Demographic for Business “รู้คน..ชนะเกมธุรกิจ” (ตอนที่ 1)


ปัจจุบัน ธุรกิจต่างมองข้ามปัจจัยเรื่อง “คน” แต่แท้จริงแล้ว การเข้าใจประชากร จะทำให้ในเข้าทุก Context ของการเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมของลูกค้า ที่นับเป็น Competitive Edge ที่สร้างความแตกต่างอย่างมหาศาลสำหรับ”ผู้ที่เข้าใจ”
--การแบ่งกลุ่มประชากรคือ Baby Boomer / Generation X / Generation Y / Generation Z

---Baby Boomer (เกิดในช่วงหลังสงครามถึง 1960) ปัจจุบันจะอยู่ในช่วงอายุ 50 ปีขึ้นไป ..เป็นส่วนที่”ใหญ่ที่สุดของประชากรโลก” เพราะหลังสงคราม ครอบครัวต่างๆมักมีลูกหลายคน ..ปัจจุบันคนกลุ่มนี้เป็นคนที่กุมบังเหียนกิจการส่วนใหญ่ และเป็นกลุ่มที่”รวย”ที่สุด ..คนกลุ่มนี้ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงจังหวะใดของชีวิต ก็ส่งผลอย่างใหญ่หลวงต่อ Trend ต่างๆของธุรกิจ เช่น ช่วงที่กลุ่มนี้เริ่มทำงานก็ ต้องแย่งกันทำงาน งานไม่เพียงพอ

..ทำให้ช่วง Baby Boomer มีการก่อตั้งกิจการอย่างมากมาย และเนื่องจากเป็นช่วงเวลาหลังสงคราม คือ เศรษฐกิจพังเละ!! เรียกได้ว่า “เริ่มต้นจากศูนย์” Demand มากกว่า Supply ทำให้ไม่ว่าจะทำอะไร ก็ “ขายได้” จึงเรียกได้ว่า นี่เป็น “ยุคทองของการผลิต” การเติบโตของกิจการนี่เองทำให้บริษัทต่างๆเติบโตอย่างรวดเร็วและมั่นคง ส่งผลให้ “ค่านิยมของกลุ่มนี้คือ ทำงานในบริษัทเดียวชั่วชีวิต-Life time employment” ..ในแง่ของผลกระทบในตลาดบ้าน เนื่องจาก ภายหลังสงคราม “ใครๆก็อยากมีบ้าน” เกิดเป็น Demand บ้านที่มหาศาล(ราคาบ้านพุ่งสุดๆ ยุคBoomครั้งสำคัญของ Real-estate ) ..ในด้านการลงทุน ได้มีการตั้งกองทุนเกษียณ401K (อย่างในบ้านเราก็คือ RMF/LTF ) ส่งผลให้ Demand ในด้านการลงทุนมหาศาล กลายเป็นยุคทองของตลาดหุ้น ….ปัจจุบันคนกลุ่มนี้กำลังทยอยเข้าสู่วัยเกษียณ ส่งผลให้ Demand ในด้านต่างๆลด ส่งผลให้ราคาบ้านลดลง รวมทั้งหุ้นก็ลดลง เพราะคนกลุ่มเหล่านี้ ขายบ้านและขายหุ้นที่ลงทุนไว้เพื่อเตรียมเกษียณนั่นเอง

--- Generation X (เกิดช่วง 1960 -1980) ปัจจุบันจะมีอายุระหว่าง 30 – 50 ปี (คือ วัย Peak ในตลาดแรงงานปัจจุบัน) …แต่เนื่องจากกลุ่มนี้ไม่ใหญ่เท่า Baby Boomer เพราะก่อนสงคราม ครอบครัวไม่ได้มีลูกมากเหมือนหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ..กลุ่มนี้มีค่านิยมที่ต่างจากคนรุ่น Baby Boomer เนื่องจาก ช่วงที่เริ่มเข้าสู่วันทำงาน เป็นช่วงที่เศรษฐกิจ”ตกต่ำ” เป็นสภาวะทางการงานที่ Uncertainty มากๆ ตั้งแต่ วิกฤตน้ำมัน ปี 1980 ตามด้วย Y2K , Dotcom Bust , 9-11 และตามด้วย Sub-Prime (เรียกได้ว่ากลุ่ม Gen X เป็นวัยที่มี “ภูมิต้านทานสูงต่อความไม่แน่นอน”) แต่ในด้านค่านิยมของการทำงาน “กลุ่มนี้มี Loyalty ต่ำ” เพราะไม่คิดว่า “กิจการสามารถดูแลเราได้ ดังนั้น เราต้องดูแลตัวเองเป็นสำคัญ”

…ในด้านการดำเนินชีวิต เป็นวัยที่อยู่ในช่วงการเกิดของ ยุค Computer (อย่าง Bill Gates , Steve Jobs ผู้เปลี่ยนโลก จะเป็นวัย”เปลี่ยนผ่าน”ที่อยู่ ระหว่าง Baby Boomer กับ ช่วงต้นของ Gen X) … “ข้อสังเกตุ ที่จุดเด่นของคนที่อยู่ในวัยเปลี่ยนผ่าน คือ จะได้ประโยชน์จากการเห็นความเปลี่ยนแปลง จึงมักเป็นกลุ่ม Innovator ที่เป็น เจ้าของกิจการที่ยิ่งใหญ่”(ทั้งในด้านของ “Technology” และ “ตลาดเงินทุน” รวมทั้งตลาดหุ้นอย่าง Nasdaq ที่ทุกอย่างมาบรรจบกันก่อให้เกิด Microsoft , Apple , Dell , Cisco-system , Yahoo , Google นั่นเอง)

อย่างไรก็ตามในแต่ละประเทศ “ความสำคัญ”ของแต่ละ Generation อาจไม่เหมือนกันทั้งหมด เช่น ในอเมริกา ผู้ยิ่งใหญ่ใน”ธุรกิจ” อาจเป็น Gen เปลี่ยนผ่าน ระหว่าง “Baby Boomer กับ Gen X” แต่ถ้ามองในบ้านเรา เนื่องจากทั้ง ตลาดเงินทุน อย่างเช่น Angel Investor , Venture Capital, ตลาด MAI (ที่กระจอกห่างไกล Nasdaq มากนัก)--- ยังไม่แพร่หลาย ก็ทำให้ “ (Gen เปลี่ยนผ่าน)ในบ้านเราไม่ได้มีอิทธิพลต่อธุรกิจเหมือนในอเมริกา” กลับเป็น Baby Boomer มากกว่า ที่มีอิทธิพลแทน เราจะเห็น “เจ้าสัว” ในบ้านเรา ส่วนใหญ่ก็ยังไม่ยอมปล่อยการควบคุม …..(ผมจะพูดถึง Gen Y ซึ่งเป็น”ทายาทตัวจริง”ของ “Baby Boomer” ต่อไป)

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘