อภินิหารของหุ้น

ในตลาดหุ้นนั้น  เราจะพบความ ไร้เหตุผล ในเรื่องของราคาหุ้นอยู่บ่อย ๆ  บางครั้งบริษัทที่  ยิ่งใหญ่ในแง่ของตัวธุรกิจมองทั้งในปัจจุบันและอนาคตแต่ราคาหุ้นต่ำต้อยจนไม่น่าเป็นไปได้  เป็นหุ้นที่ราคา  ไม่สมศักดิ์ศรี  ตรงกันข้าม  บางครั้งบริษัทไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรเลย  ธุรกิจก็ธรรมดามากหรือไม่มีอะไรโดดเด่น  บ่อยครั้งเป็นผู้ผลิตหรือขายสินค้า โภคภัณฑ์  ที่แข่งขันด้วยราคาเป็นหลัก  แต่ราคาหุ้นกลับสูงลิบลิ่ว  คิดเป็นมูลค่าของกิจการหรือมี  Market Cap. เป็นพัน หมื่น หรือบางทีเป็นแสนล้านบาทในขณะที่ส่วนของทุนนั้นมีแค่เป็นหลักร้อย พัน หรือหมื่นล้านบาทเท่านั้น  เรียกว่าราคาหุ้นสูงเป็นเกือบสิบเท่าของทุนทางบัญชี  หุ้นในกลุ่มหลังนี้ผมอยากเรียกว่าเป็น หุ้นอภินิหาร 

            การเกิดขึ้นของหุ้นอภินิหารนั้น  ผมคิดว่ามีปัจจัยหลาย ๆ  ประการขึ้นอยู่กับตัวหุ้น  บางหุ้นอาจต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่างประกอบกัน  บางหุ้นก็มีปัจจัยเพียงน้อยนิด  แต่ผลก็คล้ายคลึงกันนั่นคือ  ราคาหุ้นขึ้นไปสูงเกินพื้นฐาน  ระยะยาว มากมาย  ลองมาดูกันว่าหุ้นเหล่านี้มีปัจจัยอะไรบ้างที่มักเป็นตัวกำหนด

            ปัจจัยแรกที่ผมเห็นว่าเกือบจะต้องเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับหุ้นอภินิหารทุกตัวก็คือ  หุ้นเหล่านี้มักมี Free Float หรือหุ้นที่อยู่ในมือของนักลงทุนหรือนักเก็งกำไรระยะสั้นค่อนข้างน้อยถึงน้อยมาก  บางบริษัทมีไม่ถึง 5% ของหุ้นทั้งหมดของบริษัท  บางบริษัทมีหุ้นอาจจะถึง 25-30%  แต่คิดเป็นเม็ดเงินแล้วก็น้อยมาก  อาจจะเพียง 200-300 ล้านบาทก่อนที่หุ้นจะกลายเป็นหุ้นอภินิหาร

การมี Free Float ต่ำนั้น  ผมคิดว่าเป็นเหตุผลสำคัญที่สุดที่ทำให้ราคาหุ้นขึ้นไปสูงลิ่วได้  ลอง คิดดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหุ้นที่มีขายอยู่ในตลาดเพียง 200 ล้านบาทนั้นถูกนักลงทุนรายใหญ่สักรายที่มีพอร์ตเล่นหุ้นพันล้านบาทกวาดซื้อ หุ้นทั้งหมด  แน่นอน  การซื้อหุ้นหลังจากนั้นเขาก็สามารถทำราคาเป็นเท่าไรก็ได้  เพราะคนที่จะขายก็อาจจะเป็นเขาเองหรือเป็นเครือข่ายของเขา  และถ้าเกิดกรณีแบบนี้ขึ้น  ราคาหุ้นก็จะค้างเติ่งอยู่อย่างนั้นยาวนานในขณะที่ปริมาณการซื้อขายหุ้นก็จะหดหายไป  ประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับคนที่กวาดซื้อหุ้นก็ไม่มีเพราะเขาอาจจะ  ออกของ  หรือขายหุ้นทิ้งทำกำไรไม่ได้  สิ่งที่ดีที่เหลืออยู่ก็อาจจะเป็นว่าเขารู้สึก  รวย เพราะคำนวณจากตัวเลขแล้ว  พอร์ตของเขาอาจจะใหญ่มากจากการถือหุ้นตัวนั้น

หุ้นอภินิหารจำนวนไม่น้อยนั้น  ถ้าดูจากปริมาณการซื้อขายหุ้นต่อวันก็อาจจะเห็นว่าสูงมาก  เรียกว่าเป็นหุ้นที่มีสภาพคล่องเหลือล้น   ปริมาณเม็ดเงินที่วนเวียนอยู่ในตลาดที่คิดตามมูลค่าหุ้นตาม  Free Float ที่มีอยู่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่น้อย  บางตัวหลายพันล้านและบางตัวหลายหมื่นล้านบาท  นี่ก็อาจทำให้เข้าใจผิดว่าราคาหุ้นที่เห็นน่าจะสมจริงเป็นธรรมชาติที่เกิดจากอุปสงค์อุปทานของนักลงทุน  แต่ถ้าพิจารณาให้ลึกซึ้งก็จะพบว่านี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่หุ้นกลายเป็นหุ้นอภินิหารแล้ว  ถ้ามองก่อนหน้านั้นที่ราคาหุ้นยังต่ำมากก็จะพบว่าหุ้นเหล่านั้นมี Free Float คิดเป็นเม็ดเงินน้อย  เช่นเดียวกัน  ปริมาณการซื้อขายหุ้นก็น้อย  และดังนั้นจึงเข้าข่ายที่จะเป็นหุ้นอภินิหารได้

ปัจจัยข้อสองที่มักจะพบในหุ้นอภินิหารก็คือ  บริษัทมักอยู่ในธุรกิจที่ขายสินค้าหรือบริการที่มีราคาขายผันผวนคือเป็นสินค้าโภคภัณฑ์  และ ช่วงที่จะกลายเป็นหุ้นอภินิหารก็คือช่วงที่เกิดการขาดแคลนสินค้าในตลาดทำให้ ราคาปรับตัวขึ้นมากส่งผลให้กำไรของบริษัทเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด  นอกจากนั้น  บริษัทก็มักจะประกาศขยายกำลังการผลิตเพื่อที่จะทำให้กำไรเพิ่มขึ้นไปอีกถ้าคิดว่ากำลังการผลิตใหม่ทั้งหมดสามารถทำกำไรได้เหมือนเดิม   ทั้งหมดนั้นทำให้สามารถ รองรับ กับราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นไปได้ในสายตาของนักลงทุนหรือนักเล่นหุ้นที่เข้าไปเก็งกำไรกันในช่วงนั้น

ปัจจัยประการที่สามก็คือ  หุ้นอภินิหารนั้นต้องมี  คนเล่น  ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมีหลายกลุ่มตั้งแต่คนที่เป็น  สปอนเซอร์  ซึ่งมักจะเป็นรายใหญ่ที่มีพลังเงินมากเมื่อเทียบกับขนาด Free Float ของบริษัทในช่วงก่อนที่จะเป็นหุ้นอภินิหาร  และต้องมีนักเล่นหุ้นรายย่อยที่เป็นนักเก็งกำไรซึ่งเข้ามาเล่นหุ้นรายวันโดยหวังจะทำกำไรจากความผันผวนของราคาหุ้น  นอกจากนั้นก็อาจจะมีนักลงทุนที่มองพื้นฐานของกิจการอย่าง Value Investor ด้วยที่อาจจะเข้าใจผิดในมูลค่าของกิจการ  ทั้งหมดนั้นต่างก็มีความ ฮึกเหิม  และหวังว่าจะสามารถทำกำไรได้งดงามจากการซื้อขายหุ้นอภินิหาร  เหนือสิ่งอื่นใด  ราคาหุ้นที่ปรับตัวต่อเนื่องมหาศาลเป็นสิ่งที่  ยืนยัน ความคิดของคนทุกกลุ่มที่เข้ามาเล่นว่าเขา คิดถูก

ปัจจัยประการสุดท้ายก็คือ  หุ้นอภินิหารนั้น  มักจะเกิดขึ้นในยามที่ภาวะตลาดหุ้นสดใสเป็นตลาดกระทิงที่มีปริมาณการซื้อขายหุ้นต่อวันสูงมาก  หุ้นอภินิหารเองนั้นก็มักจะปรับตัวแรงในวันที่ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้น  เรียกว่าราคาหุ้นมักเกาะกระแสตลาด  เช่นเดียวกัน  วันไหนที่ตลาดปรับตัวลงแรง  หุ้นอภินิหารก็ตกแรงตามไปด้วย  อย่างไรก็ตาม  ในช่วงที่กำลังเป็นหุ้นอภินิหารนั้น  การปรับตัวขึ้นลงวันละ 5-10% เป็นสิ่งที่ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องธรรมดา

หุ้นอภินิหารนั้น  สิ่งที่มักจะเกิดขึ้นก็คือ  ไม่ช้าก็เร็ว  ความอภินิหารก็จะหายไป  จุดเริ่มต้นมักจะเป็นเรื่องของราคาสินค้าของบริษัทที่มักจะเป็นราคาตลาดหรือตลาดโลกเริ่มเข้าสู่วัฏจักรขาลง  หรือสินค้าที่ในช่วงต้นกำลังมาแรงเริ่มจะอ่อนตัวลง  หรือเรื่องราวดี ๆ  ที่คิดไว้นั้นเมื่อเวลาผ่านไปไม่เกิดขึ้น   หรือในบางกรณีสปอนเซอร์ใหญ่เลิกเล่นแล้วหลังจากที่ออกของหรือขายหุ้นทำกำไรไปได้หมดแล้ว  ระยะเวลาของการเป็นหุ้นอภินิหารนั้นบางกรณีก็สั้นมากแต่บางกรณีก็ยาวหลายปี  แต่เมื่ออภินิหารหมดไป  หุ้นเหล่านี้ก็มักจะปรับตัวลงกลับไปที่เดิมหรือใกล้เคียงกับราคาเดิมก่อนที่จะเกิดอภินิหาร  คนที่เข้าไปเล่นแล้วออกของไม่ทันด้วยเหตุอะไรก็แล้วแต่ก็จะเจ็บตัวและขาดทุนหนัก  แต่ผมก็ยังเชื่อว่าน้อยคนที่จะเข็ด  หุ้นอภินิหารตัวใหม่ก็จะมีสตอรี่ใหม่ที่น่าเชื่อถือและน่าประทับใจไม่เหมือนตัวเดิม  คนในตลาดหุ้นนั้น  ความจำสั้นมาก แต่ความโลภนั้นถาวร  ดังนั้น  หุ้นอภินิหารจึงเกิดขึ้นเสมอโดยเฉพาะในยามที่ตลาดหุ้นปรับตัวเป็นกระทิงและคนในตลาดต่างก็ถูกครอบงำโดยความโลภ

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘