เทคนิคการ up ค่าตัว อย่างดาราฮอลลีวู๊ด


ผม เชื่อว่า เกือบทุกท่านเคยดู Spidar Man ..พระเอกคือ Toby Maguire เริ่มจากค่าตัว 4 ล้านเหรียญ(ในภาคแรก)--ภาคที่ 2 ได้ 17 ล้านเหรียญ และภาคที่ 3 ได้ 15 ล้านเหรียญ บวก%จากยอดขายหนัง (ลองคูณเป็นเงินไทยรวมเล่นหนัง 3 ภาค ก็ได้เงินประมาณแค่ 1,152 ล้านบาท ++) "บ้าชิบเป๋ง!! พวกเรามัวทำอะไรกันอยู่นี่ ทำไมรายได้มันช่างแตกต่างกว่าสังคม 2 มาตรฐานยิ่งนัก

นักเขียนที่รายได้สูงสุด ปีที่ผ่านมา James Patterson (ใครชอบอ่าน นิยายฝรั่ง ผมเชื่อว่า ชื่อนี้ต้องผ่านตาท่านแน่นอน) ปี 2009(เศรษฐกิจตกต่ำ แต่สงสัยคนจิตตกเลยอ่านนิยายเยอะ --James ขายหนังสือได้ 14 ล้านเล่ม(เขาเขียนหนังสือปี 2009 ทั้งหมด 9 เรื่อง)รวมรายได้ 150 ล้านเหรียญ คิดเป็นเงินไทยก็เกือบ 5 พันล้านบาท "บ้าชิบเป๋ง!!อีกครั้งแล้วครับท่าน ..คนบ้าอะไรเขียนนิยายได้ ปีละ 9 เรื่อง แสดงว่า เขียนเดือนละเล่ม "เขาคือมนุษย์หรือนี่!!"

LeBron James นักบาส ผู้ที่เก่งไม่ได้ด้อยไปกว่า Micheal Jordan ..ปีนี้คาดว่าจะได้ค่าตัว 56.1 ล้านเหรียญ ประมาณ 1,800 ล้านบาท --(ยกตัวอย่างแค่ 3 คนก็พอแล้ว เดี๋ยว ต่อมความอิจฉาของเราอาจจะระเบิดได้...หุ หุ)

ทุกวันนี้เรากำลังเดินทางเข้าสู่ยุค The Winner take all เกือบจะเต็มรูปแบบแล้ว ..แน่นอน "The Winner" ไม่ใช่จะเป็นกันได้ง่ายๆ มันต้อง sacrifice มหาศาล อย่าง Tiger Woods ก็เป็นอีกคนที่ ไม่เคยได้มีวัยเด็ก และวัยรุ่นเหมือนเด็กคนอื่นๆ คือ เกิดมาก็ตั้งหน้าตั้งตา มุ่งสู่เป้าหมายเลย (แต่ข้อเสียมันก็อย่างที่เห็นๆกัน อย่างกรณีของ Tiger Woods ก็สติแตก ต้องไปบำบัด Sex Addict ซะงั้น (มีด้วยหรือ โรคนี้ ผมว่า ชายทุกคนก็เป็นนะ เพียงแต่ไม่มีตังค์ไปรักษา เหมือน Tiger ..หุ หุ หุ)

ประเด็นที่น่าสนใจวันนี้คือ การ Up ค่าตัว ..จริงๆแล้วมันมีอยู่ทางเดียวที่คุณจะ up ค่าตัวได้ คือ คุณต้อง "โดดเด่น" หรือ ใช้คำว่า "แปลกแต่ดี" ก็ได้ ...ทุกวันนี้ เป็นโลกแห่งการต่อสู้ การทำตัวธรรมดาๆ ย่อมส่งผลลัพธ์ต่อชิวิต ที่ "ธรรมดา" นั่นเอง (คนที่รักความธรรมดา ผมว่าดีแล้ว ไม่ต้องดิ้นรน)

แต่!! คนที่รักความทะเยอทะยานต้อง "ดิ้น" --- "ไม่ใช่ดิ้นธรรมดา แต่ต้องดิ้นอย่างฉลาด" เราได้เรียนรู้จากรุ่นพี่ Gen X แล้วว่า คนที่อยู่เฉยๆ กลับแป๊ก ส่วนคนที่ เอาใบ Resume ฝากไว้กับ Head Hunter กลายเป็น โอกาสไหลเทเข้ามามากมาย ..จะเห็นได้ว่า ปัจจุบันมันเป็นยุคของผู้ชนะ ..คนที่ดิ้นรนหาโอกาสเท่านั้น ที่จะสามารถเข้าถึงโอกาสที่มากกว่า

อย่างไรก็ตาม การอยู่ในองค์กรใด เป็นเวลาติดต่อกัน ย่อมมีโอกาสขึ้นสู่การเป็นผู้บริหารมากกว่าคนที่โดดไปมา ระหว่างงาน แต่การที่คุณไม่ย้ายบริษัท ไม่ได้หมายความว่า คุณจะต้องก้มหน้าก้มตาทำงานอย่างเดียว --ประเด็นสำคัญคือ ทำตัวมีค่า "โอ้!! นายครับ อยู่ดีๆ บริษัทนี้ก็มา Offer เงินเดือนให้ผม 2 เท่า มันทำใจลำบากจริงๆครับนาย" ตอนนี้อยู่ที่นายคุณ ว่าเห็นค่าคุณเท่าไหร่ คือ ถ้าเขาเห็นคุณสำคัญ เขาก็จะ "สู้ค่าตัว" แต่ถ้าไม่ คุณก็แค่ย้ายไปที่ใหม่ ---จุดนี้เหมือน Check Rating น่ะ!!

เอาเป็นว่า ไม่ได้ชี้ทางให้ไม่ซื่อ เพียงแต่ Check Rating บ่อยๆ จะได้รู้ว่าตัวเราจริงๆ น่ะมีค่านะ "ด่ากูมากๆ กูไปนะ" (ขู่กลับไปบ้าง..หุ หุ )

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘