ยุคนี้"คนรวยยิ่งรวย คนจนยิ่งจน"


หลาย คนคิดว่า "Internet" เป็นเครื่องมือในการสร้างความเท่าเทียมมากขึ้น --แต่ไม่เลย!! มันยิ่งทำให้โลกเราแตกต่างมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น คนที่มีชื่อเสียง สามารถ"สื่อสาร"กับคนได้ง่ายกว่า"คนธรรมดา"มาก เช่น ดารา, นักข่าว ,นายก สมมุติเปิด Facebook , Twitter ก็มีคนติดตามทันที เป็น พันเป็นหมื่นคน --ตอนนี้นักการเมืองชอบใช้มาก เพราะ"ไม่เสียเงิน--ของฟรีนี่ชอบ!!" อย่าง Twitter นี่พอ บิดขี้เกียจที ก็ post เข้าไป ว่า "ตอนนี้ผมกำลังเอี้ยวตัว ไปทางซ้าย..ขวา--(น่าสนใจจริงๆ..)"

ปีนี้ผมเห็นนิตยสาร Forbes จัดอันดับ รายได้ "คนมีชื่อเสียง"เห็นเลยว่า เดี๋ยวนี้ ดาราดังๆ ยิ่งทำรายได้มากขึ้นเรื่อยๆ แต่ภาพรวม อุตสาหกรรมบันเทิง กลับรายได้แย่ลง --ผมว่า มันเข้าตำรา "The Winner take all" อย่าง ซูซาน บอย ป้าแก่ๆ ที่ดังระดับโลก ซึ่งสมัยก่อน ยากมากที่จะมี"เหตุการณ์อย่างที่เกิดขึ้น" ซึ่งเราอาจเรียก การดังของ ซูซาน บอย ว่าเป็น"ปรากฎการณ์"เลยก็ว่าได้ เพราะ ดังชนิดที่ว่า "ไม่มีค่าใช้จ่าย" คือ คนอยากดู ซูซาน บอย ก็เปิด Youtube เข้าไปดูเองทั้งนั้น
..ลองนึกถึงการสร้าง Product โดยใช้ ซูซาน เป็น Case Study ผมว่าน่าสนใจนะ..ตรงนี้อาจมีใครกำลังเตรียมเขียนทฤษฏี "Susan Marketing" การสร้างปรากฏการณ์ดังอย่างรวดเร็วแบบชนิดไม่เสียตังค์สักบาท...
ถ้ามองให้ดี มันอยู่ที่ "Product" เป็นสำคัญ --ซึ่ง Product เปรียบเสมือน "เครื่องกำเนิดเสียง" แล้ว Internet จะเปรียบได้กับ "เครื่องขยายเสียง" ดังนั้น ถ้า"ไม่มีเครื่องกำเนิด ก็ไม่สามารถที่จะขยายอะไรออกมาได้"

ซึ่ง Product อาจรวมหมายถึง "คน" หรือ "สิ่งของ" ที่เป็น"ที่ต้องการของตลาด" --ในยุคก่อน "เครื่องขยายเสียง"เดิมมีความสำคัญมากกว่า เช่น สื่อ หรือ แมวมอง ดังนั้น ผู้กุมอำนาจยุคก่อน ก็คือ "ตัวกลาง"นั่นเอง..แต่พอมายุคนี้ "เครื่องกำเนิดเสียง"กลับมีความสำคัญมากกว่า ..เรียกได้ว่า ยุคนี้มันเกิดการ Shift ของ"ผู้คุมอำนาจ" จาก "ตัวกลาง" ไปสู่ "ต้นตอของเสียง" ดังนั้น ยุคนี้ความสำเร็จจึงกลับมาสู่"คุณภาพของเสียง หรือ คุณภาพของสินค้า " ซึ่งในที่นี้ไม่ได้หมายความว่า เป็น"สินค้าที่ดีที่สุด หากแต่ หมายถึง "สินค้าที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดต่างหาก..ซึ่งไม่จำเป็นต้องดีที่สุดก็ ได้"

อย่างวงการ"ดารา" ในปัจจุบัน จะเห็นได้ว่า "คุณภาพของดาราหรือนักร้อง สูงขึ้นเรื่อยๆ" ถ้าเรามองย้อนไปสมัย RS ยุคแรกๆ นักร้องนี่เน้นหน้าตา ไม่เน้นความสามารถ แต่เดี๋ยวนี้ จะเป็นดารา--ต้องผ่านเวทีประกวด (นี่แหละครับ การพัฒนาคุณภาพของ"แหล่งกำเนิดเสียง" หรือ "Product") และยิ่งไปกว่า นั้น คนที่ดังก็จะดังมากขึ้น ..สินค้าที่ดีก็จะยิ่งขายดีเข้าไปอีก..

--จึง มองได้ว่า เรากำลังเข้าไปสู่ยุคของ "The Winner take all"อย่างแท้จริง --ดังนั้น ประเด็นการพัฒนาตนเองให้เหนือกว่าคนอื่น ในอนาคต "ไม่เพียงพออีกต่อไป" คือ "ไม่ดีที่สุด ก็จะแย่ที่สุดไปเลย เพราะมันไม่มีตรงกลาง ..ชนชั้นกลางจะค่อยๆตาย อย่างในอเมริกา เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน คือ คนรวยยิ่งรวย คนชั้นกลางก็จนลงเรื่อยๆ จนในที่สุด จะเหลือแต่ "คนรวยสุดๆ กับ คนจน"

ประเด็นมันอยู่ที่คุณ จะเลือกอะไร --(แน่นอน..ทุกคนเลือกจะเป็น"ดีที่สุด" แต่แปลกมากที่ "การกระทำมันตรงข้ามกับสิ่งที่ทุกคนอยากเป็น" --คนที่"ดีที่สุด"ก็คือ "คนที่แปลกที่สุด" แต่วันนี้ทุกคนกลับเดินตามคนอื่นๆ ทำเหมือนคนอื่น คิดเหมือนคนอื่น ..ผมว่า ถ้ามองให้ดี เรากำลังเดินไปผิดทาง ใช่ไหม!!! -- คนสำเร็จมีน้อยดังนั้นไม่แปลกที่คนที่สำเร็จคือ คนที่"คิดและทำสวนทางกับคนทั่วไป"นั่นเอง.... ((เรียนสูง ทำงานเงินเดือนสูง เล่นหุ้นที่นิยม ..จึงไม่ใช่คำตอบของความสำเร็จ))--ส่วนเรียนต่ำ เงินเดือนต่ำ ไม่เล่นหุ้น ก็ไม่ใช่คำตอบ ..เพราะคนตอบมันคือ คุณ!! ความสำเร็จมันอยู่ที่ความคิด และนี่คือ คำตอบ...

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘