Personal Branding แห่ง “วิกรม กรมดิษฐ์” (ดังเพราะไม่อยากดัง)



วันนี้ ผมว่าหลายๆคนกำลังเดินทางผิด “คนที่ดังเพราะไม่อยากดัง” –“คนที่รวยก็เพราะไม่อยากรวย” ..พูดอย่างนี้หลายคนบอกว่า ผมเพี้ยนไปแล้วหรือไง ทุกอย่างต้องเริ่มจาก “ความอยาก” ซิถึงจะถูก!!

ถ้า คุณสังเกตให้ดี ในโลกแห่งทุนนิยม มันเป็นโลกที่คนส่วนใหญ่ Fail แต่คนส่วนน้อยมากๆที่ประสบความสำเร็จอย่างสุดขีด (แต่จุดที่ดี คือ คนที่ประสบความสำเร็จอย่างสุดขีด ก็กลับผ่านความทุกข์อย่างขีดสุดเช่นกัน) หากเรามองให้ดีแล้ว คนที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก มักเป็นคนที่คิดแตกต่างจากคนทั่วไป และดำเนินชีวิตและธุรกิจแตกต่างเช่นกัน

ปัญหา ที่เกิดขึ้นคือ “การที่เราคิดต่างทำต่าง” มันทำให้เรากลายเป็นตัวประหลาดในสายตาของคนทั่วไป ..ถ้าคุณสังเกตให้ดี จะเห็นได้ว่า คนที่สำเร็จอย่างสุดโต่ง เหล่านี้จะผ่านปมชีวิตที่มันไม่ธรรมดา (ที่บอกไม่ธรรมดา คือ มันโหดแบบสุดโต่ง ..หากใครอ่าน “ผมจะเป็นคนดี” ของคุณวิกรม จะเห็นเลยว่า ด้วยวัยเด็กที่โหดร้าย เจอความกดดันอย่างรอบด้าน มันทำให้คุณวิกรม เกือบจะทำสิ่งที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่มนุษย์คนนึงจะทำได้ คือ “ฆ่าพ่อ” ..โชคดีที่คุณวิกรมยังไม่ได้ทำ!!)

ด้วยความเก็บกดอย่างขีดสุด มันแปรเปลี่ยนเป็น “ไฟอมตะ”(เหมือนหนังของแกฮะ!!) จุดนี้เป็น Tipping point ของการเดินทางในแบบของคุณวิกรม (ซึ่งหลายคนมองว่า ไม่เห็นแปลก) แต่ถ้ามองให้ลึกๆ คุณจะเห็นได้ว่า อย่าง “อมตะ ชิตี้” ที่คุณวิกรมทำมันเป็นอะไรที่เสี่ยงสุดขีด (แถมไม่เสี่ยงอย่างเดียว คือ คุณวิกรมต้องอาศัยเครือข่ายกับผู้มีอำนาจ ในการก่อตั้งนิคมอุตสาหกรรม จุดนี้ลึกๆ มันคือการ Lobby ซึ่งในเมืองไทยใครๆก็รู้ว่ามันตั้งอยู่บนผลประโยชน์ขนาดไหน “หากคุณทำในช่วงเปลี่ยนรัฐบาล นั่นหมายถึงโครงการคุณต้องเริ่มรื้อใหม่--เสี่ยงโคตร!!” นั่นเพียงฝั่ง Supply แต่ในส่วนของฝั่ง Demand คือ คุณวิกรมต้องไปหาลูกค้า ซึ่งเป็นโรงงานในต่างประเทศให้มาลงทุนในไทย)

..เอ๋อ!!เห็นไหมครับว่า ถ้าคุณไม่บ้าพอคุณทำไม่ได้หรอก เพราะมันไม่ใช่เรื่องที่คนปกติจะทำ (แค่พรุ่งนี้ต้องตื่นไปทำงาน คุณก็ไม่อยากจะทำแล้ว …อิ อิ!!)

ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ทางเดินของผู้ ยิ่งใหญ่อย่างคุณวิกรม จะดูเท่ห์ แต่ลึกๆแล้วมัน ทุกข์อย่างแสนสาหัส (และนี่ก็คือความแฟร์ ของระบบทุนนิยม ที่ท้ายสุดแล้วไม่มีใครได้อะไร หรือผูกขาดอะไรตลอดกาล ..การที่คุณได้สิ่งหนึ่งมา มันย่อมเกิดจากการที่คุณยอมเสียอีกสิ่งไป) “อย่างที่หลายๆคนเคยบอกว่า ชีวิตมันคือทางเลือก” ซึ่งถ้าคุณเข้าใจประโยคนี้อย่างถ่องแท้ คุณจะรู้เลยว่า “หากคุณต้องการทำอะไร ให้คุณเดินไปอีกทาง !!”

สาเห ตที่คุณวิกรมดัง(เป็นพลุแตก ดังมากๆ) ก็เพราะว่า คุณวิกรมตัดสินใจวางมือจากธุรกิจ และเริ่มเข้าหาธรรมะ ..คุณวิกรมเริ่มตั้งแต่(การให้) “นั่นคือการเขียนถ่ายทอดเรื่องราว ด้านมืดของตัวเอง ให้เป็นอุทาหรณ์ของสังคม” และนี่แหละคือ สิ่งที่ทำให้คุณวิกรมดัง!! ไม่ใช่ที่เอามาวิเคราะห์กัน เชิงการตลาดบ้าบอ ว่า อ๋อ!!นี่คุณวิกรมใช้ Product /Price/Price/Promotion บวกกับการสร้าง Personal Branding นั่นมัน(น้ำ)ครับ!! …เพราะแท้จริงแล้วในโลกของทุนนิยมยุคใหม่ “ผู้ให้ก็คือผู้ที่ได้อย่างแท้จริง”

อย่างคุณวิกรม ไม่ว่าเขาจะเปิดเผยชีวิต หรือ กลยุทธ์ในการทำธุรกิจ อย่างลึกซึ้งหมดเปลือก แต่มันไม่มีใครหรอกครับ ที่สามารถจะรับได้หมด และทำได้อย่างคุณวิกรม (เหมือนวันนี้ Tiger Woods บอกวิธีการเล่นกอล์ฟ บอกวิธีการทำสมาธิ เอาเป็นว่าบอกเคล็ดลับทุกอย่างของตัวเอง ผมถามหน่อยว่า ถึงคุณรู้ทุกอย่าง “มันก็ไม่มีใครเหมือน Tiger Woods อยู่ดี และที่คือมนุษย์ “คุณเป็นสิ่งเดียวในโลก คุณไม่ใช่ตุ๊กตาปั๊ม ที่ใครจะมาเหมือนกันได้”)ดังนั้น คุณยิ่งให้ คนรับก็ยิ่งรักคุณ!!

คุณ วิกรมเข้าใจหลักการนี้อย่างถ่องแท้ และเดินในสายของผู้ให้ ..วันนี้คุณวิกรมดังมากๆ จนช่อง 9 เอาชีวิตของคุณวิกรมไปทำหนัง ซึ่งเขาคือ CEO คนแรกที่ดังจนมีทีวีเอาไปสร้างเป็นหนังคนแรกของไทย (เอ๋อ!! อาจจะต่อจาก อาเหลียง นะ ..ฮึ ฮึ)
“ผู้ให้ คือผู้ที่ได้รับอย่างแท้จริง” และที่คือ Key Message แห่งระบบเศรษฐกิจที่โหดร้ายที่สุด -- “ระบบทุนนิยม!!”

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘