ชอบ idea สองสูง ของท่านธนินท์จัง !!



ท่าน ธนินท์มักกล่าวในงานสัมมนาต่างๆ ถึงแนวคิด "สองสูง" ของท่าน -- ซึ่งสูงแรกก็คือ ขึ้นเงินเดือนข้าราชการ และสูงที่สอง คือขึ้นราคาพืชผลทางการเกษตร ...ตอนนี้รัฐบาลคุณอภิสิทธิ์เริ่มสูงแรกขึ้นเงินเดือนข้าราชการ

ปรากฏ ว่า ยังมิทันขึ้นแต่ดันประกาศออกไปก่อนว่าจะขึ้นเงินเดือนข้าราชการ "สรุปสิ่งที่เกิดขึ้นคือ ราคาข้าวของวิ่งขึ้นไปดักหน้า เรียบร้อยแล้ว .... ข้าราชการฝากบอกว่า (เงินเดือนก็ยังไม่ขึ้น ของขึ้นไปก่อนแล้ว ตกลงใครซวยฟะ!!)

ในค่ายของนักวิชาการ "ทุนนิยมแบบสุดโต่ง" ก็ประกาศออกมาว่า "แจ๋ว!!" การที่ราชการได้เงินเดือนน้อย คนจะได้มาทำราชการน้อยๆ ..ฮึม!! สาเหตุที่นักวิชาการกลุ่มนี้ สนับสนุนให้ราชการเล็กลง เนื่องจาก Sector ของราชการ หรือ รัฐวิสาหกิจ เป็นอะไรที่เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจน้อยสุด (เขาบอกว่ายิ่ง ราชการใหญ่ ประเทศก็ยิ่งแย่ ดูอย่างอัฟฟริกา ที่รัฐบาลเป็นทหารผูกขาด ยิ่งทำให้ประเทศห่วย ..ต่างกับประเทศที่ส่งเสริมการค้าและการแข่งขันแบบเสรี .."เพราะการแข่งขัน ทำให้คุณได้รับสินค้าและบริการที่ดีขึ้น ในราคาที่ถูกลง" ซึ่งตรงข้ามกับการผูกขาด ถึงแม้จะไม่แสวงกำไรก็เถอะ มันนำมาซึ่งการบริการที่ห่วย (เพราะไม่มีการแข่งขัน) รวมทั้งหน่วยงานนั้นๆก็มักขาดทุนตลอดกาล เช่น การรถไฟ, ขสมก.)

หลายๆ คนอาจมองว่า การมีรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ คุมสาธารณุปโภคหลักๆทำให้ประชาชนเกิดประโยชน์ เช่น ไฟฟ้า , น้ำประปา และ โทรคมนาคม ..แต่จริงหรือ!! -- ย้อนกลับไปสมัยก่อนที่คุณทักษิณจะมาเป็นนายก ผมจำได้ว่าเวลาไปติดต่อราชการ "คุณเผื่อเวลาไปเลยทั้งวัน..แต่หลังจากที่คุณทักษิณเข้ามาเปลี่ยน นำเอาหลายๆรัฐวิสาหกิจต่างๆเข้า Privatize กลายเป็นเอกชน (ปรากฏว่าการบริการดีขึ้น หน่วยงานนั้นก็กำไรเพิ่มขึ้น )

บทสรุปของ การเปลี่ยนราชการเป็นเอกชน ที่หลายๆคนมองว่า "เป็นการเอาเปรียบ และจะนำมาซึ่งการเก็งกำไร และคนส่วนใหญ่เสียประโยชน์"(ไม่ใช่เลย!!) ..สิ่งที่เกิดขึ้นมันกลายเป็นการแข่งขัน ที่ทำให้ประชาชนได้รับการบริการที่ดีขึ้น ..การแข่งขันทำให้เราได้ใช้บริการต่างๆที่ถูกลง --ยกตัวอย่างโทรศัพท์ หากวันนี้ไม่ได้อนุญาตให้เอกชนมาทำเช่น TRUE , ADVANC ,DTAC ...คุณลองนึกภาพ ก่อนหน้านี้จะขอโทรศัพท์ที ต้องรอเป็นปีๆ "นี่แหละระบบราชการ !!"

พอเอาเข้าจริงผมกลับมองว่า "กลุ่มนักวิชาการแบบสุดโต่ง" มันส่งเสริมการแข่งขันอย่างเสรี ซึ่งเป็นเรื่องดี อย่างล่าสุด ข้อพิพาษ 3G "คุณว่าปัญหามันอยู่ที่ไหน" (ถูกต้อง) ก็หน่วยราชการทำงานซ้ำซ้อน ฟ้องกันไปกันมา ..."ใครได้ประโยชน์!!(ผมไม่รู้ใครได้ประโยชน์ แต่ที่แน่ๆประเทศเสียโอกาส)" ...เอกชนที่จะลงทุน สร้างให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจเกี่ยวเนื่องมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นในเชิงของการสร้างงาน เริ่มจากธนาคารที่สามารถปล่อยสินเชื่อ ทำให้เงินมหาศาลวิ่งเข้าสู่ระบบ เกิดการหมุนเวียนของเศรษฐกิจ

นี่ยัง ไม่รวมธุรกิจเกี่ยวเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น โอกาสในการสร้างธุรกิจใหม่ๆ การ Provide Content การส่งข้อมูลที่รวดเร็ว ..สิ่งเหล่านี้มันเป็นการก้าวต่อไปของ รูปแบบการทำงานที่ประหยัดมากขึ้น เดินทางน้อยลง ..หลายๆคนก็สามารถทำงานที่ใดก็ได้ ไม่ต้องเสียเวลารถติดเข้ามานั่งพิมพ์งานที่ Office (กลายเป็นว่าทุกอย่างไม่เกิด เพราะราชการ ทะเลาะกันเอง "เฮ้อ!! เมื่อไหร่บ้านเราจะเจริญเนี่ย"

กลับมาที่ท่านธนินท์ กับ "สองสูง" ซึ่งสูงแรก รัฐบาลก็รับไปทำ แต่ด้วยจุดมุ่งหมายที่ต่างกัน "ฮ่า ๆ อย่าลืมเลือกผม เพราะผมขึ้นเงินเดือนให้คุณ !!" (แต่ก็ต้องขอบคุณที่ สูงแรกได้เกิดขึ้นแล้ว) ..ในส่วนสูงที่สองคือ พืชผลทางการเกษตร ..ส่วนนี้มัน Tricky เพราะหากรัฐบาลใดทำให้ราคาพืชผลแพง เท่ากับว่า เลือกตั้งครั้งหน้า คุณเตรียมเป็นฝ่านค้านได้เลย "ไม่มีใครเลือก"

ประชากร ในประเทศกว่า 50% ทำอาชีพเกษตรกรรม แต่รายได้รวมจากอาชีพเกษตรกรรม ไม่ถึง 10% ..ไอ้สาเหตหลักๆก็คือ การตรึงราคา หรือ กดราคาสินค้าเกษตรนี่แหละ ที่มันทำให้คนจน "จนดักดาน" ที่บ้านเราแตกร้าวถึงเพียงนี้ ...."เสื้อแดง" ที่เกิดขึ้น ประเด็นมันก็จุดนี้แหละเป็นสาเหตหลัก

ผมว่า ทำไมเราไม่ฟังคุณธนินท์ กันบ้าง ..หากพืชผลทางการเกษตรราคาสูงขึ้น คนกรุงเทพก็อาจกินข้าวแพงขึ้นหน่อย "แต่คงไม่ถึงกับตาย" ..สมัยผมอยู่ ออสเตรเลีย สัดส่วนของเงินที่ซื้ออาหารกินคือ ค่าใช้จ่ายหลัก ....แต่ในกรุงเทพ ค่ากินถูก แต่ "ค่าไร้สาระมันแพง"--- (ถูกต้อง) สัดส่วนของการบริโภคของประเทศเรามันผิดรูปแบบ "ราคาพืชผลทางการเกษตรมันถูกกดราคาเกินความจริง ..ประเทศเราผลักภาระการบริโภคให้คนจน แบกรับ แล้วเราก็เอารายได้ ไปซื้อของไร้สาระ เช่น ของหรูๆ "

ยกตัวอย่างประเทศญี่ปุ่น ผลิตผลทางการเกษตรเขาราคาแพง การกินในประเทศเขาก็แพง แต่กลายเป็นว่าความเหลื่อมล้ำทางรายได้เขาไม่ได้มากเหมือนบ้านเรา ..(ถูกต้อง) เขาเน้นการส่งออก เขาเน้นการขยายตลาดกำลังซื้อภายในประเทศ และเขาก็เน้นกระตุ้นการลงทุน "นโยบายของญี่ปุ่น คือ สูงทุกด้าน"

หลาย คนแย้งว่า "ไม่ดี" แต่คุณดูให้ดี คุณภาพชีวิตของคนโดยรวมของญี่ปุ่น "ดี" ..GDP ต่อหัว "สูง" ..ค่าเงินก็แข็งทำให้คนญี่ปุ่นสามารถบริโภคของต่างประเทศในราคาถูก หรือ คนญี่ปุ่นก็สามารถไปลงทุนได้ทั่วโลกในราคาถูก --- แต่อย่างของไทย กดราคาผลิตผลหลักของประเทศ "ให้พืชผลราคาต่ำ" ส่งผลให้กำลังซื้อในประเทศไม่ดี ..เมื่อในประเทศไม่มีกำลังซื้อ เศรษฐกิจก็พึ่งพึงกับการส่งออก ใช้แรงงานต่ำ ผลิตของถูกๆ ขายต่างประเทศ (นี่แหละความโง่ ที่ครอบงำ ประเทศที่ถูกความจนครอบงำตลอดกาล)

เอา เป็นว่า ยิ่งเขียนยิ่งยาว ขอสรุปว่า สิ่งที่คุณ ธนินท์เสนอ เป็นเรื่องที่ดี "การทำให้ผลผลิตทางการเกษตรมีราคาสูง" จะเป็นการเพิ่มกำลังซื้อ ซึ่งเป็นการสร้างตลาดการบริโภคภายในประเทศให้ใหญ่ขึ้น (อย่างผมเคยยกตัวอย่างประเทสออสเตรเลีย การส่งออกเขาก็พอๆกับเรา แต่ตลาดบริโภคภายในเขาใหญ่กว่าเราหลายเท่า) ..เมื่อตลาดในประเทศใหญ่ คุณก็สามารถสร้างงานสร้างธุรกิจเพื่อรองรับความต้องการที่ขยายตัว ทุกคนก็รวยขึ้น "และนี่คือทางเดินของประเทศที่เจริญแล้ว"

"ขอบคุณ" คุณธนินท์ ที่ทำให้คนไทยตาสว่างขึ้นครับ!!

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘