การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่ชีวิตยากขึ้น!!

ตั้งแต่ ปี 2008 เป็นต้นมา หากใครศึกษา และดูงบ การฟื้นตัวของผลประกอบการของบริษัทต่างๆ จะเห็นได้ว่า "ดีขึ้น" ..แต่หากศึกษาเจาะลงไปลึกกว่างบการเงินจะเห็นได้ว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ มันเกิดจากการ "ประหยัด ลดต้นทุน และ บีบเค้นเอาทรัพยากรที่จำกัด ให้ได้ผลผลิตให้มากที่สุด"

สิ่งที่เกิดขึ้นคือ บริษัทจะพยายามไม่เพิ่มคนงาน แต่พยายามลดต้นทุน และ พยายามใช้คนที่มีอยู่ให้คุ้มที่สุด ..จุดนี้ส่งผลในภาพรวม คือ อัตราการจ้างงานของประเทศจะไม่ดีขึ้น ..จะว่าไปแล้วนี่ถือเป็น กับดักการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในครั้งนี้เลย และประเทศที่เจอหนักสุดคือ อเมริกา !!

ตอนนี้ตัวเลขการว่างงานของอเมริกา ประมาณ 10% (ถือว่าสูงมาก หากเทียบกับค่าเฉลี่ย) ...บริษัทต่างๆ กำไรดีขึ้น แต่การจ้างงานไม่ดีขึ้น ...รัฐบาลอเมริกัน พยายามทำทุกทางให้บริษัท จ้างงานเพิ่มขึ้น "แต่มันไม่ได้ผล" ...ปัญหา Subprime อเมริกาได้แก้ด้วยการพิมพ์เงินเพิ่ม แต่เงินไม่ได้ไหลเข้าสู่ระบบ (เพราะธนาคาร แม้ได้เงินมากมายจากรัฐบาล แต่ก็ไม่กล้าปล่อยกู้อยู่ดี) แต่กลับทะลักไปทั้วโลก และส่งผลโดยตรงที่ทำให้ราคา Commodity วิ่งขึ้นเป็นพลุแตก!!

ราคา Commodity ที่ขึ้น ส่งผลกระทบโดยตรงต่อบริษัทส่วนใหญ่ เพราะ Commodity ถือเป็น ต้นทุนการผลิต ดังนั้น ต้นทุนเพิ่มก็เป็นการกดดันให้บริษัทต้องขึ้นราคาสินค้า ..ท้ายสุดก็กลับมากดดันในเรื่องของเงินเฟ้อ ...พร้อมกับการกดดัน ให้บริษัทไม่กล้าจ้างคนเพ่ิม เพราะต้องการลดต้นทุน ...ทั้งหมดนี้ กดดันให้คนที่ตกงาน ยิ่งเจอปัญหาหนักมากๆ "คือ ทั้งหางานไม่ได้ รวมทั้งราคาสินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้น ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยก็ต่ำ (ถ้าดอกเบี้ยขึ้นเร็ว ปัญหาเรื่องหนี้บ้าน ต้นเหตุของ Subprime จะกลับมาหลอกหลอนใหม่)" ... คุณเห็นภาพงูกินหางไหม!!

"ปัญหาเหล่านี้ ประเทศไทยก็เคยเจอมาตอนปี 1997 แต่เราโดน IMF บังคับให้แก้ปัญหาแบบหักดิบ ...คือ ปล่อยให้พังแล้วเริ่มใหม่ ..แต่อเมริกาแก้ปัญหาอีกทาง คือ เพิ่มหนี้ ...มันก็เลยเป็นอย่างที่เห็นอยู่ "งูกินหาง"

การแก้ปัญหาของอเมริกา แบบนี้ แน่นอน จะส่งผลให้เกิด "เงินเฟ้อ ..ค่าเงินดอลลาห์ลดลง และ Commodity ราคาพุ่งขึ้นเรื่อยๆ" ... ความแตกต่างเรื่องรายได้ของคนจะห่างขึ้นเรื่อยๆ มันเป็นการทำลายกลุ่มชนชั้นกลางในอเมริกา ซึ่งจริงๆเป็นรากฐานสำคัญที่สุดของอเมริกา .... สิ่งที่จะเกิดตามมาคือ การขยายตัวของชนชั้นกลางในกลุ่ม BRIC ซึ่งแน่นอน ยิ่งจะกดดันให้ราคา Commodity (โดยเฉพาะพลังงานและอาหาร) ราคาเพิ่มขึ้น เพราะคนชั้นกลางคือ กลุ่มที่บริโภค Commodity โดยตรงมากที่สุด

ทางออกของคนที่จะ รอด คือ "พัฒนาความสามารถของตัวเอง ให้ตรงกับงานในสมัยใหม่" ...งานที่ต้องอาศัยความคิด แน่นอนมันต่างกับสิ่งที่เราเรียนในมหาวิทยาลัยอย่างสิ้นเชิง ..การตลาดแบบเก่าๆ ที่ใช้สื่อเก่า มันจะเริ่มหมดความสำคัญ ... คนแต่ละคนจะมีความสามารถสูงขึ้น คือ ไม่ได้จบปริญญามา ถ่ายเอกสาร อย่างปัจจุบัน ...ประสิทธิภาพและผลผลิตต่อหัวจะโตในอัตราเร่ง แต่ต้องอาศัยกรอบขององค์กรรูปแบบใหม่ ...ลองนึกถึงบริษัทที่ใช้คนน้อยๆ แต่ทำเงินมากๆ เช่น Google , Facebook ... บริษัทที่ใช้คนมากๆ ก็จะย้ายฐานการผลิตไปที่แรงงานต่ำๆ ทั่วโลก อย่างที่ Nike และ Apple ทำ ... คนที่สำคัญของ Nike และ Apple จึงมีเพียงนักออกแบบ นักวิจัย นักขาย และแรงงานราคาถูก

...คนเก่งที่ Skill เป็นที่ต้องการของตลาดจะรวยมากๆ ในขณะที่คนจบปริญญาตรีโท ทั่วๆไป จะตกงานเกลื่อน ในที่สุดต้องไปแย่งงานราคาถูก กับแรงงานถูกๆ

....ชีวิต ในยุค New Economy ที่กำลังจะมาถึง พร้อมๆกับการเกิด Asian Miracle 2 เป็นสิ่งที่ ไม่ง่ายแน่นอน ..หลายคนที่หวังจะเรียนสูงๆ ทำงานหนักๆ แล้วจะรวยเหมือนคนยุคก่อน ผมว่าคิดใหม่นะ!! มันไม่ง่ายเช่นนั้นแน่ .... เมื่อทุกคนเก่งขึ้น การที่เราจะเอาเงิน จากกระเป๋าตังค์คนอื่นมาเข้ากระเป๋าเรา มันจะมี Process ที่ซับซ้อนขึ้น .... สิ่งสำคัญสำหรับอนาคตคือการสร้างการเป็นปัจเจกบุคคล "ต้อง Unique"

ให้ คุณมองวงการดารา Hollywood ให้ดี นั่นแหละ คือ ตัวแทนของโลกอนาคต ... Brad Pitt ทำเงินมหาศาล ..หนังแต่ละเรื่องทำเงินได้ยากขึ้น เพราะใครๆก็โหลดดูฟรี ..ผู้กำกับ ไม่ใช่ใครจะเป็นก็ได้ บางคนต้องเด่นตั้งแต่อยู่ในโรงเรียนด้วยซ้ำ ... ค่ายหนังเดี๋ยวนี้เริ่มซวย ... การแข่งขันสูง ..หนังแต่ละเรื่องทำรายได้น้อยลงเรื่อยๆ ... "ลองนึกว่า นั่นคือ ภาพสมมุติของกิจการในอนาคตซิครับ ..คุณควรจะอยู่จุดไหน" ..ใช่ Brad Pitt สบายสุด หากคุณเป็นสิ่งที่ลูกค้าต้องการ คุณเป็นคนที่มีอำนาจต่อรองเหนือระบบ .. "แค่รู้จักใช้เงินก็รวยเละ"

...ชีวิตข้างหน้า ไม่ง่ายเลยครับ!!

"อย่า หวังจะดีจากตำแหน่ง แต่ต้องสร้างที่ตัว ... คนที่ดีจากตำแหน่ง พอลงจากตำแหน่งก็หมดความสำคัญ ... การสร้างความมั่งคั่งที่ยั่งยืนต้อง สร้างจากตัวเราเอง" ...ถ้า งง ไปถาม Brad Pitt ว่าเขาสร้างจากตัวอย่างไร..หุ หุ !!

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘