"แก่น"ของ Clean Energy อีกกี่ปีจะได้เห็น!!



เรา มีการพูดถึง Clean Energy กันอย่างกว้างขวาง ..แต่!! ทำไมมันไม่เป็นเกิดสักที --คือพอ Clean Energy จะเกิดเมื่อไหร่..พอราคาน้ำมัน"ถูก" ก็กลายเป็น Project "กุด"ทุกครั้งไป (จริงๆถ้ามองให้ดี มันก็เป็นงูกินหางไปเรื่อยๆ คือพอน้ำมันแพงคนก็พูดถึง Clean Energy ..พอคนมาสนใจ นักลงทุนเข้ามาแจม ก็กลายเป็นว่า Demand ความต้องการในน้ำมันลดลง "ราคาก็เลยลดตาม" ..พอน้ำมันกลับมาถูก คนก็หันกลับมาใช้น้ำมันอีก

ถ้ามองกันให้ลึกๆแล้ว โลกเราไม่เคยรู้เลยว่า แท้จริงแล้ว น้ำมันที่เหลืออยู่จริงๆในโลกมันมีมากเท่าไหร่ เพราะคนที่ทำการสำรวจ Supply ก็มีอยู่คนเดียว "ก็คือบริษัทน้ำมัน" ..คือ พอน้ำมันแพงๆก็ลงทุนสำรวจกันยกใหญ่ พอสำรวจก็เจอน้ำมันมากมาย แต่พอราคาน้ำมันตก ก็เลิกสำรวจ(เพราะไม่คุ้ม) จากนั้นข้อมูล Supply ที่มีอยู่ก็คือ "อันเก่า"

พูดง่ายๆคือ เราไม่เคยรู้แน่ๆเลยว่า "น้ำมันเหลือเท่าไหร่" ..ช่วงที่ผ่านมานิตยสาร Time เอาเรื่องปริมาณน้ำมันใต้ผืนน้ำแข็ง Arctic มาให้ดูว่า มันมีมากขนาดไหน!! (จึงทำให้เรารู้เลยว่า จริงๆแล้ว เราก็ยังคงต้องใช้นำ้มันอยู่ดี..ไปอีกยาววว...)

นักลงทุนระดับ Guru อย่าง Ken Fisher ถึงกับมองว่า Clean Energy น่าจะยังเป็น"หมัน"ไปอีกนาน ..นานตราบเท่าที่ เรายังคงมีพลังงานที่ใช้ carbon หลงเหลืออยู่ (ซึ่งไม่นานมานี้ก็มีการพูดในวงกว้าง ถึงการใช้เทคโนโลยีใหม่ เข้ามาสกัดเอา ก๊าซธรรมชาติ ใต้ดินอเมริกาออกมาใช้ ซึ่งมันเยอะสุดๆ...จุดนี้อาจหมายถึงอเมริกาจะกลับมาเป็นประเทศ Energy Efficiency ในตัวเองเหมือนอย่างประเทศในตะวันออกกลางก็เป็นได้)

มาดู ในส่วนของ Clean Energy ปีที่ผ่านมา จีนมีการลงทุนใน Clean Energy ถึง 11.5 billion(ขยายตัวถึง 72% เทียบกับปีที่แล้ว) ในขณะที่อเมริกาลงทุนเพียง 4.9 billion...จุดนี้มองลึกๆน่าสนใจมาก เพราะเดิมอเมริกา เมื่อเจอวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใด จะไม่เคยแก้เศรษฐกิจ แต่จะสร้าง Bubble ลูกใหม่ให้ดึงเศรษฐกิจขึ้นไปแทน (เห็นได้จากก่อนช่วง Bill Clinton เข้าบริหารประเทศ อเมริกาตกอยู่ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างรุนแรง ..แต่ปรากฏว่าสิ่งที่ดึงอเมริกาออกจากวิกฤตคราวนั้นก็คือ อุตสาหกรรม IT (หรือ The Boom of Silicon Valley อย่างที่เรารู้จักกัน)

มาถึงคราว นี้ นักวิเคราะห์หลายๆคนคาดว่า อเมริกาจะใช้ อุตสาหกรรม Clean Energy มาเป็นตัวดึงให้ประเทศรอดพ้นจาก Sub prime ..แต่ปัญหาคือ"มันจะเป็นอย่างนั้นจริงหรือเปล่า!!" -- การแตะประเด็น Energy มันเป็นอะไรที่ละเอียดอ่อน เพราะ รากฐานของอุตสาหกรรมที่ค้ำคอรัฐบาลอเมริกา ทุกยุคทุกสมัย หนีไม่พ้นอุตสาหกรรมน้ำมัน (ดังนั้น การมองว่าอเมริกา จะปฏิวัติบน รากฐานที่ค้ำคอตัวเองอยู่ เป็นอะไรที่น่าตั้งคำถามว่า มันจะเป็นไปได้หรือ!!)

ถ้ามองในจีน การเข้าสู่ Clean energy มันเป็นทางบังคับ เพราะทั้งประเทศกำลังจมอยู่กับ "กากขยะของอุตสาหกรรม..จากการที่จีนเป็นเสมือนโรงงานของโลก"

ยิ่งคิด ยิ่ง ฉุกให้คิดต่อ "ว่าสรุปแล้ว ใครจะเป็นผู้นำใน Clean Energy ..เพราะนั้นมันหมายถึง เงินทุนมหาศาลจะวิ่งไปที่จุดนั้นเหมือนกับที่เคยวิ่งไปที่ Silicon Valley ในยุค Dot com boom" ...ดังนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ผมมองว่า ยุคนี้ทุก port การลงทุนจะต้องมีพลังงานเป็นส่วนหนึ่งของ port ด้วย(ไม่งั้นคุณอาจ หลุดขาบไปได้ง่ายๆ ...กั๊ก กั๊ก กั๊ก)

The Golden Era of Energy is around the corner!! (ประเด็นที่น่าจับตามองอีกตัว ก็คือ นโยบายของรัฐบาลในการ Subsidize ในการช่วยเหลือ Clean Energy เพราะนักลงทุนปัจจุบันมองเพียงแค่ว่า รัฐบาลจะให้สิทธิประโยชน์อะไรในการเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมนี้ ...เพราะขีนปล่อยให้ Clean Energy ให้โตตามกลไกของ Demand & Supply..ผมว่ารออีก 100 ปีอุตสาหกรรม Clean Energy ยังเกิดไม่ได้เลย "ดังนั้นนโยบายรัฐบาลสำคัญมากครับ!!")

ปล.ระหว่างที่ท่านกำลังใช้ความคิด -- ช่วยกรุณาไปเชียร์ Blog นี้หน่อยนะครับ ....เข้าไปคลิ๊ก vote กันนะครับเพื่อนๆ "ขอบคุณครับ"

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘