ทำไมเรายินดีที่จะโฆษณาให้ Facebook ล่ะ!!



ทุก วันนี้แทบไม่มีใครไม่รู้จัก Mark Zuckerberg (เด็กหนุ่มอายุเพียง 20 กว่าๆ ผู้ก่อตั้ง Facebook จาก Dorm ในมหาวิทยาลัย Harvard) เอ๋อ!! ว่าแต่ ถ้า Facebook ก่อตั้งจาก มหาวิทยาลัยเมืองไทย คงไม่ดังเท่านี้ (คิดแล้วอยากย้าย ไปเกิดใหม่ใน USA ฮ่า ฮ่า .. แต่ถึงไปเกิดได้จริง ก็อาจเข้า Harvard ไม่ได้ ..งั้นอยู่อย่างนี้ดีแล้ว..หุ หุ หุ)

"ทุกวันนี้ ผมรู้สึกว่า Facebook มันเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตผม --นอกจากงาน ..ก็เข้า Facebook แล้วก็เล่นหุ้น ..แล้วก็โดนไล่ออก มัวแต่เล่นหุ้น..แหะๆ ๆ --(ยัง ๆ ๆ ..ยังไม่ตกงานครับ)--- (แต่มันแปลกมากที่ อยู่ดีๆชีวิตของพวกเราหลายๆคน ก็ถูกหนุ่ม Mark Zuckerberg เปลี่ยนวิธีการติตต่อและสื่อสารของพวกเราไปส่วนหนึ่งเลยทีเดียว)

เดี๋ยว นี้นั่งๆอยู่ต้อง หยิบ BB หรือ ไม่ก็ Notebook ขึ้นมา Check BB แล้วตามด้วย Facebook ..อย่างผมก็เผอิญต้องลากกราฟด้วย เลยต้องเอา Air Card มาเล่น เรียกได้ว่า เสียเงินค่าบริการให้ AIS และก็ใช้ Facebook ..."หลังจากไตร่ตรองอยู่นาน ผมก็โทรศัพท์ไปหา Broker แล้วตัดสินใจซื้อหุ้น ADVANC เข้ามาใน Port" ...เรียกได้ว่า จากที่เคยรู้สึกห่วยๆกับค่ายมือถือ ก็เปลี่ยนมาเป็นความผูกพันธ์ "เพราะผมได้กลายมาเป็นเจ้าของ AIS แล้วนั่นเอง...อิ อิ"

ประเด็นคือ วิธีการที่มนุษย์ติดต่อสื่อสารกัน มันเปลี่ยนไป ...ผมยอมรับเลยว่า ผมชอบคุยใน Facebook มากกว่า ..และเนื่องจากเราคุยกับคนมากมายใน Online อยู่แล้ว ความรู้สึกโดยปกติจึงรู้สึกอยากสันโดษเงียบๆคนเดียว เวลาว่าง (เอิ๊ก ๆ ๆ ..เหมือนโฆษณาของ DTAC เลย ที่กลายเป็นว่า มือถือและโลก Online ..มันดึงคุณออกจากสังคมรอบข้าง!!)

(แต่!!) ผมไม่ได้มองว่า พฤติกรรม Online ของผมจะเป็นปัญหา เพราะท้ายสุดแล้ว ผมมองว่า ความสุขของเรามันอยู่ที่ "ตัวเรา" เป็นผู้ประเมิน ..ไม่ใช่คนรอบข้างจะมาบอกอะไร แล้วเราจะต้องรู้สึกอย่างนั้น ... ถูกไหม!!

"ความ สุขของผมในวันนี้ คือ การได้ศึกษาการลงทุน และเผยแพร่ความรู้ในเวลาเดียวกัน".. (มันทำให้ความรู้ของผมแม่นขึ้น เพราะการถ่ายทอดมันเป็นการ Defined Knowledge ..ทำให้ความรู้ที่คุณได้มา มันตกผลึกทางความคิดนั่นเอง) ..ถูกแล้วครับ!! แนวทางของผมมันไปตรงกับ ป๋ากิ้ง และ เด็กหนุ่มนักลงทุนอีกหลายๆคน ในทีม S2M Money Kid!! ที่หมุนเวียนกันมาถ่ายทอดความรู้ และความเฮฮา ในรูปแบบต่างๆ ทั้งงานเขียนผ่าน กระทู้ stock2morrow , ผ่าน Blog , Facebook รวมทั้งผ่านการจัดสัมมนาของ S2M อย่างต่อเนื่อง

กลับมาประเด็น Facebook ..หลังจากที่ผมใช้มันอย่างจริงจัง มันทำให้ผมมองเห็นประโยชน์ที่แท้จริงของ Social Network ซึ่งมันให้ประโยชน์ต่างกัน ตามวัตถุประสงค์ของผู้ใช้ ..อย่างทีมหนุ่มๆนักลงทุนของ S2M เราทุกคนก็จะเปิด Facebook ไว้เป็นอีกช่องทางในการ พูดคุยกับเพื่อนๆ ที่ติดตามผลงาน ซึ่งจะว่าไป มันก็คือ จุดที่เราได้รับ Feedback และเป็นแหล่งที่แลกเปลี่ยนความรู้เป็นอย่างดี (มีประโยชน์..ว่างั้นเถอะ!!)

ผมจะยกตัวอย่างให้ดู ที่ Facebook ของผม "Pawawit Stock Comment" (คลิ๊กที่นี่ http://www.facebook.com/home.php?#!/pages/Bangkok-Thailand/Pawawit-Stock-Comment/327341826315 )
นี่ เป็นตัวเลขของการเข้ามาเป็นเพื่อน "กด Like" ..ถ้าดูจากสถิติ ผมเพิ่งเปิดหน้า Pawawit Stock Comment มาแลกเปลี่ยนความรู้กันเรื่องหุ้นแค่ 6 เดือนที่ผ่านมา ..สิ่งที่น่าสนใจคือตัวเลขของการเติบโต มันไม่ใช่ 1 + 1 แต่มันโตแบบ exponential "แบบทบทวีคูณ" (ตอนนี้ยอดเพื่อนๆของผมแตะ 3,000 กว่าคนสูงกว่า Facebook อย่างเป็นทางการของหลายๆ Broker ด้วยซ้ำ)... มันก็เป็นเรื่องที่ท้าทายสื่อในโลกเดิมเลยก็ว่าได้ ..เพราะถ้าคิดให้ดีแล้ว มูลค่าของสื่อ ไม่ว่าจะเป็น ทีวี หนังสือพิมพ์ นิตยสาร วิทยุ ทั้งหมด ..มันไม่ได้มีค่าที่ตัวของมันเอง

"สื่อ" จะมีค่าก็ต่อเมื่อ "มีคนมาดู มาอ่าน หรือ มาฟัง..คือพูดง่ายๆว่า มูลค่าของสื่อคือ "เวลาของคน" ที่ใช้กับการบริโภคสื่อนั้นๆ นั่นเอง ....ใช่แล้ว!! ช่อง 3 รวยเป็นหมื่นล้าน เพราะคุณให้เวลาของคุณกับ ละครน้ำเน่ามากหน่อย..หุ หุ (ล้อเล่นนะ มันมีต้องมีบ้างนะ ขำขำ ..แต่นี่ก็คือจุดที่สื่อรวย "เวลาของคุณนั่นเอง!!")

ทุกวันนี้ Facebook ได้เวลาของผมไปค่อนข้างเยอะ แต่จุดต่างคือ Facebook มันไม่ได้เป็น Content แต่ตัว Content หรือเนื้อหา มันกลับเป็นสิ่งที่เรากำหนดเอง ..อย่างผมสนใจเรื่อง การเล่นหุ้น ดังนั้น เนื้อหาใน Facebook ของผมย่อมมีแต่เรื่องหุ้น จะไม่มีละครน้ำเน่าเข้ามา ..อย่างคนที่ชอบละคร Facebook เขาก็อาจจะมีแต่ละคร หรือ บางคนก็มีแต่เพลง "นี่แหละความสยองที่ช่อง 3 และสื่อต่างๆ กำลังเผชิญ"

Facebook คืนอำนาจให้กับผู้บริโภคให้เป็นคนกำหนดเนื้อหาเอง ในขณะที่ BEC ช่อง 3 กำหนดเนื้อหาให้คุณบริโภค ..โอ้โห !! งั้นพรุ่งนี้ขายหุ้น BEC ไปซื้อหุ้น Facebook แทน ..หุ หุ (ล้อเล่น ๆ)

ดังนั้น ในความหมายของ Social Network ที่ Facebook เป็นเจ้าตลาด มันจึงกลายเป็นขุมทรัพย์แฝงที่คนส่วนใหญ่มองไม่เห็น .."คุณคิดดูนะครับ เด็กอายุ 20 กว่าๆ กับความคิดที่จะสร้าง Platform การสื่อสารระหว่างมนุษย์ในรูปแบบทางเลือก.. คือ เขากำลังปั้นรูปแบบ การติดต่อสื่อสารของคนรุ่นใหม่ --มันเป็นโจทย์ที่ท้าทายและสุดโต่งมาก!! (คิดได้ไง)"

ทุกวันนี้เรายินดีจะโปรโมท Facebook นั่นก็เพราะ Facebook มันทำหน้าที่โปรโมรทเรา .."ตกลงใคร ปั้นใครวะเนี่ย..ชัก งง!!" อยากรู้ต้อง E-mail ไปถามผู้ก่อตั้ง Mark Zuckerberg ฮ่า ฮ่า

เอา เป็นว่า เกมของ Social Network มันเพิ่งเริ่มต้น ..เพราะในที่สุดก็จะต้องมีผู้เล่นรายใหม่ที่เข้ามาท้าทาย Facebook เหมือนที่ Facebook เข้ามาท้าทาย Myspace ก่อนหน้านี้ -- อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของ Social Network ผมมองว่า เป็นการเอื้อต่อการสร้าง Platform ที่เป็นประโยชน์ต่อ Content ของผู้ใช้ ต่างหาก ..อย่างผมที่เลือกใช้ Facebook ในการพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้เรื่องหุ้น เพราะมันเป็น Platform ที่ง่ายในการ เผยแพร่ความรู้ ถามตอบ หรือแม้กระทั้ง Post กราฟหุ้น

แต่ ถามว่า ข้อจำกัดมีไหม ..(มีครับ!!) ผมมองว่า สิ่งที่ Facebook ขาด มันคือการย้อนดูข้อมูลย้อนหลัง ที่ไม่สะดวกเอาเสียเลย ..ซึ่งจุดนี้ผมก็ใช้ Blog มาเก็บเนื้อหาย้อนหลังแทน (แต่ก็อีกนั่นแหละ ..เพราะ Blog มันก็ไม่สามารถเก็บรายละเอียดทั้งหมดที่คุยกันใน Facebook เอามาเก็บไว้ดู ..) "นี่แหละครับ เป็นธรรมดา ทุกอย่างมันไม่มีอะไรที่ Perfect มันถึงไม่มีใครหรือธุรกิจใดที่เจ๋งตลอดกาล ...สิ่งสำคัญที่สุดมันคือ idea และการเติมเต็มความต้องการของ เพื่อนมนุษย์ด้วยกันต่างหาก ที่มันคือ หนทางสู่ชัยชนะในโลกของธุรกิจและชีวิตจริง"

ความรวยหรือความสำเร็จ หากเริ่มด้วยการกอบโกย มันจะนำทางเราห่างออกไปจากความสำเร็จ เพราะยิ่งกอบโกยคุณยิ่งโลภ เมื่อโลภ มันก็ยิ่งจะไม่ได้อะไรเลย... จาก Facebook สู่การลงทุน --คำตอบมันคือการใช้แต่เพียงพอ และปล่อยให้ทุกสิ่งทุกอย่างมันสะท้อนมูลค่าของมันเอง ยกตัวอย่าง คนที่อยากได้กำไรเร็วๆจากการลงทุน มีจุดป้องกันความเสี่ยงที่สูงสุด (คือไม่ยอมรับความเสี่ยง) ผลที่เกิดขึ้นคือ การลงทุนหรือการ Trade ทุกครั้งของเขา มีความเสี่ยงอย่างจำกัด ซึ่งก็นำมาสู่ การได้กำไรอย่างจำกัดเช่นกัน

ไม่มีใครหนีพ้นหลักการ High Risk High Return / Low Risk Low Return ...ดังนั้น คนที่อยากรวยคือ คนที่จะต้องกล้ารวย นักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ของโลก สามารถรอคอยเป็นเวลานานให้การลงทุนแต่ละครั้งเขากำไรจนสะท้อนมูลค่าที่แท้ จริงอย่างเต็มที่ แต่คนส่วนใหญ่กลับหวังว่า จะอาศัยช่องว่างของเวลาและพยายามทำกำไรจากความผันผวนของตลาด(ซึ่งคาดเดายาก) โดยหวังว่า "ตัวเราจะเก่ง และโชคดีกว่ามนุษย์คนอื่น"

ถ้ามันง่าย เช่นนั้น คงจะมีคนรวยในโลกมากกว่านี้ !! ..อย่างกรณีของ Buffett เขาสามารถรอให้หุ้นที่เขาลงทุนมีมูลค่าเพิ่มขึ้นมากกว่า 100 ร้อยเท่าตัวในเวลาถึง 40 ปี (ไม่มีใครทำได้อย่างเขาหรอกครับ หุ้นที่เราถือขึ้น 1 เท่า เราก็วิ่งขายแล้ว) หรืออย่าง Mark Zuckerberg ขนาดอายุน้อย ยังไม่ชิงสุกก่อนห่าม รีบขายกิจการ ..เขากลับรอให้กิจการเริ่มมีจำนวนสมาชิกที่แน่น และแนวทางที่ชัด ก่อนจะเปิดตัวสู่นักลงทุน ...ในขณะที่ Myspace กับรีบขายให้ New Corp. "สิ่งเหล่านี้มันเป็น ความกล้าบนความเสี่ยงที่ น้อยคนจะทำได้"

อึดจริงๆ !! (ฮ่า ฮ่า)

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘