวถึงวิชานี้ในหนังสือพระอภัยมณีตอนที่นางละเวงอาสาไปสังหารอุศเรนว่า “จะพลิกพลิ้วชิวหาเป็นอาวุธ ประหารบุตรเจ้าลงกาให้อาสัญ”
จนอุศเรนต้องรากเลือดถึงแก่ความตาย และนักการเมืองบางคนในชั้นหลังได้สืบทอดวิชาขันทีนี้แล้วมีใจอำมหิตก่อความฉิบหายให้แก่บ้านเมือง แลราษฎรไม่ต่างอันใดกับยุคขันทีกินเมืองในสมัยสามก๊ก
คำเพ็ดทูลที่หวานระรื่นหูฉะนี้กินใจลึกพระเจ้าเลนเต้นัก พระทัยหนึ่งล้นด้วยน้ำใจรักสิบขันที อีกพระทัยหนึ่งล้นด้วยน้ำใจชังพระพี่เลี้ยงเล่าโต๋ ไม่ได้ไตร่ตรองพิจารณาใด ๆ ก็เชื่อตามคำเพ็ดทูล
แล้วตรัสว่า “ตัวเป็นพี่เลี้ยงที่บ้านเรือนของตัวนั้น ก็ย่อมมีคนสนิทใช้สอยอยู่ แลตัวเราเป็นเจ้าอยู่ในราชสมบัติ มีคนซึ่งสนิทใช้สอยบ้าง ตัวมาริษยาว่ากล่าวให้เราขัดเคือง” แล้วตรัสสั่งให้เจ้าหน้าที่คุมตัวเล่าโต๋ไปประหาร เล่าโต๋จึงร้องขึ้นหน้าพระที่นั่งว่าไม่เสียดายแก่ชีวิต เสียดายแต่ราชสมบัติของพระเจ้าฮั่นโกโจที่สืบทอดมาสี่ร้อยปีเศษจะดับสูญ พระเจ้าเลนเต้ก็ทำเป็นไม่ได้ยินเสีย
เจ้าหน้าที่คุมตัวเล่าโต๋ออกไปจากพระราชอุทยาน พอดีรองอัครมหาเสนาบดีชื่อตันต๋ำมาพบเหตุ ทราบความแล้วจึงสั่งเจ้าหน้าที่ว่าอย่าเพิ่งประหาร จะไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ก่อน
รองอัครมหาเสนาบดีตันต๋ำเข้าไปในพระราชอุทยานแล้วเข้าไปเฝ้าพระเจ้าเลนเต้ กราบทูลว่าพระพี่เลี้ยงเล่าโต๋ได้อุ้มชูเลี้ยงดูอบรมสั่งสอนพระองค์มาแต่น้อย ทำผิดฉกรรจ์ข้อใดจึงต้องโทษถึงประหาร พระเจ้าเลนเต้ตรัสตอบว่าเล่าโต๋เป็นผู้ใหญ่ไม่มีความคิดเอาความเท็จมากราบทูลว่าโจรโพกผ้าเหลืองก่อการกบฏอีก และยุยงใส่โทษสิบขันทีซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ทั้งกระทำการหยาบช้าต่อเรา
ตันต๋ำจึงทูลว่าที่เล่าโต๋กราบทูลนั้นเป็นเรื่องจริง บัดนี้ขุนนาง ข้าราชการ และราษฎรทั่วประเทศเดือดร้อนนัก มีความเกลียดชังอยากกินเลือดกินเนื้อสิบขันที แต่พระองค์กลับมีพระทัยรักดุจพระราชวงศ์ผู้ใหญ่ ทั้งที่ไม่มีความชอบสิ่งใด ก็ตั้งให้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ ขันทีฮองสีก็ได้ร่วมสมคบกับกบฏเป็นไส้ศึกให้โจร มีผู้มากราบทูลก็ไม่ทรงชำระให้รู้ผิดถูก จะทำให้ราชสมบัติเป็นอันตราย
พระเจ้าเลนเต้ไม่สบพระทัยจึงเถียงว่าความซึ่งตันต๋ำกล่าวนั้นไม่เป็นความจริง ตันต๋ำแค้นใจนักจึงเอาศีรษะชนพระแท่นที่ประทับจนโลหิตไหล พระเจ้าเลนเต้ทรงพระโกรธอย่างรุนแรง จึงตรัสสั่งให้เจ้าหน้าที่เอาตัวรองอัครมหาเสนาบดีตันต๋ำและพระพี่เลี้ยงเล่าโต๋ไปจำใส่คุกไว้
สิบขันทีผูกแค้นทั้งเล่าโต๋และตันต๋ำที่กล่าวโทษตัวให้ถึงตาย ในยามดึกของคืนนั้น สิบขันทีก็ลอบเข้าไปในคุกหลวง สังหารเล่าโต๋กับตันต๋ำเสีย
ขันทีสิบคนปรึกษากันเห็นว่าหากปล่อยให้ขบวนการกู้ชาติทำการต่อไปความผิดก็จะมาถึงตัว ทั้งเห็นว่าการของฮองสีขันทีที่รับเป็นไส้ศึกในเมืองหลวงให้กับโจร แต่ครั้งเตียวก๊กยังอยู่ยากจะสำเร็จได้ เพราะความเชื่อถือศรัทธาของราษฎรที่มีต่อขบวนการกู้ชาติในครั้งนี้น้อยกว่าเมื่อครั้งเตียวก๊กหลายเท่านัก จะหวังประโยชน์อันใดย่อมไม่คุ้มกับประโยชน์ปัจจุบัน ดังนั้นจึงแต่งเป็นหนังสือรับสั่งสองฉบับ
ฉบับหนึ่งไปถึงซุนเกี๋ยนให้ไปกินเมืองเตียงสา และสั่งให้ไปปราบขบวนการกู้ชาติของคูเสง อีกฉบับหนึ่งไปถึงเล่าหงี ตั้งให้เป็นเจ้าเมืองอิจิ๋ว และให้ยกไปตีเตียวกี เตียวซุ่น ที่เมืองยีหยง
ฝ่ายเล่าเก๊งทราบว่ามีรับสั่งตั้งเล่าหงีซึ่งถือแซ่เดียวกันเป็นแม่ทัพไปรบเตียวกี เตียวซุ่น จึงเขียนหนังสือให้เล่าปี่ถือไปหาเล่าหงี ฝากให้เล่าปี่ไปทำการศึกด้วย เล่าหงีทราบความแล้วก็ดีใจ และออกคำสั่งโดยอำนาจแม่ทัพแต่งตั้งให้เล่าปี่มียศเป็นนายร้อย ในสังกัดกองทัพของตน
ฝ่ายซุนเกี๋ยนทราบรับสั่งแล้วก็ยกทัพไปปราบคูเสง ตีฐานที่มั่นแตก คูเสงตายในที่รบ ทหารของคูเสงจึงแตกหนีไปสิ้น
ส่วนเล่าหงียกทัพไปเมืองยีหยง รบกับเตียวกี เตียวซุ่นซึ่งมีกำลังพลเข้มแข็งจำนวนมาก กองทัพทั้งสองฝ่ายรบกันอยู่หลายวัน ทหารของเตียวกี เตียวซุ่นก็ขาดเสบียง อดอยาก ทั้งเตียวซุ่นเองก็เป็นคนหยาบ ไม่เอาใจทหาร นายทหารคนสนิทจึงหักหลังนาย ฆ่าเตียวซุ่นแล้วตัดศีรษะเอาไปให้เล่าปี่ ส่วนเตียวกีเมื่อรู้ว่าเตียวซุ่นตายและทหารเอาใจออกห่างหนีทัพเป็นจำนวนมากก็ท้อถอยสิ้นความคิด จึงเอาดาบเชือดคอตาย
ขบวนการกู้ชาติหรือที่ฝ่ายทางการเรียกว่าโจรโพกผ้าเหลือง ที่เพิ่งก่อตัวขึ้นใหม่อีกครั้งหนึ่ง ถูกซุนเกี๋ยนและเล่าหงี เล่าปี่ ปราบปรามจนสงบราบคาบด้วยประการนี้
พระเจ้าเลนเต้ได้รับทราบความจากรายงานแล้วมีพระดำริว่าซุนเกี๋ยนมีความชอบ โปรดให้ไปเป็นเจ้าเมืองกังแฮซึ่งเป็นหัวเมืองเอก
สำหรับเล่าหงีมีความชอบมาก โปรดให้เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด ส่วนเล่าปี่นั้น ตรัสว่ามีความผิดครั้งตีต๊กอิ้ว ให้เอาความชอบนั้นลบล้างกับโทษ และโปรดให้ไปรักษาบ้านแฮปิดซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ อยู่ปลายด่าน พอดีกองซุนจ้าน เพื่อนร่วมสำนักของเล่าปี่ และโลติดซึ่งรับราชการเป็นขุนนางอยู่ในพระเจ้าเลนเต้ได้ทูลถวายฎีกาว่าเล่าปี่นี้แต่ก่อนก็มีความชอบในการปราบปรามโจรโพกผ้าเหลืองมาก มาครั้งนี้มีความชอบปราบโจรได้สงบราบคาบอีก ขอทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้เล่าปี่ได้ไปเป็นเจ้าเมืองเพงง้วนก๋วนเถิด
พระเจ้าเลนเต้จึงโปรดเกล้าตั้งให้เล่าปี่เป็นเจ้าเมืองเพงง้วนก๋วนตามคำฎีกาของกองซุนจ้าน และพระราชทานยศทหารให้เป็นนายพันทหารม้า มีหน้าที่คุมทหารม้าและรถศึก
พิจารณาน้ำพระทัยของพระเจ้าเลนเต้ในครั้งนี้แล้ว เห็นได้ชัดว่าพระองค์เองไม่ได้มีสิ่งใดติดพระทัยในตัวเล่าปี่ และคงไม่ติดพระทัยในเรื่องเดิมของพระราชวงค์สายเล่าปี่ แต่ที่ผ่านมาเหตุที่ทรงไม่โปรดเล่าปี่ตามควรแก่ความชอบนั้นน่าจะติดปัญหาอยู่ที่สิบขันที มาครั้งนี้เมื่อกองซุนจ้านขุนนางถวายฎีกา แสดงว่าเล่าปี่ก็มีพรรคพวกอยู่ในราชสำนัก จึงโปรดให้ตามขอและยังแถมยศนายพันทหารม้า ซึ่งเป็นกองกำลังเคลื่อนที่เร็วอีกตำแหน่งหนึ่ง และอาจแสดงว่าน่าจะมีสิ่งใดอันเป็นความภายในราชสำนักที่ทรงหวังจะพึ่งพาเล่าปี่ในภายหน้าอยู่ในพระทัยเหมือนกัน แต่เพราะโอกาสไม่อำนวยจึงไม่ปรากฏความในพระทัยของพระเจ้าเลนเต้ในเรื่องนี้
อันเมืองเพงง้วนก๋วนนั้นเป็นเมืองใหญ่อยู่รอบนอกและเป็นเมืองทหาร เป็นที่ตั้งของกองกำลังทหารม้า ทั้งข้าวปลาอาหารก็บริบูรณ์ เล่าปี่ไปครองเมืองเพงง้วนก๋วนแล้วก็มีกำลังและกว้างขวางขึ้นกว่าแต่ก่อน
สถานการณ์บ้านเมืองทุกแห่งหนเต็มไปด้วยเหตุการณ์ปล้นชิงวิ่งราว กดขี่ข่มเหงราษฎร การเรียกส่วยสินบนยังคงเกิดขึ้นอย่างกว้างขวางและหนักกว่าเดิม การทั้งนี้เนื่องจากระบบขันทีที่ครอบงำการบริหารราชการแผ่นดินของฮ่องเต้ยังคงอยู่ ไม่แต่เพียงเท่านั้นกลับมีอำนาจวาสนาเพิ่มมากขึ้น แกนนำคนสำคัญของขันทีสองคนคือเตียวต๋งกับเตียวเหยียงได้รับโปรดเกล้าแต่งตั้งเป็นแม่ทัพประจำกองบัญชาการทหารกลาง มีอำนาจทางการทหารเพิ่มขึ้นอีกทางหนึ่ง ส่วนขันทีอีกแปดคนนั้นเล่าก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่
ขันทีคนวิปริตซึ่งควรมีหน้าที่ปกติเพียงคนรับใช้ของฮ่องเต้กลับได้ครองตำแหน่งใหญ่ทางทหารระดับแม่ทัพถึงสองคนและเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่อีกแปดคน ดั่งนี้ความวิปริตแปรปรวนในการบริหารราชการแผ่นดินยุคเลนเต้ จึงแผ่ปกคลุมทุกวงการ ทุกด้านทั่วประเทศ
อำนาจวาสนาของสิบขันทีมีมากขึ้นเท่าใด ความกำเริบเสิบสานในอำนาจก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น แต่เมื่อเป็นอำนาจวาสนาที่เกิดขึ้นจากความชั่วร้ายและใช้อำนาจนั้นโดยไม่ตั้งอยู่ในธรรม อำนาจก็ก่อผลร้ายให้แก่บ้านเมืองและราษฎรมากยิ่งขึ้น
ก็แลเมื่ออำนาจวาสนาของสิบขันทีคือต้นเหตุของการจลาจล คือต้นเหตุของการก่อตัวลุกขึ้นสู้ ของขบวนการต่อสู้กู้ชาติ เมื่ออำนาจวาสนาซึ่งเป็นต้นเหตุยังดำรงอยู่ และมากขึ้นกว่าเดิม ก็ย่อมส่งผลให้การก่อตัวลุกขึ้นสู้ของประชาชนกลับฟื้นคืนขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
ดังนั้นสมาชิกขบวนการกู้ชาติของเตียวก๊กแม้จะแพ้และแตกสลายไปแล้ว จึงได้ก่อตัวขึ้นมาใหม่ เพราะที่ใดมีการข่มเหงกดขี่ ที่นั่นย่อมมีการต่อสู้เป็นธรรมดา
คูเสงซึ่งเป็นสมาชิกขบวนการกู้ชาติคนหนึ่ง หนีราชภัยไปอยู่เมืองเตียงสา ในขณะที่เตียวกีและเตียวซุ่นไปอยู่เมืองยีหยง ได้เห็นความเดือดร้อนของราษฎรจึงได้ร่วมกับราษฎรก่อตั้งฐานที่มั่นกอบกู้ชาติขึ้นในทั้งสองเมือง
เตียวกีนั้นตั้งตนเป็นกษัตริย์ และตั้งให้เตียวซุ่นเป็นเสนาบดี มีราษฎรมาเข้าด้วยเป็นอันมาก ฐานที่มั่นกู้ชาติของประชาชนได้ขยายตัว ลุกลามไปอีกหลายเมือง จนทำให้กองกำลังของขบวนการกู้ชาติที่ก่อตัวขึ้นใหม่นี้ เติบใหญ่เข้มแข็ง และขยายตัวออกไปทุกวัน แผ่อำนาจปกคลุมเมืองต่าง ๆ ในลักษณะรัฐซ้อนรัฐ แต่ละเมืองแม้จะคงรูปแบบการปกครองในระบอบเดิม แต่อำนาจปกครองที่แท้จริงที่ประชาชนยอมรับกลับอยู่ที่ขบวนการกู้ชาติ
หัวเมืองต่าง ๆ ได้รายงานข่าวความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง หนังสือกราบทูลถวายรายงานต่อพระเจ้าเลนเต้ถูกส่งเข้าเมืองหลวงอย่างไม่ขาดสาย ประดุจดังสายฝนที่ตกเต็มท้องฟ้ายามวสันตฤดู
สามก๊กฉบับสมบูรณ์ที่แปลจากภาษาจีนระบุว่า “หนังสือราชการแจ้งเหตุก่อการจลาจลส่งเข้ามาในเมืองหลวงดังแผ่นหิมะตก”
แต่ปรากฎว่าหนังสือราชการทั้งหมดถูกสิบขันทีกักเก็บไว้ ไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่นำความกราบบังคมทูลให้ฮ่องเต้ทรงทราบ สภาพของฮ่องเต้เองจึงต้องกลายเป็นคนหูหนวกและตาบอด เข้าทำนองที่โบราณว่าไว้ว่า “ฝ่ามืออันน้อยเมื่อปิดตาเข้าแล้ว ก็สามารถปิดฟ้าอันกว้างไกลได้”
อยู่มาวันหนึ่งในขณะพระเจ้าเลนเต้กำลังเสวยน้ำจัณฑ์อยู่กับสิบขันทีอย่างมีความสุขในพระราชอุทยาน พระพี่เลี้ยงชื่อเล่าโต๋ซึ่งทราบเรื่องการก่อตัวและการขยายตัวของขบวนการกู้ชาติก็ตกใจ จึงตามเสด็จไปถึงในพระราชอุทยานขอเข้าเฝ้า พระเจ้าเลนเต้ทอดพระเนตรเห็นเล่าโต๋มีสีหน้าแสดงอาการตื่นตกใจ จึงตรัสถามว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น
เล่าโต๋จึงกราบทูลว่า โจรโพกผ้าเหลืองก่อการจลาจลขึ้นอีกแล้ว บ้านเมืองกำลังอยู่ในอันตราย “ไฉนพระองค์ยังมาเสวยสุราอยู่อีกเล่า”
การกราบทูลในเชิงตำหนิฮ่องเต้ผู้เป็นใหญ่เป็นจุดอ่อนและอันตรายอย่างใหญ่หลวง เพราะวิสัยผู้เป็นใหญ่นั้นย่อมแสลงหูกับถ้อยคำเช่นนี้ ยิ่งเป็นใหญ่เท่าใดอาการแสลงหูก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น และอาจกำเริบทำให้คนตายได้
พระเจ้าเลนเต้จึงตรัสด้วยความไม่พอพระทัยหนักว่า ที่หัวเมืองต่างๆเกิดจลาจลนั้นได้ถูกกองทัพจากเมืองหลวงไปปราบปรามราบคาบสิ้นแล้ว ไฉนจึงยกเรื่องนี้ขึ้นมากล่าวอีก
เล่าโต๋ทูลว่าเป็นการจลาจลที่เกิดขึ้นใหม่ “เหตุผลเพราะขันทีสิบคนว่าราชการตัดสินคดีความ ราษฎรมิได้เป็นยุติธรรม" ขันทีสิบคนได้ฟังคำทูลก็ตกใจ เพราะเป็นผู้ปิดข้อมูลข่าวสารที่หัวเมืองต่าง ๆ ส่งเข้ามาถวาย จึงเข้าไปหน้าพระที่นั่ง ถอดหมวกยศทำทีว่าจะลาออกราชการเหมือนครั้งก่อน แล้วแก้ตัวว่าได้ทำราชการรับใช้ใกล้ชิด จึงทำให้ข้าราชการขุนนางอิจฉาริษยา จะทำราชการไปคงจะไม่รอดชีวิต “ข้าพเจ้าทั้งสิบคนนี้ จะขอออกจากที่ เอาแต่ชีวิตรอดไว้ แลทรัพย์สิ่งสินของข้าพเจ้าทั้งปวงนั้น ขอถวายพระองค์ให้พระราชทานทแกล้วทหารซึ่งทำราชการ แต่ตัวข้าพเจ้าทั้งนี้จะขอ กราบถวายบังคมลาไปทำไร่ไถนาเลี้ยงชีวิต”
สามก๊กทุกฉบับไม่ได้ตั้งความสังเกตตรงจุดนี้ ทั้งๆที่คำของขันทีดังกล่าวนั้นมองข้ามไม่ได้เป็นอันขาด เพราะนี่คือสุดยอดวิชาของขันที เป็นวิชาฆ่าคนด้วยการใช้วาจาเป็นอาวุธ สุนทรภู่ได้กล่าวถึงวิชานี้ในหนังสือพระอภัยมณีตอนที่นางละเวงอาสาไปสังหารอุศเรนว่า “จะพลิกพลิ้วชิวหาเป็นอาวุธ ประหารบุตรเจ้าลงกาให้อาสัญ”
จนอุศเรนต้องรากเลือดถึงแก่ความตาย และนักการเมืองบางคนในชั้นหลังได้สืบทอดวิชาขันทีนี้แล้วมีใจอำมหิตก่อความฉิบหายให้แก่บ้านเมือง แลราษฎรไม่ต่างอันใดกับยุคขันทีกินเมืองในสมัยสามก๊ก
คำเพ็ดทูลที่หวานระรื่นหูฉะนี้กินใจลึกพระเจ้าเลนเต้นัก พระทัยหนึ่งล้นด้วยน้ำใจรักสิบขันที อีกพระทัยหนึ่งล้นด้วยน้ำใจชังพระพี่เลี้ยงเล่าโต๋ ไม่ได้ไตร่ตรองพิจารณาใด ๆ ก็เชื่อตามคำเพ็ดทูล
แล้วตรัสว่า “ตัวเป็นพี่เลี้ยงที่บ้านเรือนของตัวนั้น ก็ย่อมมีคนสนิทใช้สอยอยู่ แลตัวเราเป็นเจ้าอยู่ในราชสมบัติ มีคนซึ่งสนิทใช้สอยบ้าง ตัวมาริษยาว่ากล่าวให้เราขัดเคือง” แล้วตรัสสั่งให้เจ้าหน้าที่คุมตัวเล่าโต๋ไปประหาร เล่าโต๋จึงร้องขึ้นหน้าพระที่นั่งว่าไม่เสียดายแก่ชีวิต เสียดายแต่ราชสมบัติของพระเจ้าฮั่นโกโจที่สืบทอดมาสี่ร้อยปีเศษจะดับสูญ พระเจ้าเลนเต้ก็ทำเป็นไม่ได้ยินเสีย
เจ้าหน้าที่คุมตัวเล่าโต๋ออกไปจากพระราชอุทยาน พอดีรองอัครมหาเสนาบดีชื่อตันต๋ำมาพบเหตุ ทราบความแล้วจึงสั่งเจ้าหน้าที่ว่าอย่าเพิ่งประหาร จะไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ก่อน
รองอัครมหาเสนาบดีตันต๋ำเข้าไปในพระราชอุทยานแล้วเข้าไปเฝ้าพระเจ้าเลนเต้ กราบทูลว่าพระพี่เลี้ยงเล่าโต๋ได้อุ้มชูเลี้ยงดูอบรมสั่งสอนพระองค์มาแต่น้อย ทำผิดฉกรรจ์ข้อใดจึงต้องโทษถึงประหาร พระเจ้าเลนเต้ตรัสตอบว่าเล่าโต๋เป็นผู้ใหญ่ไม่มีความคิดเอาความเท็จมากราบทูลว่าโจรโพกผ้าเหลืองก่อการกบฏอีก และยุยงใส่โทษสิบขันทีซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ทั้งกระทำการหยาบช้าต่อเรา
ตันต๋ำจึงทูลว่าที่เล่าโต๋กราบทูลนั้นเป็นเรื่องจริง บัดนี้ขุนนาง ข้าราชการ และราษฎรทั่วประเทศเดือดร้อนนัก มีความเกลียดชังอยากกินเลือดกินเนื้อสิบขันที แต่พระองค์กลับมีพระทัยรักดุจพระราชวงศ์ผู้ใหญ่ ทั้งที่ไม่มีความชอบสิ่งใด ก็ตั้งให้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ ขันทีฮองสีก็ได้ร่วมสมคบกับกบฏเป็นไส้ศึกให้โจร มีผู้มากราบทูลก็ไม่ทรงชำระให้รู้ผิดถูก จะทำให้ราชสมบัติเป็นอันตราย
พระเจ้าเลนเต้ไม่สบพระทัยจึงเถียงว่าความซึ่งตันต๋ำกล่าวนั้นไม่เป็นความจริง ตันต๋ำแค้นใจนักจึงเอาศีรษะชนพระแท่นที่ประทับจนโลหิตไหล พระเจ้าเลนเต้ทรงพระโกรธอย่างรุนแรง จึงตรัสสั่งให้เจ้าหน้าที่เอาตัวรองอัครมหาเสนาบดีตันต๋ำและพระพี่เลี้ยงเล่าโต๋ไปจำใส่คุกไว้
สิบขันทีผูกแค้นทั้งเล่าโต๋และตันต๋ำที่กล่าวโทษตัวให้ถึงตาย ในยามดึกของคืนนั้น สิบขันทีก็ลอบเข้าไปในคุกหลวง สังหารเล่าโต๋กับตันต๋ำเสีย
ขันทีสิบคนปรึกษากันเห็นว่าหากปล่อยให้ขบวนการกู้ชาติทำการต่อไปความผิดก็จะมาถึงตัว ทั้งเห็นว่าการของฮองสีขันทีที่รับเป็นไส้ศึกในเมืองหลวงให้กับโจร แต่ครั้งเตียวก๊กยังอยู่ยากจะสำเร็จได้ เพราะความเชื่อถือศรัทธาของราษฎรที่มีต่อขบวนการกู้ชาติในครั้งนี้น้อยกว่าเมื่อครั้งเตียวก๊กหลายเท่านัก จะหวังประโยชน์อันใดย่อมไม่คุ้มกับประโยชน์ปัจจุบัน ดังนั้นจึงแต่งเป็นหนังสือรับสั่งสองฉบับ
ฉบับหนึ่งไปถึงซุนเกี๋ยนให้ไปกินเมืองเตียงสา และสั่งให้ไปปราบขบวนการกู้ชาติของคูเสง อีกฉบับหนึ่งไปถึงเล่าหงี ตั้งให้เป็นเจ้าเมืองอิจิ๋ว และให้ยกไปตีเตียวกี เตียวซุ่น ที่เมืองยีหยง
ฝ่ายเล่าเก๊งทราบว่ามีรับสั่งตั้งเล่าหงีซึ่งถือแซ่เดียวกันเป็นแม่ทัพไปรบเตียวกี เตียวซุ่น จึงเขียนหนังสือให้เล่าปี่ถือไปหาเล่าหงี ฝากให้เล่าปี่ไปทำการศึกด้วย เล่าหงีทราบความแล้วก็ดีใจ และออกคำสั่งโดยอำนาจแม่ทัพแต่งตั้งให้เล่าปี่มียศเป็นนายร้อย ในสังกัดกองทัพของตน
ฝ่ายซุนเกี๋ยนทราบรับสั่งแล้วก็ยกทัพไปปราบคูเสง ตีฐานที่มั่นแตก คูเสงตายในที่รบ ทหารของคูเสงจึงแตกหนีไปสิ้น
ส่วนเล่าหงียกทัพไปเมืองยีหยง รบกับเตียวกี เตียวซุ่นซึ่งมีกำลังพลเข้มแข็งจำนวนมาก กองทัพทั้งสองฝ่ายรบกันอยู่หลายวัน ทหารของเตียวกี เตียวซุ่นก็ขาดเสบียง อดอยาก ทั้งเตียวซุ่นเองก็เป็นคนหยาบ ไม่เอาใจทหาร นายทหารคนสนิทจึงหักหลังนาย ฆ่าเตียวซุ่นแล้วตัดศีรษะเอาไปให้เล่าปี่ ส่วนเตียวกีเมื่อรู้ว่าเตียวซุ่นตายและทหารเอาใจออกห่างหนีทัพเป็นจำนวนมากก็ท้อถอยสิ้นความคิด จึงเอาดาบเชือดคอตาย
ขบวนการกู้ชาติหรือที่ฝ่ายทางการเรียกว่าโจรโพกผ้าเหลือง ที่เพิ่งก่อตัวขึ้นใหม่อีกครั้งหนึ่ง ถูกซุนเกี๋ยนและเล่าหงี เล่าปี่ ปราบปรามจนสงบราบคาบด้วยประการนี้
พระเจ้าเลนเต้ได้รับทราบความจากรายงานแล้วมีพระดำริว่าซุนเกี๋ยนมีความชอบ โปรดให้ไปเป็นเจ้าเมืองกังแฮซึ่งเป็นหัวเมืองเอก
สำหรับเล่าหงีมีความชอบมาก โปรดให้เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด ส่วนเล่าปี่นั้น ตรัสว่ามีความผิดครั้งตีต๊กอิ้ว ให้เอาความชอบนั้นลบล้างกับโทษ และโปรดให้ไปรักษาบ้านแฮปิดซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ อยู่ปลายด่าน พอดีกองซุนจ้าน เพื่อนร่วมสำนักของเล่าปี่ และโลติดซึ่งรับราชการเป็นขุนนางอยู่ในพระเจ้าเลนเต้ได้ทูลถวายฎีกาว่าเล่าปี่นี้แต่ก่อนก็มีความชอบในการปราบปรามโจรโพกผ้าเหลืองมาก มาครั้งนี้มีความชอบปราบโจรได้สงบราบคาบอีก ขอทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้เล่าปี่ได้ไปเป็นเจ้าเมืองเพงง้วนก๋วนเถิด
พระเจ้าเลนเต้จึงโปรดเกล้าตั้งให้เล่าปี่เป็นเจ้าเมืองเพงง้วนก๋วนตามคำฎีกาของกองซุนจ้าน และพระราชทานยศทหารให้เป็นนายพันทหารม้า มีหน้าที่คุมทหารม้าและรถศึก
พิจารณาน้ำพระทัยของพระเจ้าเลนเต้ในครั้งนี้แล้ว เห็นได้ชัดว่าพระองค์เองไม่ได้มีสิ่งใดติดพระทัยในตัวเล่าปี่ และคงไม่ติดพระทัยในเรื่องเดิมของพระราชวงค์สายเล่าปี่ แต่ที่ผ่านมาเหตุที่ทรงไม่โปรดเล่าปี่ตามควรแก่ความชอบนั้นน่าจะติดปัญหาอยู่ที่สิบขันที มาครั้งนี้เมื่อกองซุนจ้านขุนนางถวายฎีกา แสดงว่าเล่าปี่ก็มีพรรคพวกอยู่ในราชสำนัก จึงโปรดให้ตามขอและยังแถมยศนายพันทหารม้า ซึ่งเป็นกองกำลังเคลื่อนที่เร็วอีกตำแหน่งหนึ่ง และอาจแสดงว่าน่าจะมีสิ่งใดอันเป็นความภายในราชสำนักที่ทรงหวังจะพึ่งพาเล่าปี่ในภายหน้าอยู่ในพระทัยเหมือนกัน แต่เพราะโอกาสไม่อำนวยจึงไม่ปรากฏความในพระทัยของพระเจ้าเลนเต้ในเรื่องนี้
อันเมืองเพงง้วนก๋วนนั้นเป็นเมืองใหญ่อยู่รอบนอกและเป็นเมืองทหาร เป็นที่ตั้งของกองกำลังทหารม้า ทั้งข้าวปลาอาหารก็บริบูรณ์ เล่าปี่ไปครองเมืองเพงง้วนก๋วนแล้วก็มีกำลังและกว้างขวางขึ้นกว่าแต่ก่อน