ทำไมเรามัก"ขายหุ้น"ในเวลาที่ไม่ควรขายที่สุด

นี่เป็นเรื่องปกติ "ขายในเวลาที่ไม่ควรขายมากที่สุด" ก็เพราะเรา "เป็นมนุษย์" นั่นเอง --- ดังนั้น การซื้อขายจึงใช้อารมณ์เป็นตัวตัดสินโดนส่วนใหญ่ --ยกตัวอย่างในตลาดหุ้น บางครั้งหุ้นตกน้อยๆ เราก็มองว่าไม่เป็นไรถือต่อ(เดี๋ยวมันก็ขึ้น) -- ((พอหุ้นตกต่อ)) เราก็ยังคงไม่ขาย และยังเชื่อว่า (เดี๋ยวมันก็น่าจะขึ้น)..(((พอหุ้นตกต่อไปอีก))) เราก็ยังคงไม่ขาย และยังเชื่อว่า (เดี๋ยวมันก็อาจจะขึ้นนะ(ลังเลหนักขึ้นเรื่อยๆ))..(((((พอหุ้นตกต่อ "หนัก"เข้าไปอีก))))) --ในที่สุด (ราคาหุ้นลงไปต่ำมาก) เราก็ตัดสินใจขาย เพราะกลัวว่ามันจะตกต่อไปอีก -- (พอเราขายเท่านั้น!!! -- หุ้นก็เริ่มวิ่งกลับไป วิ่งขึ้น และก็วิ่งขึ้นไป เลยราคาก่อนตกไปเสียอีก) --"นี่คือ ตัวอย่างปกติที่ ผมว่า คนเล่นหุ้น ทุกคนเคยเจอกับตัวเอง--(แต่ไม่เคยจำ)"

ดังนั้น ถ้าเราไม่อยาก "ขายในเวลาที่ไม่ควรขายมากที่สุด" เราต้อง "ตัดอารมณ์ความรู้สึกออกไป แล้วใช้ข้อมูลและเหตุผลมาวิเคราะห์เท่านั้น" -- เช่น ถ้าเราวิเคราะห์ว่า ตลาดในประเทศไทยตอนนี้ (ถูกกว่าตลาดเพื่อนบ้าน) แถมยังให้ผลตอบแทน ปันผล ดีกว่าตลาดอื่นๆ --(คุณก็ไม่ควรขายจริงไหม) เพียงแต่รอให้ตลาดปรับตัวกลับมาที่จุดที่น่าจะเป็น "เราก็รวยแล้ว"

(เพิ่มเติม) ในปัจจุบันตลาดเรายังมีหุ้นที่ราคาถูกมากมาย สาเหตุเพราะตั้งแต่ปี 1997 "ต้มยำกุ้ง" ทุกคนยังเข็ดขยาด โดยเฉพาะคนไทย "นักลงทุนรายย่อย" ที่เคยเสียจนหมดตัวในคราวนั้น ต่างให้คำมั่นกับตัวเอง ว่า"ชีวิตนี้เขาจะไม่เล่นหุ้นอีก และสอนลูกหลานว่า "ไม่ให้เล่นหุ้น"

-- มีคำพูดจากนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ กล่าวว่า "เมื่อทุกคนไม่สนใจ และหนีจากตลาดหุ้น --- นี่แหละคือเวลาที่ควรเล่นหุ้นมากที่สุด " ผมขอฟันธง ณ วันนี้ เลยว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า ตลาดจะกลับขึ้นไป เหมือนก่อนที่เราจะเกิดต้มยำกุ้งอีกครั้ง (และเมื่อนั่น เหล่า"แมลงเม่า" ลูกหลานของคนที่เคยเจ๊ง จะเข้ามา ซ่า และในที่สุดแล้ว คนเหล่านี้ก็จะ เจ๊ง เหมือนกับ "แมลงเม่ารุ่นพ่อ"ของเขานั่นเอง ฮิ ฮิ.).. ตลกดี....(ไม่ขำเลย)...

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๔๓ วันพฤหัสบดี ที่ ๑๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๓

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นเอก สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๔๓ วันเสาร์ ที่ ๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๓