รู้จักกับตลาด “น้ำตาล”
ก่อนพูดถึงน้ำตาล เราต้องพูดถึงต้นกำเนิดของน้ำตาลก่อน ก็คือ “อ้อย(Sugar Cane)” (ในประเทศหนาวๆอย่างยุโรปมีการปลูก Sugar beet แต่เดี๋ยวนี้ก็ มีแนวโน้มที่ลดลงเรื่อย เพราะการดูแล และผลิตผล มันสู้ Sugar Cane ไม่ได้)
อ้อย จริงๆก็คือหญ้าชนิดหนึ่ง การเพาะปลูกก็ใช้เวลาประมาณ 3 เดือน ผู้ปลูกหลักของโลก มักจะเป็นประเทศร้อนที่ใกล้เส้นศูนย์สูตร …ประเทศที่ผลิตมากที่สุดในโลกก็คือ Brazil ประมาณ 650 ล้านตัน ..ตามมาด้วย India 350 ล้านตัน , จีน 125 ล้านตัน , ไทย 74 ล้านตัน ,ปากี (64)/ Mexico (51)/Columbia (39)/Australia(34)/Argen(30)/USA(28)
“หลายคน อาจ งง ว่า ผมยกตัวเลขที่วุ่นวายของการปลูก Suger Cane ออกมาแล้วมันเกี่ยวอะไร” --“เกี่ยวมาก!!” เพราะแท้จริงแล้ว ราคาน้ำตาลโลก จะถูกกำหนดโดย Demand & Supply (ซึ่งเรารู้ว่า Demand มันไม่ผันผวน ..แต่ Supply นี่ซิที่ผันผวน!! --โดยเฉพาะประเทศด้อยพัฒนา(ทางการเกษตร) อย่าง India , ไทย )
อย่างในประเทศที่มีระบบการชลประทานและเครื่อง มือการเกษตรที่ดีอย่าง Australia “จะมีผลผลิตที่คงที่ จึงไม่ค่อยกระทบต่อภาพรวมของการแกว่งของราคา” ดังนั้น ประเทศที่ Trader จับตามองก็คือ ประเทศอย่างไทย อินเดีย จีน ที่ผันผวนสุดๆ เพราะ การเปลี่ยนแปลงของอากาศเพียงเล็กน้อย อาจทำให้ “ผลผลิตของประเทศนั้น ต่ำจนถึงขาดตลาด” ซึ่งบางครั้งอย่างอินเดีย หรือ จีน จากส่งออกบ้าง อาจนำเข้าอย่างหนัก ส่งผลต่อ Supply ทั้งตลาดที่ตึงตัว จนราคา “พุ่งในที่สุด”
นอกจากนี้สิ่งที่ต้องดู ก็คือ ปริมาณน้ำตาลที่ได้จากอ้อย “คือมันไม่แน่นอน” ขึ้นกับปริมาณน้ำฝน อากาศ ตัดอ้อยช้าตัดเร็ว เร่งปุ๋ยต้นสูง แต่กลายเป็นน้ำตาลน้อย โรงงานซื้อแพงแต่ได้ผลผลิตน้ำตาลต่ำ อย่างเช่น ไทยผลิตอ้อย 74 ล้านตัน ..แต่พอหีบออกมาเป็นน้ำตาลจะเหลือแค่น้ำตาลประมาณ 6.9 ล้านตัน
ประเทศ ที่ผลิตมีเยอะดังที่กล่าวมา แต่กลายเป็นว่า ประเทศที่ผลิตเกินและสามารถส่งออกได้ ก็มีแค่ Brazil , Thai , Australia นอกนั้นก็ เป็นการนำเข้าส่งออกเป็นครั้งคราวขึ้นกับ ผลผลิตหรือ Supply นั่นเอง (เห็นไหมครับ จริงประเทศไทยเราก็ ใหญ่ไม่เบาในวงการเกษตร!!)
ผล ผลิต “น้ำตาล” ทั่วโลกแต่ละปีประมาณ 160 ล้านตัน …ดังนั้น ประเด็นสำคัญคือ ทุก Trader จะมองหาปัจจัยการแว่งของ Supply ในประเทศต่างๆ อิงกับอากาศน้ำ + ภัยธรรมชาติ เรียกได้ว่า เกมนี้ชิงไหวชิงพริบกันตลอดเวลา “ถ้าเผลอ ดันซื้อแพง เก็งผิด เลิกหวาน (เน่าแทน)…อิ อิ”
อ้อย จริงๆก็คือหญ้าชนิดหนึ่ง การเพาะปลูกก็ใช้เวลาประมาณ 3 เดือน ผู้ปลูกหลักของโลก มักจะเป็นประเทศร้อนที่ใกล้เส้นศูนย์สูตร …ประเทศที่ผลิตมากที่สุดในโลกก็คือ Brazil ประมาณ 650 ล้านตัน ..ตามมาด้วย India 350 ล้านตัน , จีน 125 ล้านตัน , ไทย 74 ล้านตัน ,ปากี (64)/ Mexico (51)/Columbia (39)/Australia(34)/Argen(30)/USA(28)
“หลายคน อาจ งง ว่า ผมยกตัวเลขที่วุ่นวายของการปลูก Suger Cane ออกมาแล้วมันเกี่ยวอะไร” --“เกี่ยวมาก!!” เพราะแท้จริงแล้ว ราคาน้ำตาลโลก จะถูกกำหนดโดย Demand & Supply (ซึ่งเรารู้ว่า Demand มันไม่ผันผวน ..แต่ Supply นี่ซิที่ผันผวน!! --โดยเฉพาะประเทศด้อยพัฒนา(ทางการเกษตร) อย่าง India , ไทย )
อย่างในประเทศที่มีระบบการชลประทานและเครื่อง มือการเกษตรที่ดีอย่าง Australia “จะมีผลผลิตที่คงที่ จึงไม่ค่อยกระทบต่อภาพรวมของการแกว่งของราคา” ดังนั้น ประเทศที่ Trader จับตามองก็คือ ประเทศอย่างไทย อินเดีย จีน ที่ผันผวนสุดๆ เพราะ การเปลี่ยนแปลงของอากาศเพียงเล็กน้อย อาจทำให้ “ผลผลิตของประเทศนั้น ต่ำจนถึงขาดตลาด” ซึ่งบางครั้งอย่างอินเดีย หรือ จีน จากส่งออกบ้าง อาจนำเข้าอย่างหนัก ส่งผลต่อ Supply ทั้งตลาดที่ตึงตัว จนราคา “พุ่งในที่สุด”
นอกจากนี้สิ่งที่ต้องดู ก็คือ ปริมาณน้ำตาลที่ได้จากอ้อย “คือมันไม่แน่นอน” ขึ้นกับปริมาณน้ำฝน อากาศ ตัดอ้อยช้าตัดเร็ว เร่งปุ๋ยต้นสูง แต่กลายเป็นน้ำตาลน้อย โรงงานซื้อแพงแต่ได้ผลผลิตน้ำตาลต่ำ อย่างเช่น ไทยผลิตอ้อย 74 ล้านตัน ..แต่พอหีบออกมาเป็นน้ำตาลจะเหลือแค่น้ำตาลประมาณ 6.9 ล้านตัน
ประเทศ ที่ผลิตมีเยอะดังที่กล่าวมา แต่กลายเป็นว่า ประเทศที่ผลิตเกินและสามารถส่งออกได้ ก็มีแค่ Brazil , Thai , Australia นอกนั้นก็ เป็นการนำเข้าส่งออกเป็นครั้งคราวขึ้นกับ ผลผลิตหรือ Supply นั่นเอง (เห็นไหมครับ จริงประเทศไทยเราก็ ใหญ่ไม่เบาในวงการเกษตร!!)
ผล ผลิต “น้ำตาล” ทั่วโลกแต่ละปีประมาณ 160 ล้านตัน …ดังนั้น ประเด็นสำคัญคือ ทุก Trader จะมองหาปัจจัยการแว่งของ Supply ในประเทศต่างๆ อิงกับอากาศน้ำ + ภัยธรรมชาติ เรียกได้ว่า เกมนี้ชิงไหวชิงพริบกันตลอดเวลา “ถ้าเผลอ ดันซื้อแพง เก็งผิด เลิกหวาน (เน่าแทน)…อิ อิ”