เรียนรู้จากพ่อค้าไก่ "ขอบคุณฮะ !!" (CPF ไก่รอบจัด)


(เอ้า!!) วันนี้ผมยกหุ้น "นักสู้ผู้ขายไก่แสนล้านมาให้ดูกันครับ" CPF ใช่แล้ว!!
หุ้นนี้เป็นหนึ่งในหุ้นคุณภาพ ที่มาแรงมากๆปีนี้ (แต่ก่อนซื้อ มาวิเคราะห์กันก่อนดีกว่า !!)

ปกติ CPF ธุรกิจทำกำไรอยู่ "ประมาณพันล้านต้นๆ" แต่ปี 2552 ทำกำไรที 1 หมื่นล้าน (คือประมาณ 3 เท่าจากปี 2551 ...และแล้วหุ้นก็วิ่งจาก 3 บาท ขึ้นมาเกือบ 12 บาท --"ก็ดูสมน้ำสมเนื้อ") แต่ปีนี้วิ่งมาแตะเกือบ 27 บาท "ตรงนี้ชัก Over แล้ว เพราะกำไรไม่ได้เพิ่มขนาดนั้น"

อีกจุดนึง คือ ถ้าอยู่ดีๆ กำไรกระโดด พร้อมราคาหุ้นวิ่ง มันไม่ปกติเลย ทำไมอยู่ดีๆกำไรเยอะมหาศาล (หรือ"มนุษย์เกิดบ้ากินหมูไก่ กันอย่างมหาศาล..อิ อิ" --- "เราต้องมาดูว่ามันกำไรจากธุรกรรมปกติ หรือ อะไรกันแน่" (แต่ไม่เป็นไร ตั้งข้อสังเกตไว้เฉยๆ ..กลับมาวิเคราะห์กันต่อ)

ถ้า จะประมาณการจากพื้นฐานจริงๆ สมมุติปีนี้ CPF กำไร 14,000 ล้านบาท เทียบกับปี 2551 ที่กำไร 3,000 ล้าน แสดงว่าใน 2 ปี กิจการทำรายได้เพิ่มขึ้น 5 เท่า (ถ้าเอาราคาหุ้นปี 2551 ที่ 3 บาท คูณด้วย 5 เท่า ก็จะอยู่ที่ประมาณ 15 บาท .."แต่ปีนี้หุ้นขึ้นไปถึง 27 บาท..ก็คนซื้อกลัวตกรถนี่นา!!")

(ดู Price History ของหุ้น CPF) ตลอด 20 ปี หุ้นนี้วิ่งอยู่ในกรอบประมาณ 5 บาทขึ้นลง ..แต่ปี 2009 -2010 วิ่งที 5 เท่าจากราคาหุ้น Average (ดูที่ผมลาก Trend จะเห็นได้ว่า สองปีที่ผ่านมา หุ้น CPF มัน Bullish มาก) ..แต่ถ้ามองจาก Trend มัน "พุ่งเป็นจรวด" ซึ่งมันผิดธรรมชาติของหุ้น (ไม่มีอะไรขึ้นเป็นจรวด..หุ หุ) ดังนั้น แน่นอน มันมีโอกาสสูงที่จะลงมาปรับฐาน

ซึ่งจะเป็นการปรับฐานเพื่อขึ้นต่อ ก็อาจเป็นได้ "แต่ที่แน่ๆมันเริ่มส่งสัญญาณการปรับฐานอย่างต่อเนื่อง" ..คำถามคือ ทำไมหุ้นต้องปรับฐาน "ก็เพราะคนที่ซื้อในราคาต่ำ เขาก็ย่อมอยากขายทำกำไรบ้าง ดังนั้น ถ้าหุ้นมันหยุดขึ้น ..คนที่กำไรอยู่ก็อยากจะ Protect กำไรของตัวเอง ก็เลยขายออกมา" --นี่แหละครับสาเหตุที่ทำไมหุ้นต้องปรับฐาน

(คำถามต่อไปคือ มันจะปรับฐานไปถึงจุดไหน) "ตอบเลย ให้ไปถามคุณธนินท์ เพราะแกถือหุ้นไว้เยอะมาก ฮ่า ฮ่า .."รับรองแกไม่ตอบ ดังนั้น เราเอา Technical มาดูดีกว่า"

จุดที่ 1 เกิด Gap "แสดงว่าจุดนั้น คนไม่มีของ เวลาราคาลง มันมักจะผ่านไปเลย ดังนั้นใครรอรับไม้แรก ไปรับที่จุดที่ 5 ได้เลย (เสียวง่ะ !!)

จุดที่ 2 สัญญาณ RSI ร่วงลงอย่างมีนัย + Volume ขายประกอบ "เสียววูบ!!"

จุดที่ 3 Moving Average คือ ค่าเฉลี่ยตัวมันเอง ตัวสั้น ตัดระยะกลาง เป็นสัญญาณ Bearish "ลูกหมีมาเยื่ยมเยียน..ว่างั้น!!"

จุดที่ 4 ราคาขึ้น แต่ "ค่าเฉลี่ยของราคา (RSI)" ..ดันลง สวนทาง เป็นสัญญาณ Bearish ..."หมีมาเยื่อน"

ลาก Fibonacci จะเห็นได้ว่า ทุกระยะของ Fibonacci "ตัดที่พอดี ทุกรอบของราคา ..แสดงแนวรับที่สำคัญ" ...คือ ถ้าหลุดจุดที่ 5 มันจะไปทดสอบจุดที่ 6 ..ถ้าหลุดจุดที่ 6 เจอกันที่จุด 7

เอ๋อ!! พูดซะยาว สรุปเลยดีกว่า ที่เอา Technical มาดูก็เพื่อ หาจุดแนวรับ แนวต้าน และก็ดู Cycle ของราคา หรือ ดูรอบนั่นแหละ ...."แต่ไม่ได้หมายความว่า หุ้นจะต้องเป็นไปตาม Technical" ..ประเด็นก็คือ ถ้าเราอยากซื้อหุ้นนี้ ให้รอดูในทุกแนวรับ คือ ถ้าไม่หลุดแนวรับ แล้วมันสามารถดีดกลับอย่างชัดเจน คุณก็สามารถเล่นรอบตามขาขึ้นได้

พูดง่ายๆว่า นี่ผมเอาการ "มองรอบของหุ้นมาให้ดู" ..อย่าเข้ามั่วๆ เข้าเป็นรอบ ..ออกเป็นรอบ ..เวลามันหลุดแนวรับ "อย่าไปรับทันที (ไม่งั้นช้อนหัก!!) ให้ไปรอแนวรับถัดไปเลย"

ก็ดูๆกันไป "อย่าไปซื้อตามแห่ เดี๋ยวซวย!!"....

กลับ มาที่มุมมองของ นักวิเคราะห์พื้นฐาน ถ้าคุณจะซื้อลงทุน คุณต้องหาจุดเข้า ก็คือ แนวรับต่างๆนั่นเอง (ผมมักเจอเพื่อนๆหลายคนมาถาม อยากซื้อ แต่เวลาที่ถามมักจะถามจุดที่"ยอดดอย" ไม่ใช่แนวรับ ..แสดงว่า ยังดูรอบไม่เป็น "ต้องระวังครับ" ..สู้ สู้ ฝึกกันไป)

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘