เจาะกึ๋น เทพแห่งทุนนิยม David Rubinstein



แม่ ทัพใหญ่แห่ง Carlyle Group ...นาย David Rubinstein (หนึ่งในกลุ่มทุนที่ตุน เหล่าหัวกะทิของ ประธานาธิปเกษียณ ,ผู้มีอำนาจ และ อดีต CEO เก่งๆขององค์กรใหญ่) ..เอามารวมกัน (มัดตัว) "กลายเป็นหมาป่า" แล้วก็ไปงับ "ลูกแกะ" (บริษัทอ่อนๆ แต่มี Growth Potential) ..เอามาตัดแบ่ง เป็นชิ้นๆแล้ว แยกขายในราคาแพง หรือไม่ก็ Bundle "เศษลูกแกะ ..แล้วเปลี่ยนเป็นลูกหมา-- เฮ้ย!! ไม่ได้พูดเล่นนะ เขาทำยิ่งกว่านี้อีก"

ประเด็นคือ อำนาจ( Connection ) + Financial Innovation = "ความมั่งคั่งอย่างไร้ขีดจำกัด" ......นาย David Rubinstein ได้ให้สัมภาษณ์กล่าวถึงการดำเนินนโยบายของ Obama ว่าทำได้ดีในระดับหนึ่ง เพราะการตัดสินใจเข้าอุ้มระบบสถาบัันการเงิน( 700 billion)--"TARP" (Troubled Asset Relief Program ) นั้น มีคนออกมาต่อต้าน ว่าเป็นการขัดกับระบบทุนนิยม -- แต่ในอีกมุมหนึ่ง หากไม่ทำอะไรเลย -- "ระบบการเงินจะพังเละเทะอย่างแน่นอน"

แต่ด้วยความไม่มั่นใจ ในนโยบาย "แผ่กระจายเป็นวงกว้่างในอเมริกา" ทำให้เงินจำนวนกว่า $1.8 trillion กองอยู่เฉยๆโดยไม่ทำอะไรเลย (จุดนี้ก็ไม่ต่างกับเมืองไทยเรา "เงินก้อนใหญ่มาก นั่งนิ่งอยู่ในธนาคาร รับดอกเบี้ยที่เกือบ 0% .."เงินพวกนี้อย่าว่าแต่หุ้นเลย แค่พันธบัตรรัฐบาลยังไม้กล้าซื้อเลย) คุณนึกให้ดี "เงินก้อนนี้ที่อยู่เฉยๆ ในเมืองไทยมีมหาศาล..และนี่คือปัญหาของ ผู้บริหารกองทุนกับเจ้าของเงิน "ก็เล่นคุยกันคนละโลก ..ผมรู้เพราะผมอยู่ตรงกลาง ผมจึงมองเห็นสองด้าน ปัญหาคือ การสื่อสารและความเชื่อ.. มันต่อกันไม่ติดนั่นเอง"

ใน อเมริกาจริงๆ คนรวยเขาไม่มั่นใจนโยบายของ Obama (แต่ถ้าให้ผมมอง จริงๆอเมริกา ยังไงก็ปล่อยให้เน่าไม่ได้ มัน Too much to lost !! และตราบเท่าที่ "เบน เบอร์นาเก้" นั่งคุมบังเหียน FED ..อย่างแย่สุดที่คุณจะเห็นได้ก็คือ "อัดฉีดเงินเพิ่มเข้าไปอีก" ดังนั้น สิ่งที่น่ากลัวมันคือ ค่าเงินดอลล่าห์ และ inflation ต่างหาก (ภาพตรงนี้คุณต้องมองให้ชัด)

อย่างเมืองไทย ตราบใดที่คุณ กรณ์ ยังคุม "คลัง".. โอกาสที่หุ้นจะไปต่อก็ยังมีสูง "คิดง่ายๆ คนเล่นหุ้น คุมคลัง ..คุณจะ Bet อะไร" หลายคนดูหนังเรื่อง SKULL ของไอ้กัน อาจมองว่าซับซ้อนแล้ว แต่เครือข่าย Top Connection ของไทย "มันซ่อนเงื่อนกว่านั้น..เอาเป็นว่า แค่อ่านเกมให้ออก คุณก็สามารถหาโอกาสตอด ทำกำไร (ส่วนเนื้อชิ้นใหญ่ๆ ไม่ต้องมอง) เราตอดไปเรื่อยๆก็รวยแล้ว"

อย่างตัว Private Equity อย่าง Carlyle Group ผมมองว่า เป็น Business Model ที่เมืองไทยมีอยู่แล้ว แต่บริหารกันแบบ "Port มืด" คนธรรมดาจึงเข้าไปไม่ถึง ..เพราะในสภาวะอย่างนี้ คุณลองดูอย่าง Carlyle Group ตอนนี้เข้า Fully invest คุณคิดว่า เขากะจะเอาเงินมาละลายน้ำเล่นหรือ "คือถ้าเขาไม่รู้แน่ว่าเศรษฐกิจ มันจะดีขึ้น ผมเชื่อว่า เขาจะไม่กล้าลงทุน"

ดัง นั้นการที่ Carlyle Group ลงทุนทั่วโลก ไปในบริษัท 260 กิจการทั่วโลก มันเป็นประเด็นที่น่าจับตามอง ..โดยเฉพาะ Private Equity กลุ่มนี้ มักเน้นกิจการที่เป็น โครงสร้างหลักของประเทศต่างๆ และ ธุรกิจที่อาศัยอำนาจและเครือข่าย(Power Play)--- จึงเป็นนัย ที่น่าศึกษาอย่างยิ่ง (เมื่อ Core Business ทั่วโลกมีฐานที่แข็งแรงรองรับ ผมเชื่อว่า ธุรกิจในภาพใหญ่ยังเติบโตอย่างต่อเนื่องแน่นอน โดยเฉพาะกิจการที่ไม่ได้ทำเงินในรูปของดอลล่าห์!!) "ก๊าก ..ดอลล่าห์จะอ่อนไปไหนเนี่ย"

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘