Trend ประชากรของโลกบอกอะไรเรา


ปัจจุบัน มีคนในโลกนี้อยู่ประมาณ 6,800 ล้านคน (อยู่ใน Africa ประมาณ 1,000 ล้านคน/อเมริกา 920 ล้านคน/ยุโรป 738 ล้านคน และ เอเชีย 4,200 ล้านคน) ..แค่ จีน+อินเดีย ก็ 2,000 กว่าล้านคนเข้าไปแล้ว-- ในส่วนของอัตราการเพิ่มขึ้นของประชากรคือประมาณ 80 ล้านคนต่อปี!! โดยทวีป Africa มีอัตราการเติบโตสูงสุด เอเชียกับอเมริกาใกล้เคียง ส่วนยุโรปมีการเติบโตติดลบ (ข้อสังเกตที่น่าสนใจคือ ในส่วนของอเมริกา"อัตราการเกิดต่ำ ดังนั้น การเพิ่มขึ้นของ"ตลาดแรงงาน"จะต้องพึ่งพา การ "ย้ายถิ่นมาจากที่อื่นเป็นสำคัญ"

จะเห็นได้ว่า ประเทศที่พัฒนาแล้ว จะมีการเติบโตของประชากรต่ำ ทำให้ในอนาคตจะประสพปัญหา"สังคมคนแก่" ซึ่งในยุโรปกับญี่ปุ่น กำลังเข้าขั้น"วิกฤต" --สิ่งที่ประเทศเหล่านี้ต้องปรับตัวคือ "การยืดอายุเกษียณ รวมทั้งการสร้างอาชีพหลังเกษียณให้ประชากร"..จุดนี้จะเป็นการเปิดโอกาสให้ ผู้ประกอบการที่มีวิสัยทัศน์เข้าร่วม"ครอบครองตลาดใหม่นี้"

มาวิเคราะห์"พฤติกรรมของคนแก่" สังเกตุได้ว่า จะเป็นช่วงที่ใช้จ่ายน้อยลง ..รายจ่ายหลักจะอยู่ในเรื่องของ"สุขภาพและการแพทย์" ซึ่งในอนาคต เราไม่สามารถปฎิเสธได้ว่า Health Care เป็นธุรกิจ"ที่น่าจับตามอง"

ในส่วนของประเทศไทยเอง มีการผลิตบุคคลากรทางด้านการแพทย์ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ประเทศอย่าง"ตะวันออกกลาง"มีการเข้าใช้บริการด้านการแพทย์ในประเทศ เราอย่างมากมาย ...ตลาดหุ้นในบ้านเรา ยังถือว่า Sector โรงพยาบาล ค่อนข้างจะซบเซา แต่ถ้าเรามองไปข้างหน้า ผมว่าเป็นอะไรที่"มองข้ามไม่ได้"(น่าลงทุน!!)

..ในส่วนของ"ตัว เรา".. ผมว่าหากต้องการ พัฒนาตัวเองให้ สอดคล้องกับโลกอนาคต ควรฝึกฝนตัวเองสู่การเป็น Knowledge Worker เช่น นักกฏหมาย ,นักลงทุน,นายธนาคาร,การแพทยื และ วิทยาการแขนงใหม่ เพราะเมื่อเราต้องทำงาน"จนแก่" ก็ควรเลือกงานที่ทำได้จนแก่ คือ ยิ่งแก่ยิ่ง"เชี่ยว".. ไม่ใช่เลือก"ใช้แรงงาน" เพราะนั้นยิ่งแก่ยิ่งอ่อนแรง(ซวยได้) --ผมว่าการเลือกอาชีพ ก็นับเป็น Vision ที่สำคัญในความสำเร็จของชีวิต...แต่ละปีมีคนเพิ่มขึ้น 80 ล้าน แต่ทรัพยากรมีแต่"ลดลง"--ดังนั้น(แม้ปัจจุบันราคาของสินทรัพย์จะมีราคาที่ ผันผวนมากๆ) แต่ในระยะยาวสินทรัพย์ต่างๆจะต้องมีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน

ในตลาดหุ้นอเมริกา"ที่กำลังประสพ"ได้รับผลกระทบจากการที่ "กลุ่ม Baby Boomerซึ่งเป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนใหญ่ที่สุด"กำลังเกษียณจึงมีการเทขายหุ้น ออกมา ส่งผลให้หุ้นตก อย่างที่เห็นในปัจจุบัน.. ประชากรุ่นต่อไปของอเมริกา Gen X/Y/Z ก็มีสัดส่วนที่ต่างกัน และมีพฤติกรรมที่ต่างกัน

...อย่าง ในประเทศไทย ตอนนี้ Gen X กำลังก้าวมาเป็นผู้บริหารระดับสูงในองค์กร ในขณะที่ Gen Y กำลังก่อปัญหาของ "การกระโดดไปมาระหว่างงาน"..ส่วนGen Y (อายุ 25 -35 ปี) ในส่วนของกิจการขนาดกลาง ก็ก้าวขึ้นมาเป็นเถ้าแก่"ต่อจากพ่อ"--ในส่วนของการลงทุนในบ้านเรา Baby Boomer และ Gen X ถือเป็นสัดส่วนที่สำคัญในตลาดหุ้น (ซึ่งลงทุนผ่านกองทุน RMF/LTF) --ทุกส่วนของ"ประชากร"ล้วนมีผลต่อการลงทุน ดังนั้น การทำความเข้าใจ "Trend ของประชากร" จึงมีความสำคัญต่อการ"ลงทุน"อย่างมาก ...

จากประสบการณ์ที่ผ่านมาในการทำงานร่วมกับ Consulting ต่างชาติ..เห็นได้ชัดว่า ทุกรายงานล้วนแต่เริ่มจากการศึกษา Demographic (แนวโน้มประชากร)ทั้งสิ้น --เนื่องจาก "แนวโน้มประชากร"จะเป็นการบ่งบอกล่วงหน้าถึงพฤติกรรมหรือตลาดที่กำลัง เปลี่ยนแปลงในอนาคต ..ส่วนตัวผมเชื่อว่า"ใครก็ตามที่สามารถมองภาพ"การเปลี่ยนแปลงของประชากร"ได้ เก่ง..เขาก็จะมีโอกาส"กำชัย"ในการวิเคราะห์ Trend ใหม่ๆในอนาคตได้อย่างแม่นยำ" --"Demand" ของทุก"ธุรกิจ" ต้องเริ่มจาก "ประชากร"ทั้งนั้น และนี่ก็คือ Key Success Factor ที่แท้จริงของธุรกิจนั่นเอง

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘